หน้าหลัก / รักโบราณ / บุปผาสีชาด / ตอนที่3รองเสนาบดีกรมพิธีการอวี้จิ้ง

แชร์

ตอนที่3รองเสนาบดีกรมพิธีการอวี้จิ้ง

ผู้เขียน: ฉู่เฉียว
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-07-08 20:12:11

หมอชรายื่นมือออกไปจับชีพจรบนข้อมือบอบบาง ปลายนิ้วจับนิ่งอยู่ครู่หนึ่งพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย 

คุณหนูผู้นี้ถูกวางยาพิษจริงๆ

สีหน้าของท่านหมอตู้ไม่ได้มีความประหลาดใจมากนัก เขาคาดการณ์เอาไว้ตั้งแต่แรก หลังจากได้ฟังคำบอกเล่าถึงอาการจากสาวใช้ เทียบยาที่มอบให้ไปในครั้งนั้นจึงเป็นยาล้างพิษตามหลักการที่ควรจะเป็น

เพียงแค่คิดว่า ใครกันที่อำมหิตถึงกับต้องการเอาชีวิตดรุณีน้อยนางหนึ่ง

ชีวิตของผู้คนในวังวนชนชั้นสูง ไม่เคยง่ายเลยจริงๆ ทุกย่างก้าวที่เดินล้วนต้องคิดให้รอบคอบ เพราะอาจหมายถึงความเป็นหรือตายเพียงชั่วพริบตาเดียว คำพูดหนึ่งคำ สายตาหนึ่งคู่ หรือแม้แต่รอยยิ้มที่ดูไร้พิษภัย ก็อาจเป็นดาบที่ซ่อนไว้ใต้แขนเสื้อ

ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดได้มาฟรี แม้แต่ลมหายใจก็ยังต้องแลกมาด้วยการระแวดระวังและความอดทน

ช่างแตกต่างกับชีวิตของชาวบ้านธรรมดาเสียเหลือเกิน พวกเขาเหล่านั้นไม่ต้องพะวงว่าจะถูกลอบทำร้ายจากคนที่ดูเหมือนหวังดี ไม่ต้องวางแผนรับมือกับผู้คนรอบตัว ที่ไม่รู้ว่ามาดีหรือมาร้าย ไม่ต้องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น

แต่ละวัน แค่ได้กินอิ่มท้อง ได้อยู่พร้อมหน้ากับครอบครัว แม้จะยากจนสักเพียงใดก็ยังมีรอยยิ้มให้เห็น

ต่างกับโลกของชนชั้นสูง ที่แม้จะกินของดี อยู่ในเรือนงาม กลับไร้ความสุขที่แท้จริง

ดวงตาฝ้าฟางภายใต้คิ้วขาวขุ่นของหมอชราเหลือบมองอวี้หลันเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเสียงขรึม

"คุณหนู ท่านถูกพิษอย่างที่ข้าคิดจริงๆ"

อวี้หลันยังคงนั่งนิ่งรับฟังอย่างสงบ ดวงตาเรียบเฉย แต่หากสังเกตให้ดีแววตาของนางมีแววชื่นชมอยู่ส่วนหนึ่ง 

นับว่าท่านหมอตู้ผู้นี้มีความสามารถไม่น้อยเลยจริงๆ

"แต่น่าแปลกนัก พิษในร่างของท่านแม้ไม่รุนแรง แต่กลับซึมลึกราวกับถูกบ่มมาเป็นเวลานาน มิใช่พิษธรรมดา หากข้าคาดไม่ผิด น่าจะเป็นพิษจากเหง้าราก ม่านหลิว สมุนไพรที่แทบไม่มีสี ไม่มีกลิ่น และตรวจจับได้ยากยิ่ง"

หมอชรายังกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง ขณะเดียวกันก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองคุณหนูผู้นี้อีกครั้ง

เขาผ่านประสบการณ์และรักษาคนมามาก ยังไม่เคยเห็นผู้ใดมีท่าทีสงบเช่นนี้มาก่อน จึงรู้สึกแปลกใจกับท่าทีของนางอยู่ไม่น้อย

เด็กสาวในวัยเช่นนี้ เมื่อตื่นมารู้ว่าตนถูกวางยา หากไม่หวาดกลัวจนร้องไห้ก็คงจะตกใจไม่น้อย แต่คุณหนูผู้นี้กลับไม่แสดงอาการใดเลยสักนิด

แววตานิ่ง เยือกเย็น สีหน้าเรียบสงบ ราวกับรับรู้ความจริงเรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว 

หมอชราเผลอเม้มริมฝีปากแน่น นัยน์ตาเผยความครุ่นคิดขึ้นชัดเจน ไม่รู้ว่านางผ่านวันคืนเช่นไรมา แต่คงจะยากลำบากอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

ฉิงหว่านได้ยินเช่นนั้นถึงกับหน้าซีด เอ่ยถามเสียงสั่น

"มะ...ม่านหลิว นั่นมิใช่สมุนไพรต้องห้ามหรอกหรือเจ้าคะ"

ท่านหมอตู้พยักหน้า

"ใช่แล้ว สมุนไพรตัวนี้หากใช้แต่น้อยและพอเหมาะก็เป็นยารักษาที่ดีเยี่ยม แต่หากใช้ในปริมาณที่มากเกินไปและได้รับติดต่อกันในระยะเวลานาน ก็จะค่อยๆ ทำให้ร่างกายอ่อนแรงลงเรื่อยๆ จนหัวใจหยุดเต้นในที่สุด โดยไม่หลงเหลือร่องรอยใดให้ตรวจพบ"

ห้องทั้งห้องเงียบงัน เย็นยะเยือกราวกับอากาศรอบตัวกลายเป็นน้ำแข็ง

อวี้หลันระบายยิ้มบางที่มุมปาก แต่ดวงตาของนางกลับเย็นเยียบ

"เช่นนั้นก็เท่ากับว่า...มีคนไม่อยากให้ข้ามีชีวิตอยู่สินะ"

หมอตู้ได้ยินเช่นนั้นจึงรีบเอ่ยบอกอีกฝ่ายด้วยท่าทีมั่นใจ

"คุณหนูอย่าได้กังวล ข้าสามารถรักษาท่านได้"

อวี้หลันหันไปสบตากับหมอชราตรงหน้า ราวกับกำลังค้นหาถึงเจตนาแอบแฝงของอีกฝ่าย แต่กลับพบว่าภายในดวงตาฝ้าฟางคู่นั้นมีร่องรอยของความเวทนาสงสาร ความสัตย์ซื่อและคุณธรรมของคนเป็นหมอที่มากล้นเท่านั้น นับว่าคนเช่นนี้หาได้ยากยิ่ง นางจึงพยักหน้ารับเอ่ยกับอีกฝ่ายด้วยความจริงใจ

"ขอบคุณท่านมาก บุญคุณครั้งนี้ ข้าต้องตอบแทนท่านแน่"

ยังไม่ทันที่ท่านหมอตู้จะได้เอ่ยสิ่งใดออกมา เสียงฝีเท้าหนักแน่นก็ดังขึ้นหน้าประตู บานประตูไม้ถูกเลื่อนออกพร้อมกับร่างของผู้มาใหม่ก้าวเข้ามาภายในห้อง

"หลันเอ๋อร์ เจ้าฟื้นแล้ว"

อวี้หลันที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง เหลือบสายตาขึ้นมองผู้ที่พึ่งจะก้าวเข้ามา แววตาของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความยินดีจนปิดไม่มิด ความทรงจำสายหนึ่งและเรื่องราวของคนผู้นี้พลันแล่นวูบเข้ามาในหัว

ผู้ที่มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้านางคือบุรุษในชุดขุนนางเต็มยศ ผิวขาวซีดเล็กน้อยแต่ยังคงแฝงความทรงอำนาจไว้เต็มเปี่ยม หน้าตาคมเข้ม ดวงตาเรียวยาวนั้นเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม เขาคือรองเสนาบดีกรมพิธีการ อวี้จิ้ง

บิดาของเจ้าของร่างนี้

อวี้หลันนิ่งเงียบ ดวงตาของนางแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย มีประกายบางอย่างวาบผ่าน ไม่ใช่ความอบอุ่นแบบที่เด็กสาวคนหนึ่งควรมีเมื่อเห็นบิดา หากแต่เป็นแววตานิ่งสงบของใครคนหนึ่งที่เพิ่งฟื้นจากความตาย และเริ่มมองทุกอย่างด้วยดวงตาคู่ใหม่

คนผู้นี้ในฐานะบิดาใช่ว่าจะไม่ดี สิ่งใดที่ควรมอบให้ในฐานะบุตรสาวภรรยาเอกเขาไม่เคยละเลย แต่จะว่าดีก็พูดได้ไม่เต็มปาก

แต่หากมองในฐานะคนผู้หนึ่ง จะบอกว่าเขาเลวร้าย นั่นก็ไม่ถึงกับใช่ แต่จะบอกว่าเป็นคนดีก็ดูจะพูดไม่ได้อีกเช่นกัน

อวี้หลันอยากจะยกมือขึ้นกุมขมับ เหตุใดผู้คนที่นี่ถึงได้มีจิตใจที่ซับซ้อนนัก จะเลวก็ไม่เลวให้มันสุดๆ ไปเลย

หญิงสาวระบายลมหายใจออกมาช้าๆ คิดไม่ตก ก่อนที่เรื่องราวมากมายของอีกฝ่ายและเส้นทางชีวิตจะปรากฏขึ้นมาในหัวอย่างน่าอัศจรรย์ ราวกับกำลังอ่านชีวประวัติ

อวี้จิ้งผู้นี้ เดิมทีเป็นบุตรชายคนโตของตระกูลพ่อค้าเล็กๆ แต่เพราะเป็นคนมีความทะเยอทะยานและมีความสามารถ จึงพยายามร่ำเรียน ดิ้นรนจนสามารถสอบได้เป็น "จิ้นสือ" ลำดับที่ 5 ของแผ่นดินแคว้นเป่ย และได้รับพระราชโองการแต่งตั้งเป็น จู่ซื่อ เจ้าหน้าที่ฝ่ายพิธี ซึ่งเป็นตำแหน่งเริ่มต้นสำหรับจิ้นสือทั่วไป

แต่โลกแห่งความจริง และเป็นสัจธรรมของชีวิต ความสามารถเพียงอย่างเดียวไม่พอจะเปิดประตูแห่งอำนาจ 

บางครั้ง ผู้มีฝีมือก็ถูกเหยียบย่ำอย่างไร้ค่า เพียงเพราะไม่มี "อำนาจ" คอยหนุนหลัง

เขาย่ำอยู่กับที่ ในขณะที่ผู้อื่นที่มีอำนาจตระกูลหนุนหลัง ต่างพากันเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง แม้ว่าจะพยายามมากแค่ไหน ยอมถูกโขกสับ เอารัดเอาเปรียบ อดทนกับคำพูดดูถูกเหยียดหยามอย่างไร ก็ยังคงเป็นได้แค่จู่ซื่ออยู่ดี

อวี้จิ้งอาจเคยเป็นคนดี ในวันที่ยังเชื่อว่าโลกนี้ยุติธรรม แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป เขาก็เรียนรู้ว่า "คนดี" ไม่อาจมีที่ยืนในสนามแห่งอำนาจ หากไร้เขี้ยวเล็บไว้ต่อกร

และเมื่อเขามีวาสนาได้พบกับ ไป๋ซูเหยา  บุตรีของตระกูลไป๋ หนึ่งในตระกูลขุนนางเก่าแก่ที่มีอิทธิพลในเมืองหลวง

อวี้จิ้งจึงไม่ลังเลที่จะแลกบางอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ แม้จะต้องใช้เล่ห์กล หลอกลวง บีบบังคับ หรือแม้แต่เหยียบย่ำใครบางคนให้จมหายไปกับความเงียบ เขาก็ทำได้โดยไม่สะทกสะท้าน เขาสามารถทำได้ทุกอย่าง หากมันนำไปสู่การขยับตำแหน่งแห่งอำนาจ แม้จะต้องแลกมาด้วยเกียรติยศ ศักดิ์ศรี หรือแม้แต่เลือดเนื้อของใครก็ตาม

ในโลกของเขาเริ่มไม่มีคำว่าผิดหรือถูก มีเพียงสิ่งที่เรียกว่า "อำนาจ" กับ "ผลประโยชน์" เท่านั้น คุณธรรม ความเมตตา หรือความถูกต้องเป็นเพียงเครื่องมือที่หยิบมาใช้เมื่อต้องการสร้างภาพ มิใช่สิ่งที่เขายึดถือโดยแท้จริง

แผนการวีรบุรุษช่วยสาวงามจึงเกิดขึ้น

และเขาก็ทำได้สำเร็จ สามารถโน้มกิ่งดอกฟ้าลงมาเคียงกาย

เดิมทีไป๋ซูเหยาเป็นสตรีที่เลื่องลือทั้งรูปโฉม ปัญญา และกิริยา เป็นไข่มุกเม็ดงามในวงศ์ตระกูล ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยได้รับการขนานนามว่า "บุปผาแห่งเมืองหลวง" แต่กลับผูกสัมพันธ์กับอวี้จิ้งที่ตอนนั้นยังเป็นเพียงจู่ซื่อ เจ้าหน้าที่เล็กๆ ในกรมพิธีการ แม้ทางตระกูลจะไม่เห็นด้วยแต่นางกลับดึงดันที่จะแต่งให้เขา

ต่อมาเมื่อได้แต่งงานกับไป๋ซูเหยา ภายใต้การผลักดันของตระกูลภรรยา และด้วยความรู้ความสามารถ ความขยันและชาญฉลาดในงานเอกสารราชพิธี ไม่นานหลังจากนั้น อวี้จิ้งก็ไต่เต้าจากจู่ซื่อขึ้นมาเป็น หยวนไว่หลาง ผู้ช่วยหัวหน้า และในปีเดียวกันก็ขึ้นเป็นหลางจง ดูแลฝ่ายจัดพิธีถวายพระพร และในปีต่อมาก็ได้รับโปรดเกล้าขึ้นเป็น ซื่อหลาง รองเสนาบดีกรมพิธีการ

แต่เหมือนชะตาเล่นตลก แต่งงานกันมาเป็นเวลากว่าสามปี ไป๋ซูเหยาผู้เป็นภรรยากลับไร้วี่แววว่าจะตั้งครรภ์ และดูเหมือนตำแหน่งของเขาก็จะหยุดนิ่งอยู่เพียงแค่ตำแหน่งรองเสนาบดี ภายในราชสำนักคล้ายจะมีคลื่นลมบางอย่างก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ เหล่าตระกูลมีอำนาจในเมืองหลวงราวกับจะจำศีล เก็บงำเขี้ยวเล็บไร้การเคลื่อนไหว

แต่คนทะเยอทะยานแบบอวี้จิ้งไหนเลยจะยอมหยุดอยู่แค่ตำแหน่งรองเสนาบดี เขามีความปรารถนาที่ไกลกว่านั้น อีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น ตำแหน่งอัครเสนาบดี อยู่ใกล้แค่เอื้อม

ด้วยสติปัญญา สายตาอันเฉียบแหลม และมองการณ์ไกล นั่นจึงเป็นสาเหตุให้เขาแต่ง ฮูหยินรอง เข้าจวน

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • บุปผาสีชาด   ตอนพิเศษ

    เสียงกลองชัยดังก้องสะท้อนทั่วเมือง เมื่อขบวนทัพขององค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงก้าวเข้าสู่เมืองหลวง ธงสีชาดสะบัดพลิ้วเหนือกำแพงเมือง แสงอาทิตย์อาบเมืองหลวงเปล่งประกายดุจทองคำ ประชาชนต่างออกมายืนเรียงรายสองฝั่งถนนเพื่อรอต้อนรับ เสียงโห่ร้องด้วยความยินดีดังกึกก้อง ดอกไม้หลากสีถูกโปรยปรายทั่วทางเดินที่ทอดยาวสู่ประตูวังหลวง"ถวายพระพรองค์ชายใหญ่! ทรงพระเจริญ!"ผู้คนทั้งแผ่นดินเปล่งเสียงสรรเสริญชัยชนะธงสีชาดสะบัดพลิ้วกลางสายลม ขบวนทหารเคลื่อนเข้าสู่เมืองอย่างองอาจ แววตาส่องประกายด้วยความภาคภูมิองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงทรงม้านำขบวน ท่วงท่าของพระองค์สง่างามดังวีรบุรุษ ดวงตาคมทอดมองไปยังประตูวังหลวงซึ่งเปิดต้อนรับ ข้างกายของพระองค์คือสตรีในชุดพิชัยศึกสีขาวเงินสะอาด นางมิได้แต่งกายงดงามหรูหราเช่นสตรีในเมืองหลวง แต่สง่างามในแบบนักรบผู้เคียงบ่าเคียงไหล่ดวงอาทิตย์ส่องกระทบเกราะโลหะของทั้งคู่จนวาววับราวกับเปลวเพลิง ทหารที่เดินตามหลังใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ภาพนั้นกลายเป็นขบวนแห่งเกียรติภูมิของแผ่นดินหลังจากองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงเดินทางกลับเมืองหลวงมิทันข้ามวัน ก็มีราชโองการปลดเสิ่นฮองเฮาออกจากตำแหน่งและ

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่68จบบริบูรณ์

    บรรยากาศหลังศึกใหญ่ยังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นควันไฟและกลิ่นคาวเลือดเสียงกลองศึกสุดท้ายหยุดลงพร้อมกับเปลวเพลิงแห่งสงครามที่ค่อยๆ มอดดับ เหลือเพียงเสียงลมหอบของม้าและเสียงโห่ร้องแห่งชัยชนะที่ดังขึ้นทั่วสนามรบแสงแรกแห่งอรุณฉาบลงบนผืนดินที่เพิ่งหลั่งเลือด เปล่งประกายเหนือซากศพและธงศัตรูที่ถูกเหยียบย่ำจนแหลกลาญ เหล่าทหารยกอาวุธขึ้นเหนือศีรษะ โบกสะบัดธงสีชาดแห่งแคว้นเป่ยอย่างภาคภูมิ ชายแดนใต้กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง กองทัพศัตรูถูกขับไล่ออกนอกเขตแดนอย่างสิ้นเชิงกลางลานศึกที่ยังมีกลิ่นคาวเลือด องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงยืนเด่นอยู่ท่ามกลางแสงรุ่งอรุณแรกหลังสงคราม ชุดเกราะของเขาเปรอะไปด้วยคราบฝุ่นและเลือด แต่ดวงตาคมยังคงเปล่งประกายเยือกเย็น เปี่ยมด้วยอำนาจและความสงบแห่งผู้ชนะเขาเงยหน้ามองขอบฟ้า สีทองของรุ่งอรุณสะท้อนในดวงตา แสงนั้นไม่เพียงล้างคราบควันไฟ หากยังปลุกความหวังของดินแดนกลับคืนมาอีกครั้งชายหนุ่มหันไปมองสตรีข้างกาย อวี้หลันในชุดเกราะสีเงินที่สะท้อนแสงทองระยับ แม้เปื้อนฝุ่นและเลือดเล็กน้อย แต่กลับงดงามดุจเทพธิดาผู้ลงมาจากสรวงสวรรค์ นางกำลังมองทิวเขาเบื้องหน้า ดวงตาของนางนิ่งสงบ หากลึกซึ

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่67ทวงคืนแผ่นดิน ปกป้องดวงใจ

    แสงอรุณแรกของวันค่อยๆ สาดต้องปลายยอดเขา หมอกบางคลอเคลียยอดหญ้าเหนือทุ่งรบอันกว้างไกล เสียงแตรศึกดังสะท้อนก้องไปทั่วค่ายทัพ ปลุกเหล่าทหารให้ตื่นจากความเงียบงันเข้าสู่เช้าวันใหม่ ธงทัพสีชาดปลิวสะบัดกลางสายลมเช้า แผ่นผ้าขนาดมหึมามีอักษรคำว่า เป่ย ปักด้วยด้ายทองแวววาวราวเปลวเพลิงบนท้องฟ้าองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงประทับหลังอาชาเบื้องหน้าแถวทหาร ใต้เกราะศึกสีดำสนิทที่สะท้อนแสงอาทิตย์แรก เขากวาดตามองเหล่าทหารกล้าผู้พร้อมพลีชีพเพื่อแผ่นดิน ก่อนจะควบอาชาสีดำสนิทขึ้นไปยังเนินสูง"เหล่าทหารแห่งแคว้นเป่ย!""เราทุกคนต่างมีเลือด มีชีวิต มีครอบครัวอยู่เบื้องหลัง!""พวกมันย่ำยีผืนดินของเรา ฆ่าผู้บริสุทธิ์ เหยียบเกียรติของแผ่นดินของเรา!"เสียงของเขาดังก้องราวสายฟ้าฟาดกลางเวหา"วันนี้! เราจะสู้...เพื่อทวงคืนทุกสิ่งกลับคืนมา!""บดขยี้ทัพศัตรูให้สิ้น! ถึงเวลาให้มันรู้ว่าผู้ใดคือเจ้าของแผ่นดินนี้!""ถวายชีวิตเพื่อแผ่นดิน! ถวายชีวิตเพื่อองค์ชายใหญ่!"เสียงกู่ร้องคำรามตอบกลับดังก้องภูผา"เพื่อแผ่นดิน! เพื่อแผ่นดิน!"เสียงทหารนับหมื่นตะโกนพร้อมกัน โห่ร้องก้องสะเทือนฟ้าดินองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงยกดาบคู่กายขึ

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่66คิดถึงคะนึงหา

    ชายแดนใต้ยามนี้ไฟสงครามยังคงปะทุไม่สิ้นสุด ท้องฟ้าเหนือเขตแดนยังคงถูกปกคลุมด้วยเมฆครึ้มหนาทึบ กลิ่นดินชื้นผสมกลิ่นคาวเลือดและควันไฟลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ เหล่าทหารในชุดเกราะสีนิลเดินลาดตระเวนอย่างขยันขันแข็งไม่มีผู้ใดกล้าหย่อนยานในหน้าที่แม้แต่น้อยสามเดือนแล้วที่กองทัพขององค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงเดินทางมาถึงชายแดนใต้ ดินแดนที่ครั้งหนึ่งเคยอุดมสมบูรณ์ บัดนี้กลับกลายเป็นทะเลเพลิงที่ย้อมไปด้วยเลือดหลี่เหวินหลงมองไปยังเส้นขอบฟ้าที่พร่ามัวด้วยหมอกควัน แม้สายลมอุ่นจะพัดแรงจนเส้นผมปลิว แต่เขากลับยังคงยืนนิ่ง นึกย้อนไปถึงเมื่อครั้งที่เหยียบเท้าเข้าสู่ชายแดนใต้วันแรกทันทีที่กองทัพของเขาก้าวเข้าสู่เขตชายแดนใต้ สิ่งที่รอต้อนรับเขาคือลูกธนูของมือสังหารที่พุ่งทะลวงหมายปลิดชีพ นับแต่นั้น การเดินทางล้วนเต็มไปด้วยเงามืดของมือสังหารคอยซุ่มโจมตีตลอดทางและผู้อยู่เบื้องหลังก็หาใช่ใครอื่น เซิ่งเจี้ยน แม่ทัพผู้ซึ่งเคยเป็นกำลังสำคัญของแผ่นดิน แต่กลับขายเกียรติของตนเข้าร่วมกับศัตรูเพื่อผลประโยชน์ในจวนของแม่ทัพเซิ่ง ค้นพบเอกสารลับหลายฉบับ เอกสารเหล่านั้นคือหลักฐานของการทรยศที่อีกฝ่ายสมคบคิดกับศัตรู รวมทั้

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่65ไม่อาจรอได้

    หลังบ้านเมืองกลับสู่ความสงบ จวนอัครเสนาบดีก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เสียงหัวเราะของเหล่าคนสนิทของคุณหนูรองของจวนและผู้มาเยือนดังแว่วอยู่ในลานฝึกด้านหลังในลานฝึก สตรีผู้หนึ่งในชุดสีเข้มทะมัดทะแมงกำลังเหวี่ยงกระบี่ด้วยท่วงท่าลื่นไหล งดงามจนคนมองแทบลืมหายใจ"พี่สะใภ้"เสียงทุ้มขององค์ชายสามหลี่เหวินหวายดังขึ้น ตอนนี้เขากลายเป็นแขกประจำของจวนนี้ไปเสียแล้ว"ฝีมือการต่อสู้ของท่านสุดยอดถึงเพียงนี้... ท่านยังจะอยากฝึกกำลังภายในอีกหรือ"เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทั้งชื่นชมทั้งเหลือเชื่อ เมื่อนางแสดงเจตนารมณ์ว่าอยากฝึกเดินลมปราณและกำลังภายในในการต่อสู้สตรีที่ถูกเรียกว่าพี่สะใภ้เพียงชำเลืองตามอง ดวงตาเป็นประกาย"ข้าก็อยากเหาะเหินเดินอากาศ สะกิดเบาๆ ก็ทำให้คู่ต่อสู้ตัวปลิวกระเด็นไปได้ดูบ้าง"การต่อสู้ทุกอย่างนางเคยฝึกมาหมดแล้ว การใช้กำลังภายในเหมือนในหนังนางก็อยากจะลองดูสักครั้งคำตอบนั้นทำให้องค์ชายหนุ่มถึงกับหัวเราะพรืด "พี่สะใภ้ เรื่องเช่นนั้นมันจะไปมีได้อย่างไร หากท่านทำได้จริง พวกข้าทุกคนคงต้องหลีกทางให้ท่านเป็นจอมยุทธ์อันดับหนึ่งแห่งยุทธภพเสียแล้ว"อวี้หลันเก็บกระบี่เข้าฝักอย่างสง่างาม มุม

  • บุปผาสีชาด   ตอนที่64คืนสนอง

    บรรยากาศในเมืองหลวงหลังศึกกบฏสิ้นสุดลงกลับเข้าสู่ความสงบอีกครั้ง แต่ความสงบนั้นถูกปกคลุมอยู่เหนือซากความสูญเสียและกลิ่นคาวเลือดที่ยังไม่ทันจางไปจากผืนแผ่นดินธงหลวงโบกสะบัดเหนือกำแพงเมือง ด้านนอกมีเสียงทหารเคลื่อนย้ายศพและผู้บาดเจ็บ ส่วนด้านในวังหลวง ทุกตำหนักกลับเงียบงันราวกับวิญญาณทั้งวังได้หลบซ่อนตัวภายในตำหนักจิ้งเหออันโอ่อ่าซึ่งเป็นที่ประทับของฮองเฮา บัดนี้ถูกใช้เป็นที่กักบริเวณ เสียงลมพัดผ่านม่านแพรเบาๆ กลืนเสียงสนทนาและเสียงฝีเท้าที่ค่อยๆ ดังใกล้เข้ามาอวี้หลันในชุดผ้าคลุมสีอ่อนก้าวเข้ามาช้าๆ เสียงฝีเท้าแผ่วเบาแต่มั่นคงสะท้อนก้องอยู่ในห้องที่เงียบงัน กลิ่นยาจางๆ ลอยอบอวลในอากาศ เสียงลมหายใจแผ่วของสตรีบนตั่งไม้แกะสลักเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ขยับไหวในความเงียบ ด้านข้างมีนางกำนัลเพียงไม่กี่คนเฝ้าดูแลอยู่ นางหยุดยืนอยู่หน้าตั่ง ดวงตาคมกริบมองสตรีสูงศักดิ์ผู้เคยน่าเกรงขามในอดีต บัดนี้เหลือเพียงเงาของคนที่เคยอยู่เหนือสตรีทั้งแผ่นดิน เสิ่นฮองเฮายังคงงามสง่าดังเช่นเคย แม้สีหน้าจะซีดเผือดราวกระดาษ"ทรงพระสำราญดีหรือไม่เพคะ...หม่อมฉันมาเยี่ยม"เสียงของอวี้หลันนุ่มนวล ทว่าแต่ละคำชัดเจนและ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status