เมื่อขบวนสินค้าเดินทางมาถึงเมืองเป่ยซุย ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเล่าหยาง และเป็นจุดพักสำคัญก่อนจะเข้าสู่เขตอิทธิพลของเป่ยเหลียง เฟิงซือเฟิงตัดสินใจที่จะพักอยู่ที่นี่หลายวันเพื่อจัดการเรื่องการค้าและติดต่อกับคู่ค้าในท้องถิ่น ที่นี่เองที่นางเริ่มสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับ "หยวนจิ่ง" อย่างจริงจังมากขึ้น
นางใช้เครือข่ายและสายข่าวของตระกูลเฟิง ซึ่งแม้จะเน้นไปที่การค้าเป็นหลัก แต่ก็พอจะมีหูมีตาอยู่บ้างในเมืองสำคัญต่างๆ
"ชายหนุ่ม รูปพรรณสง่างาม เดินทางพร้อมผู้ติดตามฝีมือดี และดูเหมือนจะสนใจเรื่องกิจการภายในของทางการเป็นพิเศษ"
เฟิงซือเฟิงให้ข้อมูลกับสายข่าวของนาง
ในขณะเดียวกัน หลี่จิ่งหยวนก็ใช้เวลาในเมืองเป่ยซุยนี้ในการติดต่อกับสายลับของเขาที่แฝงตัวอยู่ในต้าถัง เขาต้องการทราบความเคลื่อนไหวล่าสุดของเหล่าขุนนางกังฉิน และประเมินสถานการณ์เพื่อวางแผนขั้นต่อไป
"ฝ่าบาท มีข่าวลือหนาหูว่าแม่ทัพเฟิงอวี่ซานกำลังจะส่งบุตรสาวคนเล็กมาดูแลกิจการค้าที่เล่าหยางพ่ะย่ะค่ะ"
สายลับคนหนึ่งรายงาน
"กล่าวกันว่านางมีความสามารถด้านการค้าไม่น้อย และดูเหมือนจะมีความคิดอ่านที่แตกต่างจากคุณหนูในห้องหอทั่วไป"
หลี่จิ่งหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย
"บุตรสาวคนเล็กของแม่ทัพเฟิง... เฟิงซือเฟิงงั้นรึ?"
ชื่อนี้ตรงกับชื่อที่คุณหนูผู้กล้าหาญคนนั้นแนะนำตัวกับเขาพอดิบพอดี
"ลักษณะท่าทางเป็นอย่างไร?"
"รูปโฉมงดงาม อายุราวสิบหกสิบเจ็ดปี มีไหวพริบเฉลียวฉลาดพ่ะย่ะค่ะ"
ข้อมูลที่ได้รับทำให้หลี่จิ่งหยวนเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้
"ซือเฟิง... เฟิงซือเฟิง... บุตรีแม่ทัพใหญ่แห่งอุดร"
เขาทวนชื่อในใจ ความประหลาดใจฉายชัดในแววตา
"มิน่าเล่า นางถึงได้มีความกล้าหาญและสติปัญญาเกินสตรีทั่วไป ทั้งยังมีความรู้เรื่องยุทธวิธีอีกด้วย"
หากนางคือลูกสาวของแม่ทัพเฟิงจริง การที่นางปลอมเป็นชาย หรือเดินทางโดยไม่เปิดเผยฐานะ ก็อาจจะเป็นเพราะต้องการพิสูจน์ตัวเอง หรืออาจจะมีเหตุผลอื่นที่ซับซ้อนกว่านั้น
ทางด้านเฟิงซือเฟิง หลังจากรอคอยอยู่หลายวัน ในที่สุดสายข่าวของนางก็นำข้อมูลสำคัญมาให้
"คุณหนูขอรับ จากการสืบของเรา พ่อค้าที่ชื่อหยวนจิ่งผู้นั้น แท้จริงแล้วอาจจะไม่ใช่พ่อค้าธรรมดาขอรับ"
สายข่าวรายงานด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
"มีคนเห็นเขาเข้าออกค่ายทหารเป่ยเหลียงที่ตั้งอยู่นอกเมืองอย่างลับๆ หลายครั้ง และผู้ติดตามของเขาก็มีลักษณะคล้ายทหารองครักษ์ชั้นสูงของเป่ยเหลียง"
"เป่ยเหลียง!"
เฟิงซือเฟิงอุทานเบาๆ หัวใจเต้นแรงขึ้น
"หมายความว่าเขา...เป็นคนของเป่ยเหลียงงั้นหรือ?"
ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว
"หรือว่าเขาจะเป็น...เชื้อพระวงศ์?"
เป่ยเหลียงเป็นรัฐบรรณาการก็จริง แต่ก็มีกองกำลังทหารที่แข็งแกร่งและมักจะมีเรื่องกระทบกระทั่งกับต้าถังอยู่เนืองๆ ตามแนวชายแดน
ความจริงที่ค่อยๆ เปิดเผยออกมาทำให้ทั้งเฟิงซือเฟิงและหลี่จิ่งหยวนต่างก็ตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิด ทั้งคู่ต่างรู้แล้วว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนธรรมดาอย่างที่แสดงออก แต่เป็นบุคคลที่มีภูมิหลังและความสำคัญไม่น้อย
เย็นวันนั้น เฟิงซือเฟิงตัดสินใจที่จะเผชิญหน้ากับหลี่จิ่งหยวนโดยตรง นางให้คนไปเชิญเขามาพบที่ห้องรับรองส่วนตัวในหอการค้าของสกุลเฟิง
เมื่อหลี่จิ่งหยวนมาถึง เขาสังเกตเห็นว่าบรรยากาศในห้องดูเคร่งขรึมกว่าปกติ เฟิงซือเฟิงนั่งรออยู่แล้วด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่แววตาของนางกลับเต็มไปด้วยคำถาม
"เชิญนั่งก่อนสิ ท่าน...หยวนจิ่ง"
เฟิงซือเฟิงผายมือไปยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
หลี่จิ่งหยวนนั่งลงอย่างสงบ
"ไม่ทราบว่าคุณหนูซือเฟิงมีธุระอันใดกับข้าหรือ?"
"ข้าคิดว่าถึงเวลาที่เราควรจะพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมาแล้วกระมัง"
เฟิงซือเฟิงจ้องมองเข้าไปในดวงตาของเขา
"ท่านไม่ใช่พ่อค้าเร่ร่อนธรรมดาใช่หรือไม่?"
หลี่จิ่งหยวนนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมรับแต่โดยดี
"ใช่ ข้าไม่ใช่พ่อค้า"
"แล้วท่านเป็นใครกันแน่? คนของเป่ยเหลียง?"
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายรู้ถึงขั้นนี้แล้ว การปิดบังต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ หลี่จิ่งหยวนจึงตัดสินใจเปิดเผยตัวตนส่วนหนึ่ง
"ข้ามีนามว่า หลี่จิ่งหยวน เป็นคนจากเป่ยเหลียงจริงดังที่ท่านว่า"
เขาไม่ได้บอกถึงฐานะองค์ชายของตน เพียงแต่ยอมรับว่าเป็นคนของเป่ยเหลียงเท่านั้น
เฟิงซือเฟิงพยักหน้ารับ
"แล้วจุดประสงค์ที่ท่านเดินทางมาต้าถัง และปลอมตัวเป็นพ่อค้าคืออะไร? เกี่ยวข้องกับการคอร์รัปชันของข้าราชการท้องถิ่นที่เล่าหยางใช่หรือไม่?"
นางคาดเดาจากพฤติกรรมของเขาที่ผ่านมา หลี่จิ่งหยวนเลิกคิ้วเล็กน้อย ทึ่งในความเฉียบแหลมของนาง
"คุณหนูช่างสังเกตยิ่งนัก" เขายอมรับ
"ใช่ ข้ากำลังสืบเรื่องการทุจริตของขุนนางบางกลุ่มที่ส่งผลกระทบต่อการค้าและเสถียรภาพของทั้งสองฝ่าย"
"แล้วท่านเล่า คุณหนูเฟิงซือเฟิง บุตรีของแม่ทัพใหญ่เฟิงอวี่ซาน เหตุใดจึงต้องปลอมตัวเป็นชาย และเดินทางมาดูแลกิจการค้าด้วยตนเองถึงเล่าหยาง?"
คราวนี้เป็นฝ่ายหลี่จิ่งหยวนที่ถามกลับบ้าง
เฟิงซือเฟิงยิ้มบางๆ
"ท่านก็สืบเรื่องของข้ามาไม่น้อยเหมือนกันนี่" นางยอมรับ
"ใช่ ข้าคือเฟิงซือเฟิง ที่ข้าต้องทำเช่นนี้ก็เพราะต้องการพิสูจน์ตัวเอง และบางที...ก็อาจจะมีเหตุผลอื่นที่คล้ายกับของท่านก็ได้"
นางหมายถึงการต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น เมื่อความจริงบางส่วนถูกเปิดเผย บรรยากาศที่ตึงเครียดระหว่างทั้งสองก็เริ่มคลี่คลายลง กลายเป็นความเข้าใจและความรู้สึกเหมือนเป็นพวกเดียวกันอย่างประหลาด
"ถ้าเช่นนั้น" เฟิงซือเฟิงเอ่ยขึ้นก่อน
"ในเมื่อเราต่างก็มีเป้าหมายที่คล้ายคลึงกัน คือการจัดการกับพวกขุนนางกังฉินที่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนและพ่อค้า บางที...เราอาจจะร่วมมือกันได้"
ข้อเสนอของนางทำให้หลี่จิ่งหยวนประหลาดใจ แต่ก็สนใจไม่น้อย
"ร่วมมือกันรึ?"
"ใช่" เฟิงซือเฟิงกล่าวอย่างหนักแน่น
"ท่านมีข้อมูลและกำลังคนจากเป่ยเหลียง ส่วนข้ามีเครือข่ายการค้าและเส้นสายในต้าถัง หากเราร่วมมือกัน การเปิดโปงการคอร์รัปชันและการปฏิรูปสิ่งที่เน่าเฟะเหล่านี้ก็น่าจะมีโอกาสสำเร็จมากขึ้น"
หลี่จิ่งหยวนมองใบหน้าเล็กๆ แต่แฝงไว้ด้วยความเด็ดเดี่ยวของเฟิงซือเฟิงอย่างพิจารณา ข้อเสนอของนางน่าสนใจและมีเหตุผล หากได้รับความช่วยเหลือจากสกุลเฟิงที่มีอิทธิพลทางการค้าสูง ย่อมเป็นประโยชน์ต่อแผนการของเขาอย่างมาก
"ข้อเสนอของท่านน่าสนใจมาก คุณหนูเฟิง"
หลี่จิ่งหยวนตอบ
"ข้าจะรับไว้พิจารณา"
แม้จะยังไม่ได้ตกลงอย่างเป็นทางการ แต่การเปิดเผยความลับบางส่วนและการยื่นข้อเสนอที่จะร่วมมือกันในครั้งนี้ ได้ทลายกำแพงแห่งความสงสัยระหว่างคนทั้งสองลงไปมากโข ก่อเกิดเป็นความเชื่อใจและความหวังเล็กๆ ในการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม
ลมแห่งโชคชะตาได้พัดพากระซิบความจริงออกมาแล้ว และมันกำลังจะนำพาทั้งสองคนไปสู่เส้นทางใหม่ที่ต้องเผชิญร่วมกัน...
ค่ำคืนนั้น หลังจากจัดส่งบุตรธิดาเข้านอนเรียบร้อย ทิ้งความวุ่นวายของวันไว้เบื้องหลัง เฟิงซือเฟิงรู้สึกอ่อนล้าทั้งกายและใจจากงานที่เบียดเสียด และจากความซุกซนของหลี่หยางฉีกับหลี่เหมยลี่ นางปรารถนาแต่ช่วงเวลาแห่งการผ่อนคลายในอ่างอาบน้ำที่อบอวลไปด้วยไอน้ำอุ่นห้องอาบน้ำส่วนพระองค์ของตำหนักมังกรเหมยนั้นกว้างขวางและงดงามเสมือนห้องโถงเล็กๆ แสงเทียนจากโคมไฟกระดาษที่แขวนอยู่รอบห้องส่องแสงนวลตา ขับไล่ความมืดและสร้างบรรยากาศอันอบอุ่น อ่างหินอ่อนขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง น้ำอุ่นที่ผสมสมุนไพรหอมส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว กลีบโบตั๋นสีชมพูอ่อนและดอกเหมยขาวลอยอยู่บนผิวน้ำที่ปล่อยไอเบาๆ ดุจม่านหมอกเฟิงซือเฟิงค่อยๆ ถอดผ้าไหมบางเบาออกทีละชิ้นอย่างเชื่องช้า ผิวพรรณเนียนใสของนางเปล่งประกายใต้แสงเทียน สวยงามราวหยกเนื้อดีที่เพิ่งขัดเกลา นางก้าวลงสู่น้ำอุ่นอย่างแผ่วเบา รู้สึกถึงความอุ่นที่ซึมซาบเข้าสู่ร่างที่เหนื่อยล้า ความสบายแผ่ซ่านไปทั่วกาย นางเอนตัวพิงขอบอ่าง หลับตาลง ดื่มด่ำกับความสงบที่โอบล้อมไม่นานนัก เสียงฝีเท้าคุ้นเคยก็ดังมาในห้อง หลี่จิ่งหยวนในชุดลำลองผ้าไหมสีเข้มเดินเข้ามาเงียบเชียบ ดวงตาคมกริบจับจ้องร
ในค่ำคืนสุดท้ายก่อนที่ดวงตะวันจะทอแสงแห่งการจากลา เฟิงซือเฟิงและหลี่จิ่งหยวนกลับมายังศาลาริมน้ำอันเป็นที่โปรดปรานของพวกเขา ศาลาแห่งนี้ตั้งอยู่ลึกเข้าไปในสวนลับของเรือนพัก ที่ซึ่งพวกเขาเคยแบ่งปันทั้งแผนการลับและหัวใจให้แก่กันยามค่ำคืน แสงจันทร์สีเงินนวลสาดส่องลงมายังผิวน้ำในสระบัวที่นิ่งสงบ สร้างประกายระยิบระยับราวกับดวงดาวนับพันดวงได้หล่นลงมาเต้นระบำอยู่บนผิวน้ำยามราตรี กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกบัวยามค่ำคืนลอยอบอวลมาตามสายลมบางเบา คลอเคล้ากับเสียงหรีดหริ่งเรไรที่ขับขานเป็นบทเพลงแห่งความอาลัยอาวรณ์ทั้งสองยืนเคียงข้างกันบนศาลาไม้ สัมผัสถึงไอเย็นจากผิวน้ำที่พัดขึ้นมาปะทะกาย อ้อมแขนของหลี่จิ่งหยวนโอบรอบเอวบางของเฟิงซือเฟิงอย่างหลวมๆ แต่แฝงไว้ด้วยความมั่นคงอันหนักแน่น ราวกับจะบอกว่าเขาจะไม่มีวันปล่อยนางไป สายตาของพวกเขาเงยขึ้นมองไปยังดวงดาวนับล้านดวงที่ส่องแสงระยิบระยับเต็มท้องฟ้ายามค่ำคืนของเล่าหยาง เป็นดวงดาวที่สว่างไสวกว่าทุกค่ำคืนที่ผ่านมา ราวกับเป็นพยานรู้เห็นถึงพันธสัญญาแห่งหัวใจที่กำลังจะเกิดขึ้น"ข้ากลัวเหลือเกินจิ่งหยวน" เฟิงซือเฟิงเอ่ยเสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน เสียงของนางสั่นเครือเ
ยามค่ำคืนที่แสงจันทร์สีเงินนวลสาดส่องลงมายังเรือนพักลับอันเงียบสงัดของเฟิงซือเฟิง แสงนั้นขับไล่ความมืดมิดภายนอกให้เลือนหายไป แต่กลับมิอาจขับไล่เงามืดแห่งความกังวลที่กำลังปกคลุมจิตใจของคนทั้งสอง แผนการปฏิรูปประเทศที่หลี่จิ่งหยวนและเฟิงซือเฟิงร่วมกันสร้างสรรค์ขึ้นนั้น แม้จะเริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรม นำพาความเจริญรุ่งเรืองมาสู่เมืองเล่าหยางอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน หากแต่คลื่นใต้น้ำแห่งความไม่พอใจจากเหล่าขุนนางเก่าที่เสียผลประโยชน์ก็เริ่มก่อตัวขึ้น ราชสำนักต้าถังที่เคยนิ่งเฉย บัดนี้เริ่มแสดงความกังวลถึงอิทธิพลของหลี่จิ่งหยวนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เสียงกระซิบกระซาบถึง "อำนาจที่เติบโตเกินกว่าจะควบคุม" และ "ความสัมพันธ์ที่คลุมเครือกับบุตรีแม่ทัพ" เริ่มแพร่สะพัดดุจไฟลามทุ่ง เฟิงซือเฟิงเองก็รู้สึกถึงแรงกดดันที่ถาโถมเข้ามา ทั้งจากสายตาที่จับจ้อง และความระแวงที่แผ่กระจายไปทั่วในค่ำคืนที่เงียบสงัดนั้น หลังจากที่เฟิงซือเฟิงผล็อยหลับไปบนเตียง หลี่จิ่งหยวนยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ข้างเตียงของนาง ไม่ยอมหลับลง แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาในห้อง เผยให้เห็นใบหน้าที่หมดจดเกลี้ยงเกลาของนางที่ดูสงบยามหลับใหล แพขนต
ค่ำคืนนั้น หลังจากการหลบหนีจากการตามล่าของเหล่ามือสังหารเงาตามตัวมาได้อย่างหวุดหวิด เฟิงซือเฟิงและหลี่จิ่งหยวนก็กลับมายังเรือนพักลับของเขาที่ตั้งอยู่ในมุมหนึ่งของเมืองเล่าหยางที่เงียบสงัดราวกับถูกซ่อนไว้จากโลกภายนอก เสียงลมหายใจของคนทั้งคู่ยังคงหอบถี่ด้วยความเหนื่อยล้าและหวาดกลัวที่ยังคงเกาะกุมอยู่ในจิตใจ แม้กายจะพ้นจากอันตราย แต่ใจก็ยังคงสั่นระริกราวกับใบไม้ต้องลมยามพายุโหมกระหน่ำ สายฝนภายนอกเริ่มซาลง เหลือเพียงเสียงเม็ดฝนกระทบหลังคาแผ่วเบา คลอเคล้ากับเสียงฟืนในเตาผิงที่ลุกไหม้อย่างช้าๆ ให้ความอบอุ่นแก่เรือนพักภายในห้องที่สว่างไสวด้วยแสงเทียนสีนวลอ่อนๆ จากตะเกียงทองเหลืองเก่าแก่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง แสงนั้นขับไล่ความมืดมิดและสร้างบรรยากาศอันอบอุ่นละมุนละไม หลี่จิ่งหยวนในชุดที่เปรอะเปื้อนคราบดินโคลนและร่องรอยของการต่อสู้ กำลังบรรจงปฐมพยาบาลบาดแผลเล็กน้อยที่หัวไหล่ของเฟิงซือเฟิงอย่างอ่อนโยน ใบหน้าคมคายของเขาฉายแววเคร่งเครียดและเต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างเห็นได้ชัด ทุกการเคลื่อนไหวของเขาล้วนแผ่วเบาและพิถีพิถัน ราวกับกลัวว่าการสัมผัสเพียงน้อยนิดจะทำให้นางเจ็บปวดไปมากกว่านี้ เฟิงซือเฟิงอยู่ใ
งานเลี้ยงเฉลิมฉลองความสำเร็จในการฟื้นฟูเมืองเล่าหยางถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ตระการตา ณ โถงกลางของจวนผู้ว่าการเมืองที่เพิ่งได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ แสงไฟจากโคมนับพันดวงส่องสว่างเรืองรองขับไล่ความมืดมิดยามค่ำคืน ผ้าแพรไหมเนื้อดีสีแดงสดและสีทองอร่ามประดับประดาไปทั่วทุกซอกมุมของโถง แสดงถึงความมั่งคั่งและปิติยินดี เสียงดนตรีบรรเลงขับขานก้องกังวานไปทั่วงาน เสียงพิณที่ไพเราะราวเสียงน้ำตก เสียงขลุ่ยที่อ่อนหวานราวสายลมพัดต้องกลีบดอกไม้ และเสียงกลองที่เร่งเร้าราวจังหวะหัวใจที่เต้นรัว ผู้คนมากมายทั้งขุนนาง พ่อค้าใหญ่ และผู้มีอิทธิพลจากทั่วสารทิศต่างมารวมตัวกันอย่างคับคั่ง ใบหน้าของทุกคนเปื้อนยิ้มแห่งความสุขและความพึงพอใจ กลิ่นหอมของสุราเลิศรส อาหารเลิศรส และเครื่องหอมนานาชนิดคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ สร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและมีชีวิตชีวา แต่ภายใต้ความคึกคักนั้น ยังคงมีกระแสคลื่นใต้น้ำแห่งการเมืองและผลประโยชน์ที่มองไม่เห็นไหลวนอยู่เฟิงซือเฟิงในชุดผ้าไหมสีเข้มเรียบง่าย ซึ่งเป็นชุดที่นางจงใจเลือกเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตมากเกินไป แต่ก็ยังคงความสง่างามตามธรรมชาติของบุตรีแม่ทัพไว้ได้อย่างครบถ้วน เส้นผมดำขลับ
ค่ำคืนนั้น หลังจากการวิ่งหนีการตามล่าของเหล่ามือสังหารเงาตามตัวมาได้อย่างหวุดหวิด เฟิงซือเฟิงและหลี่จิ่งหยวนก็กลับมายังเรือนพักลับของเขาที่ตั้งอยู่ในมุมหนึ่งของเมืองเล่าหยางที่เงียบสงัด เสียงลมหายใจของคนทั้งคู่ยังคงหอบถี่ด้วยความเหนื่อยล้าและหวาดกลัวที่ยังคงเกาะกุมอยู่ในจิตใจ แม้กายจะพ้นจากอันตราย แต่ใจก็ยังคงสั่นระริกราวกับใบไม้ต้องลมยามพายุโหมกระหน่ำ แสงเทียนจากตะเกียงทองเหลืองเก่าแก่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง ส่องสว่างนวลตาขับไล่ความมืดมิดและสร้างบรรยากาศอันอบอุ่นเล็กๆ ให้กับห้องพักที่เรียบง่ายแต่เป็นที่พึ่งพิงในยามนี้หลี่จิ่งหยวนในชุดที่เปรอะเปื้อนคราบดินโคลนและร่องรอยของการต่อสู้ กำลังบรรจงปฐมพยาบาลบาดแผลเล็กน้อยที่แขนของเฟิงซือเฟิงอย่างอ่อนโยน ใบหน้าคมคายของเขาฉายแววเคร่งเครียดและเต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างเห็นได้ชัด ทุกการเคลื่อนไหวของเขาล้วนแผ่วเบาและพิถีพิถัน ราวกับกลัวว่าการสัมผัสเพียงน้อยนิดจะทำให้นางเจ็บปวดไปมากกว่านี้ เฟิงซือเฟิงในชุดผ้าไหมบางเบาที่บัดนี้เปื้อนคราบเลือดแห้งกรังเล็กน้อย มองดูเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ แสงเทียนส่องกระทบใบหน้าของเขา เผยให้เห็นรอยเหนื่อยล