“อาภูมิอย่ามาพาลกะตะวันนะคะ ตะวันกับเพชรเป็นเพื่อนกันไม่เหมือนอาภูมิกับอาสร้อยสักหน่อย”
“ทานตะวัน!” ภูมิเริ่มหัวเสียเช่นกัน
“ตะวันจะบอกอีกครั้งว่าตะวันกับเพชรเป็นแค่เพื่อนกันค่ะอาภูมิ”
“ได้ยินแล้ว” ภูมิเสียงอ่อนลงก่อนจะบ่นเบาๆ “อาไม่ได้หูตึงที่ถามเพราะเป็นห่วง จะมาหงุดหงิดใส่อาทำไม”
ฮึ...
ภูมิทำอย่างกับหึงหวงเธอ...
หึงหวง!
เป็นไปไม่ได้หรอก เธอไม่ได้สำคัญสำหรับเขาขนาดนั้น
แล้วถ้าเธอสำคัญล่ะ!
แต่แค่คิดทานตะวันก็อดยิ้มอย่างลืมตัวไม่ได้ ภูมิเหลือบเห็นสีหน้าหลานสาวก็เบรครถเสียงดังเอี๊ยดจนทานตะวันถึงกับตื่นจากภวังค์
“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ได้ ติดอกติดใจของกำนัลจากมันมากรึไง เอาไว้อาจะปลูกดอกไม้เพิ่มอีกสักสิบไร่ให้เราดมจนจมูกตันไปเลย”
“โธ่! ทำไมอาภูมิคิดแบบนั้นละคะ”
“อาเปล่าคิด”
“นี่แหละค่ะคิดแล้ว”
ภูมิอึ้ง ยิ่งโตทานตะวันยิ่งต่อปากต่อคำเก่งเป็นที่สุด เขาเหลือบมองหญิงสาวครู่หนึ่งก็ต้องละสายตาทำทีมองทางตรงหน้าเพราะทานตะวันจ้องเอาๆ
“ไปได้แล้วเดี๋ยวไม่ทัน”
“ไม่ทันอะไรคะ”
แต่ทานตะวันไม่ได้คำตอบ เธอไม่ชอบใจเลยที่ภูมิชอบมีท่าทีห่างเหินทั้งที่นานๆ จะเจอกันที เขาคงไม่รู้ว่าเธอแอบรอวันที่จะได้กลับบ้าน ได้พบเขา ได้อยู่ใกล้ชิดเขาคอยส่งข้าวส่งน้ำที่บ้านกับออฟฟิศกลางไร่เพราะอยากเห็นหน้าแม้แค่ในฐานะหลานสาวก็ยังดี ทานตะวันไม่รู้ว่าตัวเองคิดกับภูมิเกินคำว่าผู้มีพระคุณตั้งแต่ตอนไหน รู้อีกครั้งเธอก็มีเขาอยู่เต็มท่วมท้นใจ
“อาภูมิคะ”
“ช่างเถอะน่า อย่าถามมากอาขี้เกียจตอบ”
“ก็ได้ค่ะ ถ้าอาภูมิยุ่งมากก็ส่งตะวันที่ท่ารถก็ได้ค่ะ”
“ส่งให้เรากลับกับหมอนั่นนะเหรอ นี่เราตั้งใจตีรวนอาใช่มั้ย”
“โธ่! อาภูมิคะ”
ทานตะวันถึงกับคอตกพิงเบาะหน้ามุ่ยเพราะกลัวคุณอาแสนดีจะน้อยใจ เธอจึงได้แต่แก้ตัวเสียงอ่อย
“ตะวันคิดว่าอาภูมิยุ่งเห็นบอกว่ากลัวไม่ทัน”
“อาบอกรึยังว่าอายุ่งจนพาเราไปด้วยไม่ได้” หนุ่มใหญ่เสียงห้วนจัด “หยุดพูดได้แล้ว!”
“ค่ะ”
เด็กสาวนั่งตัวลีบด้วยรู้สึกถึงรังสีอำมหิตจากดวงตาอาหนุ่ม แต่เพียงครู่เดียวเธอก็พรูลมหายใจโล่งอกเมื่อเขาพูดดีๆ ด้วย แต่กลับทำให้เธองุนงงอีกครั้ง
“ฝนตกขนาดนี้อาไม่อยากขับรถไกลเลย คืนนี้เราอาจต้องค้างกลางทาง”
“ทำไมคะ ค่อยๆ ขับก็ได้ นี่ยังเพิ่งบ่ายแก่ๆ เองยังไงเราก็กลับทันนี่คะ แล้วตะวันก็กลัวคุณย่าจะว่า...”
“ไม่ว่าหรอก อาไม่อยากขับรถดึกๆ ฝนตกด้วย แล้วนี่เลิกซักได้รึยัง อาไม่ใช่นักโทษของเรานะ”
เด็กสาวย่นจมูกเพราะหางเสียงอาหนุ่มบ่งบอกความรำคาญ อันที่จริงเธอกลับพร้อมพัชระก็ได้ ไม่รู้ภูมิจะมารับทำไม ถ้ามาแล้วจะพูดนั่นนี่เหมือนรำคาญกันแบบนี้
ทานตะวันได้แต่คิดไม่ตก มองออกไปนอกถนน อีกไกลนักเธอคงอึดอัดพอดูเพราะบ้านไร่ภูมิพัฒน์อยู่บนเนินเขาสูงไกลจากเมืองออกไปเกือบร้อยกิโลเมตร ตลอดมาเธอจึงต้องอยู่โรงเรียนประจำและหอพักนักศึกษาในมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพแต่ต้องเลือกหอพักที่แยกส่วนชายหญิงชัดเจน
หนึ่งเพราะคุณย่าภาคินีมารดาของภูมิไม่ต้องการให้เธออยู่บ้านด้วยสาเหตุใดเธอไม่เคยถาม และสองเพราะผู้ชายตรงหน้านี้ที่มีศักดิ์เป็นอาแต่หาได้เกี่ยวพันกันทางสายเลือด
ทานตะวันรู้ตัวดีว่าเธอเป็นเพียงกาฝาก เป็นแค่เด็กที่ภูมิเก็บมาเลี้ยงและให้การศึกษาเท่านั้น เธอไม่อาจฝันไกลแม้ในฝันจะมีเขาอยู่ทุกลมหายใจก็ตาม ทานตะวันรู้ดีว่าเธอแอบรักภูมิ ใครจะว่าแก่แดดก็ยอมก็เธอรักของเธอ เขาคือคนที่เธอรักมาตลอด
รักมานานแล้ว...
“เป็นอะไรเงียบอีกแล้ว” ชายหนุ่มเหลือบตามอง “อยากพูดอะไรก็พูดมา”
“ไม่อยากพูดอะไรแล้วค่ะ”
“หืมมมม ทำไม” อาหนุ่มทำเสียงสูง
“ก็พูดอะไรไปอาภูมิก็โกรธตะวันนี่คะ”
“อาเปล่าสักหน่อย”
“หน่อยที่ไหนกัน โกรธเยอะเลยตะหาก” ทานตะวันบ่นอุบ เมินหน้าออกนอกหน้าต่างด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
ภูมิเหลือบมองร่างบอบบางข้างๆ ก็รู้ว่าเธอไม่พอใจถึงกับเบือนหน้าหนีก็ยีผมนิ่มของทานตะวันเบาๆ
“เป็นไร”
“เปล่าค่ะ”
“อีกแล้วนะ ทีกับอาพูดแค่ ค่ะ ค่ะ เปล่าค่ะ ไม่มีอะไรค่ะ ตามใจอาภูมิค่ะ งี้ ทีกับหมอนั่นระริกระรี้เชียวนะหรือว่าอยู่กับอามันอึดอัดมากนัก” ภูมิเค้นเสียงดุใส่
“เปล่าอึดอัดค่ะ แต่...”
“พอๆ ไม่พูดก็เงียบไปซะ”
อยู่ดีๆ ก็มาหงุดหงิดใส่...
ทานตะวันหน้าเสียที่ถูกอาหนุ่มตีรวน น้ำตาพานร่วงนั่งก้มหน้าเงียบกริบ
“โตป่านนี้ก็ยังไม่เลิกขี้แยอีก”
อีกฝ่ายเสียงอ่อนลง ทานตะวันได้แต่ส่ายหน้าเพราะกลั้นสะอื้นเอาไว้ เธอมองออกนอกหน้าต่างไม่ให้ภูมิเห็น
ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ขับรถไปเงียบๆ ด้วยรู้ดีว่าทำให้เด็กสาวน้ำตาตกเพราะคำพูดของตัวเองอีกตามเคย
“อาขอโทษนะ”
“คะ!” เด็กสาวเหลียวมาอย่างไม่เชื่อหูเมื่อได้ยิน “ขอโทษตะวันทำไมคะ”
“ก็... ที่อาหงุดหงิดใส่”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ตะวันชินแล้ว”
หืมมมมม...
ภูมิชักสีหน้าก่อนริมฝีปากจะยกขึ้นเล็กน้อย “พูดแบบนี้เอาเป็นว่าเดี๋ยวอาจะพาเราไปงานคืนนี้กับอาด้วยจะได้เปิดหูเปิดตาดีไหม”
“แต่ตะวันไม่ได้เตรียมชุดมา”
เธอก้มมองชุดนักศึกษาของตัวเองแล้วเงยหน้าสบตาอาหนุ่มด้วยสีหน้าแหยๆ ภูมิหัวเราะในลำคอทิ้งหางตามองเด็กสาวครู่หนึ่งก่อนตอบ
“ไม่ต้องห่วง อาจะพาไปซื้อชุดใหม่”
“อาภูมิใจดีจังจะซื้อชุดใหม่ให้ตะวันด้วยเหรอคะ”
“อืม”
ภูมิยิ้มออกเมื่อเห็นรอยยิ้มสดใสของทานตะวัน คืนนี้แหละเขาจะได้พาเธอไปเปิดตัวว่าเป็นว่าที่นายหญิงคนใหม่ของไร่ภูมิวัฒน์เสียที
ทานตะวันไม่ได้ท้วงต่อเพราะกลัวจะทำให้อาหนุ่มหงุดหงิดไปอีกจึงเงียบไป ภูมิลอบมองดวงหน้าเรียวแล้วแอบยิ้มนิดๆ แต่เมื่อเหลือบมองกระจกอีกทีเห็นดวงตาเต็มไปด้วยคำถามจากเด็กสาวมองอยู่ก็กลอกตามองถนนก่อนเอื้อมมือไปเปิดดีวีดีให้เด็กสาวดูทำลายความเงียบ“ดูหนังดีกว่านะ... อาว่า” ชายหนุ่มแก้เก้อ“ค่ะ”“ดูอะไรดี”“แล้วแต่อาภูมิเลยค่ะ” ทานตะวันพยักเพยิดให้อาหนุ่มภูมิจึงกดเปิดแผ่นหนังที่ค้างอยู่ในเครื่องเล่นโดยไม่ได้ดูว่าเป็นเรื่องอะไร กระทั่งเสียงดังขึ้นพร้อมหน้าจอปรากฏภาพดาราฮอลลีวู๊ดหนุ่มใหญ่กำลังเล่นฉากรักถึงพริกถึงขิงกับเด็กสาวผมเปียยาวรุ่นราวคราวลูก แถมเสียงใส่อารมณ์ในฉากรักทำให้ทั้งคนเปิดและคนฟังต่างหน้าม้านไปตามๆ กัน“เอ่อ...” ภูมิแทบสำลัก อ้ำอึ้งไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาอธิบายเมื่อดูสีหน้ากระอักกระอ่วนของทานตะวันชายหนุ่มถึงกับสบถในใจ ก็ระหว่างรอเธอเขาเปิดหนังดูแก้เบื่อ เผอิญว่าเป็นแผ่นเก่าเก็บที่มีคนให้แล้วไอ้ตัวแสบนั่นก็เลือกแผ่นนี้ให้บอกว่าเขาต้องชอบโธ่เว้ย!ไอ้เวรนั่น!“อา อาว่า...”“อาภูมิดูหนังแนวนี้ด้วยเหรอคะ”“อืม มีคนให้มาน่ะ อาว่าเรื่องนี้หนังดีนะ”“เอ่อ... ถึงดีแต่ก็ไม่น่าดูค่ะ เดี๋ยวน
“อาภูมิอย่ามาพาลกะตะวันนะคะ ตะวันกับเพชรเป็นเพื่อนกันไม่เหมือนอาภูมิกับอาสร้อยสักหน่อย”“ทานตะวัน!” ภูมิเริ่มหัวเสียเช่นกัน“ตะวันจะบอกอีกครั้งว่าตะวันกับเพชรเป็นแค่เพื่อนกันค่ะอาภูมิ”“ได้ยินแล้ว” ภูมิเสียงอ่อนลงก่อนจะบ่นเบาๆ “อาไม่ได้หูตึงที่ถามเพราะเป็นห่วง จะมาหงุดหงิดใส่อาทำไม”ฮึ...ภูมิทำอย่างกับหึงหวงเธอ...หึงหวง!เป็นไปไม่ได้หรอก เธอไม่ได้สำคัญสำหรับเขาขนาดนั้นแล้วถ้าเธอสำคัญล่ะ!แต่แค่คิดทานตะวันก็อดยิ้มอย่างลืมตัวไม่ได้ ภูมิเหลือบเห็นสีหน้าหลานสาวก็เบรครถเสียงดังเอี๊ยดจนทานตะวันถึงกับตื่นจากภวังค์“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ได้ ติดอกติดใจของกำนัลจากมันมากรึไง เอาไว้อาจะปลูกดอกไม้เพิ่มอีกสักสิบไร่ให้เราดมจนจมูกตันไปเลย” “โธ่! ทำไมอาภูมิคิดแบบนั้นละคะ”“อาเปล่าคิด”“นี่แหละค่ะคิดแล้ว”ภูมิอึ้ง ยิ่งโตทานตะวันยิ่งต่อปากต่อคำเก่งเป็นที่สุด เขาเหลือบมองหญิงสาวครู่หนึ่งก็ต้องละสายตาทำทีมองทางตรงหน้าเพราะทานตะวันจ้องเอาๆ“ไปได้แล้วเดี๋ยวไม่ทัน”“ไม่ทันอะไรคะ”แต่ทานตะวันไม่ได้คำตอบ เธอไม่ชอบใจเลยที่ภูมิชอบมีท่าทีห่างเหินทั้งที่นานๆ จะเจอกันที เขาคงไม่รู้ว่าเธอแอบรอวันที่จะได้กลับบ้าน
ทานตะวันกอดอกเชิดหน้าอย่างภูมิใจ“งั้นก็รับไปซะทีสิ เพชรอายคน” เด็กหนุ่มยืนสิ่งของในมือให้แล้วพูดน้ำเสียงรื่นรมย์ “ในที่สุดก็จบซะทีนะเราสองคน”“อืมมมม... ขอบใจที่คอยติวให้ เพชรน่ารักที่สุดเลย”“ก็แค่อยู่นานกว่าตะวันปีนึงเองไม่ได้เก่งอะไร” พัชระแก้เก้อทานตะวันรู้ความหมายในคำพูด พัชระเป็นเพื่อนร่วมชั้นปีแต่อายุมากกว่าเธอหนึ่งปีเพราะเข้าเรียนช้ากว่าเกณฑ์ เหตุผลใดเธอไม่อาจรู้ได้และไม่เคยถาม แต่คิดว่าน่าจะเกี่ยวกับอาภูมิไม่มากก็น้อย“ตะวัน”“หือ” เด็กสาวถึงกับสะดุ้ง“จะเอาไปได้ยัง”ทานตะวันหยิกแก้มหนุ่มน้อยแล้วรับดอกไม้ช่อโตมาสูดดมด้วยความยินดีดวงตาของเธอเป็นประกายจนเด็กหนุ่มอดมองด้วยความชื่นชมไม่ได้ กว่าจะรู้ตัวก็ได้ยินเสียงปิดประตูรถดังปังด้านหลังทำให้เด็กหนุ่มละสายตาจากคนน่ารักจ้องไปทางหนุ่มใหญ่ด้วยความขยาด“ท่าทางยักษ์จะอยากกินตับเราแล้ว ตะวันกลับไปเหอะไป”“ขอบใจนะ แต่วันนี้ตะวันไม่มีของขวัญให้เพชรเลย ต๊ะไว้ก่อนนะ” เด็กสาวบอกกล่าวสีหน้าแหยรู้สึกผิด แต่อีกฝ่ายยีผมเธอด้วยความเอ็นดู“ไม่ต้องหรอก แค่ให้เพชรไปหามั่งก็พอ อยู่ใกล้กันแค่รั้วไม้กั้นเอง”“โอเค... งั้นวันนี้เพชรกลับด้วยกันปะ”“
จบซะที... ทานตะวันมองไปรอบบริเวณด้วยความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ ตลอดสี่ปีที่เรียนที่นี่ ไม่มีวันไหนที่เธอจะรู้สึกใจหายเหมือนวันนี้ วันที่รู้ว่ากำลังก้าวออกไปสู่โลกกว้างอีกช่วงหนึ่งของชีวิตเธอไม่รู้เลยว่าต่อจากนี้จะมีสิ่งใดรออยู่...“ตะวันๆ ดูโน่นสิ” “อะไร” “โน่นไง ดูสิ” ทานตะวันปัดมือเพื่อนที่เขย่าแขนเธอขณะกำลังเก็บโน้ตบุ๊กตัวเก่งลงกระเป๋าทำให้กล่องกระดาษสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดเล็กเกือบร่วงหล่นลงพื้นโชคดีที่เด็กสาวคว้าไว้ได้ทัน “สานี่ยังไง เกือบทำของหวงของตะวันตกพื้นและนะ” “ช่างของมันก่อนเหอะน่า ดูโน่นก่อนว่าใครมา!”สารสาไม่วายพยักเพยิดให้ ทานตะวันมุ่นคิ้ว หน้างอเพราะความรำคาญ“ใครมาก็ช่างสิ ไม่เกี่ยวกับเราซะหน่อย เรากำลังรีบอย่าเพิ่งกวน”“กลัวคนที่บ้านมารอนานงั้นเหรอ” สารสาลากเสียงยานคางทานตะวันจึงจีบนิ้วเรียวดีดเข้ากลางหน้าผากเพื่อนสนิททันที“โอ๊ย! ดีดหน้าผากเราทำไมอะตะวัน”“ก็สากวน ไม่เห็นเหรอเรารีบ”“ก็เห็นน่ะสิ ถึงได้บอก” สารสาว่าแล้วก็ชี้มือไปอีกทางก่อนเอ่ยเสียงน้อยใจ “นึกว่าตะวันจะดีใจที่ไหนได้.. ฮึ“เสียงของสารส
หากใครคิดจะขวางอย่าได้หมาย ไม่เพียงร่างกายของเธอที่ต้องตกอยู่ใต้อาณัติของเขา หัวใจของทานตะวันก็ต้องตกเป็นทาสเสน่หาของเขาหากไม่แล้ว... ฆ่าเขาให้ตายเสียดีกว่า...เพราะรักจึงอยากครอบครองให้สมรัก เป็นหนึ่งเดียวกับเด็กสาวที่เฝ้าทนุถนอมมานาน เธอทำให้เขารู้สึกเร่าร้อนรุนแรงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่หรือเป็นเพราะโชคชะตาที่ทำให้เขาได้พบเธอ เด็กหญิงผู้ถูกทิ้งไว้ที่ท้ายรถกระบะของเขาเมื่อยี่สิบปีก่อนก็ไม่อาจรู้ได้...“ตาภูมิ! เป็นอะไร ตาภูมิ!”ภูมิที่กำลังฝันค้างถึงกับสะดุ้งตื่น ขยี้ตามองร่างตะคุ่มเจ้าของเสียงเรียกที่เห็นเลือนรางจากแสงสลัวที่ลอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาแล้วต้องพรูลมหายใจหนักหน่วงเมื่อเห็นสายตาเป็นห่วงจากมารดา“แม่”“ก็แม่น่ะสิ เป็นอะไรล่ะเรา”เจ้าของร่างท้วมผมสีดอกเลาลงนั่งข้างเตียงอังหลังมือกับหน้าผากชื้นเหงื่อของบุตรชาย ภูมิคว้ามือมารดาลงมากุมเหนือตักส่ายหน้าปฏิเสธ“ผมไม่เป็นไรครับ” “นี่ขนาดไม่เป็นไรนะ ร้องหาตะวันมันซะเสียงหลงเลย”“ผมเปล่าซะหน่อย”“ย่ะ ให้มันจริงเถอะ แม่ก็นึกว่าแกว้าวุ่นเรื่องที่ไร่โน้นส่งคนมาทาบทามตะวันให้หนุ่มๆ บ้านเขาซะอีก”“แล้วพวกบ้านนั้นเกี่
“ก็เท่ากับทิ้งคุณย่ากับตะวันอยู่ดี” เด็กหญิงอิดออดเสียงสั่น โผเข้ากอด“ตะวัน... ปล่อยอา” ภูมิส่งเสียงสั่นเทาโดยไม่หันกลับไปมอง ก้มมองสองมือเรียวที่กำแน่นอยู่เหนือหน้าท้องของเขาด้วยความรู้สึกอึดอัด “ปล่อยอา... ตะวัน” “ไม่ปล่อยค่ะ ตะวันไม่ปล่อย!” เด็กสาวดื้อแพ่ง สองมือกุมกันแน่นเข้าทำให้ภูมิรู้สึกถึงสรีระที่เปลี่ยนไปของเธอ ทานตะวันเริ่มเป็นสาวแล้ว...เธอไม่ใช่เด็กหญิงที่เขาอุ้มพาดบ่าหรือพาขี่คอเที่ยวชมทุ่งหญ้าแปลงดอกไม้ใบหญ้าบานสะพรั่งเหมือนเดิม เขากลัวว่าจะอดใจไม่ไหวจนทำเรื่องเลวร้ายกับเธอ... “กอดพอแล้ว ทีนี้จะปล่อยอาได้รึยัง” ภูมิเอ่ยเสียงแผ่วแกะมือน้อยๆ ที่ยังขัดขืนอยู่ “ทำไมอาภูมิต้องไปอยู่ที่อื่นด้วย” เธอถามเสียงเศร้าสร้อย“ก็อาบอกหลายรอบแล้วว่าต้องไปทำงาน”“ทำที่ไร่นี้ได้นี่คะ”“งานอาไม่ได้มีแต่ที่ไร่นะตะวัน”“อาภูมิคิดอีกทีไมได้เหรอคะ ตะวันขอร้อง”เฮ้อ...ภูมิอ่อนใจ อะไรมันจะพูดยากพูดเย็นขนาดนี้กัน!“ช่วงที่อาไปทำงานในเมือง ตะวันก็คอยอยู่กับคุณย่าดูแลคุณย่าแทนอาด้วยนะ อาไม่มีใครอีกแล้วนอกจากตะวัน ทำให้อาได้ไหม” เขาตอบพลางย้อนถามเธ