หลังจากเหตุการณ์มากมายถาโถมเข้ามาในจวนอวี้ ความเงียบสงัดก็กลับกลายเป็นสิ่งที่ปกคลุมอยู่ทั่วทุกมุม แม้เรื่องราวจะคลี่คลายลงแล้ว แต่ในใจของใครหลายคนยังคงหลงเหลือร่องรอยแห่งความเจ็บปวด
อวี้จิ้งผู้เป็นบิดามองบุตรีคนรองด้วยสายตาอ่อนโยนกว่าที่เคย ความเข้มงวดถูกแทนที่ด้วยความห่วงใยลึกซึ้ง ภายหลังเหตุการณ์คาวเลือดและความวุ่นวายในตระกูล เขาเกรงว่าดวงใจของอวี้หลันจะถูกครอบงำด้วยความหวาดกลัวและเศร้าหมอง
"หลันเอ๋อร์"
อวี้จิ้งเอ่ยเรียกบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
"หากเจ้าอยากออกไปเที่ยวเล่นนอกจวนก็ไปเถิด ความครึกครื้นภายนอกอาจช่วยให้จิตใจผ่อนคลายได้บ้าง"
อวี้หลันยอบกายคารวะรับคำ ดวงตาคู่งามแม้ยังเจือความสงบนิ่ง แต่ในแววตากลับสะท้อนประกายอ่อนไหวเล็กน้อย นางรู้ดีว่า คำอนุญาตครั้งนี้ของบิดาไม่ใช่เพียงเพราะความเอ็นดู แต่เพราะท่านพ่อห่วงใยหัวใจของนางอย่างแท้จริง
"ขอบคุณท่านพ่อเจ้าค่ะ"
น้ำเสียงอ่อนหวานตอบรับอย่างอ่อนน้อม
จะว่าไป การได้ออกไปสูดอากาศภายนอกก็ดีเหมือนกัน ความคึกคักของผู้คนในตลาด อาจช่วยคลายความอึดอัดในใจที่ยังหลงเหลืออยู่ได้บ้าง อีกทั้งนางเองก็ยังไม่เคยมีโอกาสเที่ยวชมความครื้นเครงของโลกภายนอกให้ทั่วสักครั้ง
อวี้จิ้งมองตามแผ่นหลังบอบบางของบุตรสาวที่ดูเหมือนจะสดใสขึ้นกว่าก่อนหน้าเล็กน้อย รอยยิ้มบางผุดขึ้นบนริมฝีปาก มองนางก้าวขึ้นรถม้าที่รออยู่ด้านหน้า
เสียงกงล้อหมุนดังแผ่ว รถม้าค่อยๆ เคลื่อนออกจากจวนอัครเสนาบดี ทิ้งไว้เพียงเงาของบิดาที่ทอดสายตามองตามไปอย่างห่วงใยไม่คลาย
ในอีกด้านหนึ่ง ภายในเรือนที่ปิดเงียบของอวี้เหมยและอวี้คุน เด็กทั้งสองยังคงเก็บตัวอยู่เพียงในเรือน แม้บัดนี้มารดาจะจากไปแล้ว แต่ความเจ็บปวดในใจกลับยังฝังลึก ร่องรอยความหยิ่งทะนงที่เคยมีหายไปหมดสิ้น เหลือเพียงเงาร่างที่นั่งเหม่ออยู่ในความมืด ความเศร้าปกคลุมพวกเขาแน่นหนา จนแม้แต่คนเป็นพ่อก็มิอาจเอ่ยปลอบได้
อวี้จิ้งทอดถอนใจยาว เมื่อมองไปยังเรือนของบุตรทั้งสอง ความอ่อนโยนในใจบิดายังมีอยู่ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือผลลัพธ์จากการกระทำของผู้เป็นมารดา เขาจึงเลือกที่จะปล่อยให้เวลาเป็นผู้เยียวยาจิตใจพวกเขาแทน
ภายในตลาดที่คึกคักเต็มไปด้วยผู้คนและร้านรวงมากมาย มีร้านตำราเก่าแก่แห่งหนึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวง ผู้คนหลากหลายทั้งขุนนาง บัณฑิต นักอ่าน เหล่าคุณหนูคุณชาย และผู้ที่หลงใหลในตำรา ต่างพากันหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย
ภายในร้านโอ่อ่าและแบ่งเป็นสัดส่วน ชั้นวางเรียงรายไปด้วยตำรามากมาย หลากหลายทั้งวิชาการ ประวัติศาสตร์ บทกวี ไปจนถึงตำราที่ว่าด้วยการต่อสู้ กลิ่นหมึกผสมผสานกับกลิ่นน้ำชาชั้นดีอบอวลอยู่ในอากาศ ให้บรรยากาศเงียบสงบแตกต่างจากความวุ่นวายภายนอก
ที่มุมหนึ่งบริเวณชั้นล่างของร้านถูกจัดไว้สำหรับผู้นิยมอ่านตำราโดยเฉพาะ มีโต๊ะเตี้ยและเบาะรองนั่งเรียงราย ผู้คนนั่งพลิกตำราด้วยท่าทีตั้งใจ เสียงกระดาษพลิกดังแผ่วเบาเป็นจังหวะสม่ำเสมอ มีบริการน้ำชาร้อนหอมกรุ่นและของว่างเล็กๆ ทำให้ร้านตำราแห่งนี้ไม่เพียงเป็นสถานที่ขายหนังสือ หากยังเป็นที่พักพิงของผู้แสวงหาความรู้และความสงบใจ
อีกมุมหนึ่งเสียงหัวเราะเบาๆ ของเหล่าบัณฑิตดังแทรกขึ้นเป็นระยะ เมื่อพวกเขาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับบทกวีหรือเนื้อหาจากตำราเก่า บ้างก็โต้เถียงกันอย่างจริงจัง แต่ก็ยังเต็มไปด้วยมารยาทอันสงบเสงี่ยม เสียงสนทนาเหล่านั้นผสมผสานกับเสียงกระดิ่งเล็กๆ หน้าประตูร้านที่ดังขึ้นทุกครั้งเมื่อมีผู้มาเยือนใหม่ ทำให้ร้านตำราแห่งนี้ดูไม่เคยเงียบเหงาเลยสักวัน
บนชั้นสองเต็มไปด้วยชั้นไม้เก่าที่สลักลวดลายงดงาม มีตำราที่ผ่านกาลเวลามานับร้อยปีถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี บางเล่มตัวอักษรเลือนราง บางเล่มห่อหุ้มด้วยผ้าไหมอย่างบรรจง แสดงถึงคุณค่าที่มิอาจประเมินราคาได้
บ่าวรับใช้ของร้านเดินไปมาด้วยท่าทีสุภาพ คอยยกกาน้ำชามาเติมให้ไม่ขาด กลิ่นชาหอมกรุ่นยังคงอบอวลเคล้าไปกับกลิ่นกระดาษเก่า ราวกับเชื้อเชิญให้ผู้ที่ก้าวเข้ามาลืมเลือนความวุ่นวายภายนอก แล้วดำดิ่งไปในโลกของอักษร
บรรยากาศทั้งหมดนั้นสงบและเปี่ยมเสน่ห์ เป็นดังแดนสวรรค์เล็กๆ สำหรับผู้รักการอ่าน
แต่แล้วความสงบนั้นคล้ายหยุดชะงักลงชั่วขณะ เมื่อร่างอรชรในอาภรณ์เรียบหรูสีอ่อนก้าวเข้ามา เสียงกระดิ่งหน้าประตูดังแผ่ว ก่อนจะเลือนหายไปพร้อมสายลมเย็นที่แทรกเข้ามา อวี้หลันปรากฏกายในท่วงท่าสงบสำรวม หากแต่กลับสะกดทุกสายตาได้อย่างน่าประหลาด
นางก้าวผ่านบริเวณชั้นล่างขึ้นไปยังชั้นสอง กิริยาของนางแม้เรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยความสง่างาม ดูกลมกลืนกับบรรยากาศสงบเคร่งขรึมของร้านตำรา ราวกับเป็นภาพที่ควรค่าแก่การบันทึกลงในม้วนภาพ
บัณฑิตหนุ่มสองสามคนที่กำลังถกเถียงตำรากันอยู่ถึงกับหยุดชะงัก เสียงสนทนาขาดห้วงลงทันที สายตาพากันเหลือบไปมองเงาร่างงดงามนั้นอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะรีบหันกลับมาทำทีสนใจตำราในมือ ทว่าในใจกลับยังไม่อาจสลัดภาพของสตรีที่เดินผ่านไปได้เลย
แม้ไม่มีถ้อยคำใดเอื้อนเอ่ย แต่เพียงแค่การปรากฏตัวของนาง ก็ดูคล้ายทำให้บรรยากาศของร้านตำรานี้อ่อนละมุนลง และทุกสิ่งรอบกายพลันถูกกลบด้วยเงาร่างของสตรีเพียงผู้เดียว
อวี้หลันก้าวขึ้นบันไดด้วยท่วงท่าสงบเยือกเย็น ก่อนจะมาหยุดตรงชั้นสองของร้าน บรรยากาศบนชั้นสองเงียบสงบกว่าด้านล่าง กลิ่นหมึกผสมกลิ่นกระดาษเก่าอบอวลอยู่ในอากาศ ดวงตากลมโตกวาดมองชั้นไม้สูงที่เรียงรายด้วยตำราประวัติศาสตร์และตำราบัณฑิตผู้ยิ่งใหญ่ในอดีตกาล แสงแดดอ่อนลอดผ่านบานหน้าต่างฉลุลายกระทบอาภรณ์สีอ่อนของนาง ยิ่งขับให้ภาพนั้นงดงามราวภาพวาดที่แฝงไว้ด้วยเสน่ห์อันลึกล้ำ
นางยกปลายนิ้วเรียวแตะสันหนังสือเบาๆ คล้ายกำลังพิจารณาเลือกเล่มที่ตนอยากจะอ่าน ความสงบและสมถะของกิริยากลับยิ่งทำให้ผู้ที่กำลังมองอยู่ไม่อาจถอนสายตาจากภาพนั้นได้
ในขณะที่อวี้หลันกำลังเอื้อมมือไปหยิบตำราประวัติศาสตร์เล่มหนึ่ง เงาร่างสูงใหญ่ก็พลันทอดทาบลงบนแผ่นหลังบอบบางของนาง
เสียงฝีเท้าหนักแน่น หากแต่จงใจเบาเสียจนเกือบไร้ร่องรอยหยุดลงด้านหลัง
"หลันเอ๋อร์"
น้ำเสียงทุ้มต่ำเปี่ยมด้วยความละมุนเอ่ยเรียก ทำให้หญิงสาวที่กำลังเลือกตำราหันกลับมามอง ดวงตากลมโตเงยขึ้นสบกับแววตาลึกซึ้งขององค์ชายห้าหลี่จื้อหยวน
เขาก้าวเข้ามาใกล้กว่าที่ควรจะเป็น ราวกับต้องการกักขังนางไว้ในพื้นที่เล็กๆ ระหว่างชั้นตำราสูงตระหง่าน
"องค์ชายห้า"
อวี้หลันเอ่ยเสียงเรียบ นางก้าวถอยหลังเล็กน้อย แต่เขากลับขยับตามจนแทบจะประชิด
หลี่จื้อหยวนมองนางอย่างไม่อาจละสายตาได้ แววตาที่เคยสงบเยือกเย็นบัดนี้เจือแววปั่นป่วนและเจ็บปวด เขาเดินเข้ามาใกล้จนเหลือระยะเพียงก้าวเดียว ร่างสูงสง่าของเขากลับคล้ายบดบังแสงรอบกาย
อวี้หลันเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างไม่พอใจ สายตาเรียบสงบคล้ายทะเลไร้คลื่น ทั้งที่ใจรู้อยู่แล้วว่าเขามีความรู้สึกเช่นไร ทว่าท่าทีของนางยังสงบมั่นคง
"เหตุใดเจ้าจึงใจร้ายกับข้านัก"
เสียงทุ้มพร่ากระซิบเสียงแผ่ว วาจานั้นเหมือนคำตัดพ้อ มิใช่คำถามที่รอคำตอบ หากเป็นเสียงคร่ำครวญจากส่วนลึกของหัวใจ ที่ไม่อาจทนต่อการถูกเมินเฉยได้อีกต่อไป หัวใจที่ร่ำร้องต่อสตรีผู้ไม่เคยมอบโอกาสให้เขาได้อธิบาย ไม่แม้แต่จะยอมพบหน้ากัน
บรรยากาศระหว่างทั้งสองข้นคลั่ก ราวกับโลกภายนอกพลันเลือนหายไป เหลือเพียงการเผชิญหน้าของชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยความรักเร่าร้อน และสตรีผู้สงบนิ่งเย็นชาดุจแผ่นน้ำแข็ง
แต่ยังไม่ทันที่อวี้หลันจะเอ่ยวาจาใดออกมา เสียงฝีเท้าหนักแน่นก็ดังขึ้น ก้องสะท้อนราวกับบดขยี้ความสงบที่เหลืออยู่
เงาร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์สีเข้มสง่างามก้าวเข้ามาอย่างองอาจ ทุกย่างก้าวเปี่ยมด้วยอำนาจ เงาร่างนั้นบดบังแสงสว่างไว้จนสิ้น
องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง
สายตาคมกร้าวของเขาตวัดมองภาพเบื้องหน้า เพียงเห็นสตรีที่ตนรักยืนเผชิญหน้ากับน้องชายต่างมารดาจอมเสแสร้ง เลือดในกายก็เดือดพล่าน ความร้อนรุ่มที่ไม่เคยมีผู้ใดได้เห็นฉายวาบขึ้นในนัยน์ตาลึกคม ดั่งเพลิงที่พร้อมจะแผดเผาทุกสิ่งตรงหน้า
บรรยากาศที่เคยสงบเรียบง่าย พลันแปรเปลี่ยนเป็นสนามรบที่ไร้คมดาบ แต่เต็มไปด้วยแรงกดดันอันหนาหนัก แม้ลมหายใจก็แทบจะขาดห้วง
"ข้าคิดว่า เจ้าควรถอยออกมาให้ห่างจากว่าที่ชายาข้านะ เจ้าห้า"
"ข้าคิดว่า เจ้าควรถอยออกมาให้ห่างจากว่าที่ชายาข้านะ เจ้าห้า"ดวงเนตรดุดันขององค์ชายใหญ่ฉายแววกร้าว ขณะเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ หลี่จื้อหยวนยืนนิ่งไม่ไหวติง ดวงตาคมปลาบยังคงตรึงอยู่บนร่างบอบบางของอวี้หลัน สีหน้าสงบนิ่ง แต่แฝงความดื้อรั้นชัดเจน เขาแค่นยิ้มเย็น ก่อนหมุนตัวกลับไปสบตาพี่ชายต่างมารดาอย่างท้าทาย"เสด็จพี่ เกรงว่าทรงเข้าใจผิดแล้วกระมัง ข้าหาใช่คนอื่นคนไกล เพียงแวะมาทักทายหลันเอ๋อร์เท่านั้น"คำพูดนั้นแม้ฟังดูสุภาพแต่กลับแฝงแววท้าทาย ไม่มีผู้ใดยอมก้าวถอย บรรยากาศรอบตัวพลันเคร่งขรึมจนแม้แต่สายลมเย็นที่พัดลอดหน้าต่างเข้ามาก็ไม่อาจคลายความร้อนแรงระหว่างทั้งสองลงได้แต่ก่อนที่จะเกิดการปะทะกันระหว่างสองพี่น้อง อวี้หลัน สตรีเพียงผู้เดียวท่ามกลางแรงกดดันราวสนามรบ นางยอบกายเล็กน้อย เอ่ยเสียงเรียบแต่ชัดเจน"องค์ชายห้า ได้โปรดหลีกทางให้หม่อมฉันด้วยเพคะ"เสียงหวานใสของนางเปรียบดังสายน้ำเย็นที่สาดลงบนเพลิงที่กำลังลุกโชน หลี่จื้อหยวนชะงักไปครู่หนึ่ง ดวงตาสั่นไหวเต็มไปด้วยความตัดพ้อและเจ็บปวด เขาจ้องมองนางเนิ่นนาน ราวกับไม่อยากยอมรับคำพูดนั้น ก่อนจะฝืนหัวเราะเบาๆ ท้ายที่สุดก็ยอมถอย หลีกทางให
หลังจากเหตุการณ์มากมายถาโถมเข้ามาในจวนอวี้ ความเงียบสงัดก็กลับกลายเป็นสิ่งที่ปกคลุมอยู่ทั่วทุกมุม แม้เรื่องราวจะคลี่คลายลงแล้ว แต่ในใจของใครหลายคนยังคงหลงเหลือร่องรอยแห่งความเจ็บปวดอวี้จิ้งผู้เป็นบิดามองบุตรีคนรองด้วยสายตาอ่อนโยนกว่าที่เคย ความเข้มงวดถูกแทนที่ด้วยความห่วงใยลึกซึ้ง ภายหลังเหตุการณ์คาวเลือดและความวุ่นวายในตระกูล เขาเกรงว่าดวงใจของอวี้หลันจะถูกครอบงำด้วยความหวาดกลัวและเศร้าหมอง"หลันเอ๋อร์"อวี้จิ้งเอ่ยเรียกบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "หากเจ้าอยากออกไปเที่ยวเล่นนอกจวนก็ไปเถิด ความครึกครื้นภายนอกอาจช่วยให้จิตใจผ่อนคลายได้บ้าง"อวี้หลันยอบกายคารวะรับคำ ดวงตาคู่งามแม้ยังเจือความสงบนิ่ง แต่ในแววตากลับสะท้อนประกายอ่อนไหวเล็กน้อย นางรู้ดีว่า คำอนุญาตครั้งนี้ของบิดาไม่ใช่เพียงเพราะความเอ็นดู แต่เพราะท่านพ่อห่วงใยหัวใจของนางอย่างแท้จริง"ขอบคุณท่านพ่อเจ้าค่ะ"น้ำเสียงอ่อนหวานตอบรับอย่างอ่อนน้อม จะว่าไป การได้ออกไปสูดอากาศภายนอกก็ดีเหมือนกัน ความคึกคักของผู้คนในตลาด อาจช่วยคลายความอึดอัดในใจที่ยังหลงเหลืออยู่ได้บ้าง อีกทั้งนางเองก็ยังไม่เคยมีโอกาสเที่ยวชมความครื้นเครงของโลกภายน
ภายในห้องคุมขังอับชื้น กลิ่นสนิมของโซ่เหล็กและคราบเลือดคละคลุ้งอยู่โดยรอบ ร่างของเซิ่งซื่อซูบเซียวลงจนแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม ใบหน้าซีดขาวเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น ซ่อนความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ไม่เคยสมาน แผลที่แผ่นหลังของนางเริ่มเน่าเปื่อย แม้จะมีการทำแผลอย่างลวกๆ แต่พิษไข้ก็แผ่ซ่านไปทั่วร่าง นางนอนซูบซีดบนฟางเก่า เสียงหายใจขาดห้วงราวเปลวเทียนใกล้ดับดวงตาของนางพร่ามัว น้ำตาเอ่อรื้น เมื่อนึกถึงบุตรชายบุตรสาวที่ไม่อาจกอดเป็นครั้งสุดท้าย ความเจ็บปวดในกายคล้ายถูกกลืนหายไป เหลือเพียงความขมขื่นที่ตรึงอยู่กลางใจในห้วงสุดท้าย คล้ายถูกดึงวิญญาณไปทีละน้อย สายตาพร่ามัวค่อยๆ จับภาพตรงหน้า แล้วร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นราวกับฝันไป๋ซูเหยา ฮูหยินเอกผู้ล่วงลับ ภรรยาคนแรกของอวี้จิ้ง ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยชุดผ้าแพรสีอ่อนงดงาม ดวงหน้าสงบหากแต่แววตากลับเต็มไปด้วยความโกรธแค้นเซิ่งซื่อสะดุ้งเฮือก หัวใจสั่นสะท้าน นางพึมพำเสียงแผ่วเหมือนเพ้อ"ไป๋ซูเหยา เจ้า…เจ้าใช่หรือไม่"ภาพตรงหน้านั้นเหมือนจริงเหลือเกิน ริมฝีปากของไป๋ซูเหยาขยับเอื้อนเอ่ย แต่เสียงที่ได้ยินกลับเป็นเสียงกรีดร้องของหญิงผู้สิ้นใจด้วยพิษที่นางเป็นคนมอบให้ ค
"ไม่ใช่ว่าท่านมีจุดประสงค์อื่นหรอกหรือ"เสียงของอวี้หลันเอ่ยดังขึ้นชัดถ้อยชัดคำ ทุกถ้อยคำหนักแน่นดุจคมดาบ นางก้าวออกมาหนึ่งก้าว ดวงตาคมกริบฉายแววกร้าว ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยเสียงเรียบเย็น"สิ่งที่ท่านทำไปทั้งหมด ก็เพื่อเปิดทางให้หลานชายของท่านย่ำยีข้า... คงไม่ต้องให้ข้าบอกกระมังว่าเพื่อสิ่งใด"สิ้นถ้อยคำนั้น บรรยากาศพลันเงียบงัน หนักหน่วงจนผู้ใดก็ไม่กล้าเอ่ยอันใด บ่าวไพร่ที่ยืนอยู่ด้านข้างต่างหน้าถอดสี ร่างสั่นระริก บางคนถึงกับหายใจติดขัดราวอกจะระเบิดดวงตาคมกริบของอวี้หลันสบกับผู้เป็นบิดา ก่อนจะตวัดไปยังร่างไร้สติของเซิ่งกงซุนที่ถูกองครักษ์คุมตัวลากเข้ามา ร่างนั้นนอนแน่นิ่งไร้เรี่ยวแรงบนพื้น ดูน่าสังเวชยิ่งนัก"นี่... นี่มันหมายความเช่นไร"อวี้จิ้งใบหน้าดำคล้ำ ตวัดสายตามองใบหน้าซีดเผือดของเซิ่งซื่ออย่างดุดันคำพูดนั้นของบุตรสาวที่ดังก้องกังวานในห้องหนังสือ ราวกับฟ้าผ่าลงมากลางใจอวี้จิ้ง เขาคล้ายจะมองเห็นความผิดหวังวูบหนึ่งในดวงตาของนาง ใช่ เขาเกือบจะใจอ่อนเพียงคำพูดไม่กี่คำของเซิ่งซื่อดวงตาคมวาววับของอวี้จิ้งจ้องมองภรรยาที่เขาเคยไว้ใจมานาน ใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยความอ่อนโยนในความทรงจำ ยาม
เซิ่งซื่อก้าวออกมาส่งแขกด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน ยังคงรักษาท่วงท่าอันงดงามและคำพูดนอบน้อมอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง นางเอ่ยขอบคุณเสียงนุ่ม เสมือนว่าเหตุการณ์ที่เจ้าของงานและบุตรทั้งสองหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยนั้นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ควรใส่ใจ แขกหลายคนมองหน้ากันอย่างประหลาดใจที่งานเลี้ยงถูกยุติลงเร็วกว่ากำหนด ทั้งที่ยังไม่ทันได้กล่าวคำอำลาเจ้าของงานด้วยซ้ำ"วันนี้ท่านอัครเสนาบดีมีธุระด่วนกะทันหัน จึงต้องขออภัยทุกท่านด้วยเจ้าค่ะ"เซิ่งซื่อยิ้มกล่าวเสียงนุ่มนวล มือขาวเรียวผสานคำนับทุกผู้คนอย่างสง่างามแขกหลายคนแม้จะรู้สึกฉงน แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าตั้งคำถามให้เป็นเรื่องใหญ่ จะมีก็เพียงการลอบสบตากันและการกระซิบกระซาบเบาๆ ก่อนแยกย้ายกันกลับไป แต่ละคนเก็บความสงสัยไว้ในใจเพียงเท่านั้นเมื่อประตูใหญ่ค่อยๆ ปิดลง ความเงียบอึมครึมก็เข้าปกคลุมทั่วโถงเรือนรับรองทันที รอยยิ้มที่เคยแต้มอยู่บนใบหน้าเซิ่งซื่อพลันเลือนหาย นางยกพัดในมือขึ้นโบกเบาๆ แววตาฉายประกายเย่อหยิ่งและพึงพอใจในสายตาของนาง เหตุการณ์ในคืนนี้หาใช่ความน่าอับอายไม่ หากแต่เป็นหลักฐานว่าแผนการที่วางเอาไว้กำลังเดินหน้าไปตามครรลอง ทุกสิ่งทุกอย่า
แสงจันทร์ส่องลอดผ่านบานหน้าต่างเข้ามาในเรือนด้านทิศตะวันออกอย่างเงียบสงัด แสงเงินบางเบานั้นทอดลงบนร่างของอวี้เฉินที่นอนขดอยู่บนตั่งไม้ ร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความเจ็บปวด ดวงหน้าซีดเผือดราวกระดาษ เหงื่อผุดพราวเต็มหน้าผากและขมับ มือหนึ่งกุมท้องแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้น เขาขบกรามแน่นเพื่อกลั้นเสียง แต่สุดท้ายก็ยังเล็ดลอดเสียงครางต่ำออกมาอย่างน่าเวทนาเสียงนั้นแม้จะแผ่วเบา หากแต่กลับบาดลึกเข้าไปในอกของอวี้จิ้งผู้เป็นบิดา เขายืนเฝ้าอยู่ข้างเตียงของบุตรชายไม่ห่าง สายตาเต็มไปด้วยความร้อนรุ่ม ใบหน้าที่เคยสุขุมมั่นคงในยามว่าราชการ บัดนี้กลับฉายชัดถึงความทุกข์ระทมอย่างไม่อาจปิดบัง มือใหญ่กำแน่นอยู่ข้างลำตัว ราวกับพยายามกักเก็บความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามามิให้ปะทุออกมาหัวใจของเขาเจ็บปวดเมื่อเห็นบุตรชายนอนทุรนทุราย เหงื่อเม็ดเล็กไหลชุ่มเต็มแผ่นอกและหน้าผาก แต่ในขณะเดียวกันความคิดอีกด้านกลับพลุ่งพล่านไม่หยุด เมื่อหลักฐานทั้งหมดชี้ชัดไปยังภรรยาของตนความรู้สึกมากมายถาโถมกดทับอยู่ในอกของอวี้จิ้ง ราวกับมีหินหนักทับทวีอยู่ไม่สิ้นสุด ดวงตาที่ทอดมองบุตรชายบนเตียงเต็มไปด้วยความห่วงใย แต่ลึกลงไปในนั้นกลับแฝงด้วยคว