FAZER LOGINความสงบนิ่งของเมืองจินไห่เป็นสิ่งที่ราชสำนักคาดไม่ถึง พวกเขาคาดหวังว่าจะเกิดความโกลาหลวุ่นวาย ประชาชนตื่นตระหนก หรืออย่างน้อยที่สุดก็คือความขัดแย้งภายในระหว่างเจ้าเมืองและเถี่ย อ้าวเทียน แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือความเงียบ...ความเงียบที่น่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าการประกาศสงครามเสียอีก
ความเงียบนั้นทำให้ฮ่องเต้และองค์รัชทายาทรู้สึกราวกับถูกตบหน้าฉาดใหญ่ พวกเขาจึงไม่รอช้าที่จะส่งพายุลูกที่สองตามแผนของอัครเสนาบดีหวังมาทันที
ไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์หลังจากราชโองการฉบับแรก ราชโองการฉบับที่สองก็ได้ถูกส่งไปยังเจ้าเมืองและหัวเมืองทั้งหมดที่อยู่รายล้อมเมืองจินไห่ เนื้อหาของมันคือคำสั่งห้ามไม่ให้ทำการค้าขายหรือให้ความช่วยเหลือใดๆ แก่ เมืองกบฏ จินไห่โดยเด็ดขาด ผู้ใดฝ่าฝืนให้ถือว่าเป็นพวกเดียวกับกบฏ!
นี่คือการตัดเส้นเลือดใหญ่ทางเศรษฐกิจ! เป็นวงล้อมไร้เงาที่มองไม่เห็น แต่กลับมีอำนาจทำลายล้างรุนแรงยิ่งกว่ากองทัพนับหมื่น!
ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วแดนใต้อย่างรวดเร็ว สร้างความแตกตื่นและลังเลใจให้แก่เหล่าเจ้าเมืองเป็นอย่างมาก ที่ผ่านมาพวกเขาต่างได้รับผลประโยชน์จากการค้าขายกับเมืองท่าที่มั่งคั่งอย่างจินไห่ แต่บัดนี้พวกเขาต้องเลือกระหว่างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจกับความภักดีต่อราชสำนัก
ปฏิกิริยาของแต่ละหัวเมืองนั้นแตกต่างกันไป...
เมืองที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของขุนนางในเมืองหลวงโดยตรง หรือมีเจ้าเมืองที่ขี้ขลาดตาขาว ต่างรีบขานรับราชโองการในทันที พวกเขาสั่งปิดด่านการค้า ตั้งกำแพงภาษีสูงลิ่ว และขับไล่กองคาราวานจากเมืองจินไห่กลับไปอย่างไม่ไยดี
ณ ด่านการค้าเมืองผิงหยาง...
พ่อค้าเฒ่าแซ่เฉิน หัวหน้ากองคาราวานที่ใหญ่ที่สุดของเมืองจินไห่ ยืนมองประตูเมืองที่ปิดตายตรงหน้าด้วยสีหน้าสิ้นหวัง "ท่านนายกอง นี่มันหมายความว่าอย่างไร? ข้าทำการค้าผ่านเส้นทางนี้มานานกว่ายี่สิบปี ไม่เคยมีปัญหาแม้แต่ครั้งเดียว"
นายกองทหารที่รักษาการณ์อยู่บนกำแพงตะโกนตอบลงมา "เจ้ายังไม่รู้อีกรึตาเฒ่า! เมืองจินไห่ของพวกเจ้าตอนนี้คือเมืองกบฏ! เจ้าเมืองของเราได้รับราชโองการสั่งห้ามทำการค้ากับพวกเจ้าโดยเด็ดขาด! รีบไสหัวกลับไปเสีย ก่อนที่ข้าจะสั่งยิงธนูลงไป!"
คำพูดที่ไร้เยื่อใยนั้นทำให้เหล่าพ่อค้าและลูกหาบในกองคาราวานต่างหน้าถอดสี พวกเขาเดินทางมาไกลหลายร้อยลี้ หากต้องขนสินค้ากลับไปโดยที่ยังไม่ได้ขาย พวกเขาต้องขาดทุนย่อยยับอย่างแน่นอน
ในขณะเดียวกัน ก็มีเจ้าเมืองบางส่วนที่พยายามจะเล่นบท "ตาอยู่" พวกเขาไม่ได้ประกาศตัวเป็นศัตรูกับเมืองจินไห่อย่างเปิดเผย แต่ก็ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือเช่นกัน พวกเขาเพียงแค่ชะลอการค้า อ้างเหตุผลต่างๆ นานาเพื่อรอดูสถานการณ์ว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ชนะในศึกครั้งนี้
แต่ที่น่าประหลาดใจที่สุด คือปฏิกิริยาจากเมือง ชิงเหอ ซึ่งเป็นเมืองท่าขนาดเล็กที่อยู่ทางทิศตะวันออกของจินไห่ แม้ในยามปกติจะเป็นคู่แข่งทางการค้ากันมาโดยตลอด แต่เจ้าเมืองชิงเหอก็เป็นคนที่มองการณ์ไกล เขารู้ดีว่าผลประโยชน์ที่ได้รับจากความสงบสุขของน่านน้ำนั้นมีค่ามากกว่าการแข่งขันกันเอง
เจ้าเมืองชิงเหอไม่เพียงแต่จะไม่ปฏิบัติตามราชโองการ แต่ยังลักลอบส่งผู้แทนมาเจรจากับเถี่ย อ้าวเทียนเป็นการส่วนตัวอีกด้วย
"ท่านแม่ทัพเถี่ย" ผู้แทนจากเมืองชิงเหอโค้งกายลงอย่างนอบน้อม "ท่านเจ้าเมืองของเราฝากสาส์นมาเรียนให้ท่านทราบว่า แม้เมืองชิงเหอและเมืองจินไห่จะเป็นคู่แข่งทางการค้ากัน แต่ท่านเจ้าเมืองของเราก็รู้ดีว่าที่ผ่านมานั้น เราต่างก็ได้รับผลประโยชน์ร่วมกันจากความสงบสุขของท้องทะเล หากไม่มีกองเรือของท่านคอยปราบปรามโจรสลัดในน่านน้ำแถบนี้ การค้าของเราก็คงไม่ราบรื่นเช่นนี้ ราชสำนักจะว่าอย่างไรเราไม่สนใจ แต่เมืองชิงเหอจะยังคงเปิดท่าเรือค้าขายกับเมืองจินไห่ต่อไป!"
คำประกาศของผู้แทนทำให้เถี่ย อ้าวเทียนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ "กลับไปบอกเจ้าเมืองของท่านด้วยว่า ข้า เถี่ย อ้าวเทียน จะไม่ลืมน้ำใจของเขาในครั้งนี้"
การกระทำของเจ้าเมืองชิงเหอเปรียบเสมือนน้ำใสหยดเดียวในทะเลโคลน แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้เห็นว่าใครคือมิตรแท้ในยามยาก
ทว่า...ผลกระทบจากการคว่ำบาตรก็เริ่มปรากฏให้เห็นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ในเมืองจินไห่
ความหวาดกลัวเริ่มแพร่กระจายไปในหมู่พ่อค้าและคหบดี แม้เมืองจินไห่จะปลูกข้าวได้อุดมสมบูรณ์ แต่ก็ยังต้องพึ่งพา ธัญพืชจากแดนเหนือ เช่น ข้าวสาลีและข้าวบาร์เลย์ ซึ่งเป็นเสบียงหลักสำหรับกองทัพและม้าศึก นอกจากนี้ เหล็กกล้าคุณภาพสูง สำหรับตีศาสตราวุธและชุดเกราะชั้นดี ก็ล้วนนำเข้ามาจากเหมืองทางตอนเหนือทั้งสิ้น
ณ ห้องบัญชาการค่ายพยัคฆ์ทมิฬ...
"ท่านแม่ทัพ ตอนนี้ราคาข้าวสาลีในตลาดเริ่มสูงขึ้นแล้วขอรับ" เหวิน จ้าวรายงานด้วยสีหน้าเคร่งเครียด "แม้เสบียงข้าวของเราจะยังเพียงพอสำหรับราษฎร แต่หากขาดแคลนข้าวสาลีต่อไป เกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อความพร้อมรบของกองทัพในระยะยาวได้ โดยเฉพาะเมื่อเรารับทหารจากแดนเหนือเข้ามาเพิ่มอีกหลายพันนาย"
"ไอ้พวกเจ้าเมืองขี้ขลาดนั่น!" อู่ เลี่ยทุบโต๊ะดังปัง "พวกมันกลัวราชสำนักจนหัวหด หรือจะให้ข้านำทหารไปเปิดด่านดีขอรับ"
"นั่นไม่ใช่การแก้ปัญหา" เถี่ย อ้าวเทียนกล่าวเสียงเรียบ เขายังคงสงบนิ่งเช่นเคย "การใช้กำลังกับหัวเมืองเพื่อนบ้าน จะยิ่งทำให้เรากลายเป็นศัตรูในสายตาของคนทั้งแผ่นดิน"
เหวิน จ้าวยิ้มบางๆ "แต่ดูเหมือนว่าแผนการของราชสำนักครั้งนี้ จะเป็นเหมือนดาบสองคมนะขอรับ"
"หมายความว่าอย่างไร?" อู่ เลี่ยถามอย่างสงสัย
"สายข่าวของเราในเมืองหลวงและหัวเมืองอื่นๆ รายงานมาว่า ตอนนี้พวกเขาก็เดือดร้อนหนักไม่แพ้กันขอรับ" เหวิน จ้าวอธิบาย "พวกเขาลืมไปว่าไม่เพียงแต่สินค้าฟุ่มเฟือยอย่างเครื่องเทศและ ผ้าไหมเท่านั้นที่ต้องผ่านท่าเรือของเรา แต่ยังรวมไปถึงอาหารทะเลแห้งและพืชผลบางชนิดที่เป็นอาหารสำคัญของชาวบ้านในเมืองหลวงอีกด้วย"
เขาหยุดไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวต่อ "ตอนนี้ราคาอาหารในเมืองหลวงเริ่มพุ่งสูงขึ้นแล้ว ไม่ใช่แค่พวกขุนนางที่โวยวาย แต่ชาวบ้านทั่วไปก็เริ่มได้รับความเดือดร้อนเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น เมืองหลวงและหัวเมืองทางตอนกลางหลายแห่งยังต้องพึ่งพา 'เกลือทะเล' ที่ผลิตและส่งออกจากเมืองจินไห่เป็นหลัก ตอนนี้ราคาเกลือพุ่งสูงขึ้นกว่าสามเท่าตัวแล้ว เริ่มมีเสียงบ่นจากประชาชนดังขึ้นเรื่อยๆ แผนการที่คิดจะบีบคั้นเรา...กำลังย้อนกลับไปทำร้ายตัวเองอย่างช้าๆ ขอรับ"
"ฮ่าๆๆๆ! สมน้ำหน้าพวกมัน!" อู่ เลี่ยหัวเราะอย่างสะใจ "ไอ้พวกคนโง่ในราชสำนัก คงไม่เคยรู้ว่าท้องของตัวเองนั้นผูกติดอยู่กับพวกเรา!"
เถี่ย อ้าวเทียนลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่แผนที่ขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่บนผนัง เขามองเลยออกไปจากขอบเขตของแคว้นต้าหลง ไปยังพื้นที่สีครามอันกว้างใหญ่ของทะเลใต้
"พวกมันคิดว่าการปิดเส้นทางการค้าทางบกจะสามารถบีบคั้นเราได้...ช่างเป็นความคิดที่ตื้นเขินสิ้นดี" เขากล่าวพร้อมกับรอยยิ้มเย็นเยียบที่หาได้ยาก "พวกมันคงลืมไปว่า...เมืองจินไห่ของเรานั้นคือประตูสู่โลกกว้างที่แท้จริง!"
เขาหันกลับมาเผชิญหน้ากับขุนพลทั้งสอง "เหวิน จ้าว เจ้าจำเรื่องเมื่อสามปีก่อนได้หรือไม่? ตอนที่เรานำทัพเรือออกไปปราบปรามโจรสลัดที่อาละวาดอย่างหนักในน่านน้ำทางใต้ จนไปถึงอาณาเขตของ แคว้นหนานไห่"
เหวิน จ้าวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเบิกตากว้าง "ข้าจำได้ขอรับ ตอนนั้นเราได้ช่วยเหลืออ๋องของแคว้นหนานไห่ที่กำลังจะถูกโจรสลัดปล้นฆ่าไว้ได้ และเพื่อเป็นการตอบแทน...ท่านแม่ทัพได้ทำข้อตกลงทางการค้าลับๆ กับพวกเขา"
"ถูกต้อง!" เถี่ย อ้าวเทียนกล่าว "ข้าได้ทำข้อตกลงกับอ๋องแห่งหนานไห่ ว่าเราจะช่วยดูแลความสงบเรียบร้อยในน่านน้ำให้ แลกกับการที่พวกเขาจะยอมเปิดเส้นทางการค้าทางทะเลกับเราโดยตรง พวกเขามีทั้งธัญพืชและเหล็กกล้าชั้นดีที่เราต้องการ ที่ผ่านมาเรายังไม่ได้ใช้เส้นทางนี้อย่างเต็มที่ เพราะไม่ต้องการสร้างความขัดแย้งกับราชสำนักแต่ดูเหมือนว่าตอนนี้...จะถึงเวลาอันสมควรแล้ว"
วิสัยทัศน์ที่มองการณ์ไกลของเขาทำให้ทั้งอู่ เลี่ยและเหวิน จ้าวถึงกับตกตะลึง! พวกเขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าท่านแม่ทัพจะได้วางหมากกระดานนี้เตรียมไว้ล่วงหน้ามานานหลายปีแล้ว
"เหวิน จ้าว!" เถี่ย อ้าวเทียนออกคำสั่ง "ส่งทูตไปยังแคว้นหนานไห่เดี๋ยวนี้! แจ้งให้อ๋องแห่งหนานไห่ทราบว่าข้อตกลงของเราได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว! และให้ประกาศไปทั่วเมืองจินไห่ ให้เหล่าพ่อค้าเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการค้าทางทะเลครั้งใหญ่!"
"อู่ เลี่ย!" เขาหันไปหาขุนพลคู่ใจ "นำกองเรือของเราออกลาดตระเวนในน่านน้ำทั้งหมด! ข้าไม่ต้องการให้มีโจรสลัดแม้แต่คนเดียวมาสร้างความวุ่นวายได้!"
"ขอรับ/ขอรับ!" ขุนพลทั้งสองขานรับคำสั่งอย่างแข็งขันและเต็มไปด้วยความฮึกเหิม!
ข่าวการเปิดเส้นทางการค้าทางทะเลกับแคว้นหนานไห่แพร่สะพัดไปทั่วเมืองจินไห่ราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ ความตื่นตระหนกและความหวาดกลัวก่อนหน้านี้พลันสลายหายไปในพริบตา ถูกแทนที่ด้วยความตื่นเต้นและความหวังครั้งใหม่!
เหล่าพ่อค้าที่เคยหน้าถอดสี บัดนี้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง พวกเขารีบเตรียมสินค้าและต่อเรือเพื่อเตรียมออกเดินทางสู่ดินแดนแห่งใหม่ที่เต็มไปด้วยโอกาส!
ราชสำนักคิดว่าตนเองเป็นผู้คุมเกม แต่พวกเขากลับไม่รู้เลยว่า...เถี่ย อ้าวเทียนได้เดินหมากกระดานใหม่ที่ใหญ่กว่าและอยู่เหนือความคาดหมายของพวกเขาไปไกลแล้ว!
วงล้อมไร้เงาที่พวกเขาสร้างขึ้น ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถทำอะไรพยัคฆ์ทมิฬตัวนี้ได้...แต่มันกลับเป็นการปลดปล่อยให้พยัคฆ์ตัวนี้ได้กางปีกแล้วทะยานออกสู่ทะเลกว้างอย่างอิสระ!
ห้าปีต่อมา...กาลเวลาได้เคลื่อนผ่านไปดุจสายน้ำที่ไม่เคยไหลย้อนกลับนำพาความเปลี่ยนแปลงมาสู่แผ่นดินต้าหลงอย่างช้าๆ แต่มั่นคง รัชศก "่เถี่ยหลง" ปีที่แปด ได้ถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของยุคทองอย่างแท้จริงเมืองหลวงต้าหลงที่เคยบอบช้ำจากสงครามกลางเมือง บัดนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นมหานครที่เปี่ยมด้วยชีวิตชีวาและเจริญรุ่งเรืองที่สุดในแผ่นดิน ถนนหนทางที่เคยว่างเปล่าและเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง บัดนี้กลับกว้างขวางและปูด้วยหินอย่างดี สองข้างทางเรียงรายไปด้วยร้านค้าที่เปิดกิจการอย่างคึกคัก พ่อค้าจากแดนไกลนำขบวนคาราวานอูฐบรรทุกเครื่องเทศและอัญมณีเข้ามาไม่ขาดสาย เสียงต่อรองราคา เสียงหัวเราะของเด็กๆ และเสียงดนตรีจากโรงน้ำชาดังผสมผสานกันเป็นบทเพลงแห่งสันติภาพ ผู้คนจากมณฑลอันเป่ยเดินทางเข้ามาค้าขายและตั้งรกราก แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและสินค้ากับชาวต้าหลงอย่างกลมเกลียว กำแพงที่เคยกั้นพรมแดนได้ทลายลงและกำแพงในใจของผู้คนก็ได้ทลายลงตามไปด้วยภายใต้การปกครองของฮ่องเต้เถี่ยหลง แผ่นดินได้เข้าสู่ยุคสมัยแห่งสันติภาพอย่างแท้จริง พระองค์ทรงเป็นฮ่องเต้ที่น่าเกรงขามในท้องพระโรง แต่ก็ทรงเป็นบิดาแห่งแผ่นดิ
กาลเวลาผ่านไปสามปี...ภายใต้การปกครองของฮ่องเต้เถี่ยหลง และฮองเฮาเซี่ย เหยาเหยา แผ่นดินต้าหลงที่เคยบอบช้ำจากสงครามได้ค่อยๆ ฟื้นคืนชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้งดุจผืนดินที่แห้งแล้งได้รับสายฝนแห่งวสันตฤดู นโยบายลดหย่อนภาษีได้สิ้นสุดลงตามกำหนด แต่ราษฎรกลับไม่รู้สึกเดือดร้อน เพราะบัดนี้พวกเขามีพืชผลเต็มยุ้งฉาง มีสินค้าเต็มร้านค้า และมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า กรมบูรณะแผ่นดินภายใต้การนำของเสนาบดีเหวิน จ้าว ได้ทำงานอย่างแข็งขัน ถนนหนทางที่เคยพังทลายได้รับการซ่อมแซมจนเรียบสนิท สะพานใหม่ที่แข็งแรงทอดข้ามแม่น้ำสายสำคัญ กำแพงเมืองที่เคยเป็นแผลเป็นจากสงครามได้รับการบูรณะจนกลับมาสง่างามยิ่งกว่าเดิมบัณฑิตหน้าใหม่ที่ผ่านการสอบคัดเลือกอย่างโปร่งใสได้เข้ารับตำแหน่งขุนนางตามหัวเมืองต่างๆ พวกเขานำความรู้และความกระตือรือร้นเข้าไปปฏิรูประบบราชการที่เคยเฉื่อยชาและเต็มไปด้วยการทุจริตให้กลับมามีประสิทธิภาพอีกครั้ง มณฑลอันเป่ยที่เคยเป็นดินแดนของศัตรู บัดนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินอย่างสมบูรณ์ เส้นทางการค้าสายใหม่ที่ตัดขึ้นได้นำพาความเจริญรุ่งเรืองไปสู่ดินแดนทางเหนืออย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนทุกสิ่งทุกอย่างดำเ
เสียงระฆังยามเช้าดังกังวานไปทั่วทั้งพระราชวังเป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้นวันใหม่ หลังจากที่ได้รับสมเด็จพระพันปีหลวงองค์ใหม่ ผู้ซึ่งบัดนี้ได้ประทับอยู่ในตำหนักฉือหนิงที่ได้รับการบูรณะอย่างงดงามที่สุด สมพระเกียรติแห่งมารดาแห่งแผ่นดินภายในห้องบรรทมที่โอ่อ่าและกว้างขวาง ฮ่องเต้หนุ่มเพิ่งจะตื่นจากบรรทม แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าสาดส่องผ่านบานหน้าต่างเข้ามาอาบไล้ร่างเปลือยเปล่าของฮองเฮาเซี่ย เหยาเหยา ที่ยังคงนอนหลับใหลอยู่ในอ้อมแขนของพระองค์อย่างสงบ พระองค์ใช้เวลาชั่วครู่หนึ่งทอดพระเนตรมองใบหน้าอันเป็นที่รักยิ่ง ภาระหนักอึ้งที่รอคอยอยู่ภายนอกห้องนี้ดูเหมือนจะเบาบางลงเสมอเมื่อมีนางอยู่เคียงข้าง พระองค์จุมพิตหน้าผากของนางอย่างแผ่วเบาก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียงอย่างเงียบเชียบเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนเหล่านางกำนัลและขันทีเข้ามาช่วยพระองค์สวมฉลองพระองค์มังกรเต็มยศอย่างคล่องแคล่วและเงียบกริบ ทุกขั้นตอนล้วนเป็นไปตามแบบแผนที่สืบทอดกันมานับร้อยปี แต่สำหรับเถี่ย อ้าวเทียนแล้ว ความรู้สึกกลับแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง น้ำหนักของผ้าไหมปักดิ้นทองลายมังกรห้าเล็บนี้ ให้ความรู้สึกหนักอึ้งยิ่งกว่าชุดเกราะเหล็กกล้าท
ยี่สิบกว่าปีก่อน...ค่ำคืนนั้น...เมืองหลวงต้าหลงไม่ได้สว่างไสวไปด้วยแสงโคมไฟเช่นทุกคืน แต่กลับถูกบดบังด้วยเงามืดแห่งการทรยศและความตาย สายฝนโปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสายราวกับหยาดน้ำตาของสวรรค์ ชะล้างคราบเลือดที่เริ่มไหลนองไปตามพื้นศิลาของพระราชวังต้องห้ามภายในตำหนักบูรพาที่เคยโอ่อ่าและเปี่ยมด้วยเกียรติยศ บัดนี้กลับเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและเสียงกรีดร้องที่ถูกกลบด้วยเสียงลมพายุที่โหมกระหน่ำอยู่ภายนอก“พระชายา! พวกมันบุกเข้ามาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”ทหารองครักษ์ผู้ภักดีนายหนึ่งในสภาพที่โชกเลือด วิ่งเข้ามารายงานพระชายาเอกแห่งองค์รัชทายาทหลงหยวน สตรีผู้ซึ่งเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนยังคงเป็นที่เคารพสูงสุดในตำหนักบูรพา แต่บัดนี้กลับกลายเป็นนักโทษที่รอวันถูกประหาร“แม่ทัพเถี่ยจง...สิ้นแล้ว” เขากล่าวเสียงสั่น น้ำตาไหลปะปนกับเลือดบนใบหน้า “เขาและทหารองครักษ์ที่เหลือยอมสละชีวิตเพื่อซื้อเวลาให้พวกเรา ได้โปรด...ได้โปรดพาองค์ชายน้อยหนีไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ”พระชายาเอกสตรีผู้มีแซ่เดิมว่า ‘เถี่ย’ นางยืนนิ่งราวกับรูปสลักหิน น้ำตาไหลรินลงมาอาบแก้มงามอย่างเงียบงัน นางไม่ได้ร่ำไห้ให้แก่ชะตากรรมของตนเอง แต่ร่ำไห้ให้แก่บุรุ
หลายวันผ่านไปนับจากค่ำคืนแห่งการหลอมรวมอันเร่าร้อนแม้เปลวไฟสงครามจะมอดดับลงแล้ว แต่ภายในเมืองหลวงต้าหลง บรรยากาศกลับคุกรุ่นไปด้วยความตึงเครียดทางการเมืองที่มองไม่เห็น แผ่นดินที่บัดนี้แผ่ไพศาลจากการรวมดินแดนเป่ยหมันเข้ามาเป็นมณฑลใหม่ ไม่ต่างอะไรจากพญามังกรไร้เศียร แม้จะมีอำนาจอันน่าเกรงขาม แต่ก็ไร้ทิศทางและขาดผู้บัญชาการที่แท้จริงข่าวการตัดสินใจอันเปี่ยมด้วยเมตตาของเถี่ย อ้าวเทียน ที่มอบสถานะพลเมืองให้แก่ชาวเป่ยหมันได้แพร่กระจายไปทั่วหล้า มันได้ซื้อใจผู้คนในดินแดนใหม่ได้อย่างสมบูรณ์ แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ได้สร้างความกังวลให้แก่เหล่าขุนนางเก่าแก่ในเมืองหลวง การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่เกินไปจำเป็นต้องมีผู้ปกครองที่เด็ดขาดและมีอำนาจเบ็ดเสร็จมาควบคุมสถานการณ์ณ ท้องพระโรงที่กำลังอยู่ในระหว่างการบูรณะครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เหวิน จ้าว กำลังยืนตรวจดูความคืบหน้าของการก่อสร้างบัลลังก์องค์ใหม่ บัลลังก์เก่าที่ผุพังและเป็นสัญลักษณ์ของราชวงศ์ก่อนได้ถูกทำลายไปแล้ว บัลลังก์ที่กำลังจะมาแทนที่นั่นยิ่งใหญ่และสง่างามกว่าเดิมหลายเท่าตัว มันถูกแกะสลักขึ้นจากไม้จันทน์ทองคำอันเป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่หา
กาลเวลาผ่านไปนานกว่าสองเดือนสองเดือนที่เปลวไฟแห่งสงครามได้มอดดับลงอย่างสมบูรณ์ สองเดือนที่แผ่นดินต้าหลงได้เริ่มต้นการฟื้นฟูครั้งยิ่งใหญ่ และสองเดือน.ที่หัวใจของสตรีนางหนึ่งเฝ้ารอคอยการกลับมาของบุรุษอันเป็นที่รักบนเส้นทางหลวงที่ทอดยาวมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง เงาทะมึนของกองทัพที่ยิ่งใหญ่ปรากฏขึ้นที่ปลายขอบฟ้า มันคือภาพที่น่าเกรงขามและเปี่ยมด้วยเกียรติยศอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนกองทัพต้าหลงกำลังเดินทางกลับบ้านเถี่ย อ้าวเทียน ในชุดเกราะเต็มยศสีนิลกาฬ ควบม้าสงครามสีดำทมิฬนำอยู่หน้าสุดของกองทัพ ธงมังกรสีดำขลิบทองโบกสะบัดอย่างทระนงอยู่เบื้องหลังเขา แววตาที่เคยเย็นชาและเต็มไปด้วยไอสังหาร บัดนี้กลับฉายแววแห่งความเหนื่อยล้าแต่ก็เปี่ยมด้วยความสงบนิ่งและอำนาจของราชันย์ผู้แท้จริงเบื้องหลังเขาคือเหล่าทหารหาญนับแสนที่เดินทัพกลับมาในฐานะวีรบุรุษ และเชลยศึกราชวงศ์เป่ยหมันที่เดินตามมาในฐานะทาสที่จะต้องมาชดใช้กรรมด้วยแรงงานของตนเองเมื่อกองทัพเดินทางมาถึงหน้าประตูเมืองหลวงเสียงโห่ร้องที่ดังราวกับแผ่นดินจะถล่มก็ได้ดังขึ้นประชาชนนับล้านออกมายืนรอต้อนรับพวกเขาสองข้างทางพวกเขาโยนดอกไม้โปรยปรายกระดาษสี และตะโก







