หลังจากหลี่เหวินหลงก้าวออกจากงานเลี้ยงได้ไม่นาน อวี้หลันที่เพิ่งจิบชาหมดถ้วยก็รู้สึกถึงความผิดปกติ ความวิงเวียนแล่นเข้ามาอย่างฉับพลัน จนภาพตรงหน้าเริ่มพร่าเลือน ร่างกายร้อนผ่าวราวกับมีไฟซ่อนอยู่ใต้ผิว นางขมวดคิ้วเล็กน้อย พยายามฝืนเก็บสีหน้าให้ดูปกติ ก่อนจะหันไปเอ่ยกับฉิงหว่านเสียงแผ่ว
"หวานหว่าน…พาข้ากลับเรือนที"
ฉิงหว่านหน้าถอดสีเล็กน้อย รีบเข้ามาประคองผู้เป็นนายออกจากห้องจัดเลี้ยงอย่างระมัดระวัง
เสียงเครื่องสายและเสียงพูดคุยของผู้คนในห้องโถงจัดเลี้ยงค่อยๆ เลือนหายไปตามทางเดินยาว จนถึงเรือนนอนของคุณหนูรองของจวน
ทันทีที่ประตูเลื่อนปิดลง อวี้หลันก็พิงกายกับเสาไม้ หอบหายใจแผ่วๆ ความร้อนผ่าวแล่นไปทั่วทั้งร่างจนแทบทนไม่ไหว เสียงของนางสั่นเล็กน้อยยามออกคำสั่ง
"เตรียมน้ำให้ข้าอาบที ข้ารู้สึกร้อนไปหมดแล้ว"
"เจ้าค่ะคุณหนู"
ฉิงหว่านรีบโค้งตัวรับคำ ก่อนจะหมุนตัวออกไปด้วยความรวดเร็ว ทิ้งให้อวี้หลันทรุดตัวลงนั่งบนขอบเตียงไม้แกะสลัก ปลายนิ้วเรียวจิกกับผ้าปูสีอ่อน ความรู้สึกแปลกประหลาดในร่างกายยิ่งชัดเจนขึ้นทุกที
อวี้หลันรอคอยด้วยใจจดจ่อ เวลาค่อยๆ ผ่านไปโดยไร้เสียงฝีเท้าของฉิงหว่านกลับมา ความเงียบสงัดในเรือนนอนทำให้หัวใจของอวี้หลันเต้นแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว นางกัดริมฝีปากแน่น ฝืนลุกขึ้นก้าวไปทางประตู แต่ก่อนที่มือจะเอื้อมถึงบานประตู เสียงฝีเท้าแผ่วเบาก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง
ร่างสูงในชุดคลุมยาวก้าวพ้นเงามืดเข้ามาอย่างเงียบงัน เซิ่งกงซุนยืนกอดอก มุมปากยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ แววตาคมทอดมองมายังนางราวกับนักล่าที่เจอเหยื่ออันโอชะ
"คุณหนูรอง"
น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยช้าๆ แฝงรอยยั่วเย้าและแรงปรารถนาอันน่ารังเกียจอย่างไม่ปิดบัง
"ดูเหมือนคืนนี้…ฟ้าดินจะเข้าข้างข้าเสียแล้ว ต่อให้เจ้าจะเป็นสตรีร้ายกาจแค่ไหน แต่จะเก่งกล้าสามารถไปกว่าบุรุษได้เช่นไร"
ดวงตาของอวี้หลันเบิกกว้างชั่ววูบหนึ่ง ก่อนจะหรี่ลงอย่างเฉียบคม แม้ร่างกายจะอ่อนแรงจากฤทธิ์ยาที่ค่อยๆ แผ่ซ่าน แต่แววตากลับเย็นยะเยือกขึ้นในทันที นางจ้องมองอีกฝ่ายนัยน์ตาดุดัน
ท่าทางพยศเช่นนั้นของอวี้หลันทำให้เซิ่งกงซุนคลี่ยิ้มบางด้วยความพึงพอใจ เขาก้าวเข้าไปหาสตรีที่กำลังมองเขาอย่างจะกินเลือดกินเนื้อเชื่องช้า ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความมาดมั่นและแรงปรารถนาที่ถูกเก็บกดมานาน แววตาคมทอดมองร่างบางที่ทิ้งกายพิงผนัง ใบหน้าขาวนวลแดงระเรื่อเพราะฤทธิ์ยา ทำให้หัวใจเขาเต้นแรงจนแทบทะลุอก
ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบกัน…เขาก็ไม่เคยลบนางออกไปจากหัวใจและห้วงความคิดได้เลยแม้เพียงวันเดียว
ปลายนิ้วหยาบยกขึ้น ราวกับจะสัมผัสผิวเนื้อนุ่มนวลที่เขาใฝ่ฝันหา เสี้ยวเวลานั้น รอบกายคล้ายจะเงียบงันเหลือเพียงเสียงลมหายใจของเขากับนาง เซิ่งกงซุนก้าวเข้าใกล้อีกนิด แววตาเต็มไปด้วยความสุขสมหวัง คืนนี้เขาจะได้ครอบครองนาง นางจะกลายมาเป็นสตรีของเขาอย่างสมบูรณ์
ทว่าก่อนที่มือหนาจะสัมผัสโดนร่างอ่อนนุ่มของสตรีตรงหน้า เขากลับต้องชะงัก นิ่งงันไปชั่วขณะหนึ่ง เมื่อมุมปากเรียวสวยของสตรีตรงหน้า กำลังยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นยะเยือก
ความสังหรณ์บางอย่างแล่นผ่านสติ แต่ยังไม่ทันจะขยับหนี ผงสีขาวก็ถูกสาดเข้ามาเต็มใบหน้าอย่างแม่นยำ กลิ่นฉุนแผ่กระจายแทบจะในทันที
!!!
ดวงตาคมเบิกกว้าง เซิ่งกงซุนถอยกรูดจากเรือนร่างที่เขาปรารถนา ทั้งที่ยังไม่ได้แตะต้องเนื้อนวลแม้ปลายนิ้ว ร่างกายแข็งเกร็ง ความมึนงงแล่นปราดเข้าใส่เส้นประสาทจนทุกอย่างพร่าเลือน
เสียงหัวเราะแผ่วเบาดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด อวี้หลันยืดกายขึ้นแผ่นหลังเหยียดตรง ดวงตาที่เคยพร่ามัวเมื่อครู่กลับฉายประกายคมกริบดุจคมดาบ
"คิดว่าข้าจะไม่รู้ทันแผนสกปรกของพวกเจ้าหรือ เซิ่งกงซุน"
ตอนนี้กลับเป็นอวี้หลันเองที่ก้าวเข้าใกล้อีกฝ่ายอีกหนึ่งก้าว สายตาเย็นชาแฝงรอยยิ้มบางเบา
ในที่สุด เซิ่งกงซุนก็เข้าใจ ไม่ใช่นางที่ติดกับดักของเขา แต่เป็นเขาเอง…ที่ก้าวเข้ามาอยู่ในกับดักของสตรีผู้นี้อย่างสมบูรณ์
ท่ามกลางความเงียบสงัดของเรือนนอน อวี้หลันยืนนิ่งมองร่างสูงที่เริ่มทรุดฮวบลงกับพื้น ดวงตาคมกริบฉายประกายเย็นเฉียบ
คนพวกนี้ คิดว่าตนอยู่เหนือฟ้า ชอบใช้เล่ห์กลตลบหลังผู้อื่น คิดปิดแผ่นฟ้าด้วยฝ่ามือ ในที่สุด กลอุบายที่พวกเขาใช้ก็กำลังย้อนกลับมากัดกินตัวเอง
ปกปิดความชั่ว ไร้ซึ่งร่องรอย คนพวกนี้ทั้งฉลาดและเจ้าเล่ห์จนไม่ทิ้งหลักฐานให้สาวถึงตัว
แต่ในเมื่อไร้หลักฐานจะเอาผิด เช่นนั้นก็ไม่สู้จับให้ได้คาหนังคาเขา แผนการที่พวกเขาวางเอาไว้ จึงถูกตลบหลังอย่างสมบูรณ์แบบ
เสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้นที่หน้าประตู เงาร่างสูงใหญ่ขององค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงปรากฏตัวขึ้น บดบังแสงตะเกียงจนทั่วห้องมืดสลัวลงไปอีก ด้านหลังตามมาด้วยองครักษ์อีกสองนายพร้อมผ้าคลุมผืนหนาและถุงผ้าในมือ
เบื้องหน้าคือร่างของเซิ่งกงซุนที่สิ้นไร้เรี่ยวแรง ใบหน้าซีดเผือดแต่ดวงตายังฉายแววทระนง แม้จะรู้ว่าตนเองไม่มีทางรอด เขาก็ยังจ้องกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้
หลี่เหวินหลงปรายตามองเพียงครู่ หากไม่ติดว่ายังต้องใช้ประโยชน์จากอีกฝ่าย เขาไม่ปล่อยเอาแน่
กล้าคิดแตะต้องดวงใจของเขา ก็จงเตรียมชดใช้อย่างสาสม
"จัดการให้เรียบร้อย"
เสียงทุ้มต่ำเย็นเยียบแฝงแรงอาฆาตที่กดทับในอากาศจนแทบหายใจไม่ออกเอ่ยสั่งองครักษ์ด้านหลัง
แต่ก่อนจะเดินจากไป เขาก็ก้มลงกระซิบข้างหูอีกฝ่าย
"จำไว้… ต่อให้เจ้าเกิดใหม่อีกสิบชาติ ก็ไม่มีวันได้แตะต้องสตรีของข้า"
หลังจากมองร่างเซิ่งกงซุนที่ไร้เรี่ยวแรงถูกองครักษ์ลากตัวออกไป อวี้หลันก็หันกลับมาก้มศีรษะให้บุรุษผู้ที่เป็นคนลงมือลงแรงในแผนการครั้งนี้ด้วยความอ่อนช้อย รอยยิ้มบางบนเรียวปากแฝงประกายพึงพอใจที่ยากเก็บซ่อน
ส่วนบุรุษผู้ซึ่งเสนอตัวเป็นเกราะเป็นดาบให้หญิงงามก็ยืดอกขึ้นอย่างภาคภูมิ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความมั่นใจและความคาดหวังในคำชมจากนางเมื่อเอ่ยถาม
"ข้าทำดีหรือไม่"
หลี่เหวินหลงมองสบตาสตรีตรงหน้า ดวงตาคมกริบพราวระยับ คำถามนั้นแฝงแววซุกซนในน้ำเสียง แม้ท่วงท่าจะองอาจดุดัน แต่สายตากลับคล้ายเด็กที่รอให้ผู้ใหญ่เอ่ยคำชม
อวี้หลันนิ่งมองเขาอยู่เพียงครู่ ก่อนยกยิ้มบางที่ยากจะอ่านความหมาย ว่าเป็นการชมเชยหรือกำลังล้อเลียนอยู่กันแน่
"ดีมากเพคะ"
หญิงสาวเอ่ยตอบเสียงอ่อนหวาน แต่ยามเมื่อได้สบกับสายตาคมเข้มกรุ้มกริ่มของบุรุษตรงหน้า ความรู้สึกขัดเขินก็เล่นงานนางอย่างไม่เคยเป็น จนต้องเอ่ยถามเบี่ยงประเด็น
"แล้ว...ทางด้านอวี้เฉินเป็นเช่นไรบ้างเพคะ"
เสียงหวานดังขึ้นคล้ายระฆังแก้วก้องกังวาน แต่ยังไม่ทันให้บรรยากาศผ่อนคลายลง ร่างสูงใหญ่ก็ขยับเข้ามาใกล้ แววตาที่ทอดมองมาทำเอาหัวใจนางสะท้าน ราวกับถูกสายใยบางเบารัดแน่นเข้าไปทุกที
"ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามที่เจ้าต้องการ"
สุรเสียงทุ้มต่ำของเขาเอ่ยดังขึ้น แฝงแรงหนักแน่นในทุกถ้อยคำ ดวงตาคมเข้มที่จับจ้องนางไม่ละไปไหนนั้นสื่อชัด ราวกับกำลังบอกโดยไม่ต้องเอ่ยถ้อยคำ ขอเพียงนางปรารถนา เขาก็พร้อมจะลงมือทำให้ทุกสิ่งเป็นจริง
อวี้หลันรู้สึกหัวใจสั่นสะท้านราวกับมีใครมากระตุกสายพิณในอก แม้ภายนอกนางยังคงรักษาใบหน้าเรียบสงบไว้ แต่สุดท้ายกลับเป็นฝ่ายต้องเบนสายตาหนี เพราะไม่อาจสู้สายตาของอีกฝ่ายได้
หลี่เหวินหลงมองท่าทางนั้นด้วยความรู้สึกยิ่งกว่าพึงพอใจ ดวงตาที่เคยสงบนิ่งบัดนี้ทอประกายหวามไหว เขาก้าวเข้าไปใกล้นางอีกนิดอย่างไม่ยอมปล่อยโอกาสให้หลุดลอย ร่างสูงใหญ่ของเขาโน้มลงจนบดบังแสงตะเกียงเบื้องหลัง ทำให้ทั่วห้องมืดพร่าราวกับหลงเหลือเพียงแค่เขาและนางเท่านั้น
"หลันเอ๋อร์"
เสียงทุ้มต่ำล่อลวงกระซิบชิดข้างใบหู ความอบอุ่นจากลมหายใจแตะต้องแก้มขาวผ่องของนางจนรู้สึกร้อนวูบ
"เจ้าจะตอบรับข้อเสนอของข้าได้หรือไม่"
อวี้หลันชะงักงัน ความใกล้ชิดในยามนี้ทำให้นางเผลอก้าวถอยหนีราวกับคนขี้ขลาด ทว่าก็ถูกเขาคว้าข้อมือเรียวไว้แล้วกดตรึงลงกับขอบโต๊ะด้านหลังทันที
ดวงตาคมเข้มของชายหนุ่มจ้องลึกลงมาอย่างไม่ยอมปล่อยให้นางหนีไปไหน ราวกับสายตานั้นกำลังคาดคั้นให้นางเปิดเผยความรู้สึกทั้งหมดของตัวเองที่ซ่อนเร้นอยู่
หัวใจของอวี้หลันสะดุดวูบ จำต้องมองสบแววตารอคอยของเขาอย่างไม่อาจที่จะหลบเลี่ยง ริมฝีปากอิ่มถูกเม้มแน่นเพื่อกักเก็บความหวั่นไหวในใจ แต่สุดท้ายก็ไม่อาจหลบหนีแรงดึงดูดที่กำลังครอบงำอยู่ในห้วงขณะนั้นได้
ดวงหน้างามพลันขึ้นสีระเรื่ออย่างขัดเขิน ขณะเดียวกันแววตาของนางก็สั่นไหว สะท้อนประกายบางอย่างที่ยากจะปิดบัง ราวกับกำลังตอบรับความรู้สึกที่เขาเอ่ยผ่านสายตานั้นโดยไม่รู้ตัว
และเพียงแค่นางเผลอพยักหน้าตอบรับเท่านั้น รอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลาก็ผุดขึ้น รอยยิ้มที่ไม่เพียงแต่งดงาม หากยังส่งความรู้สึกอุ่นลึกเข้าไปถึงก้นบึ้งดวงตาคมกล้า
แล้วเสียงหัวเราะต่ำพร่าอย่างยินดีก็ดังขึ้นใกล้หู ชายหนุ่มโน้มกายลงมาใกล้นางมากขึ้น เงาร่างสูงใหญ่ของเขาโอบล้อมนางไว้จนเหมือนโลกทั้งใบมีเพียงเขาเท่านั้น ปลายนิ้วหยาบกร้านลูบไล้หลังมือเรียวของนางแผ่วเบา แต่กลับทิ้งร่องรอยอุ่นร้อนราวกับเปลวเพลิง
อวี้หลันใจสั่นระรัว นัยน์ตาสั่นไหววูบหนึ่ง ก่อนที่จะถูกริมฝีปากร้อนผ่าวเคลื่อนลงทาบทับตรงตำแหน่งเดียวกัน
หลี่เหวินหลงกำลังจูบนาง
จูบที่เต็มไปด้วยความหวงแหนและการครอบครองแน่นหนา ราวกับจะประกาศให้โลกทั้งใบรู้ว่านับแต่นี้ไป นางคือของเขาเพียงผู้เดียว
ความเร่าร้อนที่โถมเข้าใส่ทำให้อวี้หลันเบิกตากว้าง หัวใจเต้นระส่ำราวกับจะทะลุออกมาจากอก นางพยายามดันอกเขาออก ทว่าร่างสูงใหญ่กลับแข็งดุจภูผา
แต่ในจังหวะที่นางเกือบจะหายใจไม่ทัน ความเร่าร้อนนั้นกลับค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน ริมฝีปากร้อนผ่าวขยับช้าลงอย่างระมัดระวัง ราวกับกลัวจะทำให้นางเจ็บ เขาละจูบอย่างแผ่วเบา สัมผัสนั้นกลับยิ่งทำให้ใจนางสั่นสะท้าน
เสียงหอบหายใจของทั้งคู่ประสานกันในความเงียบงัน อวี้หลันเผลอหลับตาลงชั่วครู่ ก่อนจะลืมตาขึ้นมาพบกับแววตาที่ไม่ใช่เพียงความใคร่ หากยังแฝงความหวงแหนลึกล้ำเกินกว่าจะปิดบังได้
ภายในห้องคุมขังอับชื้น กลิ่นสนิมของโซ่เหล็กและคราบเลือดคละคลุ้งอยู่โดยรอบ ร่างของเซิ่งซื่อซูบเซียวลงจนแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม ใบหน้าซีดขาวเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น ซ่อนความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ไม่เคยสมาน แผลที่แผ่นหลังของนางเริ่มเน่าเปื่อย แม้จะมีการทำแผลอย่างลวกๆ แต่พิษไข้ก็แผ่ซ่านไปทั่วร่าง นางนอนซูบซีดบนฟางเก่า เสียงหายใจขาดห้วงราวเปลวเทียนใกล้ดับดวงตาของนางพร่ามัว น้ำตาเอ่อรื้น เมื่อนึกถึงบุตรชายบุตรสาวที่ไม่อาจกอดเป็นครั้งสุดท้าย ความเจ็บปวดในกายคล้ายถูกกลืนหายไป เหลือเพียงความขมขื่นที่ตรึงอยู่กลางใจในห้วงสุดท้าย คล้ายถูกดึงวิญญาณไปทีละน้อย สายตาพร่ามัวค่อยๆ จับภาพตรงหน้า แล้วร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นราวกับฝันไป๋ซูเหยา ฮูหยินเอกผู้ล่วงลับ ภรรยาคนแรกของอวี้จิ้ง ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยชุดผ้าแพรสีอ่อนงดงาม ดวงหน้าสงบหากแต่แววตากลับเต็มไปด้วยความโกรธแค้นเซิ่งซื่อสะดุ้งเฮือก หัวใจสั่นสะท้าน นางพึมพำเสียงแผ่วเหมือนเพ้อ"ไป๋ซูเหยา เจ้า…เจ้าใช่หรือไม่"ภาพตรงหน้านั้นเหมือนจริงเหลือเกิน ริมฝีปากของไป๋ซูเหยาขยับเอื้อนเอ่ย แต่เสียงที่ได้ยินกลับเป็นเสียงกรีดร้องของหญิงผู้สิ้นใจด้วยพิษที่นางเป็นคนมอบให้ ค
"ไม่ใช่ว่าท่านมีจุดประสงค์อื่นหรอกหรือ"เสียงของอวี้หลันเอ่ยดังขึ้นชัดถ้อยชัดคำ ทุกถ้อยคำหนักแน่นดุจคมดาบ นางก้าวออกมาหนึ่งก้าว ดวงตาคมกริบฉายแววกร้าว ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยเสียงเรียบเย็น"สิ่งที่ท่านทำไปทั้งหมด ก็เพื่อเปิดทางให้หลานชายของท่านย่ำยีข้า... คงไม่ต้องให้ข้าบอกกระมังว่าเพื่อสิ่งใด"สิ้นถ้อยคำนั้น บรรยากาศพลันเงียบงัน หนักหน่วงจนผู้ใดก็ไม่กล้าเอ่ยอันใด บ่าวไพร่ที่ยืนอยู่ด้านข้างต่างหน้าถอดสี ร่างสั่นระริก บางคนถึงกับหายใจติดขัดราวอกจะระเบิดดวงตาคมกริบของอวี้หลันสบกับผู้เป็นบิดา ก่อนจะตวัดไปยังร่างไร้สติของเซิ่งกงซุนที่ถูกองครักษ์คุมตัวลากเข้ามา ร่างนั้นนอนแน่นิ่งไร้เรี่ยวแรงบนพื้น ดูน่าสังเวชยิ่งนัก"นี่... นี่มันหมายความเช่นไร"อวี้จิ้งใบหน้าดำคล้ำ ตวัดสายตามองใบหน้าซีดเผือดของเซิ่งซื่ออย่างดุดันคำพูดนั้นของบุตรสาวที่ดังก้องกังวานในห้องหนังสือ ราวกับฟ้าผ่าลงมากลางใจอวี้จิ้ง เขาคล้ายจะมองเห็นความผิดหวังวูบหนึ่งในดวงตาของนาง ใช่ เขาเกือบจะใจอ่อนเพียงคำพูดไม่กี่คำของเซิ่งซื่อดวงตาคมวาววับของอวี้จิ้งจ้องมองภรรยาที่เขาเคยไว้ใจมานาน ใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยความอ่อนโยนในความทรงจำ ยาม
เซิ่งซื่อก้าวออกมาส่งแขกด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน ยังคงรักษาท่วงท่าอันงดงามและคำพูดนอบน้อมอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง นางเอ่ยขอบคุณเสียงนุ่ม เสมือนว่าเหตุการณ์ที่เจ้าของงานและบุตรทั้งสองหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยนั้นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ควรใส่ใจ แขกหลายคนมองหน้ากันอย่างประหลาดใจที่งานเลี้ยงถูกยุติลงเร็วกว่ากำหนด ทั้งที่ยังไม่ทันได้กล่าวคำอำลาเจ้าของงานด้วยซ้ำ"วันนี้ท่านอัครเสนาบดีมีธุระด่วนกะทันหัน จึงต้องขออภัยทุกท่านด้วยเจ้าค่ะ"เซิ่งซื่อยิ้มกล่าวเสียงนุ่มนวล มือขาวเรียวผสานคำนับทุกผู้คนอย่างสง่างามแขกหลายคนแม้จะรู้สึกฉงน แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าตั้งคำถามให้เป็นเรื่องใหญ่ จะมีก็เพียงการลอบสบตากันและการกระซิบกระซาบเบาๆ ก่อนแยกย้ายกันกลับไป แต่ละคนเก็บความสงสัยไว้ในใจเพียงเท่านั้นเมื่อประตูใหญ่ค่อยๆ ปิดลง ความเงียบอึมครึมก็เข้าปกคลุมทั่วโถงเรือนรับรองทันที รอยยิ้มที่เคยแต้มอยู่บนใบหน้าเซิ่งซื่อพลันเลือนหาย นางยกพัดในมือขึ้นโบกเบาๆ แววตาฉายประกายเย่อหยิ่งและพึงพอใจในสายตาของนาง เหตุการณ์ในคืนนี้หาใช่ความน่าอับอายไม่ หากแต่เป็นหลักฐานว่าแผนการที่วางเอาไว้กำลังเดินหน้าไปตามครรลอง ทุกสิ่งทุกอย่า
แสงจันทร์ส่องลอดผ่านบานหน้าต่างเข้ามาในเรือนด้านทิศตะวันออกอย่างเงียบสงัด แสงเงินบางเบานั้นทอดลงบนร่างของอวี้เฉินที่นอนขดอยู่บนตั่งไม้ ร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความเจ็บปวด ดวงหน้าซีดเผือดราวกระดาษ เหงื่อผุดพราวเต็มหน้าผากและขมับ มือหนึ่งกุมท้องแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้น เขาขบกรามแน่นเพื่อกลั้นเสียง แต่สุดท้ายก็ยังเล็ดลอดเสียงครางต่ำออกมาอย่างน่าเวทนาเสียงนั้นแม้จะแผ่วเบา หากแต่กลับบาดลึกเข้าไปในอกของอวี้จิ้งผู้เป็นบิดา เขายืนเฝ้าอยู่ข้างเตียงของบุตรชายไม่ห่าง สายตาเต็มไปด้วยความร้อนรุ่ม ใบหน้าที่เคยสุขุมมั่นคงในยามว่าราชการ บัดนี้กลับฉายชัดถึงความทุกข์ระทมอย่างไม่อาจปิดบัง มือใหญ่กำแน่นอยู่ข้างลำตัว ราวกับพยายามกักเก็บความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามามิให้ปะทุออกมาหัวใจของเขาเจ็บปวดเมื่อเห็นบุตรชายนอนทุรนทุราย เหงื่อเม็ดเล็กไหลชุ่มเต็มแผ่นอกและหน้าผาก แต่ในขณะเดียวกันความคิดอีกด้านกลับพลุ่งพล่านไม่หยุด เมื่อหลักฐานทั้งหมดชี้ชัดไปยังภรรยาของตนความรู้สึกมากมายถาโถมกดทับอยู่ในอกของอวี้จิ้ง ราวกับมีหินหนักทับทวีอยู่ไม่สิ้นสุด ดวงตาที่ทอดมองบุตรชายบนเตียงเต็มไปด้วยความห่วงใย แต่ลึกลงไปในนั้นกลับแฝงด้วยคว
หลังจากหลี่เหวินหลงก้าวออกจากงานเลี้ยงได้ไม่นาน อวี้หลันที่เพิ่งจิบชาหมดถ้วยก็รู้สึกถึงความผิดปกติ ความวิงเวียนแล่นเข้ามาอย่างฉับพลัน จนภาพตรงหน้าเริ่มพร่าเลือน ร่างกายร้อนผ่าวราวกับมีไฟซ่อนอยู่ใต้ผิว นางขมวดคิ้วเล็กน้อย พยายามฝืนเก็บสีหน้าให้ดูปกติ ก่อนจะหันไปเอ่ยกับฉิงหว่านเสียงแผ่ว"หวานหว่าน…พาข้ากลับเรือนที"ฉิงหว่านหน้าถอดสีเล็กน้อย รีบเข้ามาประคองผู้เป็นนายออกจากห้องจัดเลี้ยงอย่างระมัดระวัง เสียงเครื่องสายและเสียงพูดคุยของผู้คนในห้องโถงจัดเลี้ยงค่อยๆ เลือนหายไปตามทางเดินยาว จนถึงเรือนนอนของคุณหนูรองของจวนทันทีที่ประตูเลื่อนปิดลง อวี้หลันก็พิงกายกับเสาไม้ หอบหายใจแผ่วๆ ความร้อนผ่าวแล่นไปทั่วทั้งร่างจนแทบทนไม่ไหว เสียงของนางสั่นเล็กน้อยยามออกคำสั่ง "เตรียมน้ำให้ข้าอาบที ข้ารู้สึกร้อนไปหมดแล้ว""เจ้าค่ะคุณหนู"ฉิงหว่านรีบโค้งตัวรับคำ ก่อนจะหมุนตัวออกไปด้วยความรวดเร็ว ทิ้งให้อวี้หลันทรุดตัวลงนั่งบนขอบเตียงไม้แกะสลัก ปลายนิ้วเรียวจิกกับผ้าปูสีอ่อน ความรู้สึกแปลกประหลาดในร่างกายยิ่งชัดเจนขึ้นทุกทีอวี้หลันรอคอยด้วยใจจดจ่อ เวลาค่อยๆ ผ่านไปโดยไร้เสียงฝีเท้าของฉิงหว่านกลับมา ความเงีย
ในที่สุดก็เป็นดังที่หลายคนคาดเดาเอาไว้ อวี้จิ้งได้รับการแต่งตั้งเป็น อัครเสนาบดีกรมพิธีการ อย่างเป็นทางการข่าวประกาศแต่งตั้งแพร่สะพัดออกไปทั่วเมืองหลวงเพียงชั่วข้ามคืน แต่ก็ไม่มีผู้ใดปฏิเสธได้ว่า อวี้จิ้งเหมาะสมกับตำแหน่งนี้ยิ่ง ทั้งด้วยคุณงามความดีและสติปัญญาที่แสดงให้เห็นมาตลอดหลายปีวันประกาศราชโองการ ท้องพระโรงคลาคล่ำด้วยขุนนางผู้ใหญ่ ขณะที่อวี้จิ้งสวมอาภรณ์เต็มยศก้าวออกมาคำนับรับพระราชโองการด้วยท่วงท่าสง่างาม สายตาหลายคู่จับจ้องด้วยความยินดีและความอิจฉาขุนนางในราชสำนักต่างก็เริ่มจับตามองบทบาทใหม่ของอวี้จิ้ง ขณะที่บรรดาขุนนางบางกลุ่มที่เคยคิดว่าตระกูลอวี้จะโรยราไปพร้อมกับการล่มสลายของตระกูลไป๋ กลับต้องเปลี่ยนท่าทีเสียใหม่จากวันนี้ไป ตระกูลอวี้ย่อมก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดในราชสำนักอย่างสมบูรณ์แบบ และชื่อของอวี้จิ้งจะถูกจารึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นหนึ่งในอัครเสนาบดีที่เปี่ยมด้วยบารมีที่สุดแห่งยุคราชสำนักที่เคยสงบเงียบพลันเต็มไปด้วยกระแสใต้น้ำที่กำลังปะทุเพราะอีกเรื่องหนึ่งที่ผู้คนจับตามองมากที่สุด คือคนผู้นี้เลือกที่จะยืนอยู่ฝั่งใดในศึกแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทหากเป็นก่อนหน้านี้ การที