เสียงระฆังของศาลเจ้าเล็กๆ ด้านท้ายเมืองดังแว่วมาแต่ไกล ท่ามกลางสายลมเย็นของปลายฤดูใบไม้ผลิ ภายในเรือนที่ล้อมรอบด้วยกลิ่นหอมของดอกเหมย หญิงสาวผู้หนึ่งยืนอยู่หน้ากระจกทองเหลือง ใบหน้าของนางซีดเซียวราวกับไร้ชีวิต
"นี่เราตายไปแล้ว หรือว่ายังมีชีวิตอยู่กันแน่"
เสียงเอ่ยแผ่วเบาดังขึ้น ราวกับพึมพำกับตนเอง
ก่อนจะหมดสติ นางยังเป็น อวี้หลัน สตรีในยุคปัจจุบัน แต่พอลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที กลับมาอยู่ในร่างของหญิงสาวในยุคโบราณผู้มีชื่อแซ่เดียวกัน ทั้งใบหน้ายังมีเค้าโครงเดียวกัน ผิดแต่ตอนนี้ใบหน้าที่เห็นนั้นอ่อนเยาว์กว่า
รอยยิ้มเยาะหยันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของอวี้หลัน นางชั่งสมกับเป็นคนบาปหนาเสียจริง ตายแล้วก็ยังไม่ได้ไปผุดไปเกิด ไม่ได้มีชีวิตที่สุขสงบ กลับมาโผล่ในยุคที่ไม่คุ้นเคยนี้ ไม่รู้ว่าสวรรค์ส่งนางมาให้ชดใช้กรรม กับการที่นางคร่าชีวิตผู้อื่นไปมากมายหรืออย่างไร ถึงได้ส่งนางมาอยู่ในร่างที่ถูกวางยาพิษเช่นนี้
ใช่แล้ว เจ้าของร่างเดิมนี้ถูกวางยาพิษจนทำให้ถึงแก่ความตาย และดูเหมือนจะถูกวางยามาเป็นเวลานาน ร่างกายถึงได้อ่อนแอถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าคนที่ถูกวางยาเช่นนี้ ชีวิตคงไม่ได้สงบราบรื่นนัก
อวี้หลันถอนหายใจเบาๆ หลังจากที่ฟื้นขึ้นมา ความทรงจำจากเจ้าของร่างเดิมก็ไหลบ่าราวกับน้ำป่าที่ทะลักทลายไร้ทิศทาง ไม่รู้ว่าเรื่องใดเป็นเรื่องใดผสมปนเปกันไปหมด
เสียงร่ำไห้ของเด็กหญิงตัวน้อย
เสียงกล่องเครื่องหอมร่วงกระแทกพื้น
เสียงร่ำลาของหญิงงามผู้หนึ่ง ที่ดับสิ้นไปพร้อมกับกลิ่นเลือดที่เจือจางในอากาศ
ในความทรงจำ เจ้าของร่างคือบุตรีคนรองที่กำเนิดจากฮูหยินเอกผู้ล่วงลับของรองเสนาบดีกรมพิธีการนามว่า อวี้จิ้ง
นางมีน้องชายฝาแฝดคนหนึ่ง เด็กคนนั้นอายุเพียงแค่เจ็ดขวบก็ถูกส่งไปศึกษานอกเมืองหลวงทันทีที่ผู้เป็นมารดาเสียชีวิต
มีพี่สาวและน้องชายต่างมารดาที่เกิดจากฮูหยินรองอีกสองคน
มีคู่หมายที่ผู้ใหญ่พูดคุยกันไว้ตั้งแต่วัยเยาว์
เจ้าของร่างแต่เดิมเป็นเพียงเด็กสาวร่างกายอ่อนแอ จิตใจดี อ่อนโยน แต่ขี้ขลาด ไม่สู้คน นางชอบเก็บตัวเงียบๆ อยู่แต่ในเรือนของตัวเอง ไม่สุงสิงกับใคร และแทบไม่เคยสร้างปัญหาให้ผู้ใด พูดจานิ่มนวลเกินไปจนคนรอบข้างมองว่าไร้ตัวตน แม้แต่บ่าวไพร่ก็เริ่มมองข้ามนางไปโดยปริยาย
สำหรับทุกคนแล้ว คุณหนูรองผู้นี้เป็นเงาเลือนรางที่มีอยู่ก็เหมือนไม่มี
จนกระทั่งเด็กสาวอายุย่างเข้าสิบห้าปี ซึ่งเป็นวัยสำคัญของหญิงสาวชนชั้นสูงในยุคนี้ที่จะต้องเข้าสู่พิธีปักปิ่น ถือเป็นก้าวแรกสู่การหมั้นหมายและแต่งงาน แต่นางกลับล้มป่วยหนักอย่างกะทันหัน ก่อนจะถึงวันปักปิ่นเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น
อาการของนางรุนแรงจนน่าตกใจ ร่างกายซูบซีด ไร้เรี่ยวแรง หลังจากนั้นก็หมดสติไปไม่ฟื้นขึ้นมาอีก มีเพียงลมหายใจบางเบาที่บอกให้รู้ว่า คนยังคงมีชีวิต หมอที่เชิญมาดูอาการล้วนพากันส่ายหัว ไม่มีใครกล้ารับประกันว่านางจะรอด ทั่วทั้งจวนต่างรอเพียงข่าวร้าย
ตอนนี้ความทรงจำของเจ้าของร่างก็มีเพียงเท่านี้ ซึ่งมันแทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย แม้นางจะพยายามเค้นความทรงจำในหัว แต่ก็ราวกับมีม่านหมอกบางๆ ขวางกั้น มองเห็นและจดจำได้อย่างรางเลือน
อวี้หลันหลับตาลงช้าๆ เมื่อรู้สึกถึงอาการปวดศีรษะที่แล่นวาบขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ดูท่านางคงต้องใช้เวลาในการปรับตัวกับร่างใหม่นี้ ร่างกายนี้อ่อนแอ จิตใจก็เปราะบางจนรู้สึกขัดใจ
ในตอนนี้ นางคงทำได้เพียงไหลตามน้ำไปก่อน คอยระมัดระวังหยั่งเชิงสถานการณ์อย่างเงียบๆ เพราะนางยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าใครคือผู้วางยาพิษ ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการตายของเจ้าของร่างนี้คือใคร เจตนาของอีกฝ่ายคืออะไร เหตุใดเด็กสาวอายุเพียงเท่านี้ถึงมีคนอยากให้ตาย ชีวิตของอวี้หลันผู้นี้มีเงื่อนงำเต็มไปหมด
ตอนนี้สิ่งที่น่าหวั่นใจและน่ากังวลที่สุด คือคนที่สามารถวางยาเจ้าของร่างได้นานขนาดนี้ ย่อมเป็นคนที่อาศัยอยู่ในจวนเดียวกันกับนาง ใกล้ตัวถึงเพียงนี้แต่นางกลับไม่รู้อะไรเลย
"คุณหนู ท่านหมอมาถึงแล้วเจ้าค่ะ"
เสียงสาวใช้หน้าตาอ่อนเยาว์เอ่ยขึ้น พร้อมเดินเข้ามาช่วยพยุงนางกลับไปนอนบนเตียง
อวี้หลันพิศมองสาวใช้ข้างกาย สาวใช้นางนี้มีนามว่า ฉิงหว่าน จากความทรงจำเด็กคนนี้เป็นสาวใช้คนสนิทของเจ้าของร่าง อีกฝ่ายเติบโตมาพร้อมกับนาง และเป็นคนเดียวที่ยังคงรับใช้อยู่ข้างกายผู้เป็นนายอย่างซื่อสัตย์
"ขอบใจ ลำบากเจ้าแล้ว"
หญิงสาวเอ่ยกับอีกฝ่าย พร้อมกับรอยยิ้มบางเบา
อวี้หลันนั่งพิงหมอนผ้าปักลายเมฆมงคลบนเตียงไม้หอม ห่มผ้าคลุมไหล่เรียบง่าย แววตาสงบเสมือนผืนน้ำที่ไร้คลื่นลม
หมอชราสวมอาภรณ์กลางเก่ากลางใหม่แต่สะอาดสะอ้าน เดินเข้ามาภายในห้องอย่างสงบ แผ่นหลังงุ้มเล็กน้อยตามวัย มือหนึ่งหอบกล่องไม้หอมทรงยาวที่ขัดเงาเรียบเนียน สีเข้มจัดของเนื้อไม้เผยให้เห็นร่องรอยแห่งกาลเวลาจางๆ
เขาวางกล่องลงบนโต๊ะเตี้ยหน้าเตียง เปิดฝาออกอย่างแผ่วเบา เสียงเนื้อไม้เสียดสีกันเบาๆ ก่อนที่กลิ่นอ่อนละมุนของไม้จันทน์ผสมการบูรจะค่อยๆ ลอยฟุ้งออกมา แทรกด้วยกลิ่นสมุนไพรแห้งที่ติดอยู่ภายใน ทุกสิ่งบ่งบอกถึงความชำนาญและประสบการณ์ของหมอชราผู้นี้
อวี้หลันจับจ้องทุกการกระทำของหมอผู้นั้นอย่างไม่วางตา แววตาของนางสงบนิ่งแต่แฝงความระแวดระวังจนผู้ที่อยู่ข้างๆ สัมผัสได้
"บ่าวเป็นคนไปเชิญท่านหมอตู้มาเองเจ้าค่ะ คุณหนูให้ท่านหมอตรวจรักษาเถิดนะเจ้าคะ"
ฉิงหว่านรีบเอ่ยเสียงเบาแทบจะกลายเป็นกระซิบ พูดจบ นางก็รีบคุกเข่าลงข้างกายผู้เป็นนาย สองมือยื่นไปกุมมือบอบบางของผู้เป็นนายเอาไว้ แววตาเต็มไปด้วยความร้อนใจและอ้อนวอนอย่างเห็นได้ชัด นางกลัวว่าคุณหนูจะไม่ยอมรับการรักษาจากหมอผู้นี้
ท่านหมอตู้เป็นเพียงหมอชาวบ้านผู้หนึ่ง มีชื่อเสียงในหมู่ชาวบ้านยากไร้เท่านั้น เป็นเพียง คนธรรมดา หาใช่หมอที่มีชื่อเสียงที่เหล่าขุนนางและชนชั้นสูงให้ความเชื่อถือ
แต่หลังจากที่คุณหนูของนางล้มป่วย หมอมีชื่อเสียงมากหน้าหลายตา หรือแม้กระทั่งหมอหลวงที่นายท่านเชิญมา กลับไม่มีผู้ใดสามารถรักษาอาการของคุณหนูให้ฟื้นคืนสติได้เลย
ฉิงหว่านไม่เชื่อสักนิดว่าอาการของคุณหนูจะรักษาไม่ได้ เพราะทุกครั้งที่หมอถูกเชิญมาล้วนมีฮูหยินแซ่เซิ่งผู้นั้นคอยกำกับดูแลไม่ใช่หรือ จะให้นางเชื่อคำพูดของหมอเหล่านั้นได้อย่างไร
นั่นจึงเป็นเหตุให้ฉิงหว่านตัดสินใจลอบออกจากจวนไปเสาะหาหมอด้วยตนเอง หวังเพียงว่าแม้จะเป็นหมอที่ไม่มีชื่อเสียง แต่หากมีฝีมือก็ยังดีกว่าให้คุณหนูของนางนอนรอความตาย
และนางก็ได้พบกับท่านหมอตู้ แต่การจะเชิญหมอไร้ชื่อให้มาดูอาการของคุณหนูที่ไร้สติย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย นางจึงทำได้แค่บอกถึงอาการของคุณหนูจนได้เทียบยามา จากนั้นก็นำกลับมาปรุงและป้อนให้คุณหนูด้วยมือตนเอง
และผลก็เป็นดั่งปาฏิหาริย์ คุณหนูของนางฟื้นขึ้นมาจริงๆ
ตอนนี้คุณหนูฟื้นคืนสติแล้ว นางจึงฉวยโอกาสนี้ เชิญท่านหมอตู้เข้ามาตรวจดูอาการ
อวี้หลันสบตากับฉิงหว่าน ราวกับกำลังอ่านทะลุถึงสิ่งที่อีกฝ่ายคิดอยู่ในใจ นางมองออกถึงเจตนาที่อีกฝ่ายกำลังสื่อ
การที่บ่าวผู้หนึ่งกล้ากระทำการอุกอาจ ลอบออกไปพาหมอชาวบ้านมารักษาเจ้านายตนเช่นนี้ ก็แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ก่อนหน้านี้คงเลวร้ายจนไร้หนทางจริงๆ
"เชิญท่านหมอเจ้าค่ะ"
อวี้หลันไม่ได้คิดสิ่งใดอีก นางยื่นมือให้อีกฝ่ายโดยไม่อิดออด จากนี้คงต้องดูความสามารถของหมอตู้ผู้นี้แล้ว
ในขณะเดียวกันนั้น เสียงฝีเท้าเร่งร้อนของผู้ที่ถูกสั่งให้จับตามองความเคลื่อนไหวในเรือนฮวาหง ก็วิ่งผ่านทางเดินไม้ในเรือนข้าง กลับไปรายงานผู้เป็นนาย ทันที ข่าว "คุณหนูรองฟื้นขึ้นมาแล้ว" กระจายไปทั่วจวน นายท่านใหญ่แห่งสกุลอวี้ที่พึ่งกลับมาถึงจวนและฮูหยินเอกที่พึ่งได้รับการแต่งตั้งได้ไม่นาน ก็มาถึง เรือนฮวาหง อันเงียบสงบนี้เช่นกัน
ภายในจวนดูเหมือนจะเกิดคลื่นลมบางอย่างขึ้น
ไม่มีใครคาดคิดว่าเด็กสาวที่ร่อแร่ใกล้ตายผู้นั้นจะสามารถลืมตาตื่นขึ้นมาได้อีกครั้ง
และคงไม่มีใครคาดคิดอีกเช่นกัน ว่าผู้ที่ลืมตาตื่นขึ้นมาและพวกเขาต้องเผชิญต่อจากนี้จะไม่ใช่อวี้หลันคนเดิมอีกต่อไป
เส้นทางจากเมืองหลวงสู่วัดประจำเมืองทอดยาวคดเคี้ยวผ่านไหล่เขาและแนวป่าร่มครึ้ม ต้นไม้สูงเรียงรายบดบังแสงแดดบางส่วน จนพื้นดินใต้ล้อรถม้าเย็นชื้นแม้ยามสาย รถม้าคันหรูของอวี้หลันเคลื่อนตัวไปอย่างมั่นคงภายใต้การควบคุมของฉิงเอ้อ เสียงล้อบดหินดังกึกกักแผ่วเบา ท่ามกลางเสียงลมโชยและเสียงจิ้งหรีดในพงหญ้าแต่เมื่อเวลาล่วงเลยไปเพียงครู่... ความสงบที่เคยโอบล้อมพลันเริ่มแปรเปลี่ยนเสียงนกร้องที่เคยคึกคักกลับเงียบหายไป ราวกับธรรมชาติร่วมกันกลั้นหายใจ สายลมที่เคยพัดเบาบาง กลับนิ่งงันจนน่าประหลาด ท้องฟ้ายังแลดูปลอดโปร่ง แสงแดดอ่อนยังส่องลอดใบไม้ แต่ในความสว่างนั้นกลับเจือเงาหม่นบางเบา กลิ่นดินชื้นลอยแตะปลายจมูกเจือกลิ่นสาบคาวบางอย่างเบื้องหลังม่านใบไม้ ลึกเข้าไปในแนวป่า เงาร่างหลายสายกำลังขยับคืบคลานอย่างเงียบเชียบ ฉิงเอ้อที่นั่งควบคุมรถม้าอยู่เบื้องหน้า ชะงักนิ้วมือเพียงเล็กน้อย สายตาคมประหนึ่งเหยี่ยวกวาดมองไปยังแนวป่าด้านข้าง ความเงียบที่ผิดธรรมชาติทำให้เขาแน่ใจว่า มีคนซุ่มดูอยู่อาการเกร็งตัวและท่าทางระแวดระวังของสหายด้านข้าง ไม่อาจรอดพ้นสายตาของฉิงซาน เขาหันไปสบตากับอีกฝ่ายเล็กน้อย บ่าทั้งสองแข
เช้าวันนี้ ท้องฟ้าโปร่งใส อากาศเย็นสบาย สายลมอ่อนพัดโชยมาเป็นระยะ พาให้บรรยากาศในเมืองหลวงชุ่มชื่นสดใส และภายในจวนรองเสนาบดีอวี้ ก็คล้ายจะอบอวลด้วยกลิ่นอายของความยินดีไม่แพ้กันช่วงนี้ภายในจวนมีแต่เรื่องมงคลถาโถมเข้ามาราวพรมแดนแห่งโชคชะตาเปิดทางเรียกได้ว่าในรอบหลายปีไม่เคยมีช่วงเวลาใดที่จวนรองเสนาบดีจะครึกครื้นและมีแต่ข่าวดีเช่นนี้บ่าวไพร่ต่างเร่งจัดเตรียมสิ่งของกันขวักไขว่ ขณะที่ขุนนางผู้เป็นเจ้าของจวนก็ยืดอกได้เต็มที่ ราวกับว่าแม้แต่สวรรค์ยังโปรดปรานตระกูลอวี้ในช่วงเวลานี้โดยแท้เริ่มตั้งแต่บุตรสาวคนโตของจวน หมั้นหมายกับองค์ชายห้า ข่าวนี้เพียงอย่างเดียวก็ทำให้ผู้คนทั้งในและนอกจวนฮือฮา บรรดาขุนนางใหญ่เล็กต่างก็พากันส่งของขวัญมาแสดงความยินดี บางส่วนถึงกับแวะเวียนมาเยือนด้วยตนเองเพื่อสานไมตรีแต่นั่นยังไม่พอ ข่าวถัดมาก็เรียกความตื่นเต้นไม่แพ้กัน เพราะไม่นานหลังจากนั้น บุตรชายคนโตของตระกูล คุณชายใหญ่อวี้เฉิน ผู้ที่หายหน้าจากเมืองหลวงไปนานหลายปีเนื่องจากไปศึกษาต่างเมืองได้เดินทางกลับมา และสิ่งที่น่าสนใจก็คือ เขากลับมาพร้อมกับขบวนทัพบุรุษที่เป็นผู้สนับสนุนเขาไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็น อง
เมื่อครั้งที่องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงทรงมีพระชนมายุได้เพียงเก้าชันษา ขณะทรงศึกษาอยู่ในสถานศึกษาหลวง พระองค์ก็ได้พบกับเหตุการณ์ที่ไม่มีวันลืมในวันนั้น ที่ดูเหมือนจะเป็นเพียงวันธรรมดาอีกวันหนึ่ง พระองค์มักจะแอบมานั่งอ่านตำราพิชัยสงครามเล่มโปรดเงียบๆ บริเวณศาลาริมสระบัวกลางสวนหลังตำหนักเรียนสถานที่สงบเงียบไร้ผู้คน เป็นที่ที่พระองค์มักจะมาใช้เวลาคิดและฝึกสมาธิในยามว่างเสมอ หากแต่ในขณะกำลังจดจ่ออยู่กับตัวอักษรในตำรา กลับมีมือปริศนาคู่หนึ่งผลักพระองค์จากทางด้านหลังอย่างไม่ทันตั้งตัว ร่างเล็กในวัยเยาว์พลันพลัดตกลงไปในสระบัวที่ลึกและเย็นจัดสายน้ำเย็นเฉียบตวัดรัดทั่วพระวรกายในทันที ความตกใจแล่นวูบไปทั้งจิตใจ กลีบบัวที่เคยงดงามกลับกลายเป็นม่านบังสายตา ความตื่นตระหนกก่อให้เกิดแรงตะเกียกตะกาย แต่มือเล็กกลับไม่อาจไขว่คว้าแม้เพียงความหวังพระองค์คิดว่าคงสิ้นใจอยู่ใต้น้ำนั้นแน่แล้ว หากแต่ว่า...ก่อนทุกอย่างจะดับวูบไป ก็มีหญิงสาวผู้หนึ่งโผล่เข้ามาในห้วงเวลานั้นพระองค์จำได้เพียงเงาร่างนั้นแหวกผืนน้ำเข้ามาอย่างไม่ลังเล แขนเรียวเล็กของนางพุ่งเข้ามาแล้วคว้าพระหัตถ์ที่ไร้เรี่ยวแรงของพระองค์เอาไว้แน่น ก่
สองแฝดพี่น้องสีหน้ามืดครึ้มลงพร้อมกันแทบจะทันที แววตาของทั้งคู่พลันเปลี่ยนเป็นดุดัน จ้องมองพี่สาวต่างมารดาอย่างไม่ปิดบังความไม่พอใจ บรรยากาศที่แต่เดิมเงียบอึมครึมกลับทวีความร้อนแรงคล้ายพายุที่พร้อมจะปะทุ แรงอารมณ์ของสองพี่น้องแทบจะผลักให้พวกเขาลุกขึ้นมาฉีกอก เลาะกรามคนที่บังอาจเอ่ยวาจาหมิ่นมารดาผู้ล่วงลับของตนส่วนรองเสนาบดีอวี้ก็จ้องมองบุตรสาวคนโตด้วยสายตาเย็นชา แววตาของเขาเต็มไปด้วยความผิดหวังและตำหนิ ทั้งสายตาดุดันนั้นยังเผื่อแผ่ไปยังมารดาของนาง ที่ไม่อบรมสั่งสอนบุตรสาวให้ดีแต่ยังไม่ทันที่ใครจะได้เอ่ยอันใด เสียงทุ้มต่ำแฝงความเยียบเย็นของหลี่เหวินหลงก็ดังขึ้นท่ามกลางความตึงเครียด"สนิทสนมหรือ จะเรียกเช่นนั้นก็ได้ เพราะนางคือผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตข้า"ถ้อยคำเพียงไม่กี่คำกลับดังก้องในห้องโถง จนทั้งห้องคล้ายตกอยู่ในความเงียบฉับพลัน สายพระเนตรขององค์ชายใหญ่ที่ทอดผ่านมายังอวี้เหมยเยือกเย็นเฉียบขาด จนอีกฝ่ายไม่กล้าขยับ ริมฝีปากที่เคยยิ้มแย้มของอวี้เหมยแปรเปลี่ยนเป็นแข็งตึง นางผู้ช่ำชองในการใช้ฝีปากพ่นวาจาสีหน้าซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด คล้ายจะสำลักคำพูดของตนเองเซิ่งซื่อที่นั่งนิ่งอยู่นาน
"ยินดีที่ได้พบกัน... คุณหนูรอง" หลี่เหวินหลงเอ่ยขึ้น น้ำเสียงราบเรียบทุ้มต่ำ ขณะสายพระเนตรยังคงทอดมองอวี้หลันอย่างไม่ลดละ เขาเอียงศีรษะเล็กน้อย พลางกระตุกยิ้มบางมุมปาก"ไม่ทราบว่าเรา...เคยพบกันมาก่อนหรือไม่"พระสุรเสียงนั้นไม่ได้ดังนัก ทว่าแฝงด้วยโทนเสียงเชื่องช้าและนุ่มลึกอย่างประหลาด แต่กลับชวนให้ใจคนฟังเต้นแรงกว่าเดิมคำถามของเขาดูเหมือนจะธรรมดา แต่สายพระเนตรที่ทอดมองมามีบางอย่างเจืออยู่ คล้ายจับผิด คล้ายแกล้งหยอกเย้า และคล้ายว่ากำลังเพลิดเพลินกับการเห็นนางเก็บอาการไม่อยู่อวี้หลันเม้มปากเล็กน้อย เริ่มไม่มั่นใจว่าเขาจดจำนางได้หรือไม่ หญิงสาวยังไม่ทันได้เอ่ยตอบ เสียงทุ้มหนักของรองเสนาบดีอวี้จิ้งก็ดังขึ้นเสียก่อน ตัดขาดการสนทนาระหว่างบุตรสาวกับบุรุษผู้สูงศักดิ์ตรงหน้า"หลันเอ๋อร์ร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก จึงมักจะเก็บตัวอยู่เพียงในเรือน คงยากที่จะเคยพบเจอองค์ชายใหญ่พ่ะย่ะค่ะ"เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าแฝงความหมายชัดเจนอยู่ในทุกถ้อยคำ อวี้จิ้งหยุดชั่วครู่ ก่อนเสริมด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่ฟังดูหนักแน่นขึ้น"อีกทั้งพระองค์เพิ่งจะกลับมา ยิ่งไม่มีโอกาสพบเจอกันพ่ะย่ะค่ะ"ทุกถ้อยค
หลี่เหวินหลงหยัดยิ้มมุมปาก รอยยิ้มบางเฉียบที่ไม่อาจอ่านได้ว่ากำลังดูแคลน หรือเพียงเพลิดเพลินไปกับการจับตามองผู้อื่นดิ้นพล่านในสายตาของเขา เซิ่งซื่อก็ไม่ต่างจากแมลงตัวหนึ่งที่กำลังพยายามปีนป่ายหลีกหนีเปลวเพลิงที่ลุกลามใกล้ตัว ยิ่งดิ้นรน...ยิ่งเผยจุดอ่อนดวงเนตรคมกริบใต้คิ้วคมเข้ม ทอดมองสตรีที่พยายามคลี่ยิ้มอ่อนโยนกลบเกลื่อนความหวาดหวั่น ท่าทางเสแสร้งนั้นไม่ต่างจากฉากละครตื้นเขินที่เขาเคยเห็นมานับครั้งไม่ถ้วนจากมารดาเลี้ยงของตนเขาถึงว่ากันว่าคนประเภทเดียวกันจึงมักจะอยู่ร่วมกันได้สายตาของเขาจึงมองเซิ่งซื่อไม่ต่างจากมองซากเนื้อชิ้นหนึ่งที่ยังมีลมหายใจ เขาไม่เร่งเวลาชำระแค้น เพราะรู้ดีว่า… การให้อีกฝ่ายได้ยินเสียงฝีเท้าแห่งหายนะคืบคลานทีละก้าวนั้นทรมานยิ่งกว่าความตาย จากนั้นเขาจะโยนพวกมันลงหลุมในคราวเดียวหลี่เหวินหลงกระตุกยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะเบือนหน้าจากภาพเหล่านั้นอย่างไม่ไยดี เขาไม่ได้ให้ความสนใจสตรีตรงหน้าอีกว่านางจะเสแสร้งต่อไปอย่างไรเพราะทันทีที่สัมผัสได้ถึงเสียงฝีเท้าเร่งร้อนที่กำลังมุ่งตรงมาทางนี้ สายพระเนตรคมกริบก็เบนจากทุกคนในห้อง ไปยังบานประตูห้องโถงโดยฉับพลันแผ่นหลังกว้างขอ