"ข้าคิดว่า เจ้าควรถอยออกมาให้ห่างจากว่าที่ชายาข้านะ เจ้าห้า"
ดวงเนตรดุดันขององค์ชายใหญ่ฉายแววกร้าว ขณะเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
หลี่จื้อหยวนยืนนิ่งไม่ไหวติง ดวงตาคมปลาบยังคงตรึงอยู่บนร่างบอบบางของอวี้หลัน สีหน้าสงบนิ่ง แต่แฝงความดื้อรั้นชัดเจน เขาแค่นยิ้มเย็น ก่อนหมุนตัวกลับไปสบตาพี่ชายต่างมารดาอย่างท้าทาย
"เสด็จพี่ เกรงว่าทรงเข้าใจผิดแล้วกระมัง ข้าหาใช่คนอื่นคนไกล เพียงแวะมาทักทายหลันเอ๋อร์เท่านั้น"
คำพูดนั้นแม้ฟังดูสุภาพแต่กลับแฝงแววท้าทาย ไม่มีผู้ใดยอมก้าวถอย บรรยากาศรอบตัวพลันเคร่งขรึมจนแม้แต่สายลมเย็นที่พัดลอดหน้าต่างเข้ามาก็ไม่อาจคลายความร้อนแรงระหว่างทั้งสองลงได้
แต่ก่อนที่จะเกิดการปะทะกันระหว่างสองพี่น้อง อวี้หลัน สตรีเพียงผู้เดียวท่ามกลางแรงกดดันราวสนามรบ นางยอบกายเล็กน้อย เอ่ยเสียงเรียบแต่ชัดเจน
"องค์ชายห้า ได้โปรดหลีกทางให้หม่อมฉันด้วยเพคะ"
เสียงหวานใสของนางเปรียบดังสายน้ำเย็นที่สาดลงบนเพลิงที่กำลังลุกโชน หลี่จื้อหยวนชะงักไปครู่หนึ่ง ดวงตาสั่นไหวเต็มไปด้วยความตัดพ้อและเจ็บปวด เขาจ้องมองนางเนิ่นนาน ราวกับไม่อยากยอมรับคำพูดนั้น ก่อนจะฝืนหัวเราะเบาๆ ท้ายที่สุดก็ยอมถอย หลีกทางให้นางเดินไปหาผู้เป็นพี่ชาย
แต่ขณะที่นางเดินผ่านหน้าเขาไป ชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว
"หลันเอ๋อร์ ไม่ว่าสิ่งใดที่ถูกช่วงชิงไป ข้าไม่มีวันยอมวางมือ"
คำพูดแฝงนัยอันลึกล้ำ ราวประกาศกร้าวว่าต่อให้ต้องฝืนชะตา เขาก็จะชิงสิ่งที่ตนปรารถนากลับมา อวี้หลันได้ยินชัด แต่นางก็ยังคงเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
หลี่จื้อหยวนยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ดวงตาคมมองตามแผ่นหลังบอบบางของนางด้วยแววลึกซึ้งปนเจ็บแปลบ มองนางเดินไปยืนข้างกายของบุรุษอื่นที่ไม่ใช่เขา
มุมปากของเขากระตุกยิ้มเย็น ทั้งที่ในอกกลับคล้ายถูกบีบอัดจนหายใจติดขัด ความเงียบรอบตัวพลันแปรเปลี่ยนเป็นเสียงอื้ออึงในโสตประสาท ยามเห็นดวงตาของนางจับจ้องเพียงพี่ชายของเขาเท่านั้น
หลันเอ๋อร์ เจ้ามองเขาด้วยสายตาเช่นนั้นตั้งแต่เมื่อใดกัน
แม้จะเจ็บลึก แต่ภายในดวงเนตรยังฉายประกายดื้อรั้นไม่ยอมแพ้ คล้ายประกาศต่อฟ้าดินว่า ต่อให้หนทางข้างหน้าถูกปิดตาย เขาก็จักชิงสิ่งที่ปรารถนากลับมาให้ได้
หลี่จื้อหยวนโค้งศีรษะเล็กน้อยให้ทั้งสอง ก่อนจะก้าวเดินออกไป ร่างสูงในอาภรณ์สีอ่อนค่อยๆ เลือนหายไปพร้อมเสียงฝีเท้าที่หนักแน่น ทิ้งไว้เพียงความเย็นยะเยือกที่อบอวลในอากาศ
อวี้หลันเหลือบตามองแผ่นหลังนั้นเพียงครู่ ก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับองค์ชายใหญ่ ดวงตาคู่งามยังสะท้อนความสงบเช่นเดิม
หลี่เหวินหลงมองนางไม่วางตา แววตาคมกร้าวแฝงความหวงแหนอันข้นคลั่ก แม้เพียงเสี้ยวอึดใจที่เห็นนางยืนต่อหน้าบุรุษอื่น เขาก็แทบไม่อาจอดกลั้นได้อีก
"ต่อไปนี้ ข้าจะไม่ยอมให้เขาเฉียดใกล้เจ้าอีก"
เสียงทุ้มต่ำเปี่ยมด้วยความหนักแน่นดังขึ้น พร้อมกับฝ่ามือใหญ่ที่ยื่นมากุมมือเรียวของนางไว้แน่น
อวี้หลันชะงักไปเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและความจริงใจที่ส่งผ่านมาจากมือเขา นางเงยหน้าขึ้นสบดวงตาคมเข้มที่ข้างในนั้นสะท้อนเพียงภาพของนาง ก่อนริมฝีปากจะปรากฏรอยยิ้ม ดวงตาเจือรอยหยอกเย้าเมื่อชายหนุ่มผู้ดุดันเมื่อครู่ทำไหน้ำส้มแตก
บุรุษผู้กร้าวแกร่งที่มีเพียงนางเท่านั้นที่สัมผัสได้ถึงมุมอ่อนไหวของเขา นางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ พลางกระชับมือใหญ่ที่กุมมือนางเอาไว้ ราวกับให้คำมั่นสัญญาว่านางก็ไม่มีวันปล่อยมือจากเขา
"ไปเดินเที่ยวตลาดกันไหมเพคะ"
เสียงหวานเอื้อนเอ่ยพร้อมรอยยิ้มละมุน หลี่เหวินหลงเพียงสบตานางก่อนพยักหน้ารับ ดวงตาคมดุดันเมื่อครู่กลับอ่อนโยนลงอย่างน่าประหลาด เขาไม่พูดอะไร เพียงกระชับมือเรียวแล้วจับจูงกันเดินออกไป
ทั้งสองก้าวออกจากร้านตำราไปด้วยกัน สายลมเย็นพัดพาเอากลิ่นหอมของขนมและชาในตลาดลอยมากระทบจมูก เสียงผู้คนเจรจาซื้อขายคึกคัก เสียงหัวเราะของเด็กๆ ดังประสานกับเสียงพ่อค้าเร่ที่ร้องเรียกขายของ บรรยากาศช่างเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
อวี้หลันก้าวเดินเคียงข้างชายคนรัก ดวงตาเปล่งประกายสดใสยามมองร้านรวงเรียงราย สีหน้าที่เคยสงบนิ่งกลับแฝงรอยยิ้มละไมไม่ขาดสาย นางแวะหยุดดูร้านเครื่องหอม ลองดมกลิ่นกำยานและน้ำมันหอมทีละขวด ขณะที่หลี่เหวินหลงเพียงยืนมองเงียบๆ แต่ในสายตานั้นเต็มไปด้วยความเอ็นดู
"กลิ่นนี้หอมไหมเพคะ"
นางหันมาถามพลางยื่นขวดเล็กๆ ไปให้
หลี่เหวินหลงโน้มตัวเข้ามาใกล้จนลมหายใจอุ่นรินรดแก้มนวล สายตาคมเข้มสบตานางอย่างลึกซึ้งก่อนพยักหน้าช้าๆ
"หอม... แต่ก็ไม่อาจหอมสู้เจ้าได้"
คำพูดตรงไปตรงมาเรียบง่าย แต่กลับทำเอาใบหน้าอวี้หลันร้อนวูบ นางเบือนหน้าหนีเล็กน้อยแต่รอยยิ้มยังแต้มอยู่บนริมฝีปาก
จากนั้นทั้งสองก็แวะที่ร้านขายซาลาเปา เจ้าของร้านหยิบซาลาเปาร้อนๆ ยื่นให้ หลี่เหวินหลงรับมาแล้วส่งต่อให้นางด้วยท่าทีเอาใจใส่ อวี้หลันกัดคำเล็กๆ แล้วหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นว่าเขาเฝ้ามองนางอย่างไม่ละสายตา
บรรยากาศรอบกายยังคงครึกครื้น แต่สำหรับพวกเขากลับเหมือนเวลาหมุนช้าลง ทุกย่างก้าวที่เดินเคียงกัน ทุกคำพูดและรอยยิ้ม ล้วนเต็มไปด้วยความสุขเรียบง่าย ทว่าอบอุ่นจนตราตรึง
ขณะที่ทั้งสองเดินชมร้านรวงไปเรื่อยๆ อวี้หลันก็หยุดอยู่หน้าร้านขายเครื่องประดับเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยปิ่นปักผมและกำไลงดงามเรียงรายอยู่บนผ้ากำมะหยี่สีเข้ม แสงแดดอ่อนยามบ่ายสะท้อนลงบนอัญมณีเล็กๆ ระยิบระยับดั่งดวงดาว
นางก้มลงมองปิ่นปักผมทำจากหยกแกะสลักรูปดอกเหมย ดวงตาเปล่งประกายชั่วขณะราวกับถูกดึงดูด แต่เพียงครู่ก็ผละสายตาไป
หลี่เหวินหลงที่ยืนเคียงข้างเห็นชัดทุกอย่าง เขายกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเสียงทุ้ม
"เจ้าชอบหรือไม่"
อวี้หลันส่ายหน้าน้อยๆ รอยยิ้มบางผุดขึ้นบนริมฝีปาก
"เพียงแค่ชมความงามเพคะ มิได้หมายใจ"
แต่เขากลับไม่ฟังคำปฏิเสธนั้น สั่งให้เจ้าของร้านนำปิ่นหยกดอกเหมยมา พลางจ่ายเงินโดยไม่ลังเล จากนั้นจึงหยิบขึ้นมาในมืออย่างทะนุถนอม ก่อนจะโน้มตัวลงใกล้นาง
มือใหญ่ค่อยๆ เกลี่ยเส้นผมดำขลับที่หล่นร่วงลงมาของนางเบาๆ แล้วปักปิ่นลงอย่างอ่อนโยน สัมผัสนั้นแผ่วราวสายลม แต่กลับทำให้อวี้หลันใจสั่นอย่างยากจะห้าม
"มันเหมาะกับเจ้ามาก"
เสียงทุ้มกระซิบใกล้หู แววตาคมเข้มทอดมองนางเต็มไปด้วยความอ่อนโยนปนชื่นชมหลงใหล
อวี้หลันชะงักไปเล็กน้อย พลางเอื้อมมือแตะปิ่นที่เพิ่งปักบนเรือนผม รอยยิ้มบนริมฝีปากงดงามจนผู้คนรอบข้างเผลอมองตาม
"ขอบพระทัยเพคะ"
ใบหน้าของหญิงสาวแดงระเรื่อ ก่อนที่นางจะหัวเราะกลบเกลื่อนความเขินอายเบาๆ แล้วก้าวเดินต่อไปเพื่อหลบซ่อนสีหน้าแดงซ่าน
หลี่เหวินหลงมองตามแผ่นหลังบอบบางด้วยดวงตาฉายประกายอบอุ่นละคนเอ็นดู จนท้ายที่สุดเขาก็ยกยิ้มบางอย่างอ่อนโยน พลางก้าวตามไปอย่างไม่รีบร้อน ทว่ามั่นคง
ยามอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า แสงไฟจากโคมกระดาษหลากสีถูกจุดขึ้นเรียงรายทั่วตลาด เสียงหัวเราะของผู้คนดังคลอไปกับเสียงดนตรีเบาๆ จากนักดนตรีข้างถนน บรรยากาศพลันเปลี่ยนเป็นความคึกคักครึกครื้นที่อบอวลด้วยความสุข
อวี้หลันก้าวเดินเคียงข้างหลี่เหวินหลง ทั้งคู่เดินมาถึงสะพานเล็กที่ทอดข้ามลำคลอง ขณะดวงตาคู่งามทอดมองโคมสีแดงที่ลอยแขวนอยู่เหนือศีรษะ แสงจากโคมกระดาษสว่างนวลระยิบระยับ แทรกซึมท่ามกลางความมืดราวกับหมู่ดาวบนสวรรค์
อวี้หลันเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มสว่างไสวด้วยแสงโคม ดวงตากลมโตทอประกายสะท้อนแสงไฟพลิ้วไหว ริมฝีปากโค้งขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
"ช่างสวยงามยิ่งนักเพคะ"
นางเอ่ยเสียงเบา ริมฝีปากโค้งเป็นรอยยิ้ม
หลี่เหวินหลงมองไปที่นาง แววตาคมลึกสะท้อนเพียงร่างบอบบางตรงหน้า เสี้ยววินาทีนั้นเขากลับรู้สึกว่าแม้โคมนับพันก็ไม่อาจเปรียบเทียบกับรอยยิ้มของสตรีผู้นี้ได้ แสงไฟอุ่นนวลสะท้อนบนเรือนผมและดวงหน้าของนางจนดูงดงามราวภาพฝัน
"ข้าเห็นว่าสิ่งที่งดงามที่สุดในยามนี้ หาใช่โคมไฟไม่"
หลี่เหวินหลงโน้มตัวเข้ามาใกล้ กระซิบบอกเสียงทุ้มต่ำแหบพร่า
อวี้หลันหันมาสบตาเขา หัวใจสั่นไหวอย่างยากจะปิดบัง ดวงตากลมโตทอประกายขวยเขิน อดไม่ได้ที่จะตำหนิอีกฝ่ายในใจ
คนผู้นี้ขยันทำให้นางเสียอาการเสียจริง ทำให้นางรู้สึกราวกับเป็นสาวน้อยที่หลงอยู่ในวังวนแห่งความรักอย่างที่ไม่เคยเป็น
ริมฝีปากอิ่มเม้มเล็กน้อยพลางก้มหน้าหลบ แต่กลับถูกมือใหญ่ยื่นมาประคองเบาๆ ที่ปลายคางให้เงยขึ้น
"อย่าหลบตาข้า หลันเอ๋อร์"
เขาเอ่ยเสียงทุ้มลึก แววตาคมกริบสะท้อนเพียงเงาของนาง
หัวใจของอวี้หลันเต้นแรง นางจึงเอ่ยเสียงแผ่ว
"พระองค์อย่าทรงแกล้งหม่อมฉัน"
หลี่เหวินหลงหัวเราะเบาๆ แววตาเปี่ยมด้วยความเสน่หา
เขาโน้มตัวลงมา ใบหน้าหล่อเหลาใกล้จนแทบสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ของกันและกัน ดวงตาคมเข้มเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
"หลันเอ๋อร์"
เสียงทุ้มของเขาพร่าเล็กน้อย ดวงตาไม่ละสายตาจากนางแม้เสี้ยววินาทีเดียว
"ข้ารักเจ้า"
อวี้หลันเงยหน้าขึ้นช้าๆ แววตาของนางเปล่งประกายระยิบระยับ ราวกับสะท้อนแสงโคมบนฟ้า มือเล็กยกแตะแก้มเขาเบาๆ เป็นสัญญาณคล้ายจะบอกว่า นางเองก็รู้สึกเช่นเดียวกันกับเขา
หลี่เหวินหลงโน้มหน้าลงมาช้าๆ พลางลูบแก้มนวลของนางแผ่วเบา ก่อนที่ริมฝีปากของทั้งสองจะจรดกันอย่างนุ่มนวล รสจูบนั้นช่างอ่อนหวาน เชื่องช้าแต่ละมุนละไม ราวกับกำลังถ่ายทอดทุกความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ ทั้งรัก ทั้งหลงใหล ทั้งความมั่นคงในหัวใจ ปล่อยให้ความอบอุ่นค่อยๆ ไหลเข้ามาในหัวใจของกันและกัน
จูบนั้นยาวนานพอที่จะทำให้หัวใจของทั้งสองเต้นแรง ทุกสิ่งรอบกายคล้ายถูกลบเลือนไปเหลือเพียงสองร่างที่โอบกอดกันท่ามกลางแสงไฟระยิบระยับ
เมื่อแยกริมฝีปากออกจากกัน ทั้งคู่ยังคงสบตากัน รอยยิ้มบางๆ ปรากฏบนใบหน้า ตระกองกอดกันท่ามกลางแสงจากโคมไฟ เป็นภาพที่งดงามและตราตรึงอยู่ในหัวใจ
หลังจูบอ่อนหวานนั้น อวี้หลันและหลี่เหวินหลงกุมมือกันแน่น สองร่างเดินทอดน่องผ่านตลาดยามค่ำคืน เสียงพูดคุยของผู้คนเบาบางลงในสายตาของทั้งคู่ เขากระชับมือเธอแน่นขึ้นเล็กน้อย ดวงตาเต็มไปด้วยความหวงแหนและความรักที่ลึกซึ้ง
สายลมเย็นพัดผ่าน แต่หัวใจของทั้งสองกลับเต็มไปด้วยความอบอุ่นและความสุขราวกับโลกทั้งใบเป็นของพวกเขาเพียงสองคน
"ข้าคิดว่า เจ้าควรถอยออกมาให้ห่างจากว่าที่ชายาข้านะ เจ้าห้า"ดวงเนตรดุดันขององค์ชายใหญ่ฉายแววกร้าว ขณะเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ หลี่จื้อหยวนยืนนิ่งไม่ไหวติง ดวงตาคมปลาบยังคงตรึงอยู่บนร่างบอบบางของอวี้หลัน สีหน้าสงบนิ่ง แต่แฝงความดื้อรั้นชัดเจน เขาแค่นยิ้มเย็น ก่อนหมุนตัวกลับไปสบตาพี่ชายต่างมารดาอย่างท้าทาย"เสด็จพี่ เกรงว่าทรงเข้าใจผิดแล้วกระมัง ข้าหาใช่คนอื่นคนไกล เพียงแวะมาทักทายหลันเอ๋อร์เท่านั้น"คำพูดนั้นแม้ฟังดูสุภาพแต่กลับแฝงแววท้าทาย ไม่มีผู้ใดยอมก้าวถอย บรรยากาศรอบตัวพลันเคร่งขรึมจนแม้แต่สายลมเย็นที่พัดลอดหน้าต่างเข้ามาก็ไม่อาจคลายความร้อนแรงระหว่างทั้งสองลงได้แต่ก่อนที่จะเกิดการปะทะกันระหว่างสองพี่น้อง อวี้หลัน สตรีเพียงผู้เดียวท่ามกลางแรงกดดันราวสนามรบ นางยอบกายเล็กน้อย เอ่ยเสียงเรียบแต่ชัดเจน"องค์ชายห้า ได้โปรดหลีกทางให้หม่อมฉันด้วยเพคะ"เสียงหวานใสของนางเปรียบดังสายน้ำเย็นที่สาดลงบนเพลิงที่กำลังลุกโชน หลี่จื้อหยวนชะงักไปครู่หนึ่ง ดวงตาสั่นไหวเต็มไปด้วยความตัดพ้อและเจ็บปวด เขาจ้องมองนางเนิ่นนาน ราวกับไม่อยากยอมรับคำพูดนั้น ก่อนจะฝืนหัวเราะเบาๆ ท้ายที่สุดก็ยอมถอย หลีกทางให
หลังจากเหตุการณ์มากมายถาโถมเข้ามาในจวนอวี้ ความเงียบสงัดก็กลับกลายเป็นสิ่งที่ปกคลุมอยู่ทั่วทุกมุม แม้เรื่องราวจะคลี่คลายลงแล้ว แต่ในใจของใครหลายคนยังคงหลงเหลือร่องรอยแห่งความเจ็บปวดอวี้จิ้งผู้เป็นบิดามองบุตรีคนรองด้วยสายตาอ่อนโยนกว่าที่เคย ความเข้มงวดถูกแทนที่ด้วยความห่วงใยลึกซึ้ง ภายหลังเหตุการณ์คาวเลือดและความวุ่นวายในตระกูล เขาเกรงว่าดวงใจของอวี้หลันจะถูกครอบงำด้วยความหวาดกลัวและเศร้าหมอง"หลันเอ๋อร์"อวี้จิ้งเอ่ยเรียกบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "หากเจ้าอยากออกไปเที่ยวเล่นนอกจวนก็ไปเถิด ความครึกครื้นภายนอกอาจช่วยให้จิตใจผ่อนคลายได้บ้าง"อวี้หลันยอบกายคารวะรับคำ ดวงตาคู่งามแม้ยังเจือความสงบนิ่ง แต่ในแววตากลับสะท้อนประกายอ่อนไหวเล็กน้อย นางรู้ดีว่า คำอนุญาตครั้งนี้ของบิดาไม่ใช่เพียงเพราะความเอ็นดู แต่เพราะท่านพ่อห่วงใยหัวใจของนางอย่างแท้จริง"ขอบคุณท่านพ่อเจ้าค่ะ"น้ำเสียงอ่อนหวานตอบรับอย่างอ่อนน้อม จะว่าไป การได้ออกไปสูดอากาศภายนอกก็ดีเหมือนกัน ความคึกคักของผู้คนในตลาด อาจช่วยคลายความอึดอัดในใจที่ยังหลงเหลืออยู่ได้บ้าง อีกทั้งนางเองก็ยังไม่เคยมีโอกาสเที่ยวชมความครื้นเครงของโลกภายน
ภายในห้องคุมขังอับชื้น กลิ่นสนิมของโซ่เหล็กและคราบเลือดคละคลุ้งอยู่โดยรอบ ร่างของเซิ่งซื่อซูบเซียวลงจนแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม ใบหน้าซีดขาวเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น ซ่อนความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ไม่เคยสมาน แผลที่แผ่นหลังของนางเริ่มเน่าเปื่อย แม้จะมีการทำแผลอย่างลวกๆ แต่พิษไข้ก็แผ่ซ่านไปทั่วร่าง นางนอนซูบซีดบนฟางเก่า เสียงหายใจขาดห้วงราวเปลวเทียนใกล้ดับดวงตาของนางพร่ามัว น้ำตาเอ่อรื้น เมื่อนึกถึงบุตรชายบุตรสาวที่ไม่อาจกอดเป็นครั้งสุดท้าย ความเจ็บปวดในกายคล้ายถูกกลืนหายไป เหลือเพียงความขมขื่นที่ตรึงอยู่กลางใจในห้วงสุดท้าย คล้ายถูกดึงวิญญาณไปทีละน้อย สายตาพร่ามัวค่อยๆ จับภาพตรงหน้า แล้วร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นราวกับฝันไป๋ซูเหยา ฮูหยินเอกผู้ล่วงลับ ภรรยาคนแรกของอวี้จิ้ง ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยชุดผ้าแพรสีอ่อนงดงาม ดวงหน้าสงบหากแต่แววตากลับเต็มไปด้วยความโกรธแค้นเซิ่งซื่อสะดุ้งเฮือก หัวใจสั่นสะท้าน นางพึมพำเสียงแผ่วเหมือนเพ้อ"ไป๋ซูเหยา เจ้า…เจ้าใช่หรือไม่"ภาพตรงหน้านั้นเหมือนจริงเหลือเกิน ริมฝีปากของไป๋ซูเหยาขยับเอื้อนเอ่ย แต่เสียงที่ได้ยินกลับเป็นเสียงกรีดร้องของหญิงผู้สิ้นใจด้วยพิษที่นางเป็นคนมอบให้ ค
"ไม่ใช่ว่าท่านมีจุดประสงค์อื่นหรอกหรือ"เสียงของอวี้หลันเอ่ยดังขึ้นชัดถ้อยชัดคำ ทุกถ้อยคำหนักแน่นดุจคมดาบ นางก้าวออกมาหนึ่งก้าว ดวงตาคมกริบฉายแววกร้าว ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยเสียงเรียบเย็น"สิ่งที่ท่านทำไปทั้งหมด ก็เพื่อเปิดทางให้หลานชายของท่านย่ำยีข้า... คงไม่ต้องให้ข้าบอกกระมังว่าเพื่อสิ่งใด"สิ้นถ้อยคำนั้น บรรยากาศพลันเงียบงัน หนักหน่วงจนผู้ใดก็ไม่กล้าเอ่ยอันใด บ่าวไพร่ที่ยืนอยู่ด้านข้างต่างหน้าถอดสี ร่างสั่นระริก บางคนถึงกับหายใจติดขัดราวอกจะระเบิดดวงตาคมกริบของอวี้หลันสบกับผู้เป็นบิดา ก่อนจะตวัดไปยังร่างไร้สติของเซิ่งกงซุนที่ถูกองครักษ์คุมตัวลากเข้ามา ร่างนั้นนอนแน่นิ่งไร้เรี่ยวแรงบนพื้น ดูน่าสังเวชยิ่งนัก"นี่... นี่มันหมายความเช่นไร"อวี้จิ้งใบหน้าดำคล้ำ ตวัดสายตามองใบหน้าซีดเผือดของเซิ่งซื่ออย่างดุดันคำพูดนั้นของบุตรสาวที่ดังก้องกังวานในห้องหนังสือ ราวกับฟ้าผ่าลงมากลางใจอวี้จิ้ง เขาคล้ายจะมองเห็นความผิดหวังวูบหนึ่งในดวงตาของนาง ใช่ เขาเกือบจะใจอ่อนเพียงคำพูดไม่กี่คำของเซิ่งซื่อดวงตาคมวาววับของอวี้จิ้งจ้องมองภรรยาที่เขาเคยไว้ใจมานาน ใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยความอ่อนโยนในความทรงจำ ยาม
เซิ่งซื่อก้าวออกมาส่งแขกด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน ยังคงรักษาท่วงท่าอันงดงามและคำพูดนอบน้อมอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง นางเอ่ยขอบคุณเสียงนุ่ม เสมือนว่าเหตุการณ์ที่เจ้าของงานและบุตรทั้งสองหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยนั้นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ควรใส่ใจ แขกหลายคนมองหน้ากันอย่างประหลาดใจที่งานเลี้ยงถูกยุติลงเร็วกว่ากำหนด ทั้งที่ยังไม่ทันได้กล่าวคำอำลาเจ้าของงานด้วยซ้ำ"วันนี้ท่านอัครเสนาบดีมีธุระด่วนกะทันหัน จึงต้องขออภัยทุกท่านด้วยเจ้าค่ะ"เซิ่งซื่อยิ้มกล่าวเสียงนุ่มนวล มือขาวเรียวผสานคำนับทุกผู้คนอย่างสง่างามแขกหลายคนแม้จะรู้สึกฉงน แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าตั้งคำถามให้เป็นเรื่องใหญ่ จะมีก็เพียงการลอบสบตากันและการกระซิบกระซาบเบาๆ ก่อนแยกย้ายกันกลับไป แต่ละคนเก็บความสงสัยไว้ในใจเพียงเท่านั้นเมื่อประตูใหญ่ค่อยๆ ปิดลง ความเงียบอึมครึมก็เข้าปกคลุมทั่วโถงเรือนรับรองทันที รอยยิ้มที่เคยแต้มอยู่บนใบหน้าเซิ่งซื่อพลันเลือนหาย นางยกพัดในมือขึ้นโบกเบาๆ แววตาฉายประกายเย่อหยิ่งและพึงพอใจในสายตาของนาง เหตุการณ์ในคืนนี้หาใช่ความน่าอับอายไม่ หากแต่เป็นหลักฐานว่าแผนการที่วางเอาไว้กำลังเดินหน้าไปตามครรลอง ทุกสิ่งทุกอย่า
แสงจันทร์ส่องลอดผ่านบานหน้าต่างเข้ามาในเรือนด้านทิศตะวันออกอย่างเงียบสงัด แสงเงินบางเบานั้นทอดลงบนร่างของอวี้เฉินที่นอนขดอยู่บนตั่งไม้ ร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความเจ็บปวด ดวงหน้าซีดเผือดราวกระดาษ เหงื่อผุดพราวเต็มหน้าผากและขมับ มือหนึ่งกุมท้องแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้น เขาขบกรามแน่นเพื่อกลั้นเสียง แต่สุดท้ายก็ยังเล็ดลอดเสียงครางต่ำออกมาอย่างน่าเวทนาเสียงนั้นแม้จะแผ่วเบา หากแต่กลับบาดลึกเข้าไปในอกของอวี้จิ้งผู้เป็นบิดา เขายืนเฝ้าอยู่ข้างเตียงของบุตรชายไม่ห่าง สายตาเต็มไปด้วยความร้อนรุ่ม ใบหน้าที่เคยสุขุมมั่นคงในยามว่าราชการ บัดนี้กลับฉายชัดถึงความทุกข์ระทมอย่างไม่อาจปิดบัง มือใหญ่กำแน่นอยู่ข้างลำตัว ราวกับพยายามกักเก็บความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามามิให้ปะทุออกมาหัวใจของเขาเจ็บปวดเมื่อเห็นบุตรชายนอนทุรนทุราย เหงื่อเม็ดเล็กไหลชุ่มเต็มแผ่นอกและหน้าผาก แต่ในขณะเดียวกันความคิดอีกด้านกลับพลุ่งพล่านไม่หยุด เมื่อหลักฐานทั้งหมดชี้ชัดไปยังภรรยาของตนความรู้สึกมากมายถาโถมกดทับอยู่ในอกของอวี้จิ้ง ราวกับมีหินหนักทับทวีอยู่ไม่สิ้นสุด ดวงตาที่ทอดมองบุตรชายบนเตียงเต็มไปด้วยความห่วงใย แต่ลึกลงไปในนั้นกลับแฝงด้วยคว