หลังจากขันทีจากวังหลวงกลับไปแล้ว เสียงกระซิบก็เริ่มดังขึ้นรอบบริเวณ
เรื่องขององค์ชายห้ากับตระกูลอวี้ นับเป็นสิ่งที่ผู้คนในเมืองหลวงต่างเคยกล่าวถึงกันอยู่ไม่น้อย
หลายปีก่อน อวี้หลันบุตรีคนรองที่เกิดจากฮูหยินตระกูลไป๋เคยถูกวางตัวให้เป็นคู่หมั้นหมายขององค์ชายห้าหลี่จื้อหยวน บุตรชายลำดับที่ห้าแห่งฮ่องเต้ผู้ทรงอำนาจกับฮองเฮาองค์ปัจจุบัน
แม้สัญญาหมั้นนั้นจะยังไม่ถูกประกาศอย่างเป็นทางการจากราชสำนัก แต่ก็มีการตกลงกันระหว่างฮองเฮากับสกุลอวี้ เป็นคำมั่นที่กล่าวกันต่อหน้าผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ด้วยชื่อเสียงของท่านรองเสนาบดีฝ่ายพิธีการในขณะนั้น ทั้งยังเกี่ยวดองกับตระกูลไป๋ที่ทรงอำนาจในเมืองหลวง การหมั้นหมายระหว่างบุตรสาวกับองค์ชายราชวงศ์จึงไม่ใช่เรื่องเกินเอื้อม
แต่แล้ว…ทุกอย่างกลับพังทลายลงในพริบตา
ตระกูลฝั่งมารดาของคุณหนูรองอวี้หลัน ซึ่งเป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่กลับต้องโทษ เครือญาติถูกกวาดล้าง สินทรัพย์ถูกยึด ส่วนผู้ที่เหลือรอดถูกถอดยศปลดตำแหน่ง
แม้ตัวอวี้หลันจะยังมีสถานะเป็นบุตรีของรองเสนาบดี แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับบ้านเดิมมารดาของนางกลับกลายเป็นมลทินในสายตาผู้อื่น
ในเวลาไม่นาน การหมั้นหมายที่เคยเป็นเพียง "วาจา" จึงถูกปล่อยให้เงียบหาย ไม่มีใครกล่าวถึงอีก ราวกับไม่เคยมีอยู่มาก่อน
กระทั่งวันนี้ การหมั้นหมายนั้นได้เกิดขึ้นอีกครั้ง ทว่าชื่อของผู้ที่หมั้นหมายกับองค์ชายห้ากลับไม่ใช่คุณหนูรองอวี้หลัน แต่เป็นคุณหนูใหญ่อวี้เหมย บุตรีของเซิ่งซื่อ ผู้ที่พึ่งได้ยกฐานะขึ้นเป็นฮูหยินเอก ทั้งตอนนี้ตระกูลเดิมของนางกลับกำลังรุ่งโรจน์
อวี้หลันยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางสายตาหลายคู่ที่จับจ้อง นางไม่กล่าวสิ่งใด ดวงตากลมงามกวาดมองผู้คนรอบด้านอย่างเงียบงัน สีหน้าสงบเสงี่ยม แต่เมื่อพวกเขาสังเกตดีๆ ก็จะเห็นความหม่นเศร้าเจืออยู่ในแววตาคู่นั้น
ครู่หนึ่งนางจึงคลี่ยิ้มบางเบา ราวกับพยายามฝืนยิ้มกลบเกลื่อนความรู้สึกที่แท้จริง แล้วเอ่ยเสียงแผ่วเบาอย่างอ่อนหวาน ทว่าเจือด้วยความเจ็บปวดที่ไม่อาจปิดบัง
"ขอแสดงความยินดีกับฮูหยิน และพี่สาวด้วยเจ้าค่ะ"
เสียงนุ่มนวลนั้นทำให้บรรยากาศโดยรอบเงียบลงชั่วครู่ ทุกสายตาจับจ้องมายังนางอย่างไม่ได้นัดหมาย ต่างเฝ้ารอดูว่านางจะเอ่ยสิ่งใดต่อ หรือจะแสดงท่าทีใดออกมา
แต่กลับไม่มีคำใดหลุดจากริมฝีปากอีก หญิงสาวเพียงก้มหน้าต่ำลงเล็กน้อย ดวงตาแดงเรื่อเหมือนพยายามกลั้นหยาดน้ำตา ก่อนจะหันหลังอย่างเงียบงัน เดินเข้าสู่ศาลาด้วยฝีเท้าเบาหวิว
อวี้หลันนั่งลงตรงตำแหน่งของตนอย่างเรียบร้อย งามสง่า กิริยาทุกอย่างยังคงละเมียดละไมไม่ต่างจากเดิม ทว่าเงาของนางในขณะนั้นกลับดูเปราะบางและโดดเดี่ยวอย่างน่าประหลาด
ไม่มีคำพูด ไม่มีการโต้แย้ง มีเพียงเงาที่แผ่วบางดุจสายหมอกในยามเช้า ทิ้งรอยบางอย่างไว้ในใจของทุกผู้คน
ผู้ใดว่าหญิงสาวไม่รู้สึก...หากแต่รู้สึกเสียจนมิอาจเอื้อนเอ่ยออกมา
แต่ไหนเลยจะมีใครมองเห็น รอยยิ้มเล็กๆ ที่ผุดขึ้นใต้ผ้าคลุมหน้าผืนบางของสตรีผู้น่าสงสารในสายตาผู้คนเมื่อครู่
อวี้หลันปลายตามองแม่เลี้ยงของตนเล็กน้อย ในเมื่ออยากเห็นนางเจ็บปวดทุกข์ใจ และรู้สึกพ่ายแพ้ เช่นนั้นก็จะขอสนองให้เสียหน่อย ถือเสียว่าเป็นของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากลูกเลี้ยงผู้งดงามเช่นข้า
หญิงสาวกระชับปลายผ้าคลุมหน้าเล็กน้อยก่อนจะลดสายตาลง ดวงหน้าใต้ผืนผ้านั้นยังคงเรียบนิ่ง แต่รอยยิ้มมุมปากกลับยังไม่จางหาย
ยามที่อวี้หลันหมุนกาย ก้าวเท้าเข้าสู่ศาลา เงาร่างของบุรุษผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้นในสายตาของผู้คน เขาคือองค์ชายห้าหลี่จื้อหยวน ผู้ที่เพิ่งมีพระนามปรากฏในราชโองการจากวังหลวง และตอนนี้ก็เป็นคู่หมั้นบุตรีคนโตของสกุลอวี้เรียบร้อยแล้ว
หลี่จื้อหยวนมาถึงจวนสกุลอวี้หลังจากที่ผู้นำราชโองการจากวังหลวงกลับออกไป
และทันทีที่ย่างเท้าเข้าสู่ลานหน้าศาลา แม้จะคอยย้ำเตือนตัวเองว่าให้ละทิ้งเรื่องราวในอดีต แต่สายตาของเขากลับไม่ได้จับจ้องไปที่ใครอื่น นอกจากเด็กสาวในชุดสีชมพูอ่อนผู้นั้นที่พึ่งจะหันหลังเดินออกไป โดยไม่แม้แต่จะปรายตามองมาที่เขาเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่เมื่อก่อนนางมักจะเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นเขาเสมอ
แต่อาจจะเป็นเพราะนาง จดจำเขาไม่ได้ก็ได้ เพราะเป็นเวลากว่าแปดปีแล้วที่เราไม่ได้พบกัน
หลันเอ๋อร์ของเขาเป็นคนขี้หลงขี้ลืมมาแต่ไหนแต่ไร
คิดได้เช่นนั้น ใบหน้าหล่อเหลาก็คล้ายจะปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ อย่างหาได้ยาก
ส่วนเขา มองเห็นนางตั้งแต่ที่ก้าวเท้าเข้ามาในจวนสกุลอวี้
แม้ว่าจะไม่ได้พบเจอกันมานานหลายปี แต่เขาก็จดจำได้ในทันทีว่าเป็นนาง
เรือนกายอ้อนแอ้นบอบบางของนางดูโดดเด่นราวกิ่งหลิวยามต้องลม มิใช่ร่างเจ้าเนื้อแก้มป่อง เหมือนเมื่อครั้งเยาว์วัยอีกต่อไปแล้ว
อาภรณ์บางเบาสีอ่อนยามสะท้อนแสงแดด ยิ่งขับให้นางดูเปล่งประกายโดดเด่นอยู่ท่ามกลางผู้คน ดวงหน้ารูปไข่เรียวเล็กซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าคลุมหน้าโปร่งบาง แต่กลับแฝงไว้ด้วยเสน่ห์บางอย่างที่ยากจะละสายตา ท่าทางอ่อนแอนุ่มนิ่มนั้น ทำให้นางดูน่าทะนุถนอม น่าปกป้อง
แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาของเขาที่สุด กลับเป็นดวงตาคู่งามของนาง ดวงตาหวานล้ำที่เปล่งประกายสดใส ราวกับน้ำใสสะอาดที่ส่องประกายอยู่กลางแสงแดดอ่อน
เขาไม่อาจล่วงรู้ ว่าภายใต้ผ้าคลุมหน้าบางเบานั้น ความงามของนางจะงดงามเพียงใด แต่รู้ว่าหลันเอ๋อร์ของเขาต้องงดงามมากเป็นแน่ แค่ดวงตาอ่อนหวาน และลุ่มลึกคู่นั้น ยิ่งมองก็ยิ่งน่าค้นหา เพียงพอจะดึงดูดสายตาให้หันไปมองโดยไม่อาจละสายตาได้อีก
หลี่จื้อหยวนยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น คล้ายถูกตรึงด้วยบางสิ่งในใจ ความยินดีพลันตีขึ้นมาจุกแน่นในอก เพียงเพราะได้เห็นนางอีกครั้ง แต่ในเวลาต่อมา ความยินดีนั้นก็ถูกกลบด้วยความรู้สึกมากมายที่ไม่อาจอธิบายออกมาได้
ราชโองการเพิ่งจะถูกประกาศออกไป การหมั้นหมายที่ควรจะเป็นของเขากับนาง กลับถูกแทนที่ด้วยสตรีอื่น
และเขาเป็นคนเลือกเอง เป็นคนตัดสัมพันธ์ระหว่างนางกับเขาเองกับมือ
ถึงแม้เบื้องหลังจะมีเหตุผลมากมาย แต่ผลลัพธ์ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
"อวี้เหมย คารวะองค์ชายห้าเพคะ"
เสียงหวานดังขึ้น พร้อมกับร่างระหงของคุณหนูใหญ่แห่งจวนรองเสนาบดีก้าวเข้ามายอบกายคำนับด้วยท่าทางอ่อนช้อย งดงามตามแบบฉบับของสตรีชั้นสูงที่ผ่านการอบรมมาอย่างดี
แก้มเนียนละเอียดของอวี้เหมยแดงระเรื่อราวกลีบบุปผาแรกแย้ม แววตาวับวาวสะท้อนความปลาบปลื้มใจไม่ปิดบัง หัวใจของนางเต้นแรงเมื่อได้ยืนต่อหน้าบุรุษที่นางเฝ้าฝันถึงมาตลอดหนึ่งปี
องค์ชายห้าหลี่จื้อหยวน องค์ชายผู้สูงศักดิ์ บุรุษผู้มากด้วยเสน่ห์และอำนาจ ผู้ที่นางตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบ แม้จะรู้ว่าเขาคือว่าที่คู่หมั้นของน้องสาว แต่หัวใจของนางกลับไม่เคยลังเลที่จะใฝ่หา นางกลับยิ่งมุ่งมั่นอยากจะครอบครองให้ได้
และในวันนี้ ความฝันของนางก็เป็นจริง บุรุษที่เคยอยู่ไกลเกินเอื้อม กลับกลายมาเป็นคู่หมั้นของนางโดยสมบูรณ์
หัวใจอวี้เหมยเต้นแรงราวจะทะลุอก ความสุขล้นจนกลั้นรอยยิ้มไว้ไม่อยู่
หลี่จื้อหยวนจ้องมองนาง พยักหน้ารับเบาๆ เป็นเชิงตอบรับ ดวงตาคมคู่นั้นสบเข้ากับดวงตาของอวี้เหมยโดยตรง แววตาของเขาอ่อนลงเล็กน้อย พร้อมกับรอยยิ้มบางผุดขึ้นตรงมุมปาก ราวกับแสงแดดยามสายที่อุ่นละมุน
อวี้เหมยหัวใจสั่นไหวอย่างรุนแรง ดวงหน้าแดงก่ำยิ่งกว่าเดิม นางก้มหน้างุดอย่างขัดเขิน ท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู
ในขณะที่หัวใจของอวี้เหมยล่องลอย เฝ้าจินตนาการถึงวันข้างหน้าอันแสนหวาน แววตาที่เคยมองนางอย่างอ่อนโยนเมื่อครู่พลันกลับมาเรียบเฉยเย็นชาอย่างเคย ภายในใจของเขาเยือกเย็นเสียยิ่งกว่าใครจะรู้
สายตาของหลี่จื้อหยวนมองผ่านเลยร่างของสตรีตรงหน้าไป ก่อนจะหันไปรับการคารวะจากเจ้าของจวน บรรดาขุนนาง และแขกที่มาร่วมงาน
โดยมีอวี้เหมยติดตามอยู่ด้านหลังไม่ห่าง นางเชิดใบหน้าขึ้นเล็กน้อยอย่างสง่างาม รับคำแสดงความยินดีจากเหล่าผู้คนด้วยรอยยิ้มพึงพอใจในโชคชะตาของตน ในที่สุด สิ่งที่นางปรารถนาก็อยู่ในกำมือแล้ว
"กระหม่อมไม่ทราบว่าพระองค์จะเสด็จมา จึงมิได้จัดเตรียมการต้อนรับที่เหมาะสม ต้องขออภัยต่อพระองค์แล้วพ่ะย่ะค่ะ"
รองเสนาบดีอวี้จิ้งเอ่ยขึ้นอย่างสุภาพ สีหน้าเรียบนิ่ง ไม่ได้แสดงความรู้สึกใดออกมา ในฐานะบิดาต้องยอมรับว่า เขารู้สึกไม่พอใจในตัวขององค์ชายห้าผู้นี้ ลึกๆ ในใจนั้นรู้สึกขุ่นเคืองอีกฝ่ายไม่น้อยเลยทีเดียวที่ทำให้บุตรสาวคนรองของเขาต้องเสียชื่อเสียง
แต่ถึงกระนั้น แม้จะรู้สึกขัดเคืองเพียงใด เขาก็ยังต้องเก็บซ่อนความรู้สึกทั้งหมดไว้ เพราะในความเป็นจริง ทั้งเขาและองค์ชายห้า ต่างก็กำลังเดินบนเส้นทางเดียวกัน เพื่อบางสิ่งที่ต่างก็ไม่อาจยอมปล่อยให้หลุดมือไปได้
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทั้งตนและคนผู้นี้นั้น เป็นคนประเภทเดียวกัน
เขาเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าอีกฝ่ายนัก
บางครั้งผลประโยชน์ก็ทำให้มนุษย์คล้ายคลึงกันมากกว่าที่คิด
"ใต้เท้าอวี้อย่าได้กล่าวเช่นนั้น เป็นข้าเองที่มาโดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า"
องค์ชายห้าหลี่จื้อหยวนหันไปสบตากับอีกฝ่าย ก่อนจะยกมือขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงปฏิเสธ
ถ้อยคำเรียบง่าย แต่น้ำเสียงยังคงแฝงไว้ด้วยความมั่นคง สะท้อนถึงการวางตัวที่สุขุมเยือกเย็นตามแบบเชื้อพระวงศ์ผู้มากด้วยบารมี
"เช่นนั้นเชิญองค์ชายห้าเสด็จทางด้านนี้พ่ะย่ะค่ะ"
เมื่อกล่าวจบ รองเสนาบดีอวี้จิ้งก็ผายมือเชิญผู้สูงศักดิ์ไปยังศาลาอันเป็นสถานที่จัดเลี้ยง ซึ่งถูกจัดเตรียมไว้อย่างงดงามสำหรับงานเลี้ยงในวันนี้
หลี่จื้อหยวนหันไปมองยังทิศทางที่เจ้าของจวนนำทาง ภายในใจของเขาพลันหนักอึ้งขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ คล้ายจะมีมือที่มองไม่เห็นบีบรัด ภายในอกปั่นป่วนไม่ต่างจากผิวน้ำที่ถูกรบกวน
นั่นมิใช่ทางที่หลันเอ๋อร์เดินไปหรอกหรือ
ความลังเลแทรกซึมเข้ามาภายในใจ แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าการพบเจอนางในวันนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ในใจลึกๆ ก็ยังแอบหวั่นไหว
เขาจะต้องยืนอยู่ตรงหน้านาง ในฐานะคู่หมั้นของพี่สาวนางจริงหรือ
แต่เขาจะยอมให้เรื่องเล็กน้อยเท่านี้ มาขัดขวางเส้นทางของตนได้อย่างไร และหากเขามัวแต่หลบ เขาจะหลบเลี่ยงไปได้ถึงเมื่อใด วันนี้ไม่พบ วันหน้าก็ย่อมต้องเผชิญอยู่ดี
"หลันเอ๋อร์ ขอเวลาข้าสักครู่ได้หรือไม่"เสียงทุ้มต่ำขององค์ชายห้าหลี่จื้อหยวนเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน ทว่าแฝงแววเว้าวอนลึกซึ้ง เขาก้าวขวางเบื้องหน้าในจังหวะที่อวี้หลันหมุนกายจะจากไป หยุดยั้งฝีเท้าเรียวอย่างไม่เปิดโอกาสให้นางหลบเลี่ยงสายตาคมกริบทอดมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่อาจละไปได้ ความคาดหวัง ความลังเล และความเจ็บปวดสลักทับซ้อนในแววตาคู่นั้นราวกับเพียงคำตอบหนึ่งคำจากนาง จะสามารถปลดปล่อยหรือขังเขาไว้ตลอดกาลอวี้หลัน..หญิงสาวที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคู่หมั้นในวัยเยาว์ของเขา หญิงสาวที่เขาเคยคิดว่าจะได้ครอบครองและปกป้องแต่ตอนนี้นางกลับไกลจากเขาออกไปทุกทีข่าวลือที่โด่งดังไปทั่วเมืองหลวงอยู่ในตอนนี้ ทำให้เขาไม่อาจทนนิ่งเฉย จนต้องมาปรากฏตัวที่นี่ ยิ่งเมื่อได้เห็น ปิ่นปักผม ที่ปรากฏอยู่บนมวยผมของนาง ดวงตาของเขายิ่งแข็งกร้าวปิ่นนั่นหลี่เหวินหลงผู้เป็นพี่ชายหวงแหนยิ่งกว่าสิ่งใด เป็นสิ่งที่ไม่ควรมอบให้ใครง่ายๆ นอกจากผู้ที่เขา "หมายปอง" อย่างแท้จริงหลี่จื้อหยวนกำมือแน่น ความรู้สึกในใจร้อนรนแทบระเบิดออกมา แต่กลับไม่เอ่ยอันใด นอกจากสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วเปิดกล่องเครื่องประดับในมือออก ยื่นไปตรงหน้าอีก
มาอีกแล้ว คนผู้นี้ว่างงานนักหรืออย่างไรอวี้จิ้งทอดถอนใจยาวตั้งแต่ยังไม่ทันได้จิบชาเช้า ใบหน้านิ่งขรึมเต็มไปด้วยริ้วรอยของความอดกลั้น และกลิ่นอายของความหงุดหงิดปนเวทนาในชะตากรรมของตนรุ่งเช้า ฟ้ายังไม่ทันสว่างดีนัก คนก็มาเยือนถึงหน้าจวนเสียแล้ว"หากไม่มีงานการทำ เหตุใดถึงไม่กลับแดนเหนือไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด"อวี้จิ้งได้เพียงบ่นอยู่ในใจ ฟันกรามกัดแน่นจนขมับเต้นตุบๆ ขณะลุกจากที่นั่ง เดินออกไปต้อนรับแขกผู้สูงศักดิ์ แขกที่เหมือนจะกลายเป็นสมาชิกประจำบ้านเข้าไปทุกทีองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง ยืนตระหง่านราวขุนเขาเช่นเคย ท่าทีสงบนิ่ง เยือกเย็นประหนึ่งนักปราชญ์ผู้สูงส่ง ทั้งที่ความจริงแล้วก็แค่คนไร้ยางอาย หน้าด้านหน้าทนผู้หนึ่ง ที่ทำเอาเจ้าบ้านอย่างเขาแทบกระอักเลือดตาย เมื่อวานกว่าจะต้อนคนส่งกลับได้ก็เล่นเอาเขาแทบจะหัวหลุดจากบ่าอยู่หลายครั้ง"องค์ชายใหญ่มาตั้งแต่เช้าเลยนะพ่ะย่ะค่ะ"อวี้จิ้งเอ่ย พลางฉีกยิ้มบางๆ ที่คล้ายรอยยิ้มของเสือเฒ่ากำลังข่มอารมณ์ แฝงไว้ด้วยคำว่า ‘เจ้าว่างนักหรือ’ ขณะทำความเคารพอีกฝ่ายอย่างมีมารยาท"ใต้เท้าอวี้ พบหน้าข้าแล้วยินดีถึงเพียงนี้เชียว"หลี่เหวินหลงยิ้มรับสีหน้าระร
เซิ่งซื่อใช่ว่าจะไม่รู้สึกถึงบรรยากาศอึดอัดกดดันที่แผ่คลุมอยู่ภายในห้อง หากแต่นางยังฝืนรักษารอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าเอาไว้ ไม่ว่าสายตาใครจะจับจ้องมายังนางอย่างไร นางก็ยังสงบนิ่งไม่แสดงพิรุธหลายวันมานี้ นางสัมผัสได้ถึงบรรยากาศภายในจวนที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน นางรับรู้ได้ว่าสามีเริ่มมีท่าทีที่ผิดแผกไป ไม่เหมือนเดิมอย่างที่เคย นับตั้งแต่เกิดเรื่องกับอวี้หลัน ทว่าเขากลับยังคงนิ่งเฉยไม่เอ่ยสิ่งใด นั่นยิ่งทำให้นางทั้งหวาดระแวงและไม่อาจวางใจได้ ความเงียบของเขากลับทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่งนางรู้ดีว่าคนอย่างอวี้จิ้งไม่ใช่ผู้ที่จะปล่อยผ่านเรื่องใดไปโดยไม่คิดสืบหาความจริง ไม่ใช่คนที่จะถูกหลอกล่อได้ง่ายนัก และยิ่งเงียบก็ยิ่งน่าหวาดกลัวแต่ถึงอย่างนั้น นางก็ยังพอจะเบาใจอยู่บ้าง อย่างน้อยที่สุดหลานชายของนางก็กลับมาอย่างปลอดภัย และที่สำคัญ เขาไม่ได้ทิ้งร่องรอยใดไว้ให้ถูกสาวมาถึงตัวทุกอย่างยังอยู่ในการควบคุม นางเพียงต้องระวังตัวให้มากพอ และฉลาดพอที่จะไม่ถามถึงรายละเอียดให้มากความ สิ่งที่ไม่รู้ ก็ไม่จำเป็นต้องรู้ สิ่งที่รู้ นางก็เลือกจะซ่อนไว้ลึกสุดใจ ไม่ให้แม้แต่น้ำเสียงหรือแววตาเผลอเผยพิรุธออ
หลังจากพิธีปักปิ่นอย่างเป็นทางการในช่วงเช้าผ่านพ้นไป ตกเย็นก็ควรจะเป็นเวลาของคนในครอบครัว แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่เป็นเช่นนั้นเสียแล้วอวี้จิ้งเพิ่งเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงคำกล่าวที่ว่าเชิญเทพมาง่าย แต่ส่งกลับไปแสนยาก ก็ในวันนี้เองรองเสนาบดีผู้มากบารมี ปลายสายตาเหลือบมองบุรุษหนุ่มผู้สูงศักดิ์ที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะด้วยสีหน้าอึมครึม เขาไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำใดออกมา เพราะแม้จะเงียบ แต่หนวดที่กระตุกอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า ดวงตาวาววับที่ราวกับจะพ่นลูกไฟออกมาได้ทุกเมื่อ ก็ฟ้องหมดทุกอย่างและถึงจะเป็นเช่นนั้นอีกฝ่ายกลับยังนั่งจิบชาอย่างสบายอารมณ์ หาได้รู้ถึงความผิดของตัวเอง ประหนึ่งว่าเขาคือเจ้าของเรือน มิหนำซ้ำยังทำตัวกลมกลืนอย่างยิ่งราวกับคนในครอบครัวไม่ขัดเขิน ไม่เกรงใจ ไม่ถ่อมตนกระทำตัวเหมือนเขยของบ้านข้าเข้าไปทุกทีหึ…กล้าดียังไงแน่นอนว่าอวี้จิ้งได้แต่คิดในใจเท่านั้น ไม่มีวันกล้าเอ่ยออกมาเพราะบุรุษตรงหน้านั้น หาใช่ใครอื่นไกล แต่คือ องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงการกระทำของอีกฝ่ายในวันนี้สร้างความขุ่นเคืองใจให้เขาอย่างยิ่ง แต่แม้จะรู้สึกไม่พอใจเพียงใด ทว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับหยางฮูหยินผู้เฒ่า ซึ
แสงอรุณอ่อนในฤดูใบไม้ผลิส่องพาดแนวหลังคาเรือน บรรยากาศทั่วทั้งจวนรองเสนาบดีเต็มไปด้วยความคึกคัก ภายในเรือนใหญ่ของตระกูลอวี้อบอวลด้วยกลิ่นหอมของไม้จันทน์บ่าวไพร่ในจวนสีหน้าสดชื่นแจ่มใส ขะมักเขม้นจัดเตรียมพิธีมงคล ข้าวของเครื่องใช้ล้วนถูกจัดเรียงตามตำราโบราณเรือนหลักของจวนอวี้ในวันนี้ถูกประดับประดาด้วยผ้าแพรไหมสีมงคล ลวดลายดอกเหมยปักดิ้นทองสะท้อนแสงแดดระยิบระยับ กลิ่นหอมของชาดอกไม้ที่ลอยอบอวลในอากาศ สร้างบรรยากาศละมุนละไมวันนี้คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคุณหนูรองอวี้ในที่สุดวันปักปิ่นของอวี้หลันก็มาถึง พิธีในวันนี้ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติบุตรีขุนนางฝ่ายพิธีการ เรียกได้ว่าเป็นงานเลี้ยงที่หรูหราและงดงามที่สุดในรอบหลายปีของเมืองหลวง อวี้หลันในชุดผ้าไหมเนื้อละเอียดสีชมพูอมทองปักลวดลายดอกโบตั๋นอย่างประณีต เนื้อผ้าไหมพลิ้วไหวรับแสงแดดอ่อนยามเช้า ปลายแขนเสื้อขลิบดิ้นทอง ชุดตัวยาวรัดช่วงเอวด้วยสายผ้าแพรสีแดงสด ด้านข้างห้อยพู่หยกล้ำค่า เงาผ้าพลิ้วไหวราวกลีบดอกไม้ต้องลมตามจังหวะก้าวเดิน ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังสตรีน้อยผู้เป็นบุตรีของรองเสนาบดีหญิงสาวย่างก้าวด้วยท่วงท่าที่เปี่ยมไ
เซิ่งซื่อนั่งนิ่งอยู่ในเรือนใหญ่ของตนเอง บรรยากาศภายในเรือนที่เคยสงบร่มรื่น บัดนี้กลับอึดอัดและหนักแน่นประหนึ่งมีเงาทึบปกคลุม มือที่ถือพัดเริ่มกำแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว แววตาเคร่งเครียดขณะฟังรายงานจากบ่าวคนสนิท เสียงนั้นเบาราวกระซิบ แต่ทุกคำกลับฟังชัดเจนยิ่งในหูของนาง"คุณหนูรองกลับมาถึงจวนเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ มิได้รับบาดเจ็บใดๆ ทั้งสิ้น"คำบอกเล่านั้น ดังก้องในใจจนมือที่กำพัดเริ่มสั่นอวี้หลันกลับมาแล้ว อีกทั้งยังไม่เป็นอะไรเลย"ข่าวว่า...องค์ชายใหญ่เป็นผู้ช่วยชีวิตคุณหนูรองเอาไว้ด้วยพระองค์เองเจ้าค่ะ"เสียงในห้องเงียบงันชั่วอึดใจ"องค์ชายใหญ่"เซิ่งซื่อทวนคำเบาๆ อย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง ความหวาดหวั่นคละคลุ้งในอกองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง คนผู้นี้อีกแล้วหรือพัดในมือของนางถูกบีบจนแทบจะแหลกคามือ แววตาที่เคยสั่นไหวเปลี่ยนเป็นขุ่นมัวในฉับพลัน ริมฝีปากที่เคลือบชาดเอาไว้บางๆ เม้มแน่นจนแทบเป็นเส้นตรงทั้งที่แผนการถูกวางไว้อย่างดี หลานชายที่เก่งกาจของนางไม่เคยที่จะทำงานผิดพลาด ทุกอย่างที่ควรจะจบลงอย่างเงียบงัน กลับพังครืนเพราะการปรากฏตัวของบุรุษเพียงผู้เดียวและยิ่งแย่กว่านั้น…ข่าวนี้กำลังจะถูก