หลังจากวันนั้น เฟิงซือเฟิงและหลี่จิ่งหยวนได้มีโอกาสพูดคุยกันมากขึ้น ทั้งสองแลกเปลี่ยนข้อมูลและความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์การค้าและการเมืองในแถบชายแดนอย่างเปิดอก เฟิงซือเฟิงได้เรียนรู้ว่าหลี่จิ่งหยวนนั้นมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการปกครองและยุทธศาสตร์อย่างลึกซึ้งเกินกว่าที่นางคาดคิด ส่วนหลี่จิ่งหยวนก็ทึ่งในความเฉียบแหลมทางการค้าและความเข้าใจในกลไกตลาดของเฟิงซือเฟิง
"ข้าไม่เคยคิดว่าบุตรีของแม่ทัพจะมีความรู้เรื่องการค้าได้แตกฉานถึงเพียงนี้"
หลี่จิ่งหยวนเอ่ยชมอย่างจริงใจ ในค่ำคืนหนึ่งที่ทั้งสองนัดพบกันที่ศาลาริมสระบัวในสวนของหอการค้า แสงจันทร์นวลสาดส่องลงมากระทบผิวน้ำเป็นประกายระยิบระยับ
เฟิงซือเฟิงยิ้มบางๆ
"ข้าเติบโตมากับเรื่องราวเหล่านี้จากมารดา และเห็นว่ามันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการอยู่รอดในโลกที่ทุกอย่างขับเคลื่อนด้วยอำนาจและผลประโยชน์"
นางหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ
"แล้วท่านเล่า เหตุใดคนจากเป่ยเหลียงจึงต้องมาเสี่ยงอันตรายสืบเรื่องคอร์รัปชันในต้าถังด้วยตัวเอง หรือว่าเรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อเป่ยเหลียงมากกว่าที่เราคิด?"
หลี่จิ่งหยวนถอนหายใจแผ่วเบา
"การทุจริตของขุนนางต้าถังบางกลุ่มทำให้การค้าชายแดนปั่นป่วน สินค้าจากเป่ยเหลียงถูกกดราคาและกีดกันอย่างไม่เป็นธรรม ทั้งยังมีการลักลอบขนอาวุธเถื่อนเข้าไปในดินแดนของเรา สร้างความไม่สงบตามแนวชายแดน เรื่องเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของเป่ยเหลียงโดยตรง"
แววตาของเขาฉายประกายมุ่งมั่น
"ข้าไม่อาจนิ่งดูดายได้"
"เป้าหมายของท่าน...ดูจะยิ่งใหญ่กว่าแค่การเปิดโปงการคอร์รัปชันนะ" เฟิงซือเฟิงสังเกต
หลี่จิ่งหยวนมองหน้านาง ดวงตาของเขาลุ่มลึกดุจห้วงมหาสมุทรยามค่ำคืน
"ข้าต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น ไม่ใช่แค่ในเป่ยเหลียง แต่รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐของเราด้วย"
คำพูดของเขาทำให้เฟิงซือเฟิงรู้สึกได้ถึงความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทีเยือกเย็นนั้น
"ข้าเข้าใจแล้ว" นางพยักหน้า
"และข้าก็เห็นด้วยว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งจำเป็น"
"ถ้าเช่นนั้น" หลี่จิ่งหยวนมองสบตานางอย่างจริงจัง
"ข้อเสนอเรื่องการร่วมมือกันของท่าน ข้าตกลง"
เฟิงซือเฟิงยิ้มออกมาอย่างยินดี
"ข้าดีใจที่ท่านเห็นด้วย"
"แต่มีเงื่อนไข" หลี่จิ่งหยวนกล่าวต่อ
"การร่วมมือของเราจะต้องเป็นความลับขั้นสูงสุด จะต้องไม่มีใครล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์นี้ โดยเฉพาะคนในราชสำนักของทั้งสองฝ่าย"
"ข้าเข้าใจ"
เฟิงซือเฟิงรับคำ
"เรื่องนี้ย่อมต้องระมัดระวังเป็นพิเศษอยู่แล้ว"
"และอีกอย่าง"
หลี่จิ่งหยวนเสริม
"แม้เราจะร่วมมือกัน แต่ข้าหวังว่าท่านจะเข้าใจว่าเป้าหมายสูงสุดของข้าคือผลประโยชน์ของเป่ยเหลียง หากวันใดวันหนึ่งผลประโยชน์ของเราขัดแย้งกัน..."
"ข้าก็เข้าใจเช่นกันว่าท่านย่อมต้องเลือกเป่ยเหลียง"
เฟิงซือเฟิงพูดต่อให้จบประโยค
"และข้าก็เช่นกัน หากถึงจุดนั้น ข้าก็ย่อมต้องเลือกต้าถังและสกุลเฟิง"
ทั้งสองสบตากันอย่างเข้าใจ ไม่มีคำพูดใดๆ อีก แต่กลับมีความรู้สึกหนักแน่นของสัจจะและข้อตกลงที่มองไม่เห็นผูกพันคนทั้งคู่ไว้ใต้เงาจันทร์ในค่ำคืนนั้น
"ถ้าเช่นนั้น เพื่อการเริ่มต้นที่ดี ข้ามีข้อมูลบางอย่างที่อาจจะเป็นประโยชน์ต่อท่าน"
เฟิงซือเฟิงเอ่ยขึ้น
"เกี่ยวกับขุนนางคนหนึ่งในเล่าหยางที่ร่ำรวยผิดปกติ และมีพฤติกรรมน่าสงสัยมานานแล้ว เขาชื่อว่า เฉินกุ้ย เป็นนายด่านเก็บภาษี"
หลี่จิ่งหยวนพยักหน้ารับ
"ข้าเคยได้ยินชื่อเขามาบ้าง และกำลังจับตามองอยู่พอดี ข้อมูลของท่านจะช่วยยืนยันความสงสัยของข้าได้มาก"
"ข้ายินดีให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่"
เฟิงซือเฟิงกล่าว
"เครือข่ายการค้าของข้าสามารถช่วยท่านสืบหาข้อมูล หรือแม้กระทั่ง...สร้างสถานการณ์บางอย่างเพื่อเปิดโปงเขาได้"
"ขอบคุณมาก คุณหนูเฟิง"
หลี่จิ่งหยวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลงกว่าปกติ
"ความช่วยเหลือของท่านมีค่าอย่างยิ่ง"
"เรียกข้าว่าซือเฟิงเถอะ" เฟิงซือเฟิงบอก
"ในเมื่อเราตกลงที่จะร่วมมือกันแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมากพิธีรีตองอีก"
หลี่จิ่งหยวนยิ้มบางๆ
"ถ้าเช่นนั้น ท่านก็เรียกข้าว่าจิ่งหยวนได้เช่นกัน"
เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองเรียกชื่อต้นของกันและกัน สร้างความรู้สึกใกล้ชิดและผูกพันที่แปลกใหม่ขึ้นในใจ แม้ว่าหนทางข้างหน้าจะเต็มไปด้วยอันตรายและความไม่แน่นอน แต่การมีสหายร่วมอุดมการณ์ที่เข้าใจและไว้ใจได้ ก็ทำให้พวกเขารู้สึกมีกำลังใจมากขึ้น
ใต้แสงจันทร์นวลกระจ่าง สองหนุ่มสาวจากต่างแคว้น ต่างสถานะ แต่มีเป้าหมายเดียวกัน ได้จับมือกันอย่างลับๆ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ สัญญาที่ไม่ได้เอ่ยเป็นคำพูด แต่หนักแน่นด้วยความมุ่งมั่นและความไว้ใจ ได้ถูกก่อร่างขึ้นในคืนนั้น ณ เมืองเป่ยซุยแห่งนี้เอง...
ค่ำคืนนั้น หลังจากจัดส่งบุตรธิดาเข้านอนเรียบร้อย ทิ้งความวุ่นวายของวันไว้เบื้องหลัง เฟิงซือเฟิงรู้สึกอ่อนล้าทั้งกายและใจจากงานที่เบียดเสียด และจากความซุกซนของหลี่หยางฉีกับหลี่เหมยลี่ นางปรารถนาแต่ช่วงเวลาแห่งการผ่อนคลายในอ่างอาบน้ำที่อบอวลไปด้วยไอน้ำอุ่นห้องอาบน้ำส่วนพระองค์ของตำหนักมังกรเหมยนั้นกว้างขวางและงดงามเสมือนห้องโถงเล็กๆ แสงเทียนจากโคมไฟกระดาษที่แขวนอยู่รอบห้องส่องแสงนวลตา ขับไล่ความมืดและสร้างบรรยากาศอันอบอุ่น อ่างหินอ่อนขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง น้ำอุ่นที่ผสมสมุนไพรหอมส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว กลีบโบตั๋นสีชมพูอ่อนและดอกเหมยขาวลอยอยู่บนผิวน้ำที่ปล่อยไอเบาๆ ดุจม่านหมอกเฟิงซือเฟิงค่อยๆ ถอดผ้าไหมบางเบาออกทีละชิ้นอย่างเชื่องช้า ผิวพรรณเนียนใสของนางเปล่งประกายใต้แสงเทียน สวยงามราวหยกเนื้อดีที่เพิ่งขัดเกลา นางก้าวลงสู่น้ำอุ่นอย่างแผ่วเบา รู้สึกถึงความอุ่นที่ซึมซาบเข้าสู่ร่างที่เหนื่อยล้า ความสบายแผ่ซ่านไปทั่วกาย นางเอนตัวพิงขอบอ่าง หลับตาลง ดื่มด่ำกับความสงบที่โอบล้อมไม่นานนัก เสียงฝีเท้าคุ้นเคยก็ดังมาในห้อง หลี่จิ่งหยวนในชุดลำลองผ้าไหมสีเข้มเดินเข้ามาเงียบเชียบ ดวงตาคมกริบจับจ้องร
ในค่ำคืนสุดท้ายก่อนที่ดวงตะวันจะทอแสงแห่งการจากลา เฟิงซือเฟิงและหลี่จิ่งหยวนกลับมายังศาลาริมน้ำอันเป็นที่โปรดปรานของพวกเขา ศาลาแห่งนี้ตั้งอยู่ลึกเข้าไปในสวนลับของเรือนพัก ที่ซึ่งพวกเขาเคยแบ่งปันทั้งแผนการลับและหัวใจให้แก่กันยามค่ำคืน แสงจันทร์สีเงินนวลสาดส่องลงมายังผิวน้ำในสระบัวที่นิ่งสงบ สร้างประกายระยิบระยับราวกับดวงดาวนับพันดวงได้หล่นลงมาเต้นระบำอยู่บนผิวน้ำยามราตรี กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกบัวยามค่ำคืนลอยอบอวลมาตามสายลมบางเบา คลอเคล้ากับเสียงหรีดหริ่งเรไรที่ขับขานเป็นบทเพลงแห่งความอาลัยอาวรณ์ทั้งสองยืนเคียงข้างกันบนศาลาไม้ สัมผัสถึงไอเย็นจากผิวน้ำที่พัดขึ้นมาปะทะกาย อ้อมแขนของหลี่จิ่งหยวนโอบรอบเอวบางของเฟิงซือเฟิงอย่างหลวมๆ แต่แฝงไว้ด้วยความมั่นคงอันหนักแน่น ราวกับจะบอกว่าเขาจะไม่มีวันปล่อยนางไป สายตาของพวกเขาเงยขึ้นมองไปยังดวงดาวนับล้านดวงที่ส่องแสงระยิบระยับเต็มท้องฟ้ายามค่ำคืนของเล่าหยาง เป็นดวงดาวที่สว่างไสวกว่าทุกค่ำคืนที่ผ่านมา ราวกับเป็นพยานรู้เห็นถึงพันธสัญญาแห่งหัวใจที่กำลังจะเกิดขึ้น"ข้ากลัวเหลือเกินจิ่งหยวน" เฟิงซือเฟิงเอ่ยเสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน เสียงของนางสั่นเครือเ
ยามค่ำคืนที่แสงจันทร์สีเงินนวลสาดส่องลงมายังเรือนพักลับอันเงียบสงัดของเฟิงซือเฟิง แสงนั้นขับไล่ความมืดมิดภายนอกให้เลือนหายไป แต่กลับมิอาจขับไล่เงามืดแห่งความกังวลที่กำลังปกคลุมจิตใจของคนทั้งสอง แผนการปฏิรูปประเทศที่หลี่จิ่งหยวนและเฟิงซือเฟิงร่วมกันสร้างสรรค์ขึ้นนั้น แม้จะเริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรม นำพาความเจริญรุ่งเรืองมาสู่เมืองเล่าหยางอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน หากแต่คลื่นใต้น้ำแห่งความไม่พอใจจากเหล่าขุนนางเก่าที่เสียผลประโยชน์ก็เริ่มก่อตัวขึ้น ราชสำนักต้าถังที่เคยนิ่งเฉย บัดนี้เริ่มแสดงความกังวลถึงอิทธิพลของหลี่จิ่งหยวนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เสียงกระซิบกระซาบถึง "อำนาจที่เติบโตเกินกว่าจะควบคุม" และ "ความสัมพันธ์ที่คลุมเครือกับบุตรีแม่ทัพ" เริ่มแพร่สะพัดดุจไฟลามทุ่ง เฟิงซือเฟิงเองก็รู้สึกถึงแรงกดดันที่ถาโถมเข้ามา ทั้งจากสายตาที่จับจ้อง และความระแวงที่แผ่กระจายไปทั่วในค่ำคืนที่เงียบสงัดนั้น หลังจากที่เฟิงซือเฟิงผล็อยหลับไปบนเตียง หลี่จิ่งหยวนยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ข้างเตียงของนาง ไม่ยอมหลับลง แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาในห้อง เผยให้เห็นใบหน้าที่หมดจดเกลี้ยงเกลาของนางที่ดูสงบยามหลับใหล แพขนต
ค่ำคืนนั้น หลังจากการหลบหนีจากการตามล่าของเหล่ามือสังหารเงาตามตัวมาได้อย่างหวุดหวิด เฟิงซือเฟิงและหลี่จิ่งหยวนก็กลับมายังเรือนพักลับของเขาที่ตั้งอยู่ในมุมหนึ่งของเมืองเล่าหยางที่เงียบสงัดราวกับถูกซ่อนไว้จากโลกภายนอก เสียงลมหายใจของคนทั้งคู่ยังคงหอบถี่ด้วยความเหนื่อยล้าและหวาดกลัวที่ยังคงเกาะกุมอยู่ในจิตใจ แม้กายจะพ้นจากอันตราย แต่ใจก็ยังคงสั่นระริกราวกับใบไม้ต้องลมยามพายุโหมกระหน่ำ สายฝนภายนอกเริ่มซาลง เหลือเพียงเสียงเม็ดฝนกระทบหลังคาแผ่วเบา คลอเคล้ากับเสียงฟืนในเตาผิงที่ลุกไหม้อย่างช้าๆ ให้ความอบอุ่นแก่เรือนพักภายในห้องที่สว่างไสวด้วยแสงเทียนสีนวลอ่อนๆ จากตะเกียงทองเหลืองเก่าแก่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง แสงนั้นขับไล่ความมืดมิดและสร้างบรรยากาศอันอบอุ่นละมุนละไม หลี่จิ่งหยวนในชุดที่เปรอะเปื้อนคราบดินโคลนและร่องรอยของการต่อสู้ กำลังบรรจงปฐมพยาบาลบาดแผลเล็กน้อยที่หัวไหล่ของเฟิงซือเฟิงอย่างอ่อนโยน ใบหน้าคมคายของเขาฉายแววเคร่งเครียดและเต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างเห็นได้ชัด ทุกการเคลื่อนไหวของเขาล้วนแผ่วเบาและพิถีพิถัน ราวกับกลัวว่าการสัมผัสเพียงน้อยนิดจะทำให้นางเจ็บปวดไปมากกว่านี้ เฟิงซือเฟิงอยู่ใ
งานเลี้ยงเฉลิมฉลองความสำเร็จในการฟื้นฟูเมืองเล่าหยางถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ตระการตา ณ โถงกลางของจวนผู้ว่าการเมืองที่เพิ่งได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ แสงไฟจากโคมนับพันดวงส่องสว่างเรืองรองขับไล่ความมืดมิดยามค่ำคืน ผ้าแพรไหมเนื้อดีสีแดงสดและสีทองอร่ามประดับประดาไปทั่วทุกซอกมุมของโถง แสดงถึงความมั่งคั่งและปิติยินดี เสียงดนตรีบรรเลงขับขานก้องกังวานไปทั่วงาน เสียงพิณที่ไพเราะราวเสียงน้ำตก เสียงขลุ่ยที่อ่อนหวานราวสายลมพัดต้องกลีบดอกไม้ และเสียงกลองที่เร่งเร้าราวจังหวะหัวใจที่เต้นรัว ผู้คนมากมายทั้งขุนนาง พ่อค้าใหญ่ และผู้มีอิทธิพลจากทั่วสารทิศต่างมารวมตัวกันอย่างคับคั่ง ใบหน้าของทุกคนเปื้อนยิ้มแห่งความสุขและความพึงพอใจ กลิ่นหอมของสุราเลิศรส อาหารเลิศรส และเครื่องหอมนานาชนิดคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ สร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและมีชีวิตชีวา แต่ภายใต้ความคึกคักนั้น ยังคงมีกระแสคลื่นใต้น้ำแห่งการเมืองและผลประโยชน์ที่มองไม่เห็นไหลวนอยู่เฟิงซือเฟิงในชุดผ้าไหมสีเข้มเรียบง่าย ซึ่งเป็นชุดที่นางจงใจเลือกเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตมากเกินไป แต่ก็ยังคงความสง่างามตามธรรมชาติของบุตรีแม่ทัพไว้ได้อย่างครบถ้วน เส้นผมดำขลับ
ค่ำคืนนั้น หลังจากการวิ่งหนีการตามล่าของเหล่ามือสังหารเงาตามตัวมาได้อย่างหวุดหวิด เฟิงซือเฟิงและหลี่จิ่งหยวนก็กลับมายังเรือนพักลับของเขาที่ตั้งอยู่ในมุมหนึ่งของเมืองเล่าหยางที่เงียบสงัด เสียงลมหายใจของคนทั้งคู่ยังคงหอบถี่ด้วยความเหนื่อยล้าและหวาดกลัวที่ยังคงเกาะกุมอยู่ในจิตใจ แม้กายจะพ้นจากอันตราย แต่ใจก็ยังคงสั่นระริกราวกับใบไม้ต้องลมยามพายุโหมกระหน่ำ แสงเทียนจากตะเกียงทองเหลืองเก่าแก่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง ส่องสว่างนวลตาขับไล่ความมืดมิดและสร้างบรรยากาศอันอบอุ่นเล็กๆ ให้กับห้องพักที่เรียบง่ายแต่เป็นที่พึ่งพิงในยามนี้หลี่จิ่งหยวนในชุดที่เปรอะเปื้อนคราบดินโคลนและร่องรอยของการต่อสู้ กำลังบรรจงปฐมพยาบาลบาดแผลเล็กน้อยที่แขนของเฟิงซือเฟิงอย่างอ่อนโยน ใบหน้าคมคายของเขาฉายแววเคร่งเครียดและเต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างเห็นได้ชัด ทุกการเคลื่อนไหวของเขาล้วนแผ่วเบาและพิถีพิถัน ราวกับกลัวว่าการสัมผัสเพียงน้อยนิดจะทำให้นางเจ็บปวดไปมากกว่านี้ เฟิงซือเฟิงในชุดผ้าไหมบางเบาที่บัดนี้เปื้อนคราบเลือดแห้งกรังเล็กน้อย มองดูเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ แสงเทียนส่องกระทบใบหน้าของเขา เผยให้เห็นรอยเหนื่อยล