หมอชรายื่นมือออกไปจับชีพจรบนข้อมือบอบบาง ปลายนิ้วจับนิ่งอยู่ครู่หนึ่งพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย
คุณหนูผู้นี้ถูกวางยาพิษจริงๆ
สีหน้าของท่านหมอตู้ไม่ได้มีความประหลาดใจมากนัก เขาคาดการณ์เอาไว้ตั้งแต่แรก หลังจากได้ฟังคำบอกเล่าถึงอาการจากสาวใช้ เทียบยาที่มอบให้ไปในครั้งนั้นจึงเป็นยาล้างพิษตามหลักการที่ควรจะเป็น
เพียงแค่คิดว่า ใครกันที่อำมหิตถึงกับต้องการเอาชีวิตดรุณีน้อยนางหนึ่ง
ชีวิตของผู้คนในวังวนชนชั้นสูง ไม่เคยง่ายเลยจริงๆ ทุกย่างก้าวที่เดินล้วนต้องคิดให้รอบคอบ เพราะอาจหมายถึงความเป็นหรือตายเพียงชั่วพริบตาเดียว คำพูดหนึ่งคำ สายตาหนึ่งคู่ หรือแม้แต่รอยยิ้มที่ดูไร้พิษภัย ก็อาจเป็นดาบที่ซ่อนไว้ใต้แขนเสื้อ
ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดได้มาฟรี แม้แต่ลมหายใจก็ยังต้องแลกมาด้วยการระแวดระวังและความอดทน
ช่างแตกต่างกับชีวิตของชาวบ้านธรรมดาเสียเหลือเกิน พวกเขาเหล่านั้นไม่ต้องพะวงว่าจะถูกลอบทำร้ายจากคนที่ดูเหมือนหวังดี ไม่ต้องวางแผนรับมือกับผู้คนรอบตัว ที่ไม่รู้ว่ามาดีหรือมาร้าย ไม่ต้องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น
แต่ละวัน แค่ได้กินอิ่มท้อง ได้อยู่พร้อมหน้ากับครอบครัว แม้จะยากจนสักเพียงใดก็ยังมีรอยยิ้มให้เห็น
ต่างกับโลกของชนชั้นสูง ที่แม้จะกินของดี อยู่ในเรือนงาม กลับไร้ความสุขที่แท้จริง
ดวงตาฝ้าฟางภายใต้คิ้วขาวขุ่นของหมอชราเหลือบมองอวี้หลันเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเสียงขรึม
"คุณหนู ท่านถูกพิษอย่างที่ข้าคิดจริงๆ"
อวี้หลันยังคงนั่งนิ่งรับฟังอย่างสงบ ดวงตาเรียบเฉย แต่หากสังเกตให้ดีแววตาของนางมีแววชื่นชมอยู่ส่วนหนึ่ง
นับว่าท่านหมอตู้ผู้นี้มีความสามารถไม่น้อยเลยจริงๆ
"แต่น่าแปลกนัก พิษในร่างของท่านแม้ไม่รุนแรง แต่กลับซึมลึกราวกับถูกบ่มมาเป็นเวลานาน มิใช่พิษธรรมดา หากข้าคาดไม่ผิด น่าจะเป็นพิษจากเหง้าราก ม่านหลิว สมุนไพรที่แทบไม่มีสี ไม่มีกลิ่น และตรวจจับได้ยากยิ่ง"
หมอชรายังกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง ขณะเดียวกันก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองคุณหนูผู้นี้อีกครั้ง
เขาผ่านประสบการณ์และรักษาคนมามาก ยังไม่เคยเห็นผู้ใดมีท่าทีสงบเช่นนี้มาก่อน จึงรู้สึกแปลกใจกับท่าทีของนางอยู่ไม่น้อย
เด็กสาวในวัยเช่นนี้ เมื่อตื่นมารู้ว่าตนถูกวางยา หากไม่หวาดกลัวจนร้องไห้ก็คงจะตกใจไม่น้อย แต่คุณหนูผู้นี้กลับไม่แสดงอาการใดเลยสักนิด
แววตานิ่ง เยือกเย็น สีหน้าเรียบสงบ ราวกับรับรู้ความจริงเรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว
หมอชราเผลอเม้มริมฝีปากแน่น นัยน์ตาเผยความครุ่นคิดขึ้นชัดเจน ไม่รู้ว่านางผ่านวันคืนเช่นไรมา แต่คงจะยากลำบากอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
ฉิงหว่านได้ยินเช่นนั้นถึงกับหน้าซีด เอ่ยถามเสียงสั่น
"มะ...ม่านหลิว นั่นมิใช่สมุนไพรต้องห้ามหรอกหรือเจ้าคะ"
ท่านหมอตู้พยักหน้า
"ใช่แล้ว สมุนไพรตัวนี้หากใช้แต่น้อยและพอเหมาะก็เป็นยารักษาที่ดีเยี่ยม แต่หากใช้ในปริมาณที่มากเกินไปและได้รับติดต่อกันในระยะเวลานาน ก็จะค่อยๆ ทำให้ร่างกายอ่อนแรงลงเรื่อยๆ จนหัวใจหยุดเต้นในที่สุด โดยไม่หลงเหลือร่องรอยใดให้ตรวจพบ"
ห้องทั้งห้องเงียบงัน เย็นยะเยือกราวกับอากาศรอบตัวกลายเป็นน้ำแข็ง
อวี้หลันระบายยิ้มบางที่มุมปาก แต่ดวงตาของนางกลับเย็นเยียบ
"เช่นนั้นก็เท่ากับว่า...มีคนไม่อยากให้ข้ามีชีวิตอยู่สินะ"
หมอตู้ได้ยินเช่นนั้นจึงรีบเอ่ยบอกอีกฝ่ายด้วยท่าทีมั่นใจ
"คุณหนูอย่าได้กังวล ข้าสามารถรักษาท่านได้"
อวี้หลันหันไปสบตากับหมอชราตรงหน้า ราวกับกำลังค้นหาถึงเจตนาแอบแฝงของอีกฝ่าย แต่กลับพบว่าภายในดวงตาฝ้าฟางคู่นั้นมีร่องรอยของความเวทนาสงสาร ความสัตย์ซื่อและคุณธรรมของคนเป็นหมอที่มากล้นเท่านั้น นับว่าคนเช่นนี้หาได้ยากยิ่ง นางจึงพยักหน้ารับเอ่ยกับอีกฝ่ายด้วยความจริงใจ
"ขอบคุณท่านมาก บุญคุณครั้งนี้ ข้าต้องตอบแทนท่านแน่"
ยังไม่ทันที่ท่านหมอตู้จะได้เอ่ยสิ่งใดออกมา เสียงฝีเท้าหนักแน่นก็ดังขึ้นหน้าประตู บานประตูไม้ถูกเลื่อนออกพร้อมกับร่างของผู้มาใหม่ก้าวเข้ามาภายในห้อง
"หลันเอ๋อร์ เจ้าฟื้นแล้ว"
อวี้หลันที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง เหลือบสายตาขึ้นมองผู้ที่พึ่งจะก้าวเข้ามา แววตาของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความยินดีจนปิดไม่มิด ความทรงจำสายหนึ่งและเรื่องราวของคนผู้นี้พลันแล่นวูบเข้ามาในหัว
ผู้ที่มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้านางคือบุรุษในชุดขุนนางเต็มยศ ผิวขาวซีดเล็กน้อยแต่ยังคงแฝงความทรงอำนาจไว้เต็มเปี่ยม หน้าตาคมเข้ม ดวงตาเรียวยาวนั้นเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม เขาคือรองเสนาบดีกรมพิธีการ อวี้จิ้ง
บิดาของเจ้าของร่างนี้
อวี้หลันนิ่งเงียบ ดวงตาของนางแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย มีประกายบางอย่างวาบผ่าน ไม่ใช่ความอบอุ่นแบบที่เด็กสาวคนหนึ่งควรมีเมื่อเห็นบิดา หากแต่เป็นแววตานิ่งสงบของใครคนหนึ่งที่เพิ่งฟื้นจากความตาย และเริ่มมองทุกอย่างด้วยดวงตาคู่ใหม่
คนผู้นี้ในฐานะบิดาใช่ว่าจะไม่ดี สิ่งใดที่ควรมอบให้ในฐานะบุตรสาวภรรยาเอกเขาไม่เคยละเลย แต่จะว่าดีก็พูดได้ไม่เต็มปาก
แต่หากมองในฐานะคนผู้หนึ่ง จะบอกว่าเขาเลวร้าย นั่นก็ไม่ถึงกับใช่ แต่จะบอกว่าเป็นคนดีก็ดูจะพูดไม่ได้อีกเช่นกัน
อวี้หลันอยากจะยกมือขึ้นกุมขมับ เหตุใดผู้คนที่นี่ถึงได้มีจิตใจที่ซับซ้อนนัก จะเลวก็ไม่เลวให้มันสุดๆ ไปเลย
หญิงสาวระบายลมหายใจออกมาช้าๆ คิดไม่ตก ก่อนที่เรื่องราวมากมายของอีกฝ่ายและเส้นทางชีวิตจะปรากฏขึ้นมาในหัวอย่างน่าอัศจรรย์ ราวกับกำลังอ่านชีวประวัติ
อวี้จิ้งผู้นี้ เดิมทีเป็นบุตรชายคนโตของตระกูลพ่อค้าเล็กๆ แต่เพราะเป็นคนมีความทะเยอทะยานและมีความสามารถ จึงพยายามร่ำเรียน ดิ้นรนจนสามารถสอบได้เป็น "จิ้นสือ" ลำดับที่ 5 ของแผ่นดินแคว้นเป่ย และได้รับพระราชโองการแต่งตั้งเป็น จู่ซื่อ เจ้าหน้าที่ฝ่ายพิธี ซึ่งเป็นตำแหน่งเริ่มต้นสำหรับจิ้นสือทั่วไป
แต่โลกแห่งความจริง และเป็นสัจธรรมของชีวิต ความสามารถเพียงอย่างเดียวไม่พอจะเปิดประตูแห่งอำนาจ
บางครั้ง ผู้มีฝีมือก็ถูกเหยียบย่ำอย่างไร้ค่า เพียงเพราะไม่มี "อำนาจ" คอยหนุนหลัง
เขาย่ำอยู่กับที่ ในขณะที่ผู้อื่นที่มีอำนาจตระกูลหนุนหลัง ต่างพากันเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง แม้ว่าจะพยายามมากแค่ไหน ยอมถูกโขกสับ เอารัดเอาเปรียบ อดทนกับคำพูดดูถูกเหยียดหยามอย่างไร ก็ยังคงเป็นได้แค่จู่ซื่ออยู่ดี
อวี้จิ้งอาจเคยเป็นคนดี ในวันที่ยังเชื่อว่าโลกนี้ยุติธรรม แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป เขาก็เรียนรู้ว่า "คนดี" ไม่อาจมีที่ยืนในสนามแห่งอำนาจ หากไร้เขี้ยวเล็บไว้ต่อกร
และเมื่อเขามีวาสนาได้พบกับ ไป๋ซูเหยา บุตรีของตระกูลไป๋ หนึ่งในตระกูลขุนนางเก่าแก่ที่มีอิทธิพลในเมืองหลวง
อวี้จิ้งจึงไม่ลังเลที่จะแลกบางอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ แม้จะต้องใช้เล่ห์กล หลอกลวง บีบบังคับ หรือแม้แต่เหยียบย่ำใครบางคนให้จมหายไปกับความเงียบ เขาก็ทำได้โดยไม่สะทกสะท้าน เขาสามารถทำได้ทุกอย่าง หากมันนำไปสู่การขยับตำแหน่งแห่งอำนาจ แม้จะต้องแลกมาด้วยเกียรติยศ ศักดิ์ศรี หรือแม้แต่เลือดเนื้อของใครก็ตาม
ในโลกของเขาเริ่มไม่มีคำว่าผิดหรือถูก มีเพียงสิ่งที่เรียกว่า "อำนาจ" กับ "ผลประโยชน์" เท่านั้น คุณธรรม ความเมตตา หรือความถูกต้องเป็นเพียงเครื่องมือที่หยิบมาใช้เมื่อต้องการสร้างภาพ มิใช่สิ่งที่เขายึดถือโดยแท้จริง
แผนการวีรบุรุษช่วยสาวงามจึงเกิดขึ้น
และเขาก็ทำได้สำเร็จ สามารถโน้มกิ่งดอกฟ้าลงมาเคียงกาย
เดิมทีไป๋ซูเหยาเป็นสตรีที่เลื่องลือทั้งรูปโฉม ปัญญา และกิริยา เป็นไข่มุกเม็ดงามในวงศ์ตระกูล ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยได้รับการขนานนามว่า "บุปผาแห่งเมืองหลวง" แต่กลับผูกสัมพันธ์กับอวี้จิ้งที่ตอนนั้นยังเป็นเพียงจู่ซื่อ เจ้าหน้าที่เล็กๆ ในกรมพิธีการ แม้ทางตระกูลจะไม่เห็นด้วยแต่นางกลับดึงดันที่จะแต่งให้เขา
ต่อมาเมื่อได้แต่งงานกับไป๋ซูเหยา ภายใต้การผลักดันของตระกูลภรรยา และด้วยความรู้ความสามารถ ความขยันและชาญฉลาดในงานเอกสารราชพิธี ไม่นานหลังจากนั้น อวี้จิ้งก็ไต่เต้าจากจู่ซื่อขึ้นมาเป็น หยวนไว่หลาง ผู้ช่วยหัวหน้า และในปีเดียวกันก็ขึ้นเป็นหลางจง ดูแลฝ่ายจัดพิธีถวายพระพร และในปีต่อมาก็ได้รับโปรดเกล้าขึ้นเป็น ซื่อหลาง รองเสนาบดีกรมพิธีการ
แต่เหมือนชะตาเล่นตลก แต่งงานกันมาเป็นเวลากว่าสามปี ไป๋ซูเหยาผู้เป็นภรรยากลับไร้วี่แววว่าจะตั้งครรภ์ และดูเหมือนตำแหน่งของเขาก็จะหยุดนิ่งอยู่เพียงแค่ตำแหน่งรองเสนาบดี ภายในราชสำนักคล้ายจะมีคลื่นลมบางอย่างก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ เหล่าตระกูลมีอำนาจในเมืองหลวงราวกับจะจำศีล เก็บงำเขี้ยวเล็บไร้การเคลื่อนไหว
แต่คนทะเยอทะยานแบบอวี้จิ้งไหนเลยจะยอมหยุดอยู่แค่ตำแหน่งรองเสนาบดี เขามีความปรารถนาที่ไกลกว่านั้น อีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น ตำแหน่งอัครเสนาบดี อยู่ใกล้แค่เอื้อม
ด้วยสติปัญญา สายตาอันเฉียบแหลม และมองการณ์ไกล นั่นจึงเป็นสาเหตุให้เขาแต่ง ฮูหยินรอง เข้าจวน
"หลันเอ๋อร์เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง"อวี้จิ้งเอ่ยถามบุตรสาวน้ำเสียงเจือความร้อนใจ เมื่อเห็นว่านางนิ่งเงียบไปไม่ตอบคำอวี้หลันเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ปรายตามองไปยังสตรีที่ยืนเงียบๆ อยู่ด้านหลังของอวี้จิ้ง ก่อนจะถอนสายตากลับมา เอ่ยตอบเสียงแผ่วเจืออาการอ่อนแรง สายตานิ่งเรียบราวไม่มีอะไร ทว่าในความนิ่งนั้นกลับมีประกายบางอย่างซ่อนอยู่"ท่านหมอกำลังจะตรวจเจ้าค่ะ""อ้อ เช่นนั้นหรือ"อวี้จิ้งพยักหน้ารับคำ ก่อนจะหันไปมองชายชราที่ยืนอยู่ด้านข้าง สายตาสำรวจด้วยความสงสัยอยู่ชั่วครู่ แม้จะรู้สึกประหลาดใจที่อีกฝ่ายดูเป็นเพียงหมอชาวบ้าน แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใด เพียงบอกให้อีกฝ่ายเร่งตรวจดูอาการบุตรสาว"เชิญท่านหมอ"ท่านหมอตู้ที่ลุกขึ้นหลีกทางให้อวี้จิ้งตั้งแต่แรก พอได้ยินเช่นนั้นก็ค้อมศีรษะลงทำความเคารพเจ้าของจวน เขาไม่ใช่คนโง่ ย่อมพอเข้าใจได้ว่าเหตุใดคุณหนูผู้นี้จึงตอบออกมาเช่นนั้น เมื่อเข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด รีบก้าวเข้าไปนั่งลงตรงที่เดิมอย่างสงบ ยื่นมือไปจับชีพจรของนางอีกครั้ง ทำราวกับพึ่งจะตรวจรักษาปลายนิ้วของเขาวางลงบนข้อมืออย่างมั่นคง ผ่านไปครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสุขุม"ชีพจรย
หมอชรายื่นมือออกไปจับชีพจรบนข้อมือบอบบาง ปลายนิ้วจับนิ่งอยู่ครู่หนึ่งพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย คุณหนูผู้นี้ถูกวางยาพิษจริงๆสีหน้าของท่านหมอตู้ไม่ได้มีความประหลาดใจมากนัก เขาคาดการณ์เอาไว้ตั้งแต่แรก หลังจากได้ฟังคำบอกเล่าถึงอาการจากสาวใช้ เทียบยาที่มอบให้ไปในครั้งนั้นจึงเป็นยาล้างพิษตามหลักการที่ควรจะเป็นเพียงแค่คิดว่า ใครกันที่อำมหิตถึงกับต้องการเอาชีวิตดรุณีน้อยนางหนึ่งชีวิตของผู้คนในวังวนชนชั้นสูง ไม่เคยง่ายเลยจริงๆ ทุกย่างก้าวที่เดินล้วนต้องคิดให้รอบคอบ เพราะอาจหมายถึงความเป็นหรือตายเพียงชั่วพริบตาเดียว คำพูดหนึ่งคำ สายตาหนึ่งคู่ หรือแม้แต่รอยยิ้มที่ดูไร้พิษภัย ก็อาจเป็นดาบที่ซ่อนไว้ใต้แขนเสื้อในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดได้มาฟรี แม้แต่ลมหายใจก็ยังต้องแลกมาด้วยการระแวดระวังและความอดทนช่างแตกต่างกับชีวิตของชาวบ้านธรรมดาเสียเหลือเกิน พวกเขาเหล่านั้นไม่ต้องพะวงว่าจะถูกลอบทำร้ายจากคนที่ดูเหมือนหวังดี ไม่ต้องวางแผนรับมือกับผู้คนรอบตัว ที่ไม่รู้ว่ามาดีหรือมาร้าย ไม่ต้องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นแต่ละวัน แค่ได้กินอิ่มท้อง ได้อยู่พร้อมหน้ากับครอบครัว แม้จะยากจนสักเพียงใดก็ยังมีรอยยิ้มให้เห็นต่างกับโลก
เสียงระฆังของศาลเจ้าเล็กๆ ด้านท้ายเมืองดังแว่วมาแต่ไกล ท่ามกลางสายลมเย็นของปลายฤดูใบไม้ผลิ ภายในเรือนที่ล้อมรอบด้วยกลิ่นหอมของดอกเหมย หญิงสาวผู้หนึ่งยืนอยู่หน้ากระจกทองเหลือง ใบหน้าของนางซีดเซียวราวกับไร้ชีวิต "นี่เราตายไปแล้ว หรือว่ายังมีชีวิตอยู่กันแน่"เสียงเอ่ยแผ่วเบาดังขึ้น ราวกับพึมพำกับตนเองก่อนจะหมดสติ นางยังเป็น อวี้หลัน สตรีในยุคปัจจุบัน แต่พอลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที กลับมาอยู่ในร่างของหญิงสาวในยุคโบราณผู้มีชื่อแซ่เดียวกัน ทั้งใบหน้ายังมีเค้าโครงเดียวกัน ผิดแต่ตอนนี้ใบหน้าที่เห็นนั้นอ่อนเยาว์กว่า รอยยิ้มเยาะหยันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของอวี้หลัน นางชั่งสมกับเป็นคนบาปหนาเสียจริง ตายแล้วก็ยังไม่ได้ไปผุดไปเกิด ไม่ได้มีชีวิตที่สุขสงบ กลับมาโผล่ในยุคที่ไม่คุ้นเคยนี้ ไม่รู้ว่าสวรรค์ส่งนางมาให้ชดใช้กรรม กับการที่นางคร่าชีวิตผู้อื่นไปมากมายหรืออย่างไร ถึงได้ส่งนางมาอยู่ในร่างที่ถูกวางยาพิษเช่นนี้ใช่แล้ว เจ้าของร่างเดิมนี้ถูกวางยาพิษจนทำให้ถึงแก่ความตาย และดูเหมือนจะถูกวางยามาเป็นเวลานาน ร่างกายถึงได้อ่อนแอถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าคนที่ถูกวางยาเช่นนี้ ชีวิตคงไม่ได้สงบราบรื่นนักอวี้หลันถอนหายใ
ในค่ำคืนที่ฝนกระหน่ำ ตกลงมาอย่างไม่หยุดยั้ง ใต้เงามืดของตึกสูง หญิงสาวร่างบางในชุดแนบเนื้อสีดำสนิทกลมกลืนไปกับความมืด เคลื่อนไหวอย่างเงียบกริบ ฝีเท้าเบาราวกับแมว เธอย่างเท้าผ่านตึกสูงกลางเมืองเหมือนสายลม ในมือถือปืนเก็บเสียงกระบอกเล็กเรียบลื่นมันวาว ที่ยังคงอุ่นจากการลั่นไกเมื่อไม่กี่นาทีก่อน กระสุนนัดเดียว ปิดฉากชีวิตของเป้าหมายอย่างแม่นยำ เงียบสนิทเหมือนฝันร้ายที่ไม่มีใครได้ยินก่อนที่หญิงสาวจะหายลับไปท่ามกลางสายฝน ราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่ในค่ำคืนนี้...เธอคือ อวี้หลัน หรือที่วงการนักฆ่ารู้จักกันดีในนาม "เงาสีชาด" นักฆ่าอันดับหนึ่ง ผู้ที่ลงมือเมื่อใด ไม่มีเป้าหมายใดรอดชีวิตแต่ก่อนจะกลายเป็นเงามรณะในโลกมืด เธอเคยเป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็กๆ อายุแค่เก้าขวบ มีพ่อขี้ยาที่นิสัยโหดร้าย ชอบทำร้ายร่างกายแม่กับเธออย่างทารุณเป็นประจำจนกระทั่งคืนหนึ่งเกิดเรื่องที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของเธอ เมื่อคนเป็นพ่อบังคับให้แม่ขายตัวแลกยาแม่ของเธอถูกกรอกยา ทำร้ายร่างกายจนตายในคืนนั้นเด็กหญิงที่ถูกความโกรธ ความเกลียด ครอบงำจนขาดสติ แทงมีดใส่คนเป็นพ่อจนทะลุอก เธอ...ไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าเขา แต่ก็ไม่มีทางย้อนคื