“คงมีบ้างค่ะ ก็ต้องช่วยกันพูดค่อย ๆ หาเหตุผลมาอธิบายให้ฟัง น้องอายถึงจะเป็นเด็ก แต่ความคิดอ่านบางอย่างก็โตเกินวัย มีเหตุผลพอสมควรค่ะ” รวิวรรณยิ้มขึ้นมาได้เมื่อพูดถึงบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวน
“ครับ งั้นผมคงต้องขอตัวก่อน มีงานต้องเคลียร์อีกเยอะเลย แล้วตอนเย็นจะให้ลูกน้องเอาใบสัญญามาให้นะครับ”
ภีมพลลุกขึ้น สองสามีภรรยาจึงลุกไปส่งที่หน้าประตูบ้าน อาทิตย์ทำท่าจะเดินไปส่งที่รั้วหลังบ้านที่เดิม แต่ภีมพลนึกขึ้นได้ว่ารวิชานั่งอ่านหนังสืออยู่แถวนั้น และเขาคิดจะแวะคุยเล่นสักหน่อยจึงเอ่ยยั้งเอาไว้ก่อน
“พี่ทิตย์ไม่ต้องไปส่งผมก็ได้ครับ แค่นี้เองผมเดินไปเองก็ได้”
“เอางั้นก็ได้ครับ ขอบคุณมากนะครับคุณภีม”
อาทิตย์ตบบ่าหนุ่มรุ่นน้องอย่างซาบซึ้งในน้ำใจ ปัญหาหลายอย่างที่เคยรุมเร้าเข้ามาเริ่มคลายไปทีละเปลาะ ความตึงเครียดที่บีบคั้นกดดันแน่นหนักอยู่ในอกเริ่มสลายจางลงจนรู้สึกราวกับว่าหายใจได้คล่องขึ้น
“ผมยินดีช่วยครับ หากพี่มีปัญหาขอให้บอกผม เรื่องหนูอายก็ไม่ต้องเป็นห่วง ผมรับปากว่าจะดูแลให้เป็นอย่างดี” จะดูแลแบบเช้าถึงเย็นถึงเชียวล่ะ...
ภีมพลพูดต่อในใจขณะหลุบตาลงมองพื้น
“ขอบคุณอีกครั้งครับ”
กล่าวลากันเสร็จ ภีมพลจึงเดินไปยังสวนหลังบ้าน เมื่อไปถึงศาลาเขาเห็นรวิชายังคงนอนเอกเขนกอยู่ที่เดิม เพียงแต่ตอนนี้กลายเป็นว่าหนังสืออ่านคนเสียแล้ว เพราะสาวน้อยนอนหลับพริ้มโดยมีหนังสือการ์ตูนเล่มเดิมกางทับอยู่บนอก
ภีมพลเหลียวมองซ้ายขวาเพื่อดูว่าจะมีใครผ่านมาทางนี้หรือเปล่า เมื่อเห็นว่าทางสะดวกเขาจึงสาวเท้าเข้าไปใกล้กับศาลาที่รวิชานอนอยู่อย่างเงียบเชียบ
ร่างอรชรที่นอนเอนหลังอยู่บนม้านั่งตัวยาวนั้น ทำให้คนมองอดนึกไปถึงคืนที่อุ้มเธอขึ้นไปบนห้องพักไม่ได้ ตอนนั้นหญิงสาวไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังถูกพาไปไหน และถูกเขาตีตราไว้อย่างไรบ้าง แต่ถ้าเป็นตอนนี้ หากเขาทำอย่างที่เคยทำ เชื่อแน่ว่าเจ้าตัวต้องลุกขึ้นมาร้องโวยวายแน่นอน
ชายหนุ่มเพ่งพิศดวงหน้าเรียวเล็กนั้นอย่างเอ็นดู ไม่อยากเชื่อว่าเด็กตัวจ้อยในวันวาน เมื่อโตขึ้นมาแล้วจะงดงามน่าหลงใหลได้ขนาดนี้ ปาก คอ คิ้ว คางทุกอย่างเหมาะเจาะลงตัวไปหมด ผิวพรรณก็ขาวผ่องเป็นยองใย และเขาก็รู้ดีด้วยว่าทุกอณูเนื้อของเรือนร่างงดงามนี้เต่งตึงนวลเนียนนุ่มมือแค่ไหน ถ้าเขาปล่อยให้สาวน้อยคนนี้หลุดมือไปก็โง่เต็มที
นับว่าโชคดีที่คืนนั้นเขาไม่หน้ามืดปลุกปล้ำเธอขึ้นมา และตอนนี้เขาก็ไม่ปรารถนาจะเด็ดดอกไม้แรกแย้มดอกนี้ก่อนเวลาอันควร ดอกไม้จะสวยสดงดงามก็ต่อเมื่อมันอยู่บนต้นของมัน ถูกเด็ดมาประดับแจกันที่คู่ควรในเวลาที่เหมาะสมต่างหากจึงจะถูกต้อง
รวิชาก็เช่นกัน เขาปรารถนาให้เธอคงความสดใสมีชีวิตชีวาของวัยสาวน้อยแรกรุ่นอย่างที่เห็นในตอนนี้มากกว่า จากนั้นค่อยพัฒนาเติบโตไปตามกาลเวลา แน่นอนว่าคนที่จะคอยบ่มเพาะดอกไม้แรกแย้มดอกนี้ไปจนกว่าจะพร้อมประดับแจกันก็ต้องเป็นเขาเพียงคนเดียว
ชายหนุ่มอดใจไม่อยู่จึงเอื้อมมือใช้หลังนิ้วเกลี่ยที่แก้มใสนั้นอย่างเอ็นดู จำได้ว่าเมื่อก่อนเขาชอบกดจมูกลงบนแก้มย้อยนุ่ม ๆ มีแต่กลิ่นแป้งเด็กของเจ้าตัวมากแค่ไหน ตอนนี้ก็คงไม่ต่างกัน เขาอยากฝังจมูกลงประทับที่เดิมเหลือเกิน แต่ความรู้สึกมันแตกต่าง เพราะเขาอยากประทับลงไปบนกลีบปากอิ่มระเรื่อนั้นด้วย
“อืม...” รวิชาขมวดคิ้วทั้งที่ยังหลับตา เอามือปัดป่ายไปมาเมื่อรู้สึกว่าถูกรบกวน
“เลี้ยงง่ายจริงนะ กินแล้วก็นอน”
ภีมพลถือวิสาสะนั่งบนเก้าอี้ยาวตัวเดียวกับที่รวิชาเหยียดขานอน ทำให้สะโพกของเขาเบียดชิดกันกับต้นขาของสาวน้อยที่กำลังนอนหลับสบาย
เสียงห้าวทุ้มคุ้นหูดังอยู่ไม่ไกล ทำให้รวิชาต้องเปิดเปลือกตาขึ้นมาอย่างง่วงงุน ทว่าพอลืมตามาเห็นใบหน้าคร้ามคมอยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อม ทำเอาหญิงสาวถึงกับตกใจรีบกระถดตัวขึ้นนั่งทันที
“อาภีม!”
รวิชารู้สึกว่าหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว สัมผัสอุ่นร้อนจากมือเขายังคงติดค้างอยู่ที่ผิวแก้ม หัวใจเต้นกระหน่ำรัวเร็วอย่างห้ามไม่อยู่ และไม่รู้สาเหตุ อยากจะหดขากลับมาก็ทำไม่ได้เพราะติดที่เขามานั่งชิดอยู่อย่างนี้ ใกล้เสียจนเธอกลัวว่าเขาจะได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นโครมครามจนแทบทะลุออกมานอกอก
“อะไรกัน เพิ่งคุยกันอยู่เมื่อกี้เองนะ อาออกมาอีกทีหลับเสียแล้ว”
ภีมพลยิ้มกริ่ม ยิ่งเห็นแก้มใสขึ้นสีระเรื่อชวนมอง จนลามเลียไปถึงลำคอก็ยิ่งอยากแกล้ง จึงทำทีเป็นไม่รู้ไม่เห็นที่สาวน้อยอยากจะหดขาของตนเองกลับ
“แหม...ก็น้องอายเพิ่งกินอิ่ม ลมพัดมาเย็น ๆ มันก็ต้องมีเผลองีบบ้างแหละ ช่วงนี้เป็นเวลาพักผ่อนนี่นา”
รวิชาตอบเสียงอ่อย นัยน์ตากลมโตเสมองไปเรื่อยเปื่อย ในขณะที่มือไม้ก็ไม่รู้จะวางไว้ตรงไหน ได้แต่จับอยู่ที่หนังสือการ์ตูนจนแน่นหนับ
“จะบอกว่าอามากวนเราใช่ไหม” เขาเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม แต่รวิชาหันกลับมาส่ายหน้าหวือ
“เปล่าสักหน่อย น้องอายยังไม่ได้พูดเลยนะคะ อาภีมพูดเองต่างหาก เอ่อ ขอโทษนะคะอาภีม กระเถิบไปอีกนิดได้ไหมคะ น้องอายอยากเอาขาลงค่ะ”
พูดแล้วก็ก้มหน้างุดเพราะรู้สึกขัดเขิน ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะขลุกขลักในลำคอก็ยิ่งอยากวิ่งหนีไปให้ไกลจากตรงนี้ สำหรับเขาแล้วเธออาจจะเป็นแค่เด็กข้างบ้านที่เคยเห็นมาแต่เล็กแต่น้อย แต่สำหรับเธอนั้นเขาคือชายหนุ่มแปลกหน้าที่บังเอิญได้เจอกันในเหตุการณ์ที่ไม่ปกติอยู่ดี
การที่จู่ ๆ ต้องตื่นมาแล้วพบว่าตนเองนอนอยู่บนเตียงเดียวกันกับผู้ชายที่ไม่มีเสื้อผ้าติดตัวเลย แถมยังเป็นผู้ชายที่เธอคิดว่าชาตินี้คงจะไม่มีวันได้เสวนากันอีก จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสามารถมองหน้ากันได้อย่างสนิทใจ
“เอาสิ ขอโทษที” ภีมพลลุกขึ้นยืนเพื่อให้หญิงสาวหดขาเข้าไป เมื่อเห็นเธอวางขาลงกับพื้นในท่านั่งปกติเรียบร้อยแล้ว เขาจึงหย่อนตัวลงนั่งที่เดิมอีกครั้ง
“เลือกเรียนคณะอะไรเอาไว้ล่ะ”
ชายหนุ่มชวนคุยเพื่อเก็บข้อมูล ระยะเวลากว่าหลายปีที่ไม่ได้พบเจอกันทำให้เขาอยากรู้ว่าที่ผ่านมาสาวน้อยของเขาทำอะไรมาบ้าง
“บริหารฯ ค่ะ เพราะอีกหน่อยต้องเข้าไปช่วยงานคุณพ่อคุณแม่” รวิชาวางหนังสือการ์ตูนไว้บนโต๊ะแล้วยกน้ำขึ้นดื่ม
“ดีมาก พ่อกับแม่มีเราแค่คนเดียว บริษัทที่ท่านดูแลอยู่อีกหน่อยเราก็ต้องดูแลแทนอยู่แล้ว”
ภีมพลมองเสี้ยวหน้าของคนนั่งข้าง ๆ เห็นสีหน้ากึ่งลังเลกึ่งหนักใจ ทั้งยังแววตาเหม่อลอยก็อดถามไม่ได้
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ”
“น้องอายไม่อยากทำงานตลอดเวลาเหมือนคุณพ่อคุณแม่นี่คะ อายเห็นท่านทำงานบางวันก็ไม่ได้กลับบ้าน บางทีต้องไปต่างจังหวัดตั้งหลายวัน น้องอายกลัวว่าจะทนไม่ได้เหมือนคุณพ่อคุณแม่ แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ บริษัทก็ต้องเจ๊งเพราะฝีมือน้องอายแน่เลยค่ะอาภีม”
รวิชาพูดอย่างที่ใจคิด เธอกลัวว่าจะไม่มีความสามารถมากพอในการบริหาร และกลัวว่าจะเป็นต้นเหตุทำให้บริษัทที่บิดามารดาสร้างมาต้องล่มสลายลงเพราะความไม่เอาไหนของตนเอง
“ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ ยังไม่ได้ลองลงมือทำอย่าเพิ่งกลัวไปก่อนสิครับ”
ภีมพลส่งยิ้มอบอุ่นพลางยกมือขึ้นโยกศีรษะของเธออย่างเอ็นดู เขารู้ดีว่าหญิงสาวรู้สึกอย่างไร เพราะความรู้สึกแบบนี้ก็เคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อนเหมือนกัน
“เรากลัวว่าวันใดวันหนึ่ง ถ้าหากไม่มีท่านทั้งสองอยู่แล้ว เราไม่รู้จะหันหน้าไปปรึกษาใครใช่ไหม”
“หืม...อาภีมรู้ได้ยังไง” รวิชาหันมามองเขาตาโต ก่อนจะหันกลับไปมองตรงหน้าตามเดิม หญิงสาวถอนหายใจออกมาแล้วพูดว่า
“ใช่ค่ะ ตอนนี้เวลานี้ถ้าน้องอายทำอะไรผิด หรือตัดสินใจอะไรไม่ถูกก็ยังมีคุณพ่อคุณแม่คอยให้คำแนะนำปรึกษาได้ แต่ถ้า...เอ่อ...อายไม่ได้แช่งท่านทั้งสองคนนะคะ เพียงแต่ถ้าถึงเวลานั้นขึ้นมาจริง ๆ อายจะหันหน้าไปปรึกษาใครก็ยังไม่รู้เลย”
ระหว่างที่หญิงสาวกำลังเหม่อ จู่ ๆ ภีมพลก็คว้ามือข้างหนึ่งของเธอมากุมไว้พร้อมบีบเบา ๆ อย่างให้กำลังใจ
“อาอยากให้น้องอายจำไว้อย่างหนึ่งนะ ถ้าหากเรามีปัญหา หาทางออกไม่ได้ ไม่รู้จะปรึกษาใคร อาอยากให้น้องอายนึกถึงอาเป็นคนแรก...ได้หรือเปล่า”
เขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวยที่เบิกกว้าง ความรู้สึกอยากปกป้องดูแลพุ่งตรงเข้าจู่โจมหัวใจของเขา ความโดดเดี่ยวจากการเป็นลูกคนเดียว เขาเคยประสบมาแล้ว และผ่านมันมาแล้ว เขาจึงเข้าใจดีว่ารวิชารู้สึกอย่างไร
รวิชาพูดไม่ออกเพราะสัมผัสอุ่นร้อนจากมือของเขา ได้แต่พยักหน้ารับปากไปอย่างงุนงง แต่สักพักชายหนุ่มก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับปล่อยมือเธอ แต่มือของเขาย้ายมาโยกศีรษะของเธอแทน
“ดีมากเด็กดี อาไปก่อนนะ แล้วเจอกันใหม่เพราะเราคงได้เจอกันอีกนาน”
ภีมพลพูดจบเขาก็ยักคิ้วให้ข้างหนึ่ง เลื่อนมือที่จับศีรษะลงมาหยิกแก้มเธอเบา ๆ ก่อนจะเดินจากไปโดยไม่พูดอะไร ทิ้งให้หญิงสาวนั่งอึ้งอยู่ที่เดิม พอรู้สึกตัว รวิชาก็ยกมือขึ้นทาบแก้มทั้งสองข้างเมื่อรู้สึกว่ามันเริ่มเห่อร้อนขึ้นมาอีกแล้ว
“อาภีมบ้า” บ้าจริง วันนี้เขาทำให้เธอเขินไปกี่ครั้งแล้วนะ
“อ้าว! วันนี้คุณอายไม่เข้าบริษัทหรือ” เมื่อเช้าก็ออกมาด้วยกันแท้ ๆ แต่แม่เจ้าประคุณแอบหนีไปเที่ยวไหนกันล่ะนี่ ชายหนุ่มคิดอย่างเข่นเขี้ยวในใจเมื่อเจอ “เซอร์ไพรส์” สุดพิเศษจากศรีภรรยาภีมพลยิ้มกริ่มอย่างหมายมาด เห็นทีต้องรีบกลับไปรับขวัญก่อนเวลาเสียแล้ว ชายหนุ่มหยิบกระเป๋าสตางค์กับกุญแจรถออกมา เหลือบไปเห็นแฟ้มงานสองแฟ้มที่ยังคงแผ่หราอยู่เต็มโต๊ะ แล้วนึกขึ้นได้ว่ายังดูค้างเอาไว้ เขากวาดตามองอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ใจจริงเขามีตัวเลือกเอาไว้อยู่แล้ว เมื่อตัดสินใจได้เขาก็คว้าแฟ้มขวามือเดินออกจากห้องทันที จากนั้นจึงไปยื่นให้กับเลขาฯ ส่วนตัว“ผมเลือกของบริษัทนี้ ให้ฝ่ายจัดซื้อทำเรื่องได้เลย อ้อ วันนี้ผมไม่เข้าแล้วนะ” พูดจบชายหนุ่มก็ผละออกไป และต้องหยุดชะงักเมื่อเลขาฯ รีบวิ่งมาถามถึงงานบางอย่างที่เขาให้เตรียมไว้สำหรับช่วงบ่ายนี้“คุณภีมคะ แล้วเรื่องที่ให้เตรียมเอาไว้บ่ายนี้ล่ะคะ”“ยังคอนเฟิร์มอยู่ แต่ว่าคุณช่วยอะไรผมหน่อยสิ”ภีมพลหันมายิ้มพรายเต็มวงหน้าเมื่อคิดอะไรดี ๆ ขึ้นมาได้
อดคิดไปถึงบิดามารดาผู้ล่วงลับไปแล้วไม่ได้ ท่านทั้งสองช่างมีความอดทนและมุมานะอย่างล้นเหลือที่สู้ฝ่าฟันจนกระทั่งบริษัทเป็นรูปเป็นร่างได้ขนาดนี้ นึกมาถึงตอนนี้แล้วก็โกรธตัวเองที่ตอนนั้นเอาแต่น้อยใจ คิดว่าท่านทำแต่งานจนไม่สนใจใยดีกับเธอผู้เป็นลูกสาวเพียงคนเดียว‘รวิชา แปลว่าลูกพระอาทิตย์ เพราะฉะนั้นหนูต้องเข้มแข็ง อดทนให้สมกับที่เป็นลูกสาวของพ่อ ชีวิตของหนูจะต้องรุ่งโรจน์สดใสเหมือนกับดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้า’ถ้อยคำจากบิดายังคงดังก้องอยู่ในหัวทุกครั้งที่นึกถึงเวลาเมื่อรู้สึกอ่อนล้าทั้งร่างกายและจิตใจ ถ้าไม่มีแม่นมชราและสามีที่คอยเป็นกำลังใจให้ ป่านนี้ชีวิตเธอจะหักเหไปทางไหนแล้วบ้างก็สุดรู้“อรุณสวัสดิ์จ้ะ”เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับจุมพิตเบา ๆ ที่ข้างแก้ม จากนั้นคนตัวโตก็ทรุดตัวลงนั่งซ้อนหลังไว้พร้อมกับดึงบ่าของเธอให้เอนซบลงมาบนตัวเขา“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ตื่นเช้าจังเลยนะคะ” หญิงสาวทักทายกลับไปก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างเมื่อได้ยินประโยคถัดมาของสามี“จำเป็นต้องตื่นเช้าน่ะ จู่
หลังจากถวายสังฆทานจนกระทั่งกรวดน้ำเสร็จเรียบร้อย ภีมพล รวิชา และนมพิมก็พากันเดินออกมาเทน้ำที่ใต้ต้นไม้ใหญ่หน้ากุฏิ ชายหนุ่มสวดบทกรวดน้ำพึมพำโดยไม่ออกเสียง ในขณะที่หญิงสาวและนมพิมอธิษฐานเพื่อส่งผลบุญให้แก่ผู้ล่วงลับอยู่ในใจวันนี้เป็นวันครบรอบวันเสียชีวิตของบิดามารดาของรวิชา นมพิมเปรยเอาไว้หลายวันก่อนหน้าแล้วว่าอยากมาทำบุญให้ท่านทั้งสอง ซึ่งเธอเองก็เห็นด้วยเพราะคิดไว้เหมือนกันว่าจะมาทำบุญวันนี้ จึงชวนสามีหนุ่มให้มาด้วยกัน และเขาก็ไม่ขัดข้อง เพราะตั้งแต่ผ่านพ้นพิธีแต่งงานมาได้สองเดือน ภีมพลก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับพุทธศาสนาอีกเลยจากนั้นทั้งสามคนก็เดินทางกลับบ้าน พอมาถึง ชายหนุ่มปล่อยให้รวิชาได้อยู่กับแม่นมตามลำพังเพราะคิดว่าทั้งสองคนคงมีเรื่องอยากพูดคุยกัน เขาเองก็เห็นใจคนแก่อย่างนมพิม เพราะตั้งแต่รวิชาเรียนจบมาก็เอาแต่ทำงาน แถมหลังจากนั้นสองเดือนก็เข้าพิธีแต่งงานกับเขา ทำให้บางคืนรวิชาไม่ได้กลับไปนอนบ้านตัวเอง ถึงแม้เขากับรวิชาจะแก้ปัญหาด้วยการสลับบ้านนอนเป็นวันเว้นวันแล้วก็ตาม แต่หัวอกคนแก่ก็คงหงอยเหงาเป็นธรรมดา
“ตอบแบบนี้ค่อยชื่นใจหน่อย อย่างนี้ต้องให้รางวัล”ชายหนุ่มจับล็อกปลายคางมนของหญิงสาวไว้ แล้วก้มลงตบรางวัลให้คนปากหวานช่างจำนรรจาจนเขากระชุ่มกระชวยทุกทีที่ได้ฟังนาทีนี้ภีมพลเหมือนจะคลั่งเสียให้ได้ สาวน้อยช่างหวานจับจิตจับใจสมกับที่รอคอยมานานแสนนาน ถ้าไม่ติดว่าเธอยังใหม่กับความสัมพันธ์แบบนี้แล้วล่ะก็ รับรองได้เลยว่าทั้งเขาและเธอยังคงนัวเนียกันอยู่บนเตียงเป็นแน่“อื้ม...อาภีมขา นี่มันริมถนนนะคะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”แค่หญิงสาวพูดเบา ๆ แต่สำหรับชายหนุ่มแล้วน้ำเสียงสั่นพร่านิด ๆ นั้นช่างฟังดูเซ็กซี่ยั่วยวนดีเหลือเกิน เขานึกถึงตอนเธอครวญครางอยู่ใต้ร่างของเขา ทั้งภาพทั้งเสียงยังคงติดตาตรึงใจเสียจนอะไร ๆ มันพรักพร้อมขึ้นมาอีกแล้ว“เราเข้าหมู่บ้านมาแล้ว ไม่ค่อยมีคนเดินผ่านมาหรอก รถอาก็มืด ใครจะมองเข้ามาเห็นล่ะคะ”เอาอีกแล้ว ลงท้ายด้วยคะ ขาแบบนี้แปลว่าเริ่มไม่ปลอดภัยแล้วเป็นแน่ ยังไม่ทันจะได้อ้าปากพูดอะไร แต่ชายหนุ่มก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน“แวะบ้านอาก่อนนะคะ”แค่เห็นแววตาระยิบระยับแพรวพราวของเข
“ถ้าอย่างนั้น...คืนนี้อยู่กับอาทั้งคืนได้ไหม ตามใจอาหน่อยได้ไหมคะ”เขาถามพร้อมกับประพรมจุมพิตไปทั่วหน้าอย่างหลงใหล ก่อนจะเอ่ยประโยคสำคัญที่ทำให้คนฟังหัวใจพองฟูคับอก“อาก็รักน้องอาย ไม่ใช่แค่คืนนี้ที่อาอยากให้น้องอายอยู่ด้วยแต่เป็นทุก ๆ คืน และตื่นมาตอนเช้าก็เห็นหน้าน้องอายเป็นคนแรกในทุก ๆ เช้า”ชายหนุ่มหยุดพูด แล้วก้มลงจุมพิตที่หน้าผากอีกครั้งหนึ่งแล้วไต่ระเรื่อยมาจนถึงใบหู ใจอยากจะโจนจ้วงเข้าหาร่างเย้ายวนนี้ให้สมกับที่รอคอยมานานแสนนาน แต่ก็อยากให้หญิงสาวได้สัมผัสกับความสวยงามจากประสบการณ์ในรักครั้งแรกมากกว่า เขาจึงต้องอ่อนโยนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แม้ว่าความต้องการจะอัดแน่นจนแทบระเบิดแล้วก็ตาม“แต่งงานกับอานะคะ”ไหน ๆ เธอก็เรียนจบแล้ว มีงานมีการทำถือว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว หนำซ้ำยังจดทะเบียนสมรสเป็นคนคนเดียวกันในทางกฎหมายแล้วด้วย เขาจึงคิดว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องรออีกต่อไป เพราะเขากับเธอก็แทบจะเป็นของกันและกันอยู่แล้ว จะเหลือก็แต่การอยู่ร่วมบ้านเดียวกันในฐานะของสามีภรรยาเท่านั้นรวิชาคลี่ยิ้มกว้างพล
ภีมพลยืนยิ้ม มองภรรยาทางนิตินัยที่กำลังยักย้ายส่ายสะโพกอย่างสนุกสนานกับเพื่อนกลุ่มใหญ่อยู่ข้างล่างด้วยแววตาทอดอ่อน เมื่อวานสอบวันสุดท้าย วันนี้รวิชาจึงขออนุญาตเขาพาเพื่อน ๆ มาสนุกกันที่คลับอย่างเต็มที่เพื่อเป็นการฉลองจบการศึกษา อีกทั้งฉลองที่ยอดขายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสปานั้นทะลุเป้าเกินกว่าที่คาดหมายไว้พอสมควรสาวน้อยของเขาเรียนจบแล้ว...ปีกว่ากับการอยู่ในตำแหน่งคู่หมั้น สองปีกว่ากับการอยู่ในตำแหน่งสามีตามกฎหมาย รวมแล้วร่วมสี่ปีเต็มกับการเฝ้าดูแลเด็กสาวคนหนึ่งให้เติบโตเป็นหญิงสาวแสนสวย และมากความสามารถจนเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไปเมื่อก่อนเขาเอาแต่นั่งนับวันเวลาว่าเมื่อไรเธอจะเรียนจบ เพราะอยากตีตราจองเธอเอาไว้ด้วยร่างกาย ไม่ใช่แค่กระดาษแผ่นเดียวตามประสาผู้ชายทั่วไปที่คิดอยากมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคนรัก ทว่าพอวันเวลาผ่านไป ความคิดของเขาก็ค่อยปรับเปลี่ยนไปทีละนิดตามความผูกพันที่เพิ่มขึ้นระหว่างเขากับเธอเซ็กซ์ไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่เขาต้องการจากเธอเพียงอย่างเดียวเหมือนเมื่อก่อน เพราะมันถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกมั่นคงในรัก และการรับรู้ถึงการเป็นส่วนหนึ่งขอ