งานเลี้ยงในหมู่บ้านนิยมดื่มกินตอนพลบค่ำ ลากยาวไปจนดึก หรงเอ๋อร์จึงจำต้องเข้าครัวทำกับข้าวง่ายๆ ที่ทำได้กินคนเดียวเงียบๆ แม้ไม่อร่อยแต่ท้องก็อิ่มพอให้มีแรงสู้ต่อ
คืนนั้น ใครจะคาด ขณะที่ลิ่งซือกับหรูอี้ยังไม่กลับ หรงเอ๋อร์ซึ่งเหน็ดเหนื่อยจากงานกำลังนอนหลับบนเตียง เหวินอี้ที่ไปทำการค้าต่างเมืองนานร่วมเดือนจะกลับมาพอดี
เขารู้ระหว่างทางกลับเข้าบ้านว่าสกุลตู้มีงานเลี้ยง ภรรยาและบุตรสาวไปร่วมงานรื่นเริงนั้น ยามนี้ยังไม่กลับ หรงเอ๋อร์อยู่บ้านคนเดียว จับจังหวะดีมาก หาได้ยากยิ่ง
ลูกติดภรรยาผู้นั้นเป็นบุปผาที่เริ่มเบ่งบานเต็มทีแล้ว ยิ่งเติบโตเต็มวัยยิ่งมีใบหน้าที่พิลาสล้ำ งดงามพรั่งพร้อม
เสียงประตูดังแอ๊ดเมื่อถูกเปิดออกอย่างไม่แรงไม่เบา อาจเพราะรีบกลับและรีบเข้ามาจึงลืมผ่อนกำลังที่ฝ่ามือ เมื่อเข้าห้องของลูกเลี้ยงมาได้ เหวินอี้รีบปิดประตูดังปึก ลั่นดาลลงกลอนอย่างแน่นหนา
รอยยิ้มชั่วร้ายผุดวาบบนใบหน้าคล้ำแดด
ในห้องที่เข้า เรือนร่างอรชรที่มีส่วนโค้งเว้างามงอนของหรงเอ๋อร์กำลังนอนหลับอุตุอยู่บนเตียงอย่างเดียวดาย
อาจเพราะงานหนักที่ต้องออกแรงทั้งวัน ทั้งเก็บผักหาของป่าและนำไปเร่ขายตลอดทั้งวันใช้พลังมากเกินไป นางจึงไม่รู้ตัวสักนิดว่ากำลังมีสิ่งใดเข้ามา
เภทภัยที่ร้ายแรงที่สุดในชีวิตสตรีกำลังกล้ำกลาย
ผ้าห่มถูกเปิดออกจากกายบาง ชายเสื้อถูกเลิกขึ้นสูง ฝ่ามือร้อนผ่าวล้วงเข้ามา ลูบไล้จากปลายเท้าเล็กน่ารัก ไต่ระดับความลึกล้ำขึ้นมาถึงโคนขาอ่อนที่เนียนลื่นนั้น
หรงเอ๋อร์เริ่มรู้สึกไม่สบายตัว ครั้นได้สติตื่นขึ้นมาพลันพบว่าเหวินอี้กำลังขึ้นคร่อมทาบทับบนกายนาง
“หรงเอ๋อร์คนงาม เป็นของข้าเถิดนะ”
เสียงกระเส่าแหบพร่าอันน่ารังเกียจนั้นทำหลิ่งหลินตื่นเต็มตาในเสี้ยวเวลา ตรงกับจังหวะเดียวกับที่สายรัดเอวถูกมือใหญ่คลำมาเจอและกำลังจะกระตุกเพื่อกระชากออก
หรงเอ๋อร์เบิกตากว้าง เข้าใจเรื่องราวบัดสีได้ทันใด แน่นอนว่านางไม่มีทางยอม เจ้าชั่ว!
“ปล่อยนะ!” หญิงสาวดิ้นขลุกขลัก รั้งสายรัดเอวไว้ หนีบขาตัวเองแน่น ปกป้องส่วนสำคัญ มิให้ชายเหนือร่างแทรกกายลงมาได้
“ไม่เอาน่า เด็กดี ไม่ดื้อ บิดาจะรักถนอมเจ้า”
อาจเพราะสัญชาตญาณหรือเลือดนักสู้ในกายนาง มีดใต้หมอนถูกดึงออกมาแล้วปักฉึกตรงลำคอเหวินอี้อย่างไม่ต้องยั้งคิด หรงเอ๋อร์บิดแล้วดึงออก จากนั้นแทงซ้ำ แทงย้ำให้ลึกกว่าเดิมแล้วดึงออกอย่างแรง
“อ๊ากกกกกก”
เสียงของเหวินอี้โหยหวนเหมือนวัวตัวโตถูกเชือด เลือดสีแดงฉานกระฉูดเต็มใบหน้าจิ้มลิ้มของหรงเอ๋อร์
แววตานางกร้าวขึ้นด้วยแรงโทสะท่วมฟ้า
ร่างใหญ่ถูกถีบจนล้มกลิ้งลงพื้นข้างเตียงดังโครม หรงเอ๋อร์ลุกตามมา กระชับมีดในมือแทงร่างหนานั้นไม่ยั้ง ยังไม่ลืมตัดเอ็นชั่วกลางลำตัวจนขาดกระเด็น
“อึกๆ อั่ก...”
ยามนี้เหวินอี้สิ้นไร้เส้นเสียง แหกปากแทบฉีกแต่กลับร้องไม่ออกอีกแล้ว ทำได้เพียงเบิกตากว้างมองหรงเอ๋อร์อย่างตกตะลึงพรึงเพริดด้วยคิดไม่ถึง
มิคาดว่าแม่นางน้อยผู้หนึ่งจะโหดเหี้ยมได้ขนาดนี้
มีดคมกริบยังคงปักฉึกๆ ลงในเนื้อหนังอย่างต่อเนื่อง หรงเอ๋อร์กระชับมีดกระหน่ำแทงไม่ยั้ง ดวงตานางแดงก่ำ ประกายในแววตาเต็มไปด้วยความขยะแขยงชิงชัง
มีดเล่มนี้หรงเอ๋อร์พกพาตลอดเวลา มันใช้งานได้ดีและถนัดมือยิ่ง โดยเฉพาะตอนฆ่าสัตว์
สาวน้อยใช้มีดเล่มนี้ตัดคอแล่เนื้อเถือหนังสัตว์ป่า เพราะนางต้องขึ้นเขาหาของป่าและล่าสัตว์ลงมาขายทุกวัน จะไม่สันทัดได้อย่างไร
“อั่ก...”
แม้ราตรีล่วงพ้นทว่าช่วงกาลวสันต์ไม่จบสิ้นจ้าวหมิงอวี่ไม่มีทางคลายวงแขนจากหลิ่งหลิน เขายังคงตระกองกอดนางเอาไว้ แนบชิดไม่ให้ห่าง เรือนกายทอดยาวพัวพันดุจงูสองตัวเลื้อยเป็นเกลียว เนตรคมดำขลับลุ่มลึกทอดมองร่างอ่อนแรงของนางอย่างมิวางตา ริมฝีปากจุมพิตอย่างมิว่างเว้น ซับเหงื่อไปทั่วเรือนกายไม่มีเบื่อหน่ายหลายเค่อต่อมายังคงบรรจงลูบไล้เนื้อเนียน เห็นเนินอกอวบอิ่มกระเพื่อมไหวตามแรงลมหายใจ ทำบุรุษปั่นป่วนอีกครั้ง พลังเร้นลับถูกปลุกให้ตื่นผงาด แข็งแกร่งดุจหิน ร้อนดุจไฟ จุดเพลิงให้มอดไหม้พร้อมละลายร่างหลอมรวมไปด้วยกันอีกคราและอีกคราครั้นเปลวเทียนมอดดับ หลิ่งหลินเปลือยเปล่า หางตาแดงเรื่อ หอบหายใจหนัก ส่งเสียงครวญแผ่วตอบสนองเป็นครั้งคราว นางปรือตามองอย่างอ่อนล้า สุ้มเสียงคล้ายไม้ใกล้ฝั่ง ความตายใกล้เข้ามาทุกที“หมิงอวี่ ท่านต้องการสังหารข้าใช่หรือไม่?”จ้าวหมิงอวี่จูบนางพลางยิ้ม “หาใช่สังหาร แต่เป็นการมอบความทรมานอันแสนสุขสม” ว่าพร้อมส่งตัวตนพานางไต่ทะยานบันไดสวรรค์อันสูงชันขึ้นไปแตะขอบฟ้า “อา...น้องหญิง สามีกำลังปรนเปรอเจ้า”สุ้มเสียงทุ้มแหบพร่าชวนเสียวท้องน้อยยิ่งนัก หลิ่งหลินรู้สึกได้ถึงกลุ่มผ
ตำหนักหมิงเฟิ่งค่ำคืนมงคล ห้องหอตกแต่งสีแดงละลานตา เครื่องเรือนประณีตพิถีพิถันมากกว่าเก่าหลายเท่า ไม่ต้องเดาก็พอรู้ว่าจ้าวหมิงอวี่ตระเตรียมไว้เพื่อใคร ชายหนุ่มหวังเพียงเห็นสีหน้าพึงใจของเจ้าสาวเพื่อได้ยลแววตาปลื้มปริ่มของนางที่ทอดมอง จ้าวหมิงอวี่จึงไม่ยินยอมรั้งรอในโถงงานเลี้ยง ไม่คิดร่วมดื่มสุราอวยพรกับบรรดาเชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์และเหล่าขุนนางน้อยใหญ่ให้เสียเวลาด้วยซ้ำ ชายหนุ่มรีบย่ำเท้าจ้ำอ้าวกลับเรือนหออย่างรวดเร็วทว่าเมื่อเดินเข้ามากลับพบเพียงสีแดงงามอร่ามกับความว่างเปล่าภายในห้องหอไร้เงาเจ้าสาวของเขา“หลินหลิน” เรียวคิ้วเข้มขมวดกวาดตามองหา “เจ้าอยู่ไหน?” ใบหน้าหล่อเหลาเริ่มเคร่งเครียดชายหนุ่มให้รู้สึกกลัวขึ้นมา หากว่าจู่ๆ วิชามารไม่คาดฝันทำนางหายไป ต้องทำอย่างไร? อสูรผลัดกายเปลี่ยนวิญญาณพานางมาที่นี่ได้ย่อมพานางไปที่อื่นได้ ใช่หรือไม่?ขณะความคิดโลดแล่นในเรื่องที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นที่สุดพลันได้ยินเสียงตอบอู้อี้จากผ้าม่านริมเตียง“ข้าอยู่นี่”จ้าวหมิงอวี่รับหันมอง เห็นหลิ่งหลินซ่อนตัวอยู่ในผ้าม่านนั้นอย่างกลมกลืนราวกับเปลี่ยนกายเป็นเนื้อเดียวกับผ้าม่านไปแล้ว“เข้าไปทำอันใดใน
หลังจากนั้นหนึ่งเดือน องค์ชายสามเดินทางกลับเข้าวังหลวงพร้อมผลงานความดีความชอบมากมายเป็นที่พึงพอพระทัยครึ่งเดือนต่อมาพิธีแต่งตั้งรัชทายาทก็เสร็จสิ้น องค์ชายสามจ้าวเฉิงหมิงรับตำแหน่งว่าที่ราชันดังคาด องค์ชายใหญ่ที่คิดจะเดินอย่างองอาจงามสง่าหมายประกาศก้องว่าตนเองเหมาะสมเป็นรัชทายาทเพียงหนึ่งเดียวกลับต้องตรมใจยอมเป็นคนป่วยต่อไปเหมือนที่ผ่านมา มิคาดว่านอกจากน้องสี่ยังมีน้องสามโผล่มา ต่อให้เขาเดินได้ก็ใช่ว่าจะสู้ด้วยไหวสี่เดือนให้หลัง แคว้นต้าอันมีงานอันเป็นมหามงคลยิ่งใหญ่ ผู้คนทั้งเมืองต่างรอชื่นชมอย่างครึกครื้นชื่นมื่น นั่นคืองานแต่งขององค์ชายสี่จ้าวหมิงอวี่เครื่องดนตรีประโคมดัง เสียงปะทัดดังกึกก้องไปทั่วทั้งถนน เสียงผู้คนชื่นชมยินดีไม่ขาดสาย ชายหนุ่มอาภรณ์แดงเป็นผู้นำขบวนเกี้ยวสีแดงขี่ม้ารอบเมืองไปรับตัวเจ้าสาวของเขาอย่างอลังการ ขบวนยิ่งใหญ่ยาวเหยียดตรงไปถึงจวนสวีตามฤกษ์งามยามดีทุกประการ งานแต่งของพวกเขาแม้รวดเร็วเพราะผู้เป็นเจ้าบ่าวใจร้อนแต่กลับเหมาะสมครบถ้วน ทุกขั้นตอน พิธีการล้วนถูกต้องไม่มีขาดตกบกพร่อง อีกทั้งคนเป็นเจ้าบ่าวยังแสดงออกชัดเจนอย่างเถรตรงจนเป็นที่กล่าว
“ใช่ องค์ชายทั้งหมดมีเพียงพี่สามที่เหมาะสม เสด็จพ่อเองก็คงเห็นพ้อง พระองค์ชอบความครึกครื้นเห็นโอรสแย่งชิง แต่แท้จริงมักมอบหมายงานสำคัญ ทั้งยังส่งองค์ชายสามไปทำการใหญ่ที่ได้ใจชาวประชา ก่อนนี้ที่มีข่าวหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยล้วนเป็นเพราะถูกพี่รองปองร้ายตามไล่ล่าไม่ว่างเว้น เมื่อข้ารู้ ข้าจึงซ้อนแผนพี่รอง และตอนนี้ข้าให้พี่สามกลับมา” เขาอธิบายเรียบเรื่อย ก่อนปิดท้ายด้วยวาจาโอ้อวดที่น่าฟังที่สุดในใต้หล้า “และช่วงนี้ข้าว่างมาก สามารถพาเจ้าท่องยุทธก็ยังได้”“หา!” หลิ่งหลินที่ได้ฟังทั้งหมด ทว่าพลันตาโตในประโยคสุดท้ายเท่านั้น “ท่าน พูดจริงหรือ?”“จริงแท้แน่นอน นอกจากพาท่องยุทธได้แล้วยังสามารถพาเจ้ากลับเข้าหุบเขาปีศาจไปสะสางสิ่งที่ค้างคาใจ ดีหรือไม่เล่า?”“โอ้ว!”หลิ่งหลินดีใจเป็นที่สุด ถึงขั้นเป็นฝ่ายเอื้อมมือดึงใบหน้าบุรุษเข้ามาแนบชิดแล้วจุมพิตไม่หยุด“ดีเหลือเกิน หมิงอวี่ ท่านยอดเยี่ยมยิ่งนัก”จ้าวหมิงอวี่ถูกนางจูบไปหลายทีจนตาลาย จำต้องขบกรามอดทนให้แก่ส่วนนั้นของร่างกาย ซึ่งกำลังรุ่มร้อนและแข็งแกร่งมากขึ้นทุกขณะ “อ่า...หยุดก่อน หลินหลิน เจ้าหยุด!”“ทำไมเล่า ท่านชอบแบบนี้นี่นา” ว่าแล้วจูบต่
เรือนหงซิ่วจ้าวหมิงอวี่คืบคลานขึ้นเตียงของหลิ่งหลิน ค่อยๆ สอดตัวเข้าผ้าห่มผืนเดียวกัน ทว่าทันใดนั้น สตรีบนเตียงมีท่าทางกระสับกระส่าย คล้ายคนฝันร้าย พริบตานางพลันตะโกนก้อง “สวีหลิ่งเยี่ยน ระวัง!” จบคำนางพลิกตัวออกกระบวนท่าพร้อมปกป้องโครม! บุรุษร่างสูงถูกฝ่าเท้าพิฆาตดุจสายฟ้าฟาดจนกลิ้งตกเตียง “อ่า...” ทั้งเจ็บทั้งจุก จังหวะนั้นหลิ่งหลินผุดลุกตามตะปบตบไม่ยั้ง “เจ้าคนชั่ว บังอาจทำร้ายร่างเก่าข้า นี่แนะๆ”จ้าวหมิงอวี่เองก็ใช่ย่อย ครั้งแรกไม่ทันป้องกัน ทว่าตอนนี้เขาปัดป้องได้สำเร็จจากนั้นก็กอดนางไว้มั่น“หลินหลิน ข้าเอง”หลิ่งหลินที่สะลึมสะลือกึ่งหลับกึ่งตื่นจึงหยุดมือ “หือ?” เมื่อลืมตาแล้วเห็นว่าเป็นใครจึงตกใจนัก “จ้าวหมิงอวี่!”หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกยาว เร่งครองสติ เมื่อสงบอารมณ์ได้ก็พลิกตัวหันไปโผกอดลำคอแกร่ง “หมิงอวี่!”“ข้าเองๆ”หญิงสาวซบหน้ากับแผงอกอันอบอุ่นของเขา แนบนิ่งอยู่เช่นนั้นจ้าวหมิงอวี่ให้รู้สึกใจคอไม่ดี รีบก้มหน้าจูบขมับหอมแก้มนางพัลวันอย่างต้องการปลอบขวัญ “เจ้ากำลังฝันร้ายกระมัง”“อืม...” นางพยักหน้าหงึกหงักตรงแผงอกหนา จนใบหน้าและจมูกบิดเบี้ยวเหมือนเด็กน้อยขี้กลัว
จ้าวหมิงอวี่ดึงมีดสั้นเปื้อนโลหิตแดงฉานออกมาจากสายคาดเอวสีดำ เชยคางมนของคนงาม ถามเสียงเย็นชา “เจ้ายังปรารถนาแต่งงานให้ข้าอยู่หรือไม่?”หย่งหนิงไม่กล้าส่ายหน้าได้แต่ร่ำไห้พูดละล่ำละลักขณะที่ตัวก็สั่นงันงกไปด้วยว่า “ไม่เพคะ ไม่อยากแต่งแล้ว”จ้าวหมิงอวี่ขยับใบมีดเย็นเฉียบไล้แก้มเนียนเบาๆขณะกล่าวยิ้มๆ “เรื่องที่ท่านย่ากับเจ้าทำลงไป ท่านปู่ไม่รู้กระมัง หากเขารู้เข้าจะเป็นเช่นไร”หย่งหน้าส่ายหน้าพรืด “อย่าบอกนะเพคะ”ชายหนุ่มร้องอ้อ “ได้ข่าวว่าท่านปู่ของเจ้าไม่มีอนุเพราะสัญญากับท่านย่าของเจ้า สามีภรรยารักใคร่ อยู่ด้วยกันทุกวัน ข้าเสนอต่อเสด็จพ่อให้ท่านปู่ของเจ้าเข้าร่วมทัศนาจรกับข้าสักสามปีดีหรือไม่ สามีภรรยาแยกกันเนิ่นนานอาจทำให้ท่านย่าของเจ้ามีสติปัญญามากขึ้น รู้การควรไม่ควรกว่านี้ เจ้าคิดเช่นนั้นหรือไม่”“อย่านะเพคะ ไม่นะเพคะ” ท่านย่าของนางไม่เคยห่างจากท่านปู่สักราตรี อีกฝ่ายต้องตรอมใจตายแน่“อืม...” จ้าวหมิงอวี่ยิ้มร้าย “ยามท่านปู่ไม่อยู่ ท่านย่าอยู่กับเจ้าแค่สองคน เจ้าสามารถยืมมือท่านย่าทำการเอาแต่ใจได้อีก ไม่ดีหรือไร? ท่านปู่ไม่รู้หรอก”“ไม่ๆ ไม่ดี หม่อมฉันไม่เอาแต่ใจแล้วเพคะ”จ้าวหมิ