ทานตะวันกอดอกเชิดหน้าอย่างภูมิใจ
“งั้นก็รับไปซะทีสิ เพชรอายคน” เด็กหนุ่มยืนสิ่งของในมือให้แล้วพูดน้ำเสียงรื่นรมย์ “ในที่สุดก็จบซะทีนะเราสองคน”
“อืมมมม... ขอบใจที่คอยติวให้ เพชรน่ารักที่สุดเลย”
“ก็แค่อยู่นานกว่าตะวันปีนึงเองไม่ได้เก่งอะไร” พัชระแก้เก้อ
ทานตะวันรู้ความหมายในคำพูด พัชระเป็นเพื่อนร่วมชั้นปีแต่อายุมากกว่าเธอหนึ่งปีเพราะเข้าเรียนช้ากว่าเกณฑ์ เหตุผลใดเธอไม่อาจรู้ได้และไม่เคยถาม แต่คิดว่าน่าจะเกี่ยวกับอาภูมิไม่มากก็น้อย
“ตะวัน”
“หือ” เด็กสาวถึงกับสะดุ้ง
“จะเอาไปได้ยัง”
ทานตะวันหยิกแก้มหนุ่มน้อยแล้วรับดอกไม้ช่อโตมาสูดดมด้วยความยินดี
ดวงตาของเธอเป็นประกายจนเด็กหนุ่มอดมองด้วยความชื่นชมไม่ได้ กว่าจะรู้ตัวก็ได้ยินเสียงปิดประตูรถดังปังด้านหลังทำให้เด็กหนุ่มละสายตาจากคนน่ารักจ้องไปทางหนุ่มใหญ่ด้วยความขยาด
“ท่าทางยักษ์จะอยากกินตับเราแล้ว ตะวันกลับไปเหอะไป”
“ขอบใจนะ แต่วันนี้ตะวันไม่มีของขวัญให้เพชรเลย ต๊ะไว้ก่อนนะ” เด็กสาวบอกกล่าวสีหน้าแหยรู้สึกผิด แต่อีกฝ่ายยีผมเธอด้วยความเอ็นดู
“ไม่ต้องหรอก แค่ให้เพชรไปหามั่งก็พอ อยู่ใกล้กันแค่รั้วไม้กั้นเอง”
“โอเค... งั้นวันนี้เพชรกลับด้วยกันปะ”
“จะดีเร้อ” เด็กหนุ่มเสียงสูง “ราชรถหน้าโหดแบบนั้น”
“บ้า! เดี๋ยวอาภูมิได้ยินตะวันโดนด่าอีก”
“ก็มันจริงไหมล่ะ” เด็กหนุ่มพูดพลางชะเง้อมองภูมิที่ยืนอยู่ด้านหลัง แล้วทำหน้าแหยอีกครา “เห็นหน้าก็สยองแล้ว”
“สยองยังไง อาภูมิของตะวันออกจะหล่อ มาดแมนแอนด์แฮนซั่ม เสียแต่ยิ้มยากไปนิดขี้หงุดหงิดไปหน่อยเอง” เธอว่าพลางหัวเราะคิกคักหันไปมองคนโดนนินทาแล้วต้องรีบหันกลับมาหน้าเบ้ “แต่คิดว่าเข้าใจเพชรแล้ว แหะๆ”
“นั่นไง ขนาดตะวันยังโดนทรงพระกริ้วใส่ แล้วเพชรเป็นผู้ชายเหมือนกันจะเหลือเหรอ... บรื๋อออออ กระหม่อมขอทูลลา”
“เว๊อเว่อร์น่ารำคาญนะเพชรเนี่ย”
ทานตะวันตีไหล่เพื่อนรักไปทีนึง เด็กหนุ่มชะเง้อมองคนด้านหลังแล้วหดคอทำหน้าเหยเกอีกครั้ง
“เพชรเรียกมอ’ไซค์ไปขึ้นรถที่ท่าดีกว่า ไม่รบกวนอาหน้าโหดของตะวันหรอก เอาไว้จะไปหาที่ไร่”
“แล้วนี่อาศรไม่มารับเหรอ”
“ไม่มาหรอกอาศรอยู่เวร แต่ถึงมาวันนี้แล้วเจออาภูมิของตะวันก็จะท้าชกกันอีก”
“เออจริง งั้นโอเค เอาไว้เจอกันที่ไร่นะ” เด็กสาวตอบสั้นๆ โบกมือลากันแล้วแยกมาทางอาหนุ่มที่ยืนพิงรถรออยู่
“อาภูมิรอนานไหมคะ”
“รากงอกแล้วมั้ง”
ทานตะวันหน้าจ๋อยรีบบอก “พอดีเพชรมาหาค่ะ ตะวันชวนกลับกับเราก็ไม่ยอม ตะวันชวนแล้วชวนอีกก็ไม่มา”
“จะมาเป็นก้างทำไม”
“อะไรนะคะ”
“อาก็ว่าสิ ร่ำลากันอยู่นั่นกว่าจะได้ฤกษ์เสด็จ” ภูมิบ่นพลางขมวดคิ้วมุ่นทันทีที่เห็นช่อดอกไม้ในมือหลานสาว “แล้วนี่ยังไง”
“อ๋อ ของขวัญเรียนจบค่ะอาภูมิ” เธอพูดเก้อๆ หลบตาคมกริบของอาหนุ่มที่ทำให้เธอตะครั่นตะครอผิดปกติ “ขึ้นรถเถอะค่ะ ฝนจะตกแล้ว”
“รู้เหมือนกันนี่ว่าฝนจะตก มัวแต่พิรี้พิไร”
คำก็รากงอก สองคำก็พิรี้พิไร นี่อาภูมิของเธอเป็นอะไรกันแน่ ทานตะวันได้แต่นึกกังวล
ส่วนภูมิพอเห็นหลานสาวหน้าถอดสีก็รู้สึกเซ็งรีบตัดบท
“ไปขึ้นรถ”
ภูมิพูดแค่นั้นก็ผละเดินไปฝั่งคนขับทิ้งเด็กสาวยืนเก้ออยู่คนเดียว เขาไม่พอใจแต่เก็บงำความรู้สึกไว้ ทานตะวันเป็นสาวแล้วนับจากวันที่เขาพบเธอตอนที่เขาอายุแค่สิบเจ็ดปี นับไปนับมาก็ผ่านมายี่สิบเอ็ดปีแล้ว นานพอๆ กับอายุของทานตะวันเลยทีเดียว...
ยิ่งมาวันนี้ที่เห็นเด็กนั่นมาก้อร่อก้อติกกับของรักของหวงที่อุตส่าห์ทะนุถนอม ภูมิยิ่งว้าวุ่นใจอย่างที่สุด อุตส่าห์เก็บงำมานาน รวบหัวรวบหางซะเลยดีไหม...
หนุ่มใหญ่ยกยิ้มมุมปากแต่พอเห็นเพื่อนชายของหลานสาวรีรออยู่ เขาก็หน้าตึงเดินกลับมาตรงเข้ากอดไหล่เด็กสาวที่เดินมาถึงรถพอดี เปิดประตูแล้วผลักเธอเบาๆ
ทานตะวันจึงเลิกชื่นชมดอกไม้ช่อใหญ่แล้วขึ้นมานั่งเจี๋ยมเจี้ยมตัวแข็งอยู่เบาะข้างๆ พอขึ้นประจำที่นั่งคนขับก็ยังเห็นสองคนมองกันยิ่งน่าโมโหพิกล ภูมิเกิดอาการหัวใจกระตุกขึ้นมาฉับพลัน
“จะจ้องกันอีกนานไหม เป็นปลากัดรึไง”
“อาภูมิ” เด็กสาวเสียงอ่อย
“ก็จริงไหมล่ะ จ้องไปจ้องมาเป็นปลากัดก็ท้องออกลูกหลายคอกแล้ว ดูสายตามันอาล่ะรำคาญ”
“ขอโทษนะคะที่ตะวันทำให้อาภูมิรอนานจนรำคาญ” เธอบอกเสียงอ่อนเกรงใจและน้ำเสียงห้วนจัดโดยไม่รู้ตัวของอาหนุ่มทำให้ทานตะวันใจหายวาบแต่ทำใจดีสู้เสือ “แต่ตะวันไม่ใช่ปลากัดนะคะ”
“แล้วใครบอกว่าเป็น”
“ก็อาภูมิไง”
“อาประชด”
ภูมิบอกหน้าตาเฉย พอทานตะวันเงียบ เขาก็เหลือบมองเธอแวบหนึ่งแล้วบ่นต่อ “ถ้าเป็นปลากัดป่านนี้คงท้องไปแล้วล่ะ หมอนั่นจ้องยังกับจะให้ทะลุไปถึงไหนๆ”
“อาภูมิคิดอกุศล”
“ก็แล้วมันจริงไหมล่ะ” ภูมิเสียงห้วน
ทานตะวันไม่ตอบกลับเบือนหน้าออกนอกหน้าต่าง ภูมิเห็นดังนั้นยิ่งเคือง ทั้งหมั่นไส้และอยากหยุมหัวเด็กเพชรนั่นแทบบ้า แต่เขาก็รู้ว่าที่พูดไปรุนแรงเกินเหตุ แต่จะให้ทำไงล่ะ ก็คนมันหวงนี่!
“ตกลงจะไม่พูดกับอาใช่ไหม”
“ตะวันช้าก็เพราะแค่จะขอบคุณเพชรเท่านั้นเองค่ะ” เธอตอบเสียงเบาหวิวอ่อนใจกับความตีรวนของอาหนุ่ม
“ทำอย่างกับที่ไร่ไม่มีดอกไม้ถึงต้องรับของจากไอ้พวกศัตรู”
“ศัตรูอะไรคะ นั่นน่ะเพื่อนบ้านเราตะหาก อาภูมินี่ก็” ทานตะวันเริ่มทนไม่ไหวที่อาหนุ่มวางระเบิดคนบ้านนั้นทุกทีที่เจอหน้า ไม่รู้เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาแต่ชาติปางไหน
“อาทำไม เดี๋ยวนี้พูดว่าอะไรมันไมได้แล้วเหรอ”
ทานตะวันไม่ได้ท้วงต่อเพราะกลัวจะทำให้อาหนุ่มหงุดหงิดไปอีกจึงเงียบไป ภูมิลอบมองดวงหน้าเรียวแล้วแอบยิ้มนิดๆ แต่เมื่อเหลือบมองกระจกอีกทีเห็นดวงตาเต็มไปด้วยคำถามจากเด็กสาวมองอยู่ก็กลอกตามองถนนก่อนเอื้อมมือไปเปิดดีวีดีให้เด็กสาวดูทำลายความเงียบ“ดูหนังดีกว่านะ... อาว่า” ชายหนุ่มแก้เก้อ“ค่ะ”“ดูอะไรดี”“แล้วแต่อาภูมิเลยค่ะ” ทานตะวันพยักเพยิดให้อาหนุ่มภูมิจึงกดเปิดแผ่นหนังที่ค้างอยู่ในเครื่องเล่นโดยไม่ได้ดูว่าเป็นเรื่องอะไร กระทั่งเสียงดังขึ้นพร้อมหน้าจอปรากฏภาพดาราฮอลลีวู๊ดหนุ่มใหญ่กำลังเล่นฉากรักถึงพริกถึงขิงกับเด็กสาวผมเปียยาวรุ่นราวคราวลูก แถมเสียงใส่อารมณ์ในฉากรักทำให้ทั้งคนเปิดและคนฟังต่างหน้าม้านไปตามๆ กัน“เอ่อ...” ภูมิแทบสำลัก อ้ำอึ้งไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาอธิบายเมื่อดูสีหน้ากระอักกระอ่วนของทานตะวันชายหนุ่มถึงกับสบถในใจ ก็ระหว่างรอเธอเขาเปิดหนังดูแก้เบื่อ เผอิญว่าเป็นแผ่นเก่าเก็บที่มีคนให้แล้วไอ้ตัวแสบนั่นก็เลือกแผ่นนี้ให้บอกว่าเขาต้องชอบโธ่เว้ย!ไอ้เวรนั่น!“อา อาว่า...”“อาภูมิดูหนังแนวนี้ด้วยเหรอคะ”“อืม มีคนให้มาน่ะ อาว่าเรื่องนี้หนังดีนะ”“เอ่อ... ถึงดีแต่ก็ไม่น่าดูค่ะ เดี๋ยวน
“อาภูมิอย่ามาพาลกะตะวันนะคะ ตะวันกับเพชรเป็นเพื่อนกันไม่เหมือนอาภูมิกับอาสร้อยสักหน่อย”“ทานตะวัน!” ภูมิเริ่มหัวเสียเช่นกัน“ตะวันจะบอกอีกครั้งว่าตะวันกับเพชรเป็นแค่เพื่อนกันค่ะอาภูมิ”“ได้ยินแล้ว” ภูมิเสียงอ่อนลงก่อนจะบ่นเบาๆ “อาไม่ได้หูตึงที่ถามเพราะเป็นห่วง จะมาหงุดหงิดใส่อาทำไม”ฮึ...ภูมิทำอย่างกับหึงหวงเธอ...หึงหวง!เป็นไปไม่ได้หรอก เธอไม่ได้สำคัญสำหรับเขาขนาดนั้นแล้วถ้าเธอสำคัญล่ะ!แต่แค่คิดทานตะวันก็อดยิ้มอย่างลืมตัวไม่ได้ ภูมิเหลือบเห็นสีหน้าหลานสาวก็เบรครถเสียงดังเอี๊ยดจนทานตะวันถึงกับตื่นจากภวังค์“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ได้ ติดอกติดใจของกำนัลจากมันมากรึไง เอาไว้อาจะปลูกดอกไม้เพิ่มอีกสักสิบไร่ให้เราดมจนจมูกตันไปเลย” “โธ่! ทำไมอาภูมิคิดแบบนั้นละคะ”“อาเปล่าคิด”“นี่แหละค่ะคิดแล้ว”ภูมิอึ้ง ยิ่งโตทานตะวันยิ่งต่อปากต่อคำเก่งเป็นที่สุด เขาเหลือบมองหญิงสาวครู่หนึ่งก็ต้องละสายตาทำทีมองทางตรงหน้าเพราะทานตะวันจ้องเอาๆ“ไปได้แล้วเดี๋ยวไม่ทัน”“ไม่ทันอะไรคะ”แต่ทานตะวันไม่ได้คำตอบ เธอไม่ชอบใจเลยที่ภูมิชอบมีท่าทีห่างเหินทั้งที่นานๆ จะเจอกันที เขาคงไม่รู้ว่าเธอแอบรอวันที่จะได้กลับบ้าน
ทานตะวันกอดอกเชิดหน้าอย่างภูมิใจ“งั้นก็รับไปซะทีสิ เพชรอายคน” เด็กหนุ่มยืนสิ่งของในมือให้แล้วพูดน้ำเสียงรื่นรมย์ “ในที่สุดก็จบซะทีนะเราสองคน”“อืมมมม... ขอบใจที่คอยติวให้ เพชรน่ารักที่สุดเลย”“ก็แค่อยู่นานกว่าตะวันปีนึงเองไม่ได้เก่งอะไร” พัชระแก้เก้อทานตะวันรู้ความหมายในคำพูด พัชระเป็นเพื่อนร่วมชั้นปีแต่อายุมากกว่าเธอหนึ่งปีเพราะเข้าเรียนช้ากว่าเกณฑ์ เหตุผลใดเธอไม่อาจรู้ได้และไม่เคยถาม แต่คิดว่าน่าจะเกี่ยวกับอาภูมิไม่มากก็น้อย“ตะวัน”“หือ” เด็กสาวถึงกับสะดุ้ง“จะเอาไปได้ยัง”ทานตะวันหยิกแก้มหนุ่มน้อยแล้วรับดอกไม้ช่อโตมาสูดดมด้วยความยินดีดวงตาของเธอเป็นประกายจนเด็กหนุ่มอดมองด้วยความชื่นชมไม่ได้ กว่าจะรู้ตัวก็ได้ยินเสียงปิดประตูรถดังปังด้านหลังทำให้เด็กหนุ่มละสายตาจากคนน่ารักจ้องไปทางหนุ่มใหญ่ด้วยความขยาด“ท่าทางยักษ์จะอยากกินตับเราแล้ว ตะวันกลับไปเหอะไป”“ขอบใจนะ แต่วันนี้ตะวันไม่มีของขวัญให้เพชรเลย ต๊ะไว้ก่อนนะ” เด็กสาวบอกกล่าวสีหน้าแหยรู้สึกผิด แต่อีกฝ่ายยีผมเธอด้วยความเอ็นดู“ไม่ต้องหรอก แค่ให้เพชรไปหามั่งก็พอ อยู่ใกล้กันแค่รั้วไม้กั้นเอง”“โอเค... งั้นวันนี้เพชรกลับด้วยกันปะ”“
จบซะที... ทานตะวันมองไปรอบบริเวณด้วยความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ ตลอดสี่ปีที่เรียนที่นี่ ไม่มีวันไหนที่เธอจะรู้สึกใจหายเหมือนวันนี้ วันที่รู้ว่ากำลังก้าวออกไปสู่โลกกว้างอีกช่วงหนึ่งของชีวิตเธอไม่รู้เลยว่าต่อจากนี้จะมีสิ่งใดรออยู่...“ตะวันๆ ดูโน่นสิ” “อะไร” “โน่นไง ดูสิ” ทานตะวันปัดมือเพื่อนที่เขย่าแขนเธอขณะกำลังเก็บโน้ตบุ๊กตัวเก่งลงกระเป๋าทำให้กล่องกระดาษสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดเล็กเกือบร่วงหล่นลงพื้นโชคดีที่เด็กสาวคว้าไว้ได้ทัน “สานี่ยังไง เกือบทำของหวงของตะวันตกพื้นและนะ” “ช่างของมันก่อนเหอะน่า ดูโน่นก่อนว่าใครมา!”สารสาไม่วายพยักเพยิดให้ ทานตะวันมุ่นคิ้ว หน้างอเพราะความรำคาญ“ใครมาก็ช่างสิ ไม่เกี่ยวกับเราซะหน่อย เรากำลังรีบอย่าเพิ่งกวน”“กลัวคนที่บ้านมารอนานงั้นเหรอ” สารสาลากเสียงยานคางทานตะวันจึงจีบนิ้วเรียวดีดเข้ากลางหน้าผากเพื่อนสนิททันที“โอ๊ย! ดีดหน้าผากเราทำไมอะตะวัน”“ก็สากวน ไม่เห็นเหรอเรารีบ”“ก็เห็นน่ะสิ ถึงได้บอก” สารสาว่าแล้วก็ชี้มือไปอีกทางก่อนเอ่ยเสียงน้อยใจ “นึกว่าตะวันจะดีใจที่ไหนได้.. ฮึ“เสียงของสารส
หากใครคิดจะขวางอย่าได้หมาย ไม่เพียงร่างกายของเธอที่ต้องตกอยู่ใต้อาณัติของเขา หัวใจของทานตะวันก็ต้องตกเป็นทาสเสน่หาของเขาหากไม่แล้ว... ฆ่าเขาให้ตายเสียดีกว่า...เพราะรักจึงอยากครอบครองให้สมรัก เป็นหนึ่งเดียวกับเด็กสาวที่เฝ้าทนุถนอมมานาน เธอทำให้เขารู้สึกเร่าร้อนรุนแรงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่หรือเป็นเพราะโชคชะตาที่ทำให้เขาได้พบเธอ เด็กหญิงผู้ถูกทิ้งไว้ที่ท้ายรถกระบะของเขาเมื่อยี่สิบปีก่อนก็ไม่อาจรู้ได้...“ตาภูมิ! เป็นอะไร ตาภูมิ!”ภูมิที่กำลังฝันค้างถึงกับสะดุ้งตื่น ขยี้ตามองร่างตะคุ่มเจ้าของเสียงเรียกที่เห็นเลือนรางจากแสงสลัวที่ลอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาแล้วต้องพรูลมหายใจหนักหน่วงเมื่อเห็นสายตาเป็นห่วงจากมารดา“แม่”“ก็แม่น่ะสิ เป็นอะไรล่ะเรา”เจ้าของร่างท้วมผมสีดอกเลาลงนั่งข้างเตียงอังหลังมือกับหน้าผากชื้นเหงื่อของบุตรชาย ภูมิคว้ามือมารดาลงมากุมเหนือตักส่ายหน้าปฏิเสธ“ผมไม่เป็นไรครับ” “นี่ขนาดไม่เป็นไรนะ ร้องหาตะวันมันซะเสียงหลงเลย”“ผมเปล่าซะหน่อย”“ย่ะ ให้มันจริงเถอะ แม่ก็นึกว่าแกว้าวุ่นเรื่องที่ไร่โน้นส่งคนมาทาบทามตะวันให้หนุ่มๆ บ้านเขาซะอีก”“แล้วพวกบ้านนั้นเกี่
“ก็เท่ากับทิ้งคุณย่ากับตะวันอยู่ดี” เด็กหญิงอิดออดเสียงสั่น โผเข้ากอด“ตะวัน... ปล่อยอา” ภูมิส่งเสียงสั่นเทาโดยไม่หันกลับไปมอง ก้มมองสองมือเรียวที่กำแน่นอยู่เหนือหน้าท้องของเขาด้วยความรู้สึกอึดอัด “ปล่อยอา... ตะวัน” “ไม่ปล่อยค่ะ ตะวันไม่ปล่อย!” เด็กสาวดื้อแพ่ง สองมือกุมกันแน่นเข้าทำให้ภูมิรู้สึกถึงสรีระที่เปลี่ยนไปของเธอ ทานตะวันเริ่มเป็นสาวแล้ว...เธอไม่ใช่เด็กหญิงที่เขาอุ้มพาดบ่าหรือพาขี่คอเที่ยวชมทุ่งหญ้าแปลงดอกไม้ใบหญ้าบานสะพรั่งเหมือนเดิม เขากลัวว่าจะอดใจไม่ไหวจนทำเรื่องเลวร้ายกับเธอ... “กอดพอแล้ว ทีนี้จะปล่อยอาได้รึยัง” ภูมิเอ่ยเสียงแผ่วแกะมือน้อยๆ ที่ยังขัดขืนอยู่ “ทำไมอาภูมิต้องไปอยู่ที่อื่นด้วย” เธอถามเสียงเศร้าสร้อย“ก็อาบอกหลายรอบแล้วว่าต้องไปทำงาน”“ทำที่ไร่นี้ได้นี่คะ”“งานอาไม่ได้มีแต่ที่ไร่นะตะวัน”“อาภูมิคิดอีกทีไมได้เหรอคะ ตะวันขอร้อง”เฮ้อ...ภูมิอ่อนใจ อะไรมันจะพูดยากพูดเย็นขนาดนี้กัน!“ช่วงที่อาไปทำงานในเมือง ตะวันก็คอยอยู่กับคุณย่าดูแลคุณย่าแทนอาด้วยนะ อาไม่มีใครอีกแล้วนอกจากตะวัน ทำให้อาได้ไหม” เขาตอบพลางย้อนถามเธ