Home / รักโบราณ / บุปผาสีชาด / ตอนที่3รองเสนาบดีกรมพิธีการอวี้จิ้ง

Share

ตอนที่3รองเสนาบดีกรมพิธีการอวี้จิ้ง

last update Huling Na-update: 2025-07-08 20:12:11

หมอชรายื่นมือออกไปจับชีพจรบนข้อมือบอบบาง ปลายนิ้วจับนิ่งอยู่ครู่หนึ่งพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย 

คุณหนูผู้นี้ถูกวางยาพิษจริงๆ

สีหน้าของท่านหมอตู้ไม่ได้มีความประหลาดใจมากนัก เขาคาดการณ์เอาไว้ตั้งแต่แรก หลังจากได้ฟังคำบอกเล่าถึงอาการจากสาวใช้ เทียบยาที่มอบให้ไปในครั้งนั้นจึงเป็นยาล้างพิษตามหลักการที่ควรจะเป็น

เพียงแค่คิดว่า ใครกันที่อำมหิตถึงกับต้องการเอาชีวิตดรุณีน้อยนางหนึ่ง

ชีวิตของผู้คนในวังวนชนชั้นสูง ไม่เคยง่ายเลยจริงๆ ทุกย่างก้าวที่เดินล้วนต้องคิดให้รอบคอบ เพราะอาจหมายถึงความเป็นหรือตายเพียงชั่วพริบตาเดียว คำพูดหนึ่งคำ สายตาหนึ่งคู่ หรือแม้แต่รอยยิ้มที่ดูไร้พิษภัย ก็อาจเป็นดาบที่ซ่อนไว้ใต้แขนเสื้อ

ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดได้มาฟรี แม้แต่ลมหายใจก็ยังต้องแลกมาด้วยการระแวดระวังและความอดทน

ช่างแตกต่างกับชีวิตของชาวบ้านธรรมดาเสียเหลือเกิน พวกเขาเหล่านั้นไม่ต้องพะวงว่าจะถูกลอบทำร้ายจากคนที่ดูเหมือนหวังดี ไม่ต้องวางแผนรับมือกับผู้คนรอบตัว ที่ไม่รู้ว่ามาดีหรือมาร้าย ไม่ต้องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น

แต่ละวัน แค่ได้กินอิ่มท้อง ได้อยู่พร้อมหน้ากับครอบครัว แม้จะยากจนสักเพียงใดก็ยังมีรอยยิ้มให้เห็น

ต่างกับโลกของชนชั้นสูง ที่แม้จะกินของดี อยู่ในเรือนงาม กลับไร้ความสุขที่แท้จริง

ดวงตาฝ้าฟางภายใต้คิ้วขาวขุ่นของหมอชราเหลือบมองอวี้หลันเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเสียงขรึม

"คุณหนู ท่านถูกพิษอย่างที่ข้าคิดจริงๆ"

อวี้หลันยังคงนั่งนิ่งรับฟังอย่างสงบ ดวงตาเรียบเฉย แต่หากสังเกตให้ดีแววตาของนางมีแววชื่นชมอยู่ส่วนหนึ่ง 

นับว่าท่านหมอตู้ผู้นี้มีความสามารถไม่น้อยเลยจริงๆ

"แต่น่าแปลกนัก พิษในร่างของท่านแม้ไม่รุนแรง แต่กลับซึมลึกราวกับถูกบ่มมาเป็นเวลานาน มิใช่พิษธรรมดา หากข้าคาดไม่ผิด น่าจะเป็นพิษจากเหง้าราก ม่านหลิว สมุนไพรที่แทบไม่มีสี ไม่มีกลิ่น และตรวจจับได้ยากยิ่ง"

หมอชรายังกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง ขณะเดียวกันก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองคุณหนูผู้นี้อีกครั้ง

เขาผ่านประสบการณ์และรักษาคนมามาก ยังไม่เคยเห็นผู้ใดมีท่าทีสงบเช่นนี้มาก่อน จึงรู้สึกแปลกใจกับท่าทีของนางอยู่ไม่น้อย

เด็กสาวในวัยเช่นนี้ เมื่อตื่นมารู้ว่าตนถูกวางยา หากไม่หวาดกลัวจนร้องไห้ก็คงจะตกใจไม่น้อย แต่คุณหนูผู้นี้กลับไม่แสดงอาการใดเลยสักนิด

แววตานิ่ง เยือกเย็น สีหน้าเรียบสงบ ราวกับรับรู้ความจริงเรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว 

หมอชราเผลอเม้มริมฝีปากแน่น นัยน์ตาเผยความครุ่นคิดขึ้นชัดเจน ไม่รู้ว่านางผ่านวันคืนเช่นไรมา แต่คงจะยากลำบากอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

ฉิงหว่านได้ยินเช่นนั้นถึงกับหน้าซีด เอ่ยถามเสียงสั่น

"มะ...ม่านหลิว นั่นมิใช่สมุนไพรต้องห้ามหรอกหรือเจ้าคะ"

ท่านหมอตู้พยักหน้า

"ใช่แล้ว สมุนไพรตัวนี้หากใช้แต่น้อยและพอเหมาะก็เป็นยารักษาที่ดีเยี่ยม แต่หากใช้ในปริมาณที่มากเกินไปและได้รับติดต่อกันในระยะเวลานาน ก็จะค่อยๆ ทำให้ร่างกายอ่อนแรงลงเรื่อยๆ จนหัวใจหยุดเต้นในที่สุด โดยไม่หลงเหลือร่องรอยใดให้ตรวจพบ"

ห้องทั้งห้องเงียบงัน เย็นยะเยือกราวกับอากาศรอบตัวกลายเป็นน้ำแข็ง

อวี้หลันระบายยิ้มบางที่มุมปาก แต่ดวงตาของนางกลับเย็นเยียบ

"เช่นนั้นก็เท่ากับว่า...มีคนไม่อยากให้ข้ามีชีวิตอยู่สินะ"

หมอตู้ได้ยินเช่นนั้นจึงรีบเอ่ยบอกอีกฝ่ายด้วยท่าทีมั่นใจ

"คุณหนูอย่าได้กังวล ข้าสามารถรักษาท่านได้"

อวี้หลันหันไปสบตากับหมอชราตรงหน้า ราวกับกำลังค้นหาถึงเจตนาแอบแฝงของอีกฝ่าย แต่กลับพบว่าภายในดวงตาฝ้าฟางคู่นั้นมีร่องรอยของความเวทนาสงสาร ความสัตย์ซื่อและคุณธรรมของคนเป็นหมอที่มากล้นเท่านั้น นับว่าคนเช่นนี้หาได้ยากยิ่ง นางจึงพยักหน้ารับเอ่ยกับอีกฝ่ายด้วยความจริงใจ

"ขอบคุณท่านมาก บุญคุณครั้งนี้ ข้าต้องตอบแทนท่านแน่"

ยังไม่ทันที่ท่านหมอตู้จะได้เอ่ยสิ่งใดออกมา เสียงฝีเท้าหนักแน่นก็ดังขึ้นหน้าประตู บานประตูไม้ถูกเลื่อนออกพร้อมกับร่างของผู้มาใหม่ก้าวเข้ามาภายในห้อง

"หลันเอ๋อร์ เจ้าฟื้นแล้ว"

อวี้หลันที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง เหลือบสายตาขึ้นมองผู้ที่พึ่งจะก้าวเข้ามา แววตาของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความยินดีจนปิดไม่มิด ความทรงจำสายหนึ่งและเรื่องราวของคนผู้นี้พลันแล่นวูบเข้ามาในหัว

ผู้ที่มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้านางคือบุรุษในชุดขุนนางเต็มยศ ผิวขาวซีดเล็กน้อยแต่ยังคงแฝงความทรงอำนาจไว้เต็มเปี่ยม หน้าตาคมเข้ม ดวงตาเรียวยาวนั้นเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม เขาคือรองเสนาบดีกรมพิธีการ อวี้จิ้ง

บิดาของเจ้าของร่างนี้

อวี้หลันนิ่งเงียบ ดวงตาของนางแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย มีประกายบางอย่างวาบผ่าน ไม่ใช่ความอบอุ่นแบบที่เด็กสาวคนหนึ่งควรมีเมื่อเห็นบิดา หากแต่เป็นแววตานิ่งสงบของใครคนหนึ่งที่เพิ่งฟื้นจากความตาย และเริ่มมองทุกอย่างด้วยดวงตาคู่ใหม่

คนผู้นี้ในฐานะบิดาใช่ว่าจะไม่ดี สิ่งใดที่ควรมอบให้ในฐานะบุตรสาวภรรยาเอกเขาไม่เคยละเลย แต่จะว่าดีก็พูดได้ไม่เต็มปาก

แต่หากมองในฐานะคนผู้หนึ่ง จะบอกว่าเขาเลวร้าย นั่นก็ไม่ถึงกับใช่ แต่จะบอกว่าเป็นคนดีก็ดูจะพูดไม่ได้อีกเช่นกัน

อวี้หลันอยากจะยกมือขึ้นกุมขมับ เหตุใดผู้คนที่นี่ถึงได้มีจิตใจที่ซับซ้อนนัก จะเลวก็ไม่เลวให้มันสุดๆ ไปเลย

หญิงสาวระบายลมหายใจออกมาช้าๆ คิดไม่ตก ก่อนที่เรื่องราวมากมายของอีกฝ่ายและเส้นทางชีวิตจะปรากฏขึ้นมาในหัวอย่างน่าอัศจรรย์ ราวกับกำลังอ่านชีวประวัติ

อวี้จิ้งผู้นี้ เดิมทีเป็นบุตรชายคนโตของตระกูลพ่อค้าเล็กๆ แต่เพราะเป็นคนมีความทะเยอทะยานและมีความสามารถ จึงพยายามร่ำเรียน ดิ้นรนจนสามารถสอบได้เป็น "จิ้นสือ" ลำดับที่ 5 ของแผ่นดินแคว้นเป่ย และได้รับพระราชโองการแต่งตั้งเป็น จู่ซื่อ เจ้าหน้าที่ฝ่ายพิธี ซึ่งเป็นตำแหน่งเริ่มต้นสำหรับจิ้นสือทั่วไป

แต่โลกแห่งความจริง และเป็นสัจธรรมของชีวิต ความสามารถเพียงอย่างเดียวไม่พอจะเปิดประตูแห่งอำนาจ 

บางครั้ง ผู้มีฝีมือก็ถูกเหยียบย่ำอย่างไร้ค่า เพียงเพราะไม่มี "อำนาจ" คอยหนุนหลัง

เขาย่ำอยู่กับที่ ในขณะที่ผู้อื่นที่มีอำนาจตระกูลหนุนหลัง ต่างพากันเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง แม้ว่าจะพยายามมากแค่ไหน ยอมถูกโขกสับ เอารัดเอาเปรียบ อดทนกับคำพูดดูถูกเหยียดหยามอย่างไร ก็ยังคงเป็นได้แค่จู่ซื่ออยู่ดี

อวี้จิ้งอาจเคยเป็นคนดี ในวันที่ยังเชื่อว่าโลกนี้ยุติธรรม แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป เขาก็เรียนรู้ว่า "คนดี" ไม่อาจมีที่ยืนในสนามแห่งอำนาจ หากไร้เขี้ยวเล็บไว้ต่อกร

และเมื่อเขามีวาสนาได้พบกับ ไป๋ซูเหยา  บุตรีของตระกูลไป๋ หนึ่งในตระกูลขุนนางเก่าแก่ที่มีอิทธิพลในเมืองหลวง

อวี้จิ้งจึงไม่ลังเลที่จะแลกบางอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ แม้จะต้องใช้เล่ห์กล หลอกลวง บีบบังคับ หรือแม้แต่เหยียบย่ำใครบางคนให้จมหายไปกับความเงียบ เขาก็ทำได้โดยไม่สะทกสะท้าน เขาสามารถทำได้ทุกอย่าง หากมันนำไปสู่การขยับตำแหน่งแห่งอำนาจ แม้จะต้องแลกมาด้วยเกียรติยศ ศักดิ์ศรี หรือแม้แต่เลือดเนื้อของใครก็ตาม

ในโลกของเขาเริ่มไม่มีคำว่าผิดหรือถูก มีเพียงสิ่งที่เรียกว่า "อำนาจ" กับ "ผลประโยชน์" เท่านั้น คุณธรรม ความเมตตา หรือความถูกต้องเป็นเพียงเครื่องมือที่หยิบมาใช้เมื่อต้องการสร้างภาพ มิใช่สิ่งที่เขายึดถือโดยแท้จริง

แผนการวีรบุรุษช่วยสาวงามจึงเกิดขึ้น

และเขาก็ทำได้สำเร็จ สามารถโน้มกิ่งดอกฟ้าลงมาเคียงกาย

เดิมทีไป๋ซูเหยาเป็นสตรีที่เลื่องลือทั้งรูปโฉม ปัญญา และกิริยา เป็นไข่มุกเม็ดงามในวงศ์ตระกูล ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยได้รับการขนานนามว่า "บุปผาแห่งเมืองหลวง" แต่กลับผูกสัมพันธ์กับอวี้จิ้งที่ตอนนั้นยังเป็นเพียงจู่ซื่อ เจ้าหน้าที่เล็กๆ ในกรมพิธีการ แม้ทางตระกูลจะไม่เห็นด้วยแต่นางกลับดึงดันที่จะแต่งให้เขา

ต่อมาเมื่อได้แต่งงานกับไป๋ซูเหยา ภายใต้การผลักดันของตระกูลภรรยา และด้วยความรู้ความสามารถ ความขยันและชาญฉลาดในงานเอกสารราชพิธี ไม่นานหลังจากนั้น อวี้จิ้งก็ไต่เต้าจากจู่ซื่อขึ้นมาเป็น หยวนไว่หลาง ผู้ช่วยหัวหน้า และในปีเดียวกันก็ขึ้นเป็นหลางจง ดูแลฝ่ายจัดพิธีถวายพระพร และในปีต่อมาก็ได้รับโปรดเกล้าขึ้นเป็น ซื่อหลาง รองเสนาบดีกรมพิธีการ

แต่เหมือนชะตาเล่นตลก แต่งงานกันมาเป็นเวลากว่าสามปี ไป๋ซูเหยาผู้เป็นภรรยากลับไร้วี่แววว่าจะตั้งครรภ์ และดูเหมือนตำแหน่งของเขาก็จะหยุดนิ่งอยู่เพียงแค่ตำแหน่งรองเสนาบดี ภายในราชสำนักคล้ายจะมีคลื่นลมบางอย่างก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ เหล่าตระกูลมีอำนาจในเมืองหลวงราวกับจะจำศีล เก็บงำเขี้ยวเล็บไร้การเคลื่อนไหว

แต่คนทะเยอทะยานแบบอวี้จิ้งไหนเลยจะยอมหยุดอยู่แค่ตำแหน่งรองเสนาบดี เขามีความปรารถนาที่ไกลกว่านั้น อีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น ตำแหน่งอัครเสนาบดี อยู่ใกล้แค่เอื้อม

ด้วยสติปัญญา สายตาอันเฉียบแหลม และมองการณ์ไกล นั่นจึงเป็นสาเหตุให้เขาแต่ง ฮูหยินรอง เข้าจวน

Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่34มือสังหาร

    เส้นทางจากเมืองหลวงสู่วัดประจำเมืองทอดยาวคดเคี้ยวผ่านไหล่เขาและแนวป่าร่มครึ้ม ต้นไม้สูงเรียงรายบดบังแสงแดดบางส่วน จนพื้นดินใต้ล้อรถม้าเย็นชื้นแม้ยามสาย รถม้าคันหรูของอวี้หลันเคลื่อนตัวไปอย่างมั่นคงภายใต้การควบคุมของฉิงเอ้อ เสียงล้อบดหินดังกึกกักแผ่วเบา ท่ามกลางเสียงลมโชยและเสียงจิ้งหรีดในพงหญ้าแต่เมื่อเวลาล่วงเลยไปเพียงครู่... ความสงบที่เคยโอบล้อมพลันเริ่มแปรเปลี่ยนเสียงนกร้องที่เคยคึกคักกลับเงียบหายไป ราวกับธรรมชาติร่วมกันกลั้นหายใจ สายลมที่เคยพัดเบาบาง กลับนิ่งงันจนน่าประหลาด ท้องฟ้ายังแลดูปลอดโปร่ง แสงแดดอ่อนยังส่องลอดใบไม้ แต่ในความสว่างนั้นกลับเจือเงาหม่นบางเบา กลิ่นดินชื้นลอยแตะปลายจมูกเจือกลิ่นสาบคาวบางอย่างเบื้องหลังม่านใบไม้ ลึกเข้าไปในแนวป่า เงาร่างหลายสายกำลังขยับคืบคลานอย่างเงียบเชียบ ฉิงเอ้อที่นั่งควบคุมรถม้าอยู่เบื้องหน้า ชะงักนิ้วมือเพียงเล็กน้อย สายตาคมประหนึ่งเหยี่ยวกวาดมองไปยังแนวป่าด้านข้าง ความเงียบที่ผิดธรรมชาติทำให้เขาแน่ใจว่า มีคนซุ่มดูอยู่อาการเกร็งตัวและท่าทางระแวดระวังของสหายด้านข้าง ไม่อาจรอดพ้นสายตาของฉิงซาน เขาหันไปสบตากับอีกฝ่ายเล็กน้อย บ่าทั้งสองแข

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่33ไหว้พระขอพร

    เช้าวันนี้ ท้องฟ้าโปร่งใส อากาศเย็นสบาย สายลมอ่อนพัดโชยมาเป็นระยะ พาให้บรรยากาศในเมืองหลวงชุ่มชื่นสดใส และภายในจวนรองเสนาบดีอวี้ ก็คล้ายจะอบอวลด้วยกลิ่นอายของความยินดีไม่แพ้กันช่วงนี้ภายในจวนมีแต่เรื่องมงคลถาโถมเข้ามาราวพรมแดนแห่งโชคชะตาเปิดทางเรียกได้ว่าในรอบหลายปีไม่เคยมีช่วงเวลาใดที่จวนรองเสนาบดีจะครึกครื้นและมีแต่ข่าวดีเช่นนี้บ่าวไพร่ต่างเร่งจัดเตรียมสิ่งของกันขวักไขว่ ขณะที่ขุนนางผู้เป็นเจ้าของจวนก็ยืดอกได้เต็มที่ ราวกับว่าแม้แต่สวรรค์ยังโปรดปรานตระกูลอวี้ในช่วงเวลานี้โดยแท้เริ่มตั้งแต่บุตรสาวคนโตของจวน หมั้นหมายกับองค์ชายห้า ข่าวนี้เพียงอย่างเดียวก็ทำให้ผู้คนทั้งในและนอกจวนฮือฮา บรรดาขุนนางใหญ่เล็กต่างก็พากันส่งของขวัญมาแสดงความยินดี บางส่วนถึงกับแวะเวียนมาเยือนด้วยตนเองเพื่อสานไมตรีแต่นั่นยังไม่พอ ข่าวถัดมาก็เรียกความตื่นเต้นไม่แพ้กัน เพราะไม่นานหลังจากนั้น บุตรชายคนโตของตระกูล คุณชายใหญ่อวี้เฉิน ผู้ที่หายหน้าจากเมืองหลวงไปนานหลายปีเนื่องจากไปศึกษาต่างเมืองได้เดินทางกลับมา และสิ่งที่น่าสนใจก็คือ เขากลับมาพร้อมกับขบวนทัพบุรุษที่เป็นผู้สนับสนุนเขาไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็น อง

  • บุปผาสีชาด   บทที่32บุญคุณช่วยชีวิต

    เมื่อครั้งที่องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงทรงมีพระชนมายุได้เพียงเก้าชันษา ขณะทรงศึกษาอยู่ในสถานศึกษาหลวง พระองค์ก็ได้พบกับเหตุการณ์ที่ไม่มีวันลืมในวันนั้น ที่ดูเหมือนจะเป็นเพียงวันธรรมดาอีกวันหนึ่ง พระองค์มักจะแอบมานั่งอ่านตำราพิชัยสงครามเล่มโปรดเงียบๆ บริเวณศาลาริมสระบัวกลางสวนหลังตำหนักเรียนสถานที่สงบเงียบไร้ผู้คน เป็นที่ที่พระองค์มักจะมาใช้เวลาคิดและฝึกสมาธิในยามว่างเสมอ หากแต่ในขณะกำลังจดจ่ออยู่กับตัวอักษรในตำรา กลับมีมือปริศนาคู่หนึ่งผลักพระองค์จากทางด้านหลังอย่างไม่ทันตั้งตัว ร่างเล็กในวัยเยาว์พลันพลัดตกลงไปในสระบัวที่ลึกและเย็นจัดสายน้ำเย็นเฉียบตวัดรัดทั่วพระวรกายในทันที ความตกใจแล่นวูบไปทั้งจิตใจ กลีบบัวที่เคยงดงามกลับกลายเป็นม่านบังสายตา ความตื่นตระหนกก่อให้เกิดแรงตะเกียกตะกาย แต่มือเล็กกลับไม่อาจไขว่คว้าแม้เพียงความหวังพระองค์คิดว่าคงสิ้นใจอยู่ใต้น้ำนั้นแน่แล้ว หากแต่ว่า...ก่อนทุกอย่างจะดับวูบไป ก็มีหญิงสาวผู้หนึ่งโผล่เข้ามาในห้วงเวลานั้นพระองค์จำได้เพียงเงาร่างนั้นแหวกผืนน้ำเข้ามาอย่างไม่ลังเล แขนเรียวเล็กของนางพุ่งเข้ามาแล้วคว้าพระหัตถ์ที่ไร้เรี่ยวแรงของพระองค์เอาไว้แน่น ก่

  • บุปผาสีชาด   บทที่31หน้ากากเซิ่งซื่อสั่น

    สองแฝดพี่น้องสีหน้ามืดครึ้มลงพร้อมกันแทบจะทันที แววตาของทั้งคู่พลันเปลี่ยนเป็นดุดัน จ้องมองพี่สาวต่างมารดาอย่างไม่ปิดบังความไม่พอใจ บรรยากาศที่แต่เดิมเงียบอึมครึมกลับทวีความร้อนแรงคล้ายพายุที่พร้อมจะปะทุ แรงอารมณ์ของสองพี่น้องแทบจะผลักให้พวกเขาลุกขึ้นมาฉีกอก เลาะกรามคนที่บังอาจเอ่ยวาจาหมิ่นมารดาผู้ล่วงลับของตนส่วนรองเสนาบดีอวี้ก็จ้องมองบุตรสาวคนโตด้วยสายตาเย็นชา แววตาของเขาเต็มไปด้วยความผิดหวังและตำหนิ ทั้งสายตาดุดันนั้นยังเผื่อแผ่ไปยังมารดาของนาง ที่ไม่อบรมสั่งสอนบุตรสาวให้ดีแต่ยังไม่ทันที่ใครจะได้เอ่ยอันใด เสียงทุ้มต่ำแฝงความเยียบเย็นของหลี่เหวินหลงก็ดังขึ้นท่ามกลางความตึงเครียด"สนิทสนมหรือ จะเรียกเช่นนั้นก็ได้ เพราะนางคือผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตข้า"ถ้อยคำเพียงไม่กี่คำกลับดังก้องในห้องโถง จนทั้งห้องคล้ายตกอยู่ในความเงียบฉับพลัน สายพระเนตรขององค์ชายใหญ่ที่ทอดผ่านมายังอวี้เหมยเยือกเย็นเฉียบขาด จนอีกฝ่ายไม่กล้าขยับ ริมฝีปากที่เคยยิ้มแย้มของอวี้เหมยแปรเปลี่ยนเป็นแข็งตึง นางผู้ช่ำชองในการใช้ฝีปากพ่นวาจาสีหน้าซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด คล้ายจะสำลักคำพูดของตนเองเซิ่งซื่อที่นั่งนิ่งอยู่นาน

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่30บุรุษไร้ยางอาย

    "ยินดีที่ได้พบกัน... คุณหนูรอง" หลี่เหวินหลงเอ่ยขึ้น น้ำเสียงราบเรียบทุ้มต่ำ ขณะสายพระเนตรยังคงทอดมองอวี้หลันอย่างไม่ลดละ เขาเอียงศีรษะเล็กน้อย พลางกระตุกยิ้มบางมุมปาก"ไม่ทราบว่าเรา...เคยพบกันมาก่อนหรือไม่"พระสุรเสียงนั้นไม่ได้ดังนัก ทว่าแฝงด้วยโทนเสียงเชื่องช้าและนุ่มลึกอย่างประหลาด แต่กลับชวนให้ใจคนฟังเต้นแรงกว่าเดิมคำถามของเขาดูเหมือนจะธรรมดา แต่สายพระเนตรที่ทอดมองมามีบางอย่างเจืออยู่ คล้ายจับผิด คล้ายแกล้งหยอกเย้า และคล้ายว่ากำลังเพลิดเพลินกับการเห็นนางเก็บอาการไม่อยู่อวี้หลันเม้มปากเล็กน้อย เริ่มไม่มั่นใจว่าเขาจดจำนางได้หรือไม่ หญิงสาวยังไม่ทันได้เอ่ยตอบ เสียงทุ้มหนักของรองเสนาบดีอวี้จิ้งก็ดังขึ้นเสียก่อน ตัดขาดการสนทนาระหว่างบุตรสาวกับบุรุษผู้สูงศักดิ์ตรงหน้า"หลันเอ๋อร์ร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก จึงมักจะเก็บตัวอยู่เพียงในเรือน คงยากที่จะเคยพบเจอองค์ชายใหญ่พ่ะย่ะค่ะ"เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าแฝงความหมายชัดเจนอยู่ในทุกถ้อยคำ อวี้จิ้งหยุดชั่วครู่ ก่อนเสริมด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่ฟังดูหนักแน่นขึ้น"อีกทั้งพระองค์เพิ่งจะกลับมา ยิ่งไม่มีโอกาสพบเจอกันพ่ะย่ะค่ะ"ทุกถ้อยค

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่29พี่น้องพบหน้า

    หลี่เหวินหลงหยัดยิ้มมุมปาก รอยยิ้มบางเฉียบที่ไม่อาจอ่านได้ว่ากำลังดูแคลน หรือเพียงเพลิดเพลินไปกับการจับตามองผู้อื่นดิ้นพล่านในสายตาของเขา เซิ่งซื่อก็ไม่ต่างจากแมลงตัวหนึ่งที่กำลังพยายามปีนป่ายหลีกหนีเปลวเพลิงที่ลุกลามใกล้ตัว ยิ่งดิ้นรน...ยิ่งเผยจุดอ่อนดวงเนตรคมกริบใต้คิ้วคมเข้ม ทอดมองสตรีที่พยายามคลี่ยิ้มอ่อนโยนกลบเกลื่อนความหวาดหวั่น ท่าทางเสแสร้งนั้นไม่ต่างจากฉากละครตื้นเขินที่เขาเคยเห็นมานับครั้งไม่ถ้วนจากมารดาเลี้ยงของตนเขาถึงว่ากันว่าคนประเภทเดียวกันจึงมักจะอยู่ร่วมกันได้สายตาของเขาจึงมองเซิ่งซื่อไม่ต่างจากมองซากเนื้อชิ้นหนึ่งที่ยังมีลมหายใจ เขาไม่เร่งเวลาชำระแค้น เพราะรู้ดีว่า… การให้อีกฝ่ายได้ยินเสียงฝีเท้าแห่งหายนะคืบคลานทีละก้าวนั้นทรมานยิ่งกว่าความตาย จากนั้นเขาจะโยนพวกมันลงหลุมในคราวเดียวหลี่เหวินหลงกระตุกยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะเบือนหน้าจากภาพเหล่านั้นอย่างไม่ไยดี เขาไม่ได้ให้ความสนใจสตรีตรงหน้าอีกว่านางจะเสแสร้งต่อไปอย่างไรเพราะทันทีที่สัมผัสได้ถึงเสียงฝีเท้าเร่งร้อนที่กำลังมุ่งตรงมาทางนี้ สายพระเนตรคมกริบก็เบนจากทุกคนในห้อง ไปยังบานประตูห้องโถงโดยฉับพลันแผ่นหลังกว้างขอ

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status