ในที่สุดเหวินอี้ก็แน่นิ่ง เขาเบิกตาโพลงจมกองเลือด นอนสิ้นใจตายไปในสภาพเนื้อตัวเปล่าเปลือยไร้อาภรณ์
ช่างอุจาดตานัก หรงเอ๋อร์กำมีดในมือตัดสายรัดเอวแล้วถอดเสื้อผ้าของตนที่เปื้อนเลือดของอีกคนออกมา เหวี่ยงลงไปกองบนกายของร่างไร้วิญญาณนั้น
หญิงสาวยืนหรี่ตานิ่งตระหง่านเหนือศพน่ารังเกียจ เลือดหยาดรินจากปลายคางมน หยดลงบนศพนั้นเงียบๆ
นางยกมือข้างหนึ่งปาดเลือดออกไปอย่างไม่ไยดี เลือดสัตว์กับเลือดคนคงไม่แตกต่าง
แต่ทว่าที่ผิดกันคือบ้านเมืองมีกฎหมายคุ้มครองคน
หากฆ่าคนย่อมถูกจับไปลงทัณฑ์ทรมานในคุกมืด เหตุผลอันใดล้วนฟังไม่ขึ้นทั้งนั้น เพราะคงไม่มีใครเสียเวลาฟังคำของเด็กสาวเช่นหรงเอ๋อร์ หญิงสาวจึงไม่เสียเวลาคิด นางไม่มีทางอยู่ที่นี่อีก ใครจะโง่รอให้ถูกจับไปไต่สวน
ทางหนีทีไล่ถูกขบคิดในทันที
หญิงสาวรีบเดินไปหาชุดใหม่ที่สะอาดมาเปลี่ยน เป็นเสื้อหม่นสีทึบเหมาะแก่การเร้นกายยามราตรี ไม่นาน เรือนสกุลเหวินในหมู่บ้านจินซานพลันเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้อย่างรุนแรง
เปลวเพลิงสีแดงเผาผลาญลุกโชนโหมกระพือรุนแรงจนสีแสบตานั้นส่องสว่างไปถึงฟากฟ้า
คนบ้านเรือนใกล้เคียงพลันแตกตื่นเบิกตามอง กระนั้นกลับมิอาจดับไฟได้โดยง่าย
ครั้นเมื่อรุ่งอรุณมาเยือน ทุกอย่างกลายเป็นเถ้าถ่าน ถึงได้พบศพของเหวินอี้ถูกเผาไฟพร้อมเรือนที่มอดไหม้นั้น
แม่เลี้ยงกับลูกเลี้ยงที่รักใคร่สามัคคีกันหนักหนา
ถึงขั้นเป็นลมล้มทั้งยืน ครั้นตื่นขึ้นมากลับไม่ใยดีกันเสียแล้ว พวงนางต่างยื้อแย่งสิ่งของที่พอมีค่าซึ่งหลงเหลืออยู่น้อยนิดจากกองเพลิงในเรือนอย่างบ้าคลั่งนั่นคือศพแรกของหรงเอ๋อร์
หญิงสาวมิได้ชมชอบการฆ่า เพียงแต่ชะตาชีวิตนี้ นางอาจเกิดมาและต้องอยู่รอดให้ได้ด้วยการฆ่าก็เท่านั้น
หลังจากหนีเตลิดออกมาไกลจากหมู่บ้านจินซาน หรงเอ๋อร์ระหกระเหินอย่างไม่ทราบทิศทางอยู่นาน จนกระทั่งหลงเข้ามาในถ้ำแห่งหนึ่งแล้วหาทางออกไม่เจอ แต่ที่นี่นางได้เจอกับสาวงามนามหลิ่งม่อ
อันที่จริงเรียกสาวงามอย่างเดียวคงไม่ถูกต้องนัก ต้องเรียกว่านางมารชาดแดงขาดสติจิตวิปริตวิปลาสต่างหาก เพราะหลิ่งม่อชอบแต่งหน้าทาชาด รูปลักษณ์คือชุดแดง ปากแดง รักสวยรักงามยิ่ง แต่ทุกทิศที่กรีดกรายย่างผ่านกลับโหดร้ายดุจมารปีศาจ
นางมักจะหาเรื่องฆ่าคนอย่างบ้าระห่ำมีเหตุผลบ้างไร้เหตุผลบ้างตามอารมณ์ ทั้งเลี้ยงสมุนมารไว้เยอะมาก ยังปกครองหุบเขาปีศาจ
ถูกขนานนามว่าจักรพรรดินีหลงซาน
นับว่าโชคดีที่หลิ่งม่อถูกชะตากับหรงเอ๋อร์มาก ถึงขั้นรับเป็นศิษย์รัก และตั้งชื่อใหม่ให้ว่า หลิ่งหลิน
และเพื่อความอยู่รอด หลิ่งหลินจึงต้องฝึกวิชาอย่างบ้าคลั่ง เพื่อ ‘ฆ่า’ ตามคำสั่ง
สิบปีนับแต่นั้น หลิ่งหลินจึงเป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งติดตามหลิ่งม่อทุกเส้นทางโลหิต
เป็นมือสังหารคนสนิทของจักรพรรดิมารหลงซาน
ไม่มีใครไม่รู้จักนักฆ่าฝีมือพระกาฬนามหลิ่งหลิน
กระทั่งหนึ่งปีก่อน
ตอนนั้นเป็นฤดูเหมันต์ หลิ่งม่อฝึกวิชาต้องห้ามในตำนานหมายอยู่ยงคงกระพัน
หวังเป็นอัมตะเยาว์วัยและไร้เทียมทานตลอดกาล แต่กลับถูกธาตุไฟเข้าแทรกจากการกินยามารเพิ่มพลังยุทธทางลัด
แต่ผลของมันมิเป็นดังหมาย กลับดีกลายเป็นร้าย ทำให้ชีพจรสะดุดและสับสนจนสูญเสียการควบคุมตัวตน
ขณะที่พิษเย็นแล่นลาม เลือดลมกลับสูบฉีดรุนแรงทะลักทลายออกเจ็ดทวาร หลิ่งม่อก็ได้รู้ตัวแล้วว่าตนไม่รอด
ก่อนที่ธาตุไฟจะแตกซ่านจนร่างระเบิดแหลกลาญ หลิ่งม่อจึงยกสำนักไพรีพิฆาตให้หลิ่งหลินปกครองนับแต่นั้น
หลิ่งหลินรินชาให้ตัวเองขณะเอ่ย “ใช่แล้ว ข้าไม่ใช่คนเดิม ไม่ใช่เยี่ยนเอ๋อร์ของท่าน ที่วันๆ เอาแต่หดหัวตัวสั่น ยอมถูกอนุกับน้องชายต่างมารดาดูแคลนสารพัดไม่เว้นวัน บิดาไม่ใส่ใจก็แล้วไปเถิด ทว่าแม้แต่แม่ตัวเอง” แววตานางช้อนขึ้นเผยรอยเหยียดขณะมองเหยาซื่อ “ไม่ปกป้องลูกตนนั่นว่าแย่แล้ว ยังขับไล่ไสส่งเหมือนหมูสกปรกตัวหนึ่ง”ทั้งที่วันนั้นเป็นวันที่สวีหลิงเยี่ยนอ่อนแอจนถึงที่สุด ถูกชายคนรักกับสหายหักหลัง สหายร่วมเรียนชิงชังทั้งชั้น กลับบ้านยังเจอมารดาไล่ตะเพิดอีกหลิ่งหลินยกนิ้วเรียวขาวของร่างนี้ขึ้นลูบข้างแก้มตรงตำแหน่งที่มีแผลเป็นอ่อนจาง “รอยนี่เกิดจากถ้วยชาวันนั้น ท่านจำได้หรือไม่?”เหยาซื่อชะงัก ค่อยจำได้ว่าวันนั้นนางเขวี้ยงถ้วยชาใส่หน้าบุตรสาว หญิงวัยกลางคนให้รู้สึกผิดขึ้นมา“เยี่ยนเอ๋อร์ แม่...” คำขอโทษติดอยู่ที่ริมฝีปาก มิอาจกล่าวออกมา ด้วยไม่รู้ว่าต้องเอ่ยเช่นไร อาจเป็นเพราะเรื่องที่ทำมิใช่ครั้งแรกและครั้งเดียว ทุกครั้งที่ถูกสามีกับอนุผู้นั้นทำให้เจ็บช้ำน้ำใจจนโมโห นางมักระบายโทสะกับบุตรสาวตลอดนางอ่อนแอเกินไปหากเข้มแข็งกว่านี้จะดีสักเพียงใด เหยาซื่อกำมือที่สั่นเทา แววตาเศร้า
หลิ่งหลินหาวิธีกลับเข้าร่างเก่าไม่ได้ ทั้งยังไม่รู้ว่าจะเดินทางไปยังหุบเขาปีศาจอย่างไร มันตั้งอยู่ตรงไหน รู้เพียงมันเป็นเส้นทางลึกลับใจกลางหุบเขาวงกต ภายใต้เทือกเขาสูงชันสลับกับหน้าผาหินแกร่งที่ตั้งตระหง่านซับซ้อนเรียงรายสุดลูกหูลูกตา รอบทิศมีแต่สีเขียวอึมครึม แล้วอย่างไรอีกเล่า? ทุกครั้งที่คิดขึ้นมา นางมักปวดหัว นึกไม่ออก เหมือนน้ำในสระ พอแตะต้องความจำบางส่วนก็กระเพื่อมจนพร่าเบลอ คลับคล้ายสายตาที่เห็นดอกไม้ที่สวยสดงดงามแต่พอมันไหวเอนใต้น้ำกลับมองลวดลายของมันไม่ชัดเจนอาจเป็นเพราะความทรงจำสองร่างมารวมกันทำให้ความทรงจำบางส่วนโดนบดบังหรือสวรรคกลั่นแกล้งไม่ให้ข้าจำได้ ไม่ให้กลับสู่บ้าน ไม่ให้นางกลับไปบงการสมุนมารก่อกรรมทำเข็ญอันใดอีกโอ้! สวรรค์! ท่านควรรู้ไว้ คนที่นางไล่ล่าเข่นฆ่านั้น พวกมันสมควรตายปานใด แต่จะว่าไป นางก็ฆ่าคนเยอะจริงเฮ้อ!เพราะเป็นเช่นนี้ หลายสิ่งยิ่งมิอาจทำตามอำเภอใจเมื่ออาศัยในร่างผู้อื่นนั่นแล ยามนี้หลิ่งหลินจึงมีความคิดว่าใช้ชีวิตให้แนบเนียนเป็นปกติที่สุดไปก่อนทว่าคิดแล้วก็ให้รู้สึกไม่ยินยอม อาจเพราะเจ้าของร่างนี้ต้อยต่ำเกินไป ไร้อำนาจปราศจากบา
ยังไม่นับรวมการล้ำเส้นบังอาจอบรมบุตรีภรรยาเอก ผู้อื่นมีแต่ให้ภรรยาเอกช่วยสั่งสอนบุตรอนุ สามตำหนิไปถึงสวีจงสือ เรื่องตำแหน่งที่นั่ง เพราะยามนี้กัวเหมยนั่งใกล้นายท่านใหญ่สวี ในขณะที่ภรรยาเอกนั่งไกลปานนั้น อันที่จริงอนุภรรยามิอาจนั่งร่วมโต๊ะกับเหล่านายท่านนายหญิงด้วยซ้ำมิใช่หรือไร?นี่มันครอบครัวแบบใด?นั่นมิใช่เพียงความคิดของหลิ่งหลินแต่ยังส่งตรงไปถึงอู่ถังเชี่ยวผู้เป็นแขกในวันนี้ด้วยชายหนุ่มถึงขั้นมีสีหน้ากระอักกระอ่วนแล้ว เขาอยากขอปลีกตัวกลับก่อน แต่หาจังหวะเอ่ยแทรกไม่ได้ จึงเพียงมองคนนั้นทีคนนี้ทีและส่งเสียง “เอ่อ ข้า” ได้แค่นั้นกัวเหมยกับสวีหย่งกังแม่ลูกถึงกับบื้อใบ้ไปชั่วขณะด้วยไม่คิดว่าสวีหลิงเยี่ยนที่สงบปากเจียมตนมาแต่ไหนแต่ไรจะกล้าพูดจาสามหาวปานนี้ อันที่จริงพวกเขาไม่รู้แล้วว่านิสัยแท้จริงของนางเป็นเช่นไรในส่วนนี้สวีจงสือเองก็รู้สึกเช่นกัน เขาไม่เคยมองบุตรสาวคนนี้เต็มตา ทว่าเห็นทีวันนี้คงต้องมองนางใหม่ อีกทั้งยังต้องเข้มงวดให้มากขึ้นเสียแล้ว เขาแค่นเสียงเครียด “เจ้าลูกคนนี้ กล้าล่วงเกินผู้อาวุโส ช่างบังอาจนัก”แน่นอนว่าแม้แต่ฮูหยินยังมิอาจทำอันใดกัวเหมยได้ เพราะ
“จ่ะ เจ้า...” แต่สวีหย่งกังถึงขั้นพูดไม่ออกเถียงมิได้ เพราะเขาเป็นสหายร่วมเรียนก็จริง แต่ตอนศึกษาในชั้น ไม่เคยได้เข้าใกล้ท่านอ๋องเลย พระองค์ไม่ชายตาแลด้วยซ้ำ อาจเพราะมีสหายร่วมเรียนมากมายหลายคนจนเกินไปเห็นบุตรชายอึกอัก กัวเหมยจึงเอ่ยกับสวีหลิงเยี่ยน “ตายจริง ข้าไม่คิดว่าคุณหนูใหญ่จะปากคอเราะรายเช่นนี้ เห็นทีฮูหยินใหญ่คงไม่ว่างอบรม มิสู้ให้ข้าช่วยสั่งสอนแทน ดีหรือไม่เจ้าคะ?”แน่นอนว่ามิใช่ความหวังดีปรารถนากล่อมเกลาผู้ใด เพียงต้องการหักหน้าเหยาซื่อที่มิอาจดูแลบุตรสาวตัวเองได้ เช่นนี้ยังเหมาะจะครองตำแหน่งภรรยาเอกหรือไร ไยมิใช่สมควรปลดออกไปแล้วให้นางขึ้นแทนเสียทีหึ! เหยาซื่อมีสกุลบ้านเดิมที่ดีกว่านางแล้วอย่างไร เห็นได้ชัดว่าโง่ทั้งแม่ทั้งลูก ไม่คู่ควรให้สนทนาด้วยซ้ำ คิดพลางหันไปทางสามี บุรุษที่นางใช้เสน่ห์มารยาช่วงชิงอย่างไม่เปลืองแรงผู้นี้ล้วนเชื่อคำนาง “ท่านพี่ดูเถิด หลิงเยี่ยนคงอิจฉาที่หย่งกังได้เรียนที่สำนักศึกษาหลวง มิแน่ว่าอยากเข้าไปเรียนด้วย แต่นางคงลืมไปว่าการเป็นสหายร่วมเรียนกับราชนิกุลไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครก็ทำได้ต้องฝึกฝนร่ำเรียนจนชำนาญแตกฉานและต
หลิ่งหลินขมวดคิ้วฉงน นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย แต่มิได้แสดงออกทางสีหน้า ท่าทีกิริยาล้วนถูกต้องเหมาะสมเฉกเจ้าของร่างเก่า เพียงเดินมานั่งลงเก้าอี้ที่ว่างอยู่โดยไม่รอคำอนุญาตจากนายท่านใหญ่ของบ้านจังหวะนั้น เสียงของสวีจงสือพลันดังอย่างขัดเคือง “ช่างไร้มารยาทนัก ผู้อาวุโสบอกให้นั่งแล้วหรือไร?”คำตำหนิติเตียนนี้ทำหลิ่งหลินนิ่วหน้าเล็กน้อย ดวงตาวูบไหวด้วยประกายเย็นชา ทว่าเพียงแวบเดียวเท่านั้นพลันกลับมาเป็นปกติ ก่อนถามด้วยสีหน้าอันใสซื่อว่า “เช่นนั้นท่านพ่อจะให้ข้าย่อกายถึงยามใด คงมิใช่คิดจะทรมานบุตรสาวตัวเองให้แขกดูชมกระมัง?” น้ำเสียงนี้ค่อนข้างสั่นเทาเสมือนถามอย่างโง่เขลาและไม่มั่นใจ ทว่าความหมายกลับไม่ใช่ ทำเอาสวีจงสือถึงกับอึ้ง เงียบไป หลิ่งหลินไม่สนใจตาเฒ่าเจ้าของจวนอีก เพียงหันมาสนใจแขกผู้มาเยือนแทน “คุณชายท่านนี้ ข้าสวีหลิงเยี่ยน เมื่อครู่ต้องขออภัยที่เสียมารยาทแล้วเจ้าค่ะ”บุรุษผู้นั้นมองมาอย่างตะลึงเล็กน้อย แววตานิ่งค้างที่ดวงหน้าของสวีหลิงเยี่ยนเนิ่นนาน ครู่หนึ่งจึงได้สติ เขาแย้มยิ้มประสานมือรับคำนับและทำท่าทักทายแนะนำตัวกลับ “เอ่อ...ข้า”ทว่าสวีหย่งกังกระแอมไอ รีบเอ่ยปากแทรกทันที
ขณะแต่งตัว เสียงผู้หนึ่งพลันดังเข้ามาถึงในห้อง “คุณหนูใหญ่ วันนี้คุณชายใหญ่กลับจากสำนักศึกษา นายท่านกับฮูหยินจึงให้บ่าวมาเรียกท่านไปรับมื้ออาหาร เพื่อต้อนรับคุณชายใหญ่พร้อมหน้ากันที่โถงรับรองเจ้าค่ะ”หลิ่งหลินเลิกคิ้วสูง กลอกตาไปมาครุ่นคิดครู่หนึ่ง พี่ชายของสวีหลิงเยี่ยนไปร่ำเรียนในสำนักศึกษาหลวงแบบค้างคืนกินนอนที่นั่น แต่ชอบกลับจวนมาโอ้อวดบ่อย ๆ ทุกครั้งเจ้าของร่างก็ต้องไปนั่งฟังอย่างต่ำต้อยด้อยค่า ถูกเปรียบเทียบต่างๆ นานาเฮ้อ มาอาศัยอยู่ในร่างเขาเรือนเขาก็ต้องทำตัวให้เป็นปกตินั่นแล หญิงสาวหมุนตัวเดินออกไปเปิดประตูตอบสั้นๆ ว่า “ได้...” กำลังหิวข้าวพอดีขณะก้าวเท้าเนิบนาบไปตามทางเดินของลานเรือนที่ปูด้วยแผ่นศิลาชิงสือผ่านประตูฉุยฮวา หลิ่งหลินถือโอกาสสำรวจบริเวณโดยรอบเรื่อยเปื่อย จวนสกุลสวีแห่งนี้เล็กเกินไปในความรู้สึกของนาง เพราะมันต่างจากสำนักไพรีพิฆาตที่กินพื้นที่ทั้งหุบเขาปีศาจ แม้เจ้าของจวนสวีจะเป็นถึงขุนนางแห่งราชสำนักต้าอันที่รุ่งเรือง แต่กลับมิได้ยิ่งใหญ่เทียบฐานะในอดีตของนาง เพราะที่นั่น นางคือจักรพรรดินีอย่างไรล่ะเวลาเดียวกัน สาวใช้หันมามองอย่างฉงนในแววตา เหตุใดคุณหนูใหญ