ฝั่งตะวันตกเฉียงใต้เยื้องจากพระราชวังส่วนหน้า ตำหนักหมิงเฟิ่งตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น
ตำหนักแห่งนี้ร้างผู้เป็นนายมาเนิ่นนานหลายปี กระทั่งจ้าวหมิงอวี่ย้ายตัวเองกลับเข้ามาพำนัก
ไม่มีใครรู้ว่าจ้าวหมิงอวี่ถูกเรียกตัวกลับเมืองหลวง ถูกองค์จักรพรรดิรับสั่งกักตัว ยิ่งไม่มีใครรู้เรื่องการบาดเจ็บถึงขั้นเกือบเดินมิได้ครึ่งปี แม้จะรักษาร่างกายจนหายปกติดีแต่กลับมิอาจต่อสู้ด้วยกำลังยุทธผสานลมปราณได้อีก
กระนั้นบ่าวไพร่ก็แสนดีใจเป็นล้นพ้นที่ตำหนักนี้ มีเจ้านายสูงศักดิ์ประทับเสียที สถานที่กว้างใหญ่โอ่อ่าหรูหราสมฐานะราชนิกุลซึ่งห้อมล้อมด้วยเรือนหลายหลังคล้ายดาวล้อมเดือนที่เคยเงียบเหงา บัดนี้จึงค่อนข้างคึกคักขึ้นมากทีเดียว
ภายใต้ความสงบดุจเดิมของตำหนักหมิงเฟิ่งนั้น ตั้งแต่องค์ชายสี่เข้ามาปกครอง รอบด้านพลันสว่างไสว
ไม่ว่าองค์ชายสี่ย่างกรายไปทางใด บ่าวไพร่ให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าและตือรือร้นอยากปรนนิบัติรับใช้ยิ่งนัก ทุกทิศให้ความรู้สึกถึงบรรยากาศคล้ายอยู่บนสรวงสวรรค์ที่มีท่านเซียนหนุ่มเดินเหินสง่างามกระนั้น
อีกทั้งยามนี้ยังเปิดตำหนักรับศิษย์จากสำนักศึกษาเข้ามาร่วมเรียนยิ่งเพิ่มความสดใสมากขึ้น
ยามเฉิน[1] ศิษย์ที่ได้รับคัดเลือกวันก่อนทยอยเข้ามาอย่างพร้อมเพรียง เหล่าบุรุษแต่งกายภูมิฐานประหนึ่งเตรียมเป็นขุนนางใหญ่ ส่วนเหล่าสตรีต่างแข่งขันแต่งกายสะสวยมองไปทางใดล้วนเห็นแต่แม่นางน้อยงดงามดุจมวลบุปผา แต่ละนางประทินโฉมเสียพริ้งเพริดเหมือนนางฟ้านางสวรรค์ ประโคมเครื่องประดับเสียทำให้คนมองต้องแสบตา
พวกเขาทุกคนไม่ได้รับสิทธิ์ให้นำบ่าวรับใช้ติดตามเข้ามาแม้แต่คนเดียว แต่นั่นมิใช่ปัญหาเลยสักนิด เพราะสหายร่วมเรียนจะมีนางกำนัลรับใช้ประจำเรือนนอนทุกคน ให้ความรู้สึกเหมือนกลายร่างเป็นเชื้อพระวงศ์กระนั้น
หลังจากศิษย์ทุกคนจัดเสื้อผ้าข้าวของห่อสัมภาระเข้าเรือนนอนแล้วเสร็จก็รับมื้อกลางวันร่วมกันที่โถงรับรอง จากนั้นก็เข้าเรียนที่เรือนชิ่งเฟิงติดกับหอตำรา
ยามเว่ยหนึ่งเค่อ[2]
ทุกคนต่างตั้งตารอองค์ชายสี่เสด็จอย่างใจจดจ่อ โดยเฉพาะเหล่าสตรีที่เติมแป้งทาชาดเสียจนสะสวยสะคราญโฉมทั่วหน้า
แน่นอนพวกนางมิได้ตั้งใจมาร่ำเรียนเพียงอย่างเดียว แต่ปรารถนาวาสนาต้องพระเนตรพระทัยนั่นเอง
ทุกนางเฝ้ารอด้วยสายตากรุ่มกริ่มเปี่ยมความหวัง
กระทั่งองค์ชายสี่ค่อยๆ ย่างกรายเดินเข้ามา พาให้บรรยากาศในห้องเรียนยิ่งเพิ่มทวีความปรารถนา
บุรุษหนุ่มสูงศักดิ์รูปงามหาใดเปรียบ ดุจดั่งเทพเซียนจำแลงลงมาจากสวรรค์เพื่อเยี่ยมเยียนมวลมนุษย์กระนั้น
ดูเรือนร่างอันสง่างามสมส่วนสมบูรณ์แบบนั่นสิ วันก่อนมองได้เพียงไกลๆ จากตำแหน่งบนแท่นประธานยังใจเต้นแรงปานนั้น ทว่าวันนี้ได้เห็นใกล้ๆ เพราะต้องนั่งเรียนในห้องเดียวกันทั้งวัน
ยิ่งคิดก็ยิ่งใจสั่นตัวสั่นไปถึงไขกระดูกเลยทีเดียว!
บรรดาบุรุษต่างมองอย่างยกย่องชื่นชมระคนอิจฉา ส่วนบรรดาสตรีต่างตกตะลึงพรึงเพริดในความหล่อเหลาจนกระทั่งเผลอเบิกตาจ้องมองอย่างเสียมารยาทแล้ว
แน่นอนว่าจ้าวหมิงอวี่คุ้นเคยกับสายตาเหล่านั้นมาโดยตลอดจึงเฉยเมยไม่ใยดีอันใด เพียงสะบัดชายเสื้อดังพรึบนั่งลงตรงตำแหน่งโต๊ะตัวแรกสุดของห้องเรียนอย่างเย็นชา ท่าทางไร้อารมณ์ไม่ได้ยินดีสักเท่าใด สิ่งหนึ่งที่ต้องรู้คือ เขาไม่ได้อยากเรียนตำราปราชญ์หรือศาสตร์บุ๋นเลยสักนิด
“ข้ากล้าแน่” ว่าแล้วก็ตบอีกทั้งแก้มซ้ายแก้มขวาเพียะ เพียะ“โอ๊ยๆ”ผู้ตบเรี่ยวแรงเยอะนัก ชิงเอ๋อร์ล้มกลิ้ง แก้มแดงก่ำ ระบมไปหมด จังหวะนั้นหูซั่วได้ทีพลิกตัวลุกขึ้นมา ทำท่าเอาคืน แต่ถูกถีบอีกโครมใหญ่ “โอ๊ย” ชายหนุ่มลุกขึ้นมาอีกครั้ง เขาเป็นถึงองครักษ์จะเสียทีหลายกระบวนท่าได้อย่างไรหูซั่วม้วนตัวผุดร่างขึ้นมายืนผงาดหมายฟาดฟันทว่าผู้มาใหม่ฝีมือไม่ธรรมดา หูซั่วถูกเตะจนขาพับ ล้มแล้วล้มอีกจนเขาให้รู้สึกคาดไม่ถึง ชิงเอ๋อร์ก็เช่นกัน นางทั้งทุบตีทั้งกางเล็บข่วน แต่กลับไม่โดนตัวอีกฝ่ายเลย กลายเป็นตบตีหูซั่วเต็มแรงเสียอย่างนั้น จ้าวหมิงอวี่เลิกคิ้วมองความชุลมุนตรงหน้าอย่างอึ้งๆ และทึ่งกับผู้มาใหม่ อีกฝ่ายเป็นสตรีชุดแดง ปากแดง ค่อนข้างป่าเถื่อนและมีวรยุทธ!นางคือ สวีหลิงเยี่ยน!เสียงพลั่กๆ ผลัวะๆ ดังต่อเนื่อง ชุลมุนไม่หยุดยามนี้หูซั่วเริ่มไม่ไหว นึกแปลกใจในฝีมืออีกฝ่าย “โอ๊ย เจ้าเป็นใคร” หูซั่วละล่ำละลั่กถาม “บังอาจทำร้ายองครักษ์ตำหนักหมิงเฟิ่งขององค์ชายสี่ เจ้าเป็นนักฆ่า เข้ามาลอบสังหารใช่หรือไม่?”“ใช่แล้วอย่างไร?” หลิ่งหลินเป็นนักฆ่าจริงแต่ยามนี้นางไม่ได้มาลอบสังหารใครเหมือนเช
ใบหน้าดำคล้ำยิ่งนานยิ่งบึ้งตึง ประกายตาแข็งกร้าวเกินบ่าวทั่วไป และนั่นย่อมทำให้องครักษ์ผู้หนึ่งสัมผัสได้ จึงหันมาเห็นพอดี ทำให้สตรีหันมาเช่นกัน “อ๊ะ! ท่านพี่หู ตรงนั้นมีคนนั่งอยู่ มันคงเห็นพวกเราแล้วเป็นแน่ บังอาจนัก!”วาจานางกำนัลผู้นี้ชัดเจนว่าไม่พอใจอย่างยิ่งนางรีบเดินตรงดิ่งท่าทางพร้อมตำหนิอย่างรุนแรง องครักษ์หนุ่มแซ่หูจึงรีบปรี่เข้าหาพร้อมสีหน้าดุดันเช่นกัน ทิศทางด้านหน้าของพวกเขาคือจ้าวหมิงอวี่ที่ยามนี้ปลอมตัวเป็นแค่บ่าวชายผิวคล้ำจนจำรูปลักษณ์เดิมมิได้“เจ้า! บ่าวชั้นต่ำ มานั่งทำอันใดตรงนี้” หูซั่วคำรามอย่างต้องการข่มขวัญจ้าวหมิงอวี่มีหรือจะกลัว เขาเสียงเย็น “ข้าต่างหากที่ต้องถาม พวกเจ้ามาทำระยำอันใดกันตรงนี้”ชายหญิงชะงักกึกหูซั่วกัดฟันกรอดรับไม่ได้กับคำด่าจึงคำรามดุดัน “เหิมเกริมนัก พวกข้าทำสิ่งใด เจ้ามีหลักฐานหรือไร” “หลักฐาน?” จ้าวหมิงอวี่เหยียดยิ้ม “ข้าเป็นพยานเห็นกับตาก็พอกระมัง”หูซั่วหยัน “หึ! ใครจะเชื่อบ่าวระดับล่างเช่นเจ้ามากกว่าข้าที่เป็นถึงองครักษ์”จ้าวหมิงอวี่ร้อง “อ้อ เช่นนั้นให้คนเปิดประโปรงนางพิสูจน์แล้วกัน”นางกำนัลหน้าแดงเถือก รีบหนีบขาอย่างไว“จ่ะ เจ้า
ชายหนุ่มเดินมานั่งใต้ร่มชายคาศาลาซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดเดิมที่แต่งกิ่งไม้เมื่อครู่ อุทยานท้ายตำหนักแห่งนี้มีน้ำตกจำลอง ด้านหลังของน้ำตกมีพุ่มไม้ดอกไม้ประดับ เหมาะแก่การหลบเร้นซ่อนกายจากผู้คนวุ่นวายพอดีแม้วันนี้มีหิมะโปรยปราย แต่สำหรับเขานับว่าอากาศกำลังเย็นสบาย เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจ ผ่อนคลายอารมณ์ ไหนเลยควรเรียนเคร่งเครียดทว่าอาจเป็นเพราะมีหิมะจึงพานให้นึกถึงใครบางคนบนยอดภูผาอันหนาวเหน็บวันนั้น‘เป็นถึงราชนิกุลแต่คิดสละฐานันดรเพื่อสตรีเช่นข้า ท่านบ้าหรือไร ข้ากำลังจะแต่งงาน ไสหัวไปซะ!’เสียงหวานที่ก้องกังวานยังคงชัดเจนในห้วงภวังค์จ้าวหมิงอวี่ค่อยๆ หลับตาลงเชื่องช้า สีหน้าเย็นชาผุดพรายความเศร้าหมองออกมาเลือนลางนางมักทำตัวร้ายกาจเช่นนั้นเสมอ ให้ผู้คนภายนอกมองเป็นพญามาร แต่เขารู้ดี มารตัวจริงมักมาในรูปแบบที่เราไม่รู้สึกถึงความอันตราย อันที่จริงนางควรทำตัวเหมือนมิตรสหาย มิให้เขาระแวดระวังภัยมิใช่หรือไร?ชายหนุ่มถอนหายใจให้ความคะนึงที่มิเคยจางหาย หลายครั้งที่หลับตา ภาพของหลิ่งหลินมักชัดเจนเสมอ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน ทุกวันที่พบหน้า กระทั่งถูกหักขา ถูกผลักไสที่ริมหน้าผาครานั้นท่าม
ฟ่านเจินให้รู้สึกเห็นใจสวีหลิงเยี่ยนขึ้นมาอย่างแท้จริง อีกฝ่ายแลดูจะเป็นคนกตัญญูรักครอบครัวเสียด้วย ก่อนนี้สตรีอื่นต่างเร่งร้อนมาเข้าตำหนักก่อนใคร เพื่อหวังให้เข้าตาองค์ชายสี่โดยเร็วที่สุด แต่นางกลับมาเข้าเรียนช้าเพราะอยู่เรือนช่วยมารดา ครานี้ต้องช่วยบิดา ต่อให้มิใช่นักฆ่าก็คงจำเป็นต้องหาวิธีฆ่าคนแล้วฟ่านเจิ้งเองก็คิดไม่ต่าง นางช่างน่าเห็นใจ แต่ว่า...“แผนการของพวกเราก็ไม่ควรเปลี่ยนนะพ่ะย่ะค่ะ” ฟ่านเจิ้งว่า “แม้พระองค์รังเกียจนางและไม่ชอบวิธีการนี้ แต่ยังคงต้องแสร้งเป็นเหยื่อลอบจับเสือต่อไป เพราะไม่นานฝ่ายเราจะได้หลักฐานและมีพยานเอาผิดองค์ชายรองส่งให้ฝ่าบาทเสียที”ฟ่านเจินพยักหน้าเห็นด้วยกับพี่ชายเฉกเดิม “ใช่ๆ เร่งเปิดทางให้นางเข้าหาแล้วรับตัวมาไว้ข้างกายเลยเพคะ”ลูกน้องคนสนิทคิดกันไป ในขณะที่จ้าวหมิงอวี่เพียงปิดตำรา อิงแผ่นหลังกว้างกับพนักเก้าอี้แล้วหลับตาลงช้าๆ ท่าทางเงียบงันเย็นชา พาให้คู่แฝดลอบมองอย่างลุ้นระทึก ด้วยมิอาจคาดเดาความคิดของเจ้านายท้ายที่สุดจ้าวหมิงอวี่ยืดตัวลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง กล่าวเสียงเรียบอย่างเกียจคร้าน “ข้ารังเกียจนางจริง หน้าที่เข้าหานางข้าให้พวกเจ้า วั
ขันทีหวังก้าวเท้าสั้นๆ เดินยิกๆ หลิ่งหลินก็เดินตามเพียงแต่ฝีเท้าของนางยาวและมั่นคง ไม่เหมือนคุณหนูทั่วไปที่ก้าวสั้นแบบนั้น ตำหนักนี่กว้างมากทีเดียว มีเรือนเยอะแยะยิ่ง เดินอยู่นาน ขันทีหวังถึงได้มาหยุดยืนหน้าเรือนหลังหนึ่ง เขาเอียงหน้ามาทางนางโค้งกายเล็กน้อย เปล่งเสียงแหลม“นี่คือเรือนหงซิ่ว เป็นเรือนพักของคุณหนูสวี”หลิ่งหลินประสานมือยอบกายตามมารยาทอันพึงมีของคุณหนูลูกขุนนาง “ขอบคุณหวังกงกง”“เชิญคุณหนูสวีเข้าด้านใน” หวังกงกงเปิดประตู ผายมือ ส่งแขกด้วยใบหน้าไร้อารมณ์หญิงสาวเดินเข้าไปอย่างไม่อิดออดประตูห้องปิดลง หลิ่งหลินเห็นเพียงแผ่นหลังขันที อีกฝ่ายเดินเชิดหน้าซอยเท้าก้าวเล็กหายไปทางใดไม่ทราบ นางแค่เดินเข้าห้องไปสำรวจตรวจตราอย่างไม่ถือสาท่าทีของขันทีผู้นั้นในเรือนแม้ไม่กว้างแต่ครบครันยิ่ง หลิ่งหลินสำรวจ เห็นทิศตรงไปซึ่งชิดกำแพงด้านในสุดของห้องคือเตียงนอน ด้านซ้ายโต๊ะจิบชา ด้านขวาโต๊ะหนังสือ อีกฝั่งของเตียงคือฉากกั้นวางไว้เป็นสัดส่วนสำหรับเปลี่ยนอาภรณ์ ถัดออกไปคือห้องอาบน้ำ นอกหน้าต่างอากาศค่อนข้างเย็น แต่ด้านในห้องพักแม้ห้องมีขนาดกว้างขวางแต่กลับอบอุ่น แสงแดดสาดส่อง
เรื่องวุ่นวายในจวนสวียังคงดำเนินไปทั้งอย่างนั้นผลตรวจของท่านหมอลงความเห็นว่าสวีจงสือมีภาวะเลือดลมสูบฉีดขั้นรุนแรงส่งผลให้จุดป๋ายฮุ่ย[1]แตกซ่านนั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเป็นอัมพาตท่อนล่าง ปากบิดปากเบี้ยว พูดจาไม่รู้เรื่องนั่นเอง หลังจากนี้เกรงว่าคงมิอาจหาความสำราญจากเรือนร่างสตรีได้อีกนอกจากนั้นยังมิอาจจัดการงานในจวนได้อีกด้วย เหยาซื่อซึ่งมีตำแหน่งเป็นฮูหยินใหญ่จึงต้องรับหน้าที่บริหารจัดการงานในจวนสวีทั้งหมดโดยปริยายมิใช่มีสิทธิ์มีเสียงแค่เพียงหลังเรือนเหมือนเมื่อก่อน แต่รวมถึงเรือนหน้าและอำนาจจวนสวีทั้งหมดที่เคยเป็นของสวีจงสือบัดนี้เป็นของเหยาซื่อโดยสมบูรณ์พอกัวเหมยรู้เรื่องก็กรีดร้องแทบบ้าคลั่งจนสลบไสล ครั้นตื่นขึ้นมาก็ร้องไห้โหยหวนเป็นลมอีกในขณะที่อวี้เสวี่ยจีดีใจแทบตายแล้ว นางมีอิสระ ได้รับเบี้ยหวัด ไม่ต้องทนนอนปรนนิบัติใต้ร่างบุรุษเฉกอดีต ยอดเยี่ยมที่สุดทั้งหมดทั้งมวลหลิ่งหลินเพียงทิ้งไว้เบื้องหลังยามนี้นางต้องเข้าไปเรียนในตำหนักหมิงเฟิ่งเสียที เพียงแต่ปล่อยเวลาล่วงเลยหลายวัน ยังจะเรียนทันหรือไม่ จะเข้าตำหนักได้หรือเปล่าไม่ใช่พยายามเข้าหาจ้าวหมิงอวี่ตามคำสั่งสวีจงสือ เพ