Accueil / รักโบราณ / บุปผาหยกหวนคืนบ้าน / บทที่ 1 : ความลับของนางงิ้ว

Share

บุปผาหยกหวนคืนบ้าน
บุปผาหยกหวนคืนบ้าน
Auteur: จูเฉิงกง - อันนา

บทที่ 1 : ความลับของนางงิ้ว

last update Dernière mise à jour: 2025-08-29 08:46:28

ม่านผ้ากำมะหยี่สีแดงเข้มที่อมฝุ่นและกลิ่นอายของกาลเวลา ค่อยๆ เลื่อนเปิดออกช้าๆ ดุจการกลีบบุปผาแย้มบาน ความเงียบงันแผ่ปกคลุมทั่วโรงละครไม้หลังเก่าราวกับถูกสะกดด้วยมนตรา ทุกสายตาจับจ้องไปยังกลางเวทีที่สว่างเรืองรองด้วยแสงตะเกียงน้ำมัน

ร่างระหงในอาภรณ์งิ้วอันวิจิตรยืนสงบนิ่งอยู่ตรงนั้น เธอมีนามว่า ไป๋อวี้ฮวา นางเอกงิ้วผู้เลื่องชื่อ ที่กล่าวกันว่าความงามและฝีมือของนางในวัยเพียงสิบเจ็ดปีนั้น ราวกับนางสวรรค์จุติลงมาร่ายรำบนโลกมนุษย์

เสียงเครื่องดนตรีโหมโรงดังกระหึ่มก้องทั่วโรงละครไม้หลังเก่าที่ยังคงกลิ่นอายความขลัง ดวงโคมกระดาษสีแดงชาดไหวระริกเบา ๆ ไปตามแรงลมยามค่ำคืน ลำแสงตะเกียงน้ำมันกระทบกับชุดงิ้วหลากสีที่ประดับด้วยไหมทองจนระยับจับตา ผู้คนต่างจับจ้องมองไปที่นักแสดงตัวนางบนเวทีกันเป็นตาเดียวกัน

ใบหน้านางขาวเนียนราวหยกงาม วาดเส้นคิ้วเฉียงอย่างอ่อนโยน ริมฝีปากบางสีแดงระเรื่อ รับกับดวงตาเรียวยาวซึ่งทอดมองลงต่ำอย่างอ่อนหวาน เครื่องประดับศีรษะรูปดอกโบตั๋นสั่นไหวพลิ้วตามแรงก้าว ทุกอิริยาบถแฝงไว้ด้วยเสน่ห์เย้ายวนที่อ่อนโยนแต่เปี่ยมพลัง

เสียงขลุ่ยไม้ไผ่แว่วดังขึ้นมา พร้อมบทร้องจากนางที่เริ่มขับขาน

"โบตั๋นบานในสวนร้าง

ข้าล้างน้ำตาใต้เงาเดือน

ค่ำคืนหนึ่งตราตรึงเกินรางเลือน

เขาจากไปไม่เอ่ยเอื้อน ไม่เหลียวกลับคืนมา…"

น้ำเสียงอวี้ฮวาอ่อนหวานและฟังดูสูงส่งราวเทพธิดาผู้เพียบพร้อม ตัดกับอารมณ์อาดูรในถ้อยคำจนแทบทำให้ผู้ชมลืมหายใจ ทุกกิริยาเคลื่อนไหวสอดคล้องกับดนตรี ดั่งภาพวาดมีชีวิต เสียงฮือฮาเงียบลง เหลือเพียงสายตานับร้อยคู่ที่จ้องมองนางเพียงคนเดียว

ในหมู่ผู้ชมแถวหน้าสุด บุรุษหนุ่มในอาภรณ์สีน้ำเงินคราม ปักลายเมฆประดับทอง จ้องมองภาพบนเวทีไม่วางตา เขามีโครงหน้าได้รูปแบบบุรุษผู้ดี ศีรษะตั้งตรง ดวงตาคู่เรียวยาวเต็มไปด้วยประกาย คิ้วเข้มเรียบตรง เรียงเส้นอย่างมั่นคงเหนือดวงตา สันจมูกสูงรับกับโหนกแก้มอย่างสมส่วน ริมฝีปากบางได้รูป เส้นผมดำขลับเกล้าเป็นมวยไว้ แววตาของเขาทอประกายลุ่มหลงเป็นอย่างยิ่ง เขาคือเหลียนอี้เฉิน ข้างกายเขาคือท่าน เหลียนจื้อเซิน และภรรยา

“งดงาม...งดงามเหลือเกิน” ภรรยาท่านเหลียนเอ่ยขึ้นแผ่วเบา “เด็กคนนี้ราวกับหลุดออกมาจากภาพวาดจริงๆ”

การแสดงจบลงด้วยเสียงปรบมือกึกก้อง เหล่าผู้ชมต่างส่งเสียงเรียกชื่ออวี้ฮวาเป็นระลอก คล้ายจะให้ม่านปิดลงช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้

หลังเวทีที่วุ่นวาย อาเจิน พี่เลี้ยงคนสนิทรีบนำผ้าคลุมมาสวมให้ร่างที่อ่อนล้าของอวี้ฮวาในทันที ก่อนจะพานางไปยังห้องพักหลังเวทีการแสดง

อวี้ฮวาก้มศีรษะหอบเบา ๆ เหงื่อเกาะชุ่มไรผมข้างขมับ แต่ในแววตาเต็มไปด้วยความสุข นางรู้ดีว่าค่ำคืนนี้คือหนึ่งในค่ำคืนที่งดงามที่สุดในชีวิตการแสดง

นางเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดทั่วไป แม้จะยังมิได้ล้างเครื่องสำอางงิ้วบนใบหน้า แล้วเดินออกจากห้องพัก พูดคุยกับเหล่านักแสดง นักดนตรี และผู้ทำหน้าที่ทั้งหลายในการแสดงนี้อย่างขอบคุณ

ไป๋จิ้งหยวน หัวหน้าคณะผู้เป็นดั่งบิดาบุญธรรมก็เดินเข้ามาระหว่างกลุ่มนักแสดงด้วยรอยยิ้มภาคภูมิใจ แล้วเอ่ยขึ้นมา

“ยอดเยี่ยมมากอวี้ฮวา คืนนี้เจ้าสะกดทุกคนได้อยู่หมัดจริงๆ”

“เพราะได้ท่านคอยชี้แนะเจ้าค่ะ ถึงทำได้ปานนี้” อวี้ฮวากล่าวอย่างถ่อมตน

ทว่าคุยกันได้ยังไม่ทันไร ก็มีเสียงฝีเท้านุ่มนวลก็ดังขึ้นมา พร้อมกับกลิ่นหอมของชาขาว

"แม่นางไป๋" เสียงชายหนุ่มเอ่ยอย่างสุภาพ "ข้าและครอบครัวขอแสดงความชื่นชมอย่างสุดหัวใจ"

อวี้ฮวาหันกลับไปมองต้นเสียงอย่างช้า ๆ ดวงตาคู่งามสบกับดวงตาของอี้เฉิน เพียงพริบตาเดียว หัวใจพลันเต้นสะดุด เขามาพร้อมถุงใบเล็กที่ใส่เงินจำนวนหนึ่งเช่นเดียวกับทุกครั้งที่ผ่านมา ทว่าคราวนี้มาพร้อมกับดอกไม้ช่อใหญ่ด้วย

"ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ" นางตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งอย่างนักแสดงผู้ช่ำชอง แม้ในใจสั่นระรัว "นับเป็นเกียรติอย่างสูงที่ท่านเมตตา"

“ข้าขอมอบเงินรางวัลนี้ให้ท่าน และผู้คนในคณะทุกคน” อี้เฉินกล่าวขึ้นมาพร้อมหัวเราะเบา ๆ “หากไม่รังเกียจ ในคืนนี้ข้าให้ท่านให้เกียรติไปร่วมรับประทานอาหารเย็นกับครอบครัวของข้าด้วยเถิด”

อวี้ฮวาชะงักเล็กน้อย ความรู้สึกระคนกันหลายอย่างไหลผ่านในใจเพียงพริบตาเดียว ความยินดี ความประหลาดใจ และ...ความหวาดระแวง

“อาหารเย็นหรือเจ้าคะ?” นางย้อนถามอย่างนุ่มนวล แสร้งขยับชายแขนเสื้อคลุมคลุมอกให้เรียบร้อย “ท่านเมตตาเกินไปแล้ว”

“มิต้องเกรงใจ” อี้เฉินเอ่ยเสียงแผ่ว เบือนหน้าไปทางด้านหลังเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวต่อด้วยรอยยิ้มบาง “มารดาของข้าเป็นผู้อยากพบกับท่านนัก นางชมไม่หยุดตั้งแต่ท่านขึ้นเวที”

เมื่อสิ้นคำ หญิงวัยกลางคนในชุดแพรปักลายหงส์ก็ปรากฏตัวขึ้นช้า ๆ ที่มุมหนึ่งของทางเดินหลังเวที ใบหน้านวลละมุนเปล่งประกายด้วยความยินดีนุ่มนวล

“แม่นางอวี้ฮวา” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนยิ่งกว่าบุตรชาย “การแสดงของเจ้าช่างงดงามอย่างแท้จริง ข้ารู้สึกราวกับได้ชมโฉมนางนางฟ้าจากสรวงสวรรค์ที่อยู่ในบทกวี... ช่างวิจิตรบรรจงเสียจนแทบไม่อาจละสายตา”

คำชมเหล่านั้น แม้นอวี้ฮวาจะได้รับอยู่บ่อยครั้ง แต่จากหญิงที่สูงศักดิ์และดูมีมารยาทอบอุ่นเช่นนี้ กลับทำให้นางรู้สึกประหลาดในใจอย่างน่าประหลาด

“ข้าน้อยไป๋อวี้ฮวา ขอคารวะท่านหญิงเจ้าค่ะ” นางโค้งกายอย่างอ่อนช้อยตามธรรมเนียมนักแสดงเวที น้ำเสียงที่เปล่งออกมาคงยังเรียบนิ่ง แต่ปลายนิ้วมือกลับสั่นไหวเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว

ในความวูบหนึ่งของสำนึก ความคุ้นเคยบางอย่างย้อนสะกิดขึ้นมาในใจนางเอกงิ้ว สุ้มเสียง... แววตา... และแม้กระทั่งคำลงท้ายของคำพูดเมื่อครู่ ทำให้ภาพในอดีตเมื่อวัยเยาว์ผุดขึ้นวูบหนึ่ง... คฤหาสน์ที่หรูหรา... เสียงฝึกเป่าขลุ่ย...รอยยิ้มของใครบางคนที่หายไปจากชีวิตมาเนิ่นนาน แต่ก่อนภาพจำเหล่านั้นจะปรากฏขึ้นมาอีก นางก็หลบสายตาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะแสร้งหัวเราะเบา ๆ

“เช่นนั้นข้าน้อยรู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนักเจ้าค่ะ หากมิใช่การรบกวน ข้ายินดีรับคำเชิญ”

.

เวลาผ่านไปจนกระทั่งยามเย็นคล้อยเข้าสู่ยามค่ำเต็มตัว คฤหาสน์ตระกูลเหลียนตั้งอยู่ริมแม่น้ำใหญ่ แสงจันทร์ทอดเงาบนลานกระเบื้องหยกขาว กลิ่นหอมดอกไม้อบอวลในอากาศก็ได้เริ่มจัด โต๊ะอาหารเรียบง่ายแต่สง่างาม ประดับโคมไฟแก้ว และภาชนะเครื่องลายครามวาดลายเมฆขาวจันทร์ทอง กลางโต๊ะมีอาหารหลากชนิด ทั้งเป็ดย่างน้ำผึ้ง ซุป และถั่วลิสงเคลือบน้ำตาล

อี้เฉิน และเหลียนจื้อเซินผู้เป็นบิดา พร้อมด้วยภรรยาผู้เป็นมารดา นั่งพร้อมหน้ารอแขกผู้เป็นนักแสดงงิ้วผู้เลื่องชื่อ ไม่นานนัก อวี้ฮวาก็เดินเข้ามาในชุดสีเขียวที่เรียบง่ายแต่สง่างาม แม้ลบลายงิ้วออกจากใบหน้าแล้ว ก็ยังคงแสดงความงดงามดังนางในเทพนิยาย ผิวพรรณของนางขาวเนียนดั่งหยกขัดเกลาจากหิมะยอดเขา เต็มไปด้วยความอ่อนเยาว์อันเปล่งปลั่ง โครงหน้านางเรียวระหง ดวงตายาวเรียวได้รูปเหมือนวาดด้วยพู่กันปลายแหลม ทอดมองด้วยแววอ่อนโยนละเมียดละไม คิ้วเรียวยกเฉียง ราวขนนกยามเช้า ลากเส้นบางเฉียบแต่เปี่ยมความหมาย ปลายจมูกเล็กตรง จับรูปพอเหมาะพอดีกับใบหน้า ริมฝีปากบางแดงระเรื่อ ร่างกายอบอวลด้วยกลิ่นหอมเบา ๆ แม้นไร้มงกุฎหรืออาภรณ์หรูหรา อวี้ฮวาก็ยังดูสูงศักดิ์ด้วยกิริยาท่วงท่า

“ขออภัยที่ให้รอนานเจ้าค่ะ” นางเอ่ยเบา ๆ ขณะนั่งลงอย่างนอบน้อม

“มิเป็นไรเลย” ท่านเหลียนจื้อเซินกล่าวอย่างใจดี “ความงามของท่านเพียงก้าวแรกที่ปรากฏก็ทำให้ค่ำคืนนี้สว่างขึ้นหลายส่วนแล้ว”

อวี้ฮวายิ้มรับ แม้ใจจะเต้นแรง เมื่อมองบรรยากาศภายในเขตคฤหาสน์หลังนี้

อาหารตรงหน้าถูกจัดวางอย่างงดงาม อวี้ฮวาหยิบเป็ดย่างเข้าปากอย่างนุ่มนวล กิริยาเรียบร้อยในทุกการขยับ ทำให้แม้แต่สาวใช้ที่ยืนอยู่มุมห้องยังเหลือบมองด้วยความลุ่มหลง

"แม่นางไป๋เคยร่ำเรียนวัฒนธรรมในรั้วตระกูลใดมาก่อนหรือไม่" ภรรยาท่านเหลียนเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม นัยน์ตาเปล่งประกายอย่างชื่นชม

อวี้ฮวาเกือบเผลอสะดุดคำตอบ หากแต่ยิ้มตอบโดยไม่เสียจังหวะ

"หามิได้เจ้าค่ะ ข้าฝึกฝนเพียงจากครูงิ้วที่ชำนาญด้านบทนางใน ความละเอียดของกิริยาอาจพอช่วยให้ข้าดูสุภาพขึ้นบ้าง"

"สุภาพอย่างมากเลยต่างหาก" ท่านเหลียนกล่าวเสริม “ผู้ใดได้เห็น ต่างต้องนึกว่าเป็นคุณหนูจากตระกูลขุนนาง"

อวี้ฮวาได้แต่ยิ้มรับอย่างสงบ หากแต่ในอกกลับเต้นแรงอย่างไม่อาจควบคุม ยังดีที่ใบหน้าที่นิ่งสงบกลบความระทึกข้างในได้อย่างแนบเนียน เป็นทักษะเดียวกับที่ใช้บนเวที

บรรยากาศการพูดคุยระหว่างนางงิ้วคนดัง กับครอบครัวตระกูลใหญ่ เป็นไปอย่างราบรื่นจนกระทั่งท่านเหลียนเซินวางถ้วยชาลงเบา ๆ

"แม่นางไป๋...หากไม่ถือว่าไร้มารยาท ข้าอยากกล่าวความในใจประการหนึ่ง"

อวี้ฮวาลอบกลืนน้ำลาย สายตายังทอดนิ่งบนถ้วยขาวลายเมฆตรงหน้า

"เชิญท่านกล่าวเจ้าค่ะ"

"ข้าและภรรยา ต่างไร้บุตรหญิงมานานแล้ว นับแต่ได้ชมการแสดงของท่าน และพูดคุยเพียงครู่เดียว เราก็รู้สึกราวกับได้พบผู้ที่น่ารัก น่าชื่นชมยิ่ง"

ท่านเหลียนเซินพูดจบก็เงียบไปชั่วขณะ จากนั้นภรรยาเขากล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

"หากแม่นางไม่ขัดข้อง...ข้าอยากให้ท่านพิจารณาอี้เฉินบุตรชายของเรา"

ไป๋อวี้ฮวารู้สึกราวกับเวลาหยุดนิ่ง หัวใจในอกเต้นผิดจังหวะ ราวจะหลุดจากทรวงอก ดวงตาที่เคยมองตรงกลับไหววูบ แม้นหน้ายังประดับรอยยิ้ม แต่มือใต้ชายแขนเสื้อเริ่มกำแน่นไม่รู้ตัว

"ท่านช่างเมตตาเกินไปแล้วเจ้าค่ะ" นางตอบเสียงเบา ๆ "ข้าเป็นเพียงนักแสดงร่อนเร่ ย่อมมิอาจเทียบเทียบบุตรชายท่านได้"

"อย่าได้กล่าวเช่นนั้นเลย" ท่านเหลียนเซินสั่นศีรษะเบา ๆ “ข้ามิเคยถือสายเลือดหรือตำแหน่งมาเป็นตัวตัดสินค่าของคน ความงาม กิริยา และความเฉลียวฉลาดของท่าน ไม่มีสิ่งใดด้อยกว่าคุณหนูใดในเมืองหลวง และหากท่านตกลง พวกเราจะอุปภัมภ์คณะละครของท่านให้ได้ปักหลักในเมืองนี้ตลอดไป"

อี้เฉินไม่ได้กล่าวคำใด เพียงมองนางนิ่ง ๆ แต่แววตานั้นต่างไปจากก่อนหน้า ไม่มีความเย้าแหย่หรือสุภาพแบบแขก หากเต็มไปด้วยอารมณ์อะไรบางอย่าง นางหลบไม่ให้ใครเห็นสายตาด้วยการผินหน้าลงเล็กน้อย แสร้งดื่มชาด้วยท่วงท่าที่สงบที่สุดเท่าที่จะทำได้

"ขอบคุณสำหรับไมตรีของท่านเจ้าค่ะ ข้าขอใช้เวลาครุ่นคิดให้รอบคอบก่อนจะตอบคำ"

.

เมื่อมื้ออาหารจบลง และรถม้าของตระกูลพาแขกสาวกลับคณะงิ้วอย่างสุภาพ อวี้ฮวาเดินกลับมายังค่ายพักนักแสดงยามค่ำคืน พระจันทร์เต็มดวงลอยสูง สะท้อนแสงลงบนน้ำใสในอ่างไม้ด้านหลังโรงละคร

นางนั่งลงข้างอ่าง สัมผัสน้ำเย็นด้วยปลายนิ้วเงียบ ๆ สายตาทอดมองเงาสะท้อนของตนเองในผิวน้ำ ใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ทุกคนกล่าวว่างดงามราวสตรีชั้นสูง หากแต่ตอนนี้ภายในกลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและสับสน

"กลับไปที่นั่นในฐานะ ไป๋อวี้ฮวา... ในฐานะหญิงสาวที่จะไปเป็นลูกสะใภ้ งั้นเหรอ?" นางพึมพำเบา ๆ เรียกชื่อตนเองในเวทีชีวิต มือบางยกขึ้นแตะที่ริมฝีปากของตน

“ทั้งที่ข้าเคยหนีออกมาจากที่นั่น… หนีออกมาจากฐานะเหลียนหยางเหว่ยลูกชายที่แท้จริงน่ะนะ...”

นางหลับตาลงช้า ๆ ร่ายรำคนเดียวในความมืด ปล่อยให้ความเงียบของค่ำคืนนั้นล้อมรอบตนไว้ ราวกับกำลังแสดงอยู่ลำพังบนเวทีที่ไม่มีผู้ชม ไม่มีเสียงปรบมือ มีเพียงตัวนางเพียงผู้เดียวเท่านั้น

Continuez à lire ce livre gratuitement
Scanner le code pour télécharger l'application

Latest chapter

  • บุปผาหยกหวนคืนบ้าน   ตอนพิเศษ: หงส์ผงาดอีกครั้ง (2/2)

    ณ คฤหาสน์ตระกูลเหลียนที่สงบสุข...จดหมายจากเหมยหลินถูกส่งมาถึงมือของไป๋อวี้ฮวา อี้เฉินที่นั่งอยู่ข้างๆ มองด้วยความไม่ไว้วางใจ แต่เมื่ออวี้ฮวาคลี่จดหมายออกอ่าน สีหน้าของนางก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากความประหลาดใจเป็นความรู้สึกทึ่งและตื้นตันใจเล็กๆนางยื่นจดหมายให้อี้เฉินอ่าน เนื้อความในนั้นเขียนไว้ว่า:“ถึง ไป๋อวี้ฮวา สหายและอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ของข้าชัยชนะของท่านเมื่อห้าปีก่อน ได้ทำลายความหยิ่งทนงของข้าจนหมดสิ้น แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ได้ปลุกจิตวิญญาณศิลปินที่หลับใหลของข้าให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ท่านได้แสดงให้ข้าเห็นถึงเส้นทางที่ข้าได้หลงลืมไปบัดนี้ ข้าได้ผ่านการเดินทางและขัดเกลาปีกของตนเองแล้ว ข้าจึงอยากจะขอส่งสารนี้มาเพื่อท้าทายท่านอีกครั้งหนึ่ง แต่มันไม่ใช่การประชันเพื่อชิงความเป็นหนึ่งอีกต่อไป แต่คือการท้าทายเพื่อให้พวกเราทั้งสองได้ร่วมกันสร้างสรรค์การแสดงที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่แผ่นดินนี้เคยมีมาข้าขอเชิญท่านและคณะงิ้วของท่าน เดินทางมายังเมืองหลวง เพื่อเปิดการแสดงเคียงข้างกันบนเวทีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเรา ให้ชาวโลกได้ประจักษ์ว่าศิลปะที่แท้จริงนั้นงดงามเพียงใดด้วยความเคารพอย่างสูงสุดเหมย

  • บุปผาหยกหวนคืนบ้าน   ตอนพิเศษ: หงส์ผงาดอีกครั้ง (1/2)

    สองปีหลังจากการประชันงิ้ว...กาลเวลาได้พัดพาเรื่องราวการประชันอันเลื่องชื่อระหว่างหงส์ฟ้าแห่งเมืองหลวงและนางสวรรค์แห่งแดนใต้ให้กลายเป็นตำนานบทหนึ่งที่ถูกเล่าขานในโรงน้ำชาและคณะละครทั่วหล้า สำหรับชาวเมืองทางใต้ มันคือเรื่องราวแห่งความภาคภูมิใจ แต่สำหรับเมืองหลวงแล้ว มันคือรอยด่างพร้อยในประวัติศาสตร์ที่สมบูรณ์แบบของคณะงิ้วหลวง และคือความอัปยศที่นางพญาหงส์อย่างเหมยหลินต้องแบกรับไว้แต่เพียงผู้เดียวการเดินทางกลับสู่เมืองหลวงของเหมยหลินในครั้งนั้น ช่างแตกต่างจากการเดินทางมาเยือนแดนใต้อย่างสิ้นเชิง ขบวนรถม้าที่เคยยิ่งใหญ่บัดนี้กลับดูหม่นหมองไร้สง่าราศี บรรยากาศในคณะเต็มไปด้วยความเงียบงันที่น่าอึดอัด ข่าวความพ่ายแพ้ ได้เดินทางล่วงหน้ามาถึงก่อนตัวนางเสียอีก สายตาของชาวเมืองหลวงที่เคยเปี่ยมด้วยความชื่นชมบูชา บัดนี้กลับเจือปนด้วยความผิดหวังและคำถามเหมยหลินเก็บตัวเงียบอยู่ในเรือนพักของนาง ปฏิเสธการเข้าพบจากทุกคน นางพยายามจะกลับไปใช้ชีวิตเช่นเดิม พยายามจะกลับขึ้นไปบนเวทีที่เคยเป็นดั่งบัลลังก์ของนาง แต่ทุกอย่างกลับไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปนางยังคงร่ายรำได้อย่างสมบูรณ์แบบ... แต่นางกลับรู้สึกถึงความว

  • บุปผาหยกหวนคืนบ้าน   บทที่ 15: บุปผาหยกหวนคืนบ้าน

    คำประกาศิตที่เกรี้ยวกราดของเหลียนจื้อเซินดังก้องสะท้อนอยู่ในห้องที่เงียบงัน มันคือคำตัดสินที่เฉียบขาดและเย็นชาที่สุด คือการผลักไสสายเลือดของตนเองให้กลายเป็นคนอื่นอีกครั้ง ไป๋อวี้ฮวายังคงคุกเข่านิ่งอยู่บนพื้น ร่างกายชาวาบไปทั้งร่างราวกับถูกแช่แข็ง น้ำตาทุกหยดเหือดแห้งไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงความว่างเปล่าที่เจ็บปวดอย่างแสนสาหัสทว่าในครั้งนี้ นางไม่ได้อยู่เพียงลำพัง“หากท่านจะไล่เขาไป... ก็โปรดไล่ข้าไปด้วย”เสียงของเหลียนอี้เฉินดังขึ้นอย่างหนักแน่นและไม่เกรงกลัว เขาก้าวมายืนเคียงข้างร่างของอวี้ฮวา เผชิญหน้ากับบิดาบุญธรรมของตนเองอย่างไม่ยอมหลบสายตา“หากเขาไม่ใช่บุตรชาย หรือสะใภ้ของท่าน ข้าก็ไม่ใช่บุตรชายของท่านอีกต่อไป หากที่นี่ไม่มีที่ให้เขายืน... ก็ย่อมไม่มีที่สำหรับข้าเช่นกัน พวกเราจะจากไปพร้อมกันเดี๋ยวนี้”คำพูดนั้นราวกับค้อนหนักๆ ที่ทุบลงมากลางใจของเหลียนจื้อเซิน การสูญเสียลูกชายคนเดียวไปเมื่อแปดปีก่อนคือความเจ็บปวดที่เขาซ่อนไว้ใต้หน้ากากแห่งความแข็งกร้าวมาโดยตลอด การต้องมาสูญเสียลูกชายบุญธรรมที่เปรียบเสมือนแขน

  • บุปผาหยกหวนคืนบ้าน   บทที่ 14: ความลับที่ถูกเปิดเผย (2/2)

    พวกเขาเลือกรุ่งเช้าของวันต่อมา... ด้วยมันเป็นวันที่เหลียนจื้อเซินดูสดใสและมีกำลังวังชามากที่สุดนับตั้งแต่ฟื้นไข้อี้เฉินและอวี้ฮวาขอเข้าพบเป็นการส่วนตัวในห้องนอนของบิดา โดยมีท่านหญิงเหลียนนั่งอยู่ข้างเตียงด้วยเช่นกัน บรรยากาศในห้องดูผ่อนคลายและเปี่ยมด้วยความสุขจากการฟื้นตัวของประมุขแห่งบ้านอี้เฉินเป็นผู้เริ่มต้น เขารู้ดีว่าในฐานะบุตรชายและสามี เขาคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อเรื่องราวทั้งหมดเขาคุกเข่าลงกับพื้นข้างเตียงของบิดา ทำให้ทุกคนในห้องตกใจไปตามๆ กัน“อี้เฉิน! เจ้าทำอะไรของเจ้า!”“ท่านพ่อ ท่านแม่... ก่อนที่ข้าจะพูดอะไรต่อไป ข้าขอให้ท่านทั้งสองโปรดจงรู้ไว้ว่า... ข้ารักอวี้ฮวา... รักอย่างสุดหัวใจ และไม่ว่าความจริงที่ข้าจะพูดต่อไปนี้จะเป็นเช่นไร ความรักของข้าที่มีต่อนางจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”เขาเริ่มต้นเล่าเรื่องราว... ตั้งแต่คืนส่งตัวที่เขาได้ล่วงรู้ความจริง... ความโกรธเกรี้ยว ความสับสน และการตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตที่จะยอมรับและปกป้องคนที่เขารักต่อไป เขาสารภาพว่าเขาร่วมมือกับนางในการหลอกลวงเรื่องการตั้งครรภ

  • บุปผาหยกหวนคืนบ้าน   บทที่ 14: ความลับที่ถูกเปิดเผย (1/2)

    ในห้องหนังสือที่เงียบสงบ มีเพียงอี้เฉินและอวี้ฮวาที่นั่งเผชิญหน้ากับหมอเทวดากู้ บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียดที่มองไม่เห็นท่านหมอกู้ไม่ได้เริ่มต้นด้วยการกล่าวหา แต่กลับเริ่มต้นด้วยการชื่นชม“ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ข้าได้เห็นความทุ่มเทของฮูหยินน้อยแล้ว นับเป็นลูกสะใภ้ที่กตัญญูและมีจิตใจเข้มแข็งอย่างหาได้ยากยิ่ง”“ท่านหมอชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” อวี้ฮวาตอบเสียงเบา ส่วนท่านหมอกู้ก็จิบชา ก่อนจะวางถ้วยลงและมองตรงมาที่นาง“แต่สิ่งที่ข้าชื่นชมนั้น...กลับยิ่งสร้างความสับสนให้แก่ข้ามากขึ้นไปอีก”เขาประสานมือไว้บนตัก จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของอวี้ฮวา ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้นางและอี้เฉินรู้สึกราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุน“ชีพจรของฮูหยินน้อย... มีบางอย่างที่ข้าไม่เข้าใจ... มันไม่เหมือนชีพจรสตรีเลย”ความเงียบที่โรยตัวลงในห้องหนังสือนั้นหนักอึ้งเสียยิ่งกว่าหินผาพันชั่ง ไป๋อวี้ฮวาและเหลียนอี้เฉินนั่งนิ่งตัวแข็งทื่อราวกับรูปสลัก คำพูดของท่านหมอกู้ยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาทของพวกเขาราวกับเสียงระฆังที่ตีซ้ำแล้วซ้ำ

  • บุปผาหยกหวนคืนบ้าน   บทที่ 13: หมอเทวดา (2/2)

    ในที่สุด เช้าวันที่สาม ความหวังก็มาถึงชายชราร่างเล็กในชุดผ้าฝ้ายสีเทาธรรมดาๆ พร้อมกับกล่องยาไม้เก่าๆ ใบหนึ่ง ถูกนำทางเข้ามาในคฤหาสน์ เขาไม่มีท่าทีโอ่อ่าเหมือนหมอหลวง ไม่มีรัศมีน่าเกรงขามเหมือนจอมยุทธ์ แต่ดวงตาของเขานั้นกลับสุขุมและเปี่ยมด้วยปัญญาจนทำให้ทุกคนที่อยู่รายล้อมต้องรู้สึกสงบลงอย่างน่าประหลาด“คารวะท่านหมอกู้” อี้เฉินรีบเข้ามาประสานมือคารวะหมอเทวดากู้เพียงพยักหน้ารับเบาๆ“อย่าได้มากพิธีเลย นำข้าไปดูคนไข้เถิด”เมื่อเข้ามาในห้องนอนที่อบอวลไปด้วยกลิ่นยา ท่านหมอกู้ก็ไม่ได้สนใจผู้ใดอีก เขาวางกล่องยาลงและเดินตรงไปที่เตียงของผู้ป่วยทันที เขามองดูสีหน้า ตรวจดูเปลือกตาและลิ้นของเหลียนจื้อเซิน ก่อนจะทำในสิ่งที่สำคัญที่สุด... การตรวจจับชีพจรนิ้วมือที่เหี่ยวย่นแต่กลับมั่นคงของเขาวางลงบนข้อมือของเหลียนจื้อเซินอย่างแผ่วเบา เขาหลับตาลง ใช้สมาธิทั้งหมดเพื่อรับฟัง "เสียง" ของชีวิตที่กำลังจะดับสูญ เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าจนทุกคนแทบจะหยุดหายใจ“ชีพจรแผ่วเบาและแตกซ่านราวกับเส้นด้ายที่กำลังจะขาด” ท่านหมอเอ่ย

Plus de chapitres
Découvrez et lisez de bons romans gratuitement
Accédez gratuitement à un grand nombre de bons romans sur GoodNovel. Téléchargez les livres que vous aimez et lisez où et quand vous voulez.
Lisez des livres gratuitement sur l'APP
Scanner le code pour lire sur l'application
DMCA.com Protection Status