นางถลึงตามอง “ข้าไม่มีทางขัดขวางการค้าของสามีอยู่แล้ว แค่ฝากซีฮวาบอกตามเวลาก็พอ ท่านจะได้ไม่กลับดึกเกินไป แต่นี่ซีฮวาคงอยากอยู่กับจิ้นสิงเต็มทีกระมัง ถึงบอกท่านเร็วนัก ข้ายังทำอาหารไม่เสร็จเลย”ทำอาหาร? หลิวไท่หยางแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองยังไม่ทันเปิดปากถามอย่างสงสัย ซิงเยว่ก็จับมือให้เขาเดินมาที่ริมระเบียง จับไหล่กว้างให้นั่งลงบนเก้าอี้ไม่นานอาหารน่ากินพลันถูกยกเข้ามาวางเรียงราย อาหารหลายจานยังเป็นของโปรดของหลิวไท่หยางทั้งสิ้น“ข้าใช้เวลาห้าวันเพื่อฝึกฝนฝีมือจนมั่นใจรสชาติ” ซิงเยว่โอ้อวดอย่างภาคภูมิ พลางหย่อนกายนั่งลงบนตักอุ่น ซุกซบอกแกร่งอย่างต้องการออดอ้อนหลิวไท่หยางรีบกระชับเอวคอดกิ่วเอาไว้“อย่าบอกนะว่าที่เจ้ายืดเวลาเรื่องมีระดูเกินจริงถึงเจ็ดวัน ให้ข้าต้องอดกลั้นแทบตายเพื่อคืนนี้ของเรา”ซิงเยว่เงยหน้า ส่งแววตากระเง้ากระงอด“อือ... เหลืออาหารอีกอย่าง ข้ายังทำไม่เสร็จเลย”หลิวไท่หยางให้รู้สึกอดใจไม่ไหว เขาก้มหน้าจุมพิตซิงเยว่หนักๆ หนึ่งที“เจ้าอย่าเหน็ดเหนื่อยเลย แค่นี้ก็พอแล้วล่ะ”ซิงเยว่ยกมือลูบไล้แผงอกหนา “ข้าไม่เหนื่อยสักนิด เพราะคืนเข้าหอครั้งแรกของเรา ต้องดีที่สุด แต่หลังจ
เวลาไม่ถึงชั่วก้านธูปบุรุษหนุ่มร่างสูงเดินตัวปลิวเข้าจวนหลิวราวพายุ กระทั่งบ่าวรับใช้ยังเปิดประตูแทบไม่ทันหลิวไท่หยางเดินอาดๆ ด้วยความเร็วปานสายฟ้า เข้าเรือนหลักซึ่งบัดนี้มิใช่แค่ใช้พำนักพักผ่อนหลับนอน หากแต่เป็นสถานที่สำหรับร่วมเรียงเคียงหมอนกับภรรยาเสื้อผ้าของเขาเต็มไปด้วยหิมะสีขาวโพลน รอบกายแผ่ซ่านไอเย็นหนาวจัด ควันสีขาวพวยพุ่งยามหายใจหอบ ทว่ากลิ่นอายจากอากัปกิริยากลับฉายชัดถึงความร้อนรุ่ม ใบหน้าหล่อเหลาขาวกระจ่างยิ่งกว่าแสงตะวันยามคิมหันต์ครั้นเข้ามาถึงหน้าห้อง พลันเห็นสาวใช้ยืนยอบกายรออยู่สองคน พวกนางทำสีหน้าเลิ่กลั่กหลิวไท่หยางมุ่นคิ้ว “มีอะไร?”สาวใช้คนหนึ่งอ้ำอึ้งตอบอึกอัก “เอ่อ...ฮูหยินบอกว่าหากนางไม่อนุญาต ผู้ใดก็ห้ามเข้าไปเด็ดขาดเจ้าค่ะ”ชายหนุ่มเลิกคิ้ว “แม้แต่ข้าหรือ?”สาวใช้อีกคนพยักหน้าคอแทบหัก “ฮูหยินย้ำว่า โดยเฉพาะนายน้อยหลิวเจ้าค่ะ”ยามนี้ใบหน้าหล่อเหลาปานหยกเนื้อละเอียดของหลิวไท่หยางซีดขาวสลับแดงคล้ำ ฉายแววประหลาดชวนหวาดหวั่นอย่างยิ่ง สาวใช้ทั้งสองมองอย่างลนลาน ยังไม่ทันกล่าวอะไร พลันเห็นผู้เป็นนายโบกมือไล่ “พวกเจ้าออกไป”ประหนึ่งฟ้าพิโรธเปลี่ยนเป็นสวรรค์โปรด
ฤดูเหมันต์เวียนบรรจบ หิมะโปรยปราย สองข้างทางขาวโพลนอีกครา เกิดประกายระยิบระยับยามกระทบโคมไฟยามราตรีอีกครั้งในรอบหลายปี แม้ต่างเวลา ทว่าความตระการตากลับไม่แตกต่างจากปีนั้นปีที่ชายหญิงคู่หนึ่งพบพานและประชันกันที่ลู่หยุน จวบจนความรักลอยวนรอบกายพวกเขาทั้งสองกลายเป็นคู่รักร่วมฝ่าฟันอุปสรรคกระทั่งได้แต่งงานกันในที่สุดวันนี้ซิงเยว่กลายเป็นภรรยาของหลิวไท่หยางแล้วสตรีผู้หนึ่งหยุดการเดินทางโลดโผนในยุทธภพกลายเป็นฮูหยินของคหบดีหนุ่มอย่างเต็มตัวเต็มใจนางยินดีอยู่เหย้าเฝ้าเรือนอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว ให้สามีทำงานนอกบ้านหาเลี้ยงเฉกสตรีทั่วไปชั้นห้าภายในโรงเตี๊ยมเก้าชั้นค่ำคืนนี้ได้รับเกียรติต้อนรับคณะเดินทางของกลุ่มพ่อค้าต่างเมืองหลายกิจการ หลิวไท่หยางจึงอยู่ร่วมวงสังสรรค์โดยปล่อยภรรยาอยู่บ้านงานเลี้ยงวันนี้มีพ่อค้าหลายคน ข้างกายแต่ละคนล้วนมีสาวงามนั่งขนาบด้านซ้าย คอยดูแลปรนนิบัติอย่างดีไม่ต่างจากภรรยาไม่เว้นแม้แต่หลิวไท่หยางข้างกายของเขาก็มีสาวงามรูปโฉมเป็นเลิศเช่นกันสตรีผู้นี้ใบหน้าสะสวยอย่างยิ่ง ความสะคราญโฉมรวมกับรูปร่างอรชรแลดูเย้ายวนทุกส่วนของนางเป็นสิ่งที่บุรุษมิอาจเพิกเฉยมองเมินได้เ
การประลองคู่แรกเริ่มต้นยามเฉิน[1]ซิงเยว่เป็นผู้ชมที่ดี ยืนรอลำดับการแข่งขันของตนอยู่ที่มุมเล็กหลังสุดเงียบๆ โดยมีซีฮวาคอยดูแลผ้าโปร่งสีขาวปิดหน้าให้อย่างระมัดระวังและพิถีพิถันการแข่งขันดำเนินไปเรื่อย ๆ อย่างครึกครื้น มีผู้แพ้และผู้ชนะในแต่ละรอบที่เรียกได้ว่าฝีมือเท่าเทียมสูสีเมื่อได้เวลาของซิงเยว่ หญิงสาวก็เดินขึ้นบันไดไปยืนกลางลานประลอง โค้งกายคำนับรอบทิศอย่างนอบน้อม เพื่อมิให้ตนเองดูผิดแผกจากผู้อื่นมากนักผู้คุมการประลองประกาศถาม “จอมยุทธ์หญิงผู้นี้ เจ้ามีนามว่าอะไร?”สตรีร่างระหงหนึ่งเดียวยืนตระหง่านบนเวทีประลอง ท่าทางสุขุมลุ่มลึกสงบเยือกเย็นแต่แฝงเร้นซึ่งอันตราย“เรียกข้าว่าบุปผารัตติกาล...”“เป็นนามที่ดี” ผู้คุมการประลองกล่าวอย่างขึงขัง “เชิญแม่นางเลือกป้ายชื่อท้าประชัน”นางกวาดดวงตาหงส์ทรงเสน่ห์มองนิ่งประกาศท้าชิงอย่างเย็นชา “ข้าขอท้าประลองศิษย์อันดับหนึ่งลู่หยุน”เสียงฮือฮาเกิดขึ้นทันที ไม่น่าเชื่อว่าจะมีสตรีใจกล้าถึงขั้นท้าประชันกับบุคคลผู้นี้ซิงเยว่ไม่รู้ว่าทุกคนจะส่งเสียงเอิกเกริกทำไมและยิ่งไม่รู้ว่าบุคคลที่นางท้าชิงเป็นใครหน้าตาเป็นเช่นไร นางเพียงยืนรออย่างสงบเสงี่ยมท่า
ฤดูเหมันต์ หิมะโปรยปราย สองข้างทางขาวโพลน เกิดประกายระยิบระยับยามดวงตะวันส่องกระทบลงมาหลังจากเสร็จสิ้นงานปล้นชิงเศรษฐีหน้าเลือดผู้หนึ่งด้วยความสะใจ นายหญิงรองซิงเยว่ก็พาสมุนสองสามคนเดินทางมายังบ่อนพนันที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหานโจวหญิงสาวมิได้มาเพื่อใช้เงินถลุงกับบ่อนพนันแห่งนี้ หากแต่นางมาเก็บเงินจากรายได้ทั้งหมดของบ่อนต่างหากเมื่อซิงเยว่ปรากฏกายภายใต้หน้ากากเงินเย็นเยียบ นายใหญ่ของโรงพนันแห่งนี้ก็โค้งคำนับอย่างกล้าๆ กลัวๆ พร้อมมอบเงินก้อนทองให้สองหีบใหญ่อย่างไม่อิดเอื้อนซิงเยว่มองนิ่งๆ ไม่กล่าวสิ่งใดเพียงโบกมือสั่งการสมุนสองคนให้นำเงินทั้งหมดกลับไป“ข้ากับซีฮวาจะอยู่เที่ยวเล่นสักสองสามวัน พวกเจ้ากลับไปรายงานพี่ใหญ่ตามนี้”“ขอรับนายหญิง”สมุนร่างสูงตัวโตสองคนประสานหมัด จากไปทันทีซิงเยว่จึงพาสมุนที่เหลืออีกคนนามว่าซีฮวาเดินทางไปยังสำนักลู่หยุนแคว้นเยี่ยนแบ่งแยกบุ๋นบู๊ชัดเจน สำนักศึกษาจึงมีสำนักบัณฑิตและสำนักฝึกยุทธ์หลายแห่ง หญิงสาวได้ข่าวว่าจะมีการท้าประลองระหว่างสำนักบู๊เพื่อเชิดชูอาจารย์และประกาศศักดาแต่ละสำนักให้ชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือขจรไกล ทั้งนี้ยังมีเงินรางวัลล่อตาล่อใจสำหร
ซินเอ๋อร์ให้นึกระอา “ไอ๋หยา พี่ใหญ่ ทำสีหน้าแบบนี้อีกแล้ว รู้หรือไม่ว่าพี่จื่อหรานหลงรักพี่มากปานใด แต่ดูท่าน รังเกียจนางปานนี้ ทำตัวเสเพลเพื่อกลั่นแกล้งให้นางเกลียด ใจร้ายเกินไปแล้ว นางเป็นสหายที่ดีที่สุดของข้านะ”เยี่ยนเต๋อชะงักเล็กน้อย ที่แท้กู้ฉีรุ่ยก็ไม่ชอบหรือ?ชายหนุ่มกระแอมไอ เอ่ยเสียงขรึม “เรื่องของจิตใจบังคับกันไม่ได้ มีทางใดจะถอนหมั้นนางได้หรือไม่?”ซินเอ๋อร์ถอนหายใจเฮือก กล่าวอย่างหนักอก“พี่ใหญ่ไม่รู้อะไร วันที่พี่ใหญ่ต่อยตีกับอันธพาล พี่จื่อหรานเข้าไปช่วยพี่ใหญ่จนเป็นลมหมดสติ พอฟื้นขึ้นมาก็ประกาศว่าจะถอนหมั้นกับพี่เสียอย่างนั้น ข้าตกใจนัก”เยี่ยนเต๋อเลิกคิ้ว ยังไม่ทันโต้ตอบอะไรกลับได้ยินน้องสาวกล่าวอย่างกังวลใจว่า “มีสิ่งหนึ่งที่ข้าไม่สบายใจ เมื่อวานตอนไปเยี่ยมพี่จื่อหราน นางเหมือนจำตัวเองไม่ได้เฉกเดียวกับพี่ใหญ่ ทั้งยังเรียกตัวเองว่าโม่เหลียน”สิ้นวาจาของน้องสาวตัวน้อย บุรุษหนุ่มพลันลุกพรึบ แววตาลึกล้ำเจือประกายประหลาดไม่รอให้ถึงวันใหม่ เพียงไม่ถึงหนึ่งก้านธูปด้วยซ้ำ เยี่ยนเต๋อก็พาร่างสูงของตนมาถึงจวนของคู่หมั้นแล้วขณะเดินไปมาเพื่อรอพบหน้าคนตรงเรือนด้านนอก ชายหนุ่มพ