ฟ้ายามเช้าปลายฤดูใบไม้ผลิยามนี้โปร่งใสไร้เมฆ แสงอรุณทอดผ่านหมู่ไม้และผิวน้ำจนเห็นเป็นสายทองระยิบระยับ ต้นหลิวเอนพลิ้วล้อลม สายน้ำแห่งลำธารไหลเอื่อยดั่งสายธารอารมณ์ ไม่มีอันใดฉูดฉาดเกินงาม แต่ละขอบเขาอาบด้วยแสงอ่อนคล้ายสวรรค์กำลังอวยพรเงียบ ๆ แก่คนสองคนซึ่งกำลังจับจ้องกันอยู่ใต้ศาลาไม้ไผ่หลังหนึ่ง
วันนี้คือวันแต่งงานของ ซูหรง กับ อวี้ไป๋เฉิน
ใต้ศาลากลางสวนของโรงเตี๊ยม ซึ่งถูกตกแต่งอย่างวิจิตรงดงามจนผิดแผกไปจากทุกวันที่ผ่านมา บัดนี้เต็มไปด้วยแขกเหรื่อ ทั้งเพื่อนบ้านจากตลาด ตระกูลค้าขายใกล้เคียง และบางคนแม้เคยเป็นผู้เดินทางหลงทาง ก็ยังหวนกลับมาร่วมเป็นสักขีพยานในวันสำคัญ
แม้จะเป็นงานเล็ก ไม่หวือหวา แต่รายละเอียดทุกอย่างกลับเปี่ยมด้วยความเอาใจใส่ ผืนผ้าปูโต๊ะสีขาวปักลายดอกเหมยตัดกับแจกันหยกอ่อนที่บรรจุดอกบัวขาว ผืนธงผ้าสีแดงอ่อนเขียนอักษร แสดงความยินดีต่อทั้งคู่ ด้วยหมึกทองสะท้อนแดดระยับ ราวกับทองคำที่หลอมมาทำเป็นอักขระ หลอมรวมความสุขไว้เป็นนิรันดร์
ซูหรงอยู่ในชุดเจ้าสาวสีแดงเข้มปักดิ้นทอง งามราวเทพธิดาเสด็จจากฟากฟ้า เส้นผมยาวถูกเกล้ามวยขึ้นประณีต ประดับด้วยปิ่นหยกและกลีบบัวสีเงินแซมเกสรทอง เมื่อแสงอรุณต้องใบหน้า นางดูมีความอ่อนโยนที่หาได้ยากจากหญิงในยุทธภพ
นางเคยเป็นศิษย์ผู้ซุกซนและดื้อดึง แต่ยามนี้ แววตากลับเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน
หากแต่ผู้ที่อยู่ในความคิดนาง กลับมิใช่เจ้าบ่าว
“อาจารย์…” หญิงสาวอดีตผู้บำเพ็ญเซียนเสียงรำพึงภายในใจเอ่ยแผ่ว “วันนี้ข้ากลับไม่มีท่านเคียงข้าง… ท่านเป็นดังมารดาที่เลี้ยงข้ามา ข้าปรารถนาให้ท่านมาแสดงความยินดีกับข้าบ้างเสียจริง”
นางยิ้มรับพิธี ยิ้มรับคำอวยพร ทว่าเบื้องลึกในใจกลับรู้สึกว่าบางสิ่งขาดหายไป
.
หลังวันแต่งงาน ผ่านไปไม่นาน โรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋น ที่เดิมเป็นเพียงเรือนไม้เล็ก ๆ กลับขยับขยายอย่างรวดเร็ว
อวี้ไป๋เฉิน แม้จะดูเป็นชายหนุ่มเรียบง่าย แต่กลับวางกลยุทธ์ธุรกิจได้แยบยล เขารู้จักจัดสรรพื้นที่ เพิ่มห้องพักตะวันตก ติดตั้งครัวกลาง ปรับปรุงห้องโถงเพื่อรองรับการจัดเลี้ยง แม้กระทั่งเครื่องเรือนก็ได้รับการเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดจากฝีมือช่างไม้ชั้นดี จนผู้คนเริ่มกล่าวขานว่าโรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็น “เรือนรับรองที่หอมกลิ่นบุปผา”
ส่วนซูหรง หลังจากแต่งงาน นางมิได้อยู่เฉยเป็นเพียงภรรยาเจ้าของโรงเตี๊ยม หากแต่กลับลงมือจัดการด้วยตนเองทุกขั้นตอน นับตั้งแต่ตรวจบัญชี สั่งของ คัดเลือกวัตถุดิบ ไปจนถึงฝึกฝนบ่าวทั้งหญิงชายในการต้อนรับแขกอย่างเป็นระบบ
โรงเตี๊ยมเจริญรุ่งเรือง จนในหนึ่งเดือนเต็ม ห้องพักถูกจองแน่นทุกคืน แม้ในฤดูฝนก็ยังไม่มีแผ่ว และเมื่อกิจการเติบโตขึ้น สิ่งหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ ต้องรับคนเพิ่ม
“เปิดรับสาวใช้?”
“ใช่” ซูหรงพยักหน้า ขณะนั่งอยู่หลังโต๊ะบัญชี “ต้องเพิ่มคนที่คล่องแคล่ว ซื่อสัตย์ หน้าตาสะอาดพอดูได้ มีใจรักงานบริการ”
“เจ้าคิดจะลงไปป่าวประกาศด้วยตนเองหรือไม่?”
“ไม่” นางหัวเราะ “ส่งข่าวไปที่ตลาดพอ ผู้ใดสนใจก็ให้มาสมัครที่นี่ ข้าขอดูที่มาที่ไปก่อนแล้วค่อยพิจารณา”
หลังจากที่นางคิดได้ไม่นานก็เขียนใบประกาศ ฝากให้บ่าวนำไปติดประกาศในตลาดกลางเมือง ไม่นานในตลาดก็มีแผ่นป้ายประกาศเล็ก ๆ ที่เขียนด้วยลายมือเรียบร้อยว่า:
✦ โรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋น ✦
เปิดรับสมัครสาวใช้ใหม่
อายุระหว่าง 14 – 18 ปี หน้าตาเรียบร้อย มีใจรักงาน
ที่พักพร้อมอาหารครบ
คัดเลือกโดยคุณนายซูหรงด้วยตนเอง
หลังประกาศติดได้วันเดียว ยามบ่ายวันรุ่งขึ้น หญิงสาวหลายคนก็มารวมตัวหน้าประตูโรงเตี๊ยม พวกนางแต่ละคนแต่งกายสะอาดพอประมาณ หน้าตาแตกต่างกันไปตั้งแต่ลูกชาวนาไปจนถึงสาวจากตระกูลล้มละลาย
ท่ามกลางนั้น มีคนหนึ่งที่มิได้โดดเด่นเลยหากมองเพียงภายนอก หากแต่ต้องตาซูหรงอย่างประหลาด นางเป็นเด็กสาวในชุดเสื้อผ้าฝ้ายสีฟ้าอมเทาเก่า ๆ ผมหน้าม้าตัดตรง ท่าทีเหมือนจะเจียมเนื้อเจียมตัว แต่ดวงตากลับนิ่งสงบ ราวกับมิได้หวั่นไหวกับสิ่งใดในใต้หล้า
การคัดเลือกเป็นไปอย่างเรียบง่าย ซูหรงนั่งอยู่ในห้องโถงหน้าต่างเปิดกว้าง แสงแดดส่องกระทบจอกชา นางเพียงเงยหน้ามองแต่ละคน แล้วถามสั้น ๆ ว่า
“เจ้าทำอะไรได้บ้าง?”
“ทำไมจึงอยากเป็นสาวใช้?”
“เคยเรียนหนังสือหรือไม่?”
นางไม่คาดหวังคำตอบเลิศหรู แต่ดูท่าที ความซื่อตรง และสายตาของแต่ละคน บางคนก็นางก็รับไว้ทันที บางคนนางเห็นว่าไม่เหมาะสม ก็แนะนำให้ลองสมัครงานร้านอื่น ๆ ที่ต้องการคน
จนกระทั่งถึงตาของเด็กสาวที่นางต้องตาคนนั้น...
ผิวของนางเรียบเนียนดั่งหยกขาวไร้ตำหนิ มีสีอมชมพูเรื่อเหมือนกลีบบัวแรกแย้มในยามอรุณ แก้มที่ไม่แต่งแต้มใด ๆ กลับมีเลือดฝาดโดยธรรมชาติ เส้นผมสีดำขลับตัดหน้าม้าเสมอกันเป็นเส้นตรง ผมส่วนที่เหลือถูกรวบแน่น รัดเรียบง่าย ไม่ประดับด้วยสิ่งใด นอกจากเชือกดำพันไว้ ริมฝีปากน้อย ๆ สีอ่อนซีดแต่ได้รูป คิ้วบางโค้งเรียวราวพู่กันจีนแตะหมึกครั้งเดียว วางอยู่เหนือดวงตากลมโต ดวงตาคู่นั้นดำลึก ละเอียด และนิ่งราวผิวน้ำในบึงยามไร้ลม ราวกับซ่อนความรู้แจ้งเอาไว้ทุกกระแสสายตา จมูกเล็กโด่งอย่างอ่อนโยน ปลายคางเรียวเป็นรูปไข่รับกับโครงหน้าที่บางระหง ใบหน้าของนางแม้จะไม่มีเสน่ห์แบบฉูดฉาด หากแต่ดูนาน ๆ กลับเหมือนมีไอหมอกลึกลับเคลือบไว้ ทำให้ผู้อยู่ใกล้รู้สึกถึงความน่ารักน่าเอ็นดูอย่างไม่รู้สาเหตุ
เด็กสาวตัวน้อยยืนเงียบต่อหน้าซูหรง สายตากหลบต่ำ ไม่สบประสานตรง ๆ แต่ท่าทางกลับดูมั่นคงอย่างประหลาด
“ชื่ออะไร?” ซูหรงถามออกไป
“เสี่ยวซุ่ย”
“อายุ?”
“เกิดปีเถาะเจ้าค่ะ ตอนนี้ก็น่าจะ...” เสี่ยวซุ่ยพูดพลางพยายามนับนิ้ว แต่ซูหรงนับให้ก่อนจะเสียเวลากว่านั้น
“สิบหกงั้นสินะ มาจากไหน?”
“จากภูเขาทางใต้”
บทสนทนาดูเรียบง่าย ทว่ากลับทำให้ซูหรงนิ่งไปชั่วครู่ แม้นางจะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ใจกลับสะดุด ราวกับคุ้นเคยกันมาอย่างประหลาด... เสียงนั้น... แววตานั้น... ท่าทางนั้น... มือที่ประสานกันอย่างสุภาพเรียบง่ายแบบหญิงสาวผู้เจียมเนื้อเจียมตัว แต่กลับทำให้นางอดรู้สึกเหมือนท่าทางประสานมือก่อนร่ายวิชาของสำนักเซียน
แม้ในใจเกิดความแคลงเคลือบ นางก็ไม่ได้พูดออกไป เพียงถามอีกเบา ๆ ว่า
“เคยอยู่ในสำนักหรือสถานศึกษาที่ไหนหรือไม่?”
“เคยอยู่โรงเรียนบนเขา แต่ไม่ได้เรียนเจ้าค่ะ ทำงานนิดหน่อย” เด็กสาวตอบกลับ แล้วก้มหน้าลงนิดหนึ่งหลบสายตา
“เจ้าดูไม่เหมือนเด็กทั่วไปเลยนะ” ซูหรงพูดพลางยิ้ม มองเด็กสาวตรงหน้าอยู่เงียบ ๆ สักครู่ คล้ายจะพินิจอย่างลึกซึ้ง ใบหน้าของเสี่ยวซุ่ยนั้นไม่แสดงความประหม่า ไม่สะทกสะท้านแม้ต้องยืนอยู่ต่อหน้าผู้เป็นนายหญิงเจ้าของโรงเตี๊ยม ทว่าก็ไม่มีแววอวดดีหรือจองหองสักนิด มีเพียงความสงบเย็นที่ชวนให้รู้สึกนึกถึง… เงาใครบางคนในอดีต
“เจ้าทำอาหารได้หรือไม่?” ซูหรงถามเสียงนิ่ง แต่ไม่เร่งเร้า เสี่ยวซุ่ยเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แววตาวูบไหววาบหนึ่งก่อนเอ่ยคำตอบ
“ทำได้เล็กน้อยเจ้าค่ะ”
“เคยล้างจานชามหรือไม่?”
“เจ้าค่ะ” เสียงตอบนั้นราบเรียบ
“แล้วหากต้องล้างให้ทันก่อนตะวันตกดินคนเดียวทั้งกอง ล้างไม่หมดมีโทษ เจ้าจะรับมืออย่างไร?”
“หากมีแค่สองมือ ก็ขอเริ่มเร็วขึ้นเจ้าค่ะ ถ้ายังไม่ทัน ก็ขอขัดให้หมดแม้ในยามค่ำคืน” เด็กสาวเงยหน้ามองด้วยแววตาแน่วแน่เป็นครั้งแรก
คำตอบนั้นไม่ใช่คำพูดที่ฟังดูประทับใจ แต่ในแววตาและท่าทีที่มุ่งมั่นไม่สะทกสะท้าน กลับมีบางสิ่งทำให้ซูหรงนิ่งไป ด้วยแววตาเช่นนี้… เมื่อก่อนเคยมีใครคนหนึ่งพูดคล้ายกันไว้ใต้ต้นหลิวข้างตำหนักเซียน
“หากท่านให้ข้าทำจนถึงรุ่งเช้า ข้าก็จะทำ ข้าจะไม่ให้ศิษย์พี่คนใดลำบากเพราะข้า”
นั่นคือคำพูดของนางเองเมื่อสิบปีก่อน ยามเป็นศิษย์ของอาจารย์ลั่วชิง
ซูหรงบีบมือที่วางบนโต๊ะเบา ๆ รู้สึกเสี้ยวหนึ่งของตนเองสะท้อนอยู่ในร่างเด็กสาวผู้นี้ มันน่าหัวเราะ ที่คนดื้อรั้นจนหนีลงเขามากลับได้มานั่งเจรจากับคนที่คล้ายตนเองในอดีตถึงเพียงนี้
“แล้วถ้ามีใครรังแกเจ้าในโรงเตี๊ยม เจ้าจะทำอย่างไร?”
“ถ้าไม่ถึงตายก็จะไม่พูดเจ้าค่ะ” เสี่ยวซุ่ยตอบเสียงเบา
“ไม่พูด?” ซูหรงเลิกคิ้ว
“ใช่เจ้าค่ะ... เพราะถ้าบอก เจ้านายจะลำบากใจ หากไม่ใช่เรื่องถึงตาย ข้าจะทนได้” ดวงตาคู่นั้นกลับสงบยิ่งกว่าก่อนหน้า คำตอบนั้นสะเทือนใจผู้เป็นนายหญิงอยู่ลึก ๆ ซูหรงวางพัดไม้ไผ่ที่พับอยู่ในมือลงบนโต๊ะเบา ๆ แล้วถอนใจ
“มีคนเคยสอนเจ้าแบบนี้หรือ?”
เสี่ยวซุ่ยไม่ตอบ เพียงหลบตาลงอย่างนุ่มนวล ซูหรงหลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ
“นับจากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าจะอยู่ที่นี่ เป็นบ่าวหญิงคนใหม่ ทำหน้าที่เป็นสาวใช้ฝึกหัด ข้าจะให้พี่หลินคอยดูแลและสอนงานเบื้องต้นให้เจ้า หากครบเจ็ดวันแล้วยังไม่บกพร่อง ข้าจะให้ห้องพักของตน และเพิ่มเงินเบี้ยเลี้ยงให้อีกห้าอีแปะต่อวัน”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” เสี่ยวซุ่ยก้มศีรษะลงงดงาม มุมปากขยับเพียงเล็กน้อยคล้ายยิ้ม แต่ไม่เด่นชัด
ซูหรงพยักหน้า แล้วหันไปเรียกบ่าวหญิงรุ่นพี่คนหนึ่งที่ยืนรออยู่ด้านหลัง “พี่หลิน พาเด็กคนนี้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเริ่มสอนงานให้วันนี้เลยก็ได้ แต่อย่าหักโหมมากนัก นางดูเหมือนจะเดินทางมาไกล”
“รับทราบเจ้าค่ะ” พี่หลิน บ่าวหญิงวัยยี่สิบปลาย ๆ ผมรวบเป็นมวยต่ำไว้ด้านหลัง ท่าทางขยันขันแข็ง รับคำนายหญิงของตน เสี่ยวซุ่ยก็พยักหน้าก่อนจะลุกขึ้น แล้วหันไปก้มศีรษะให้ซูหรงอีกครั้ง จากนั้นก็เดินตามหญิงสาวออกจากห้องโถงไปอย่างเงียบงัน
หลังเด็กสาวออกไป ห้องก็กลับเข้าสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง มีเพียงเสียงสายลมพัดผ่านพุ่มไม้ด้านนอก และแสงแดดทอดผ่านตะแกรงไม้ไผ่บนหน้าต่าง ทำให้จุดบนโต๊ะเป็นเงาตารางสลับสีขาวดำเหมือนลวดลายบนผ้าผืนใหญ่
ซูหรงยกชาขึ้นจิบเงียบ ๆ แววตาเหม่อมองไปที่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะซึ่งไม่มีใครนั่งอยู่ นางคิดถึงใครบางคนขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว...
“อาจารย์ หากท่านได้เห็นเด็กคนนี้ ท่านคงแปลกใจ”
นางกระซิบในใจ แล้ววางถ้วยชาลงเบา ๆ ก่อนจะหยิบแผ่นบันทึกบัญชีขึ้นมาอ่านต่อ แต่วินาทีนั้นเอง ลมเบา ๆ พลันพัดเข้ามาในห้อง ศีรษะของซูหรงเงยขึ้นโดยไม่ตั้งใจ... บางสิ่งบางอย่างในสายลมนั้นทำให้หัวใจนางสั่นไหว ไม่ใช่ลมธรรมดา หากเป็นกลิ่นอันคุ้นเคย
กลิ่นของกลีบบัวขาวจากหุบเขาเซียน... กลิ่นที่คุ้นเคยจากเหล่าเซียนและผู้ฝึกตนในสำนักเก่าของนาง!
คืนหลังจากที่ซูหรงเเละสามีปรับความเข้าใจกันได้ เสียงหรีดหริ่งเรไรยามราตรีขับขาน ลมเย็นในยามค่ำคืนพัดผ่านม่านโปร่งของห้องพักชั้นบนสุดของโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋น พัดพากลิ่นหอมอ่อน ๆ จากโคมไฟน้ำมันซึ่งซูหรงเพิ่งจุดไว้เมื่อครู่ให้หอมอบอวลอยู่ในห้อง นางยืนอยู่ริมหน้าต่างในชุดคลุมบางเบาสีแดงเลือดนกที่แฝงประกายทองจาง ๆ เมื่อถูกแสงจันทร์สาดส่อง อวี้ไป๋เฉินมองนางจากทางประตูหลังเดินเข้ามาเงียบ ๆ ราวกับกลัวทำลายความสงบอันละเอียดอ่อนนี้ “ข้าเคยฝันถึงคืนนี้อยู่หลายครั้ง...” นางเอ่ยเสียงเบาพลางหันกลับมา แววตาอบอุ่นดั่งผู้หญิงธรรมดาที่รอผู้ชายคนหนึ่งกลับมา หลังจากเขาผ่านพ้นจากสงครามในหัวใจ อวี้ไป๋เฉินเดินเข้ามาช้า ๆ พลางยื่นมือออกไปแตะแผ่นหลังบางที่สั่นเพียงเล็กน้อยยามลมพัด “ข้าก็ฝันเช่นกัน...” เขาโน้มตัวลงกระซิบข้างหู ขณะที่สองมือโอบรอบเอวของนางแน่นขึ้น ซูหรงหลับตาแนบกับอกเขา แผ่นอกที่เคยอบอุ่น ตอนนี้เต็มไปด้วยกลิ่นเหงื่อและกลิ่นไม้เก่า ๆ จากการทำงานในโรงเตี๊ยม หากแต่สำหรับนาง มันหอมเสียยิ่งกว่าดอกไม้ใด ๆ “ข้าเคยคิดว่าเราจะเสียความสัมพันธ์สามีภรรยาไปแล้ว...” นางเอ่ยเสียงสั่น ก้มหน้าลงหลบสายตา “เมื่
วันต่อมา หลังจากศึกเขาอู่ฮุ่ย แสงแดดยามสายส่องลอดหลังคากระเบื้องเก่า เสียงนกกระจิบร้องประสานกับกลิ่นหอมของน้ำเต้าต้มหวานจากในครัว โรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นกลับมาสงบอีกครั้งแม้สถานการณ์จะวุ่นวายเพราะต้องซ่อมแซมอาคารหลายจุดหลังเหตุการณ์พรรคมารบุกโจมตี แต่ซูหรงกลับดูสดใสเป็นพิเศษ นางเดินเคียงอวี้ไป๋เฉินสามีของนาง ท่าทีดูสนิทสนมกว่าแต่ก่อนนัก เพราะหลังจากกลับมาเมื่อรู้ความจริงจากเซี่ยหง ทั้งคู่ได้นั่งคุยกันถึงเรื่องในอดีตที่เคยไม่เข้าใจกัน ด้วยความเข้าใจในที่สุดว่าสามีนางไม่ได้ตั้งใจทรยศ ไม่ได้หลอกลวงนางเพราะผลประโยชน์ใดในยุทธภพ หากแต่เป็นชายผู้พยายามละทิ้งอดีตอันโหดร้ายของพรรคมารเพื่อตั้งต้นใหม่อย่างสงบ“เจ้ารู้หรือไม่...” ซูหรงเอ่ยเสียงเบา “ข้าเคยโกรธเจ้ายิ่งนัก ที่เจ้าปิดบังเรื่องพรรคมาร... แต่ตอนนี้ ข้ารู้แล้วว่าเจ้าทำเพื่อจะตัดขาดจากอดีตนั้นอย่างแท้จริง”อวี้ไป๋เฉินไม่ตอบ แต่เพียงยิ้มเศร้า ๆ ขณะที่นางกุมมือเขาแน่นขึ้น“เรากลับมาเป็นครอบครัวอย่างแท้จริงเถิด... ไม่ใช่แค่สามีภรรยาในนาม แต่เป็นสองคนที่เข้าใจกัน&rdqu
หลังการเจรจากับเฉินอี้เหมือนจะจบลง ลั่วชิงก็มิได้กล่าวคำใดต่ออีก นางเพียงมองเขาด้วยแววตาที่บ่งบอกถึงความเข้าใจ แล้วหมุนกายหันไปหาซูหรงที่ยืนอยู่ห่างออกไป“ซูหรง” เสียงของนางเรียบนิ่งแต่เปี่ยมด้วยพลัง “พาเขากลับไปที่โรงเตี๊ยม… ดูแลเขาให้ดี”ปลายนิ้วเรียวของลั่วชิงแตะที่อากาศเบื้องหน้า วงแหวนอักขระยันต์เรืองแสงสีเงินค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนพื้น ขนาดใหญ่พอจะให้คนยืนได้สองคน ก่อนที่นางจะเอ่ยถ้อยคำอำลา“เคลื่อนย้ายแสนลี้สำหรับกลับโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋น พาเขากลับไป แล้วใช้ชีวิตต่อไปให้ดีล่ะ พวกเจ้าเติบโตขึ้นมามากแล้ว คงใช้ชีวิตกันต่อไปได้แม้จะไม่มีข้า แต่ก็อย่าได้หลงลืมตัวข้าหรือสิ่งที่ข้าได้สอนพวกเจ้าล่ะ”“เจ้าค่ะ... ถึงข้าจะอยากให้ข้ากับท่านอาจารย์อยู่ด้วยกันต่อไป ทว่าข้าเองก็ได้เลือกว่าจะกลับไปอยู่ในโลกมนุษย์ จัดการความเข้าใจผิดที่มีกับสามี กับถ่ายทอดความรู้หลายอย่างแก่ผู้คนเบื้องล่าง ป้องกันไม่ให้คนหลงใหลในวิถึมารอีก... อย่างนั้นน่าจะดีกว่าเจ้าค่ะ... ลาก่อนนะเจ้าคะ” ซูหรงค้อมศีรษะ ก่อนจะเดินนำบ่าวหนุ
ลั่วชิงไม่ได้ตอบอะไรบ่าวหนุ่ม นางยังคงยืนนิ่ง ขณะที่พวกเซียนพากันไปรับตัวอู๋เป่ยและจ้าวหยางที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส หลังจากพวกเซี่ยหงถูกจับกุมและตราประทับมารถูกยึดคืนไปเรียบร้อยแล้ว ร่างของทั้งสองเต็มไปด้วยบาดแผลจนแทบไม่อาจขยับตัว พวกศิษย์เซียนพาพวกเขานอนลงบนแคร่หามวิเศษที่ลอยกลางอากาศเองได้แม้ไม่มีคนยก แล้วลอยมาถึงลั่วชิงและอีกสองผู้นำเซียน“ท่านทั้งสองคนนี้ คือผู้บาดเจ็บจากการป้องกันประตูเงามารไว้ก่อนพวกเราจะมาถึง เป็นผู้กล้าหาญและมีคุณธรรมยิ่ง” ลั่วชิงละสายตาจากเฉินอี้ ไปกล่าวต่อหน้าผู้นำเซียนทั้งสองที่มาด้วยกัน “ข้าคิดว่าพวกเขาควรได้อะไรตอบแทนความกล้าหาญนี้”ผู้นำเซียนเครายาวพยักหน้าอย่างเห็นด้วย อีกผู้หนึ่งคือเซียนอ้วนพุงพลุ้ยหัวเราะเสียงดัง พร้อมหยิบเครื่องรางสองชิ้นออกมา แล้วกล่าวขึ้น“ของวิเศษพวกนี้ ข้าคงมอบให้พวกเขาตอบแทนในความกล้าหาญ แต่ตอนนี้พาพวกเขาไปที่เขาหลิงอวิ๋นเถอะ พวกข้าจะรักษาพวกเขาเอง”ลั่วชิงใช้ยกมือขึ้นแหวกม่านอากาศเปิดทางให้กองทัพเซียนมุ่งหน้าออกจากช่องเขาอู่ฮุ่ยอีกครั้ง ทุกสายตากำลังจับจ้องมายังร่างของนางไม่เพียงด้วยความ
เซี่ยหงกระอักเลือดออกมาจากปาก แต่แววตาของนางยังไม่ถอดใจ ดวงตาข้างหนึ่งหลับสนิทเพราะเลือดจากศีรษะที่มีแผล จ้องมองลั่วชิงด้วยแววแข็งกร้าว แม้จะถูกลั่วชิงโจมตีจุดลมปราณทั่วร่างจนสาหัส ทว่าพลังความแค้นของนางยังไม่มอดดับ ร่างของนางค่อย ๆ ปล่อยพลังปราณสีม่วงออกมาอย่างเชื่องช้า“เจ้า...คิดว่าข้าจะยอมพ่ายเพียงแค่นี้หรือ...” นางคำรามเบา ๆ“เจ้าโดนโจมตีจุดลมปราณไปถึงเพียงนั้น ยังฝืนใช้พลังอีกงั้นรึ? มันเจ็บปวดทรมานมากเลย อย่าฝืนดีกว่า” ลั่วชิงพยายามเตือน แต่ไม่เป็นผล ไอพลังลมปราณสีม่วงเข้มเริ่มพวยพุ่งขึ้นรอบตัวประมุขพรรคมารอีกครั้ง แม้สีหน้าจะเต็มไปด้วยคสามเจ็บปวดก็ตามในพริบตา เทวรูปมารหกกรองค์ใหม่ก็ปรากฏขึ้นคลุมร่างของนางอีกหน ขนาดใหญ่โตเท่าอาคารสี่ห้าชั้นเหมือนเดิม ท้องฟ้าและขุนเขาสะท้านด้วยไอพลังปราณที่ปั่นป่วนหนักหน่วงกว่าเดิมมาก แม้จะมีบาดแผลทั่วร่าง เซี่ยหงก็ยืนประสานมืออยู่ด้านในศีรษะของเทวรูปนั้น กัดพันด้วยความโกรธเกรี้ยว“เจ้าควรหยุดแล้ว... ก่อนที่สิ่งที่เหลืออยู่ของเจ้า จะหายไปหมด” ลั่วชิงกล่าวเบา ๆ ขณะที
เสียงก้าวย่างของเทวรูปมารหกกรที่สร้างจากพลังปราณยังดังก้องทั่วแนวเขาอู่ฮุ่ย ฝีเท้าหนักหน่วงของมันสะเทือนผืนดินทุกครั้งที่ย่างเหยียบ จนกระทั่งมันมาถึงประตูเงามารทว่าเบื้องหน้าประตูเงามารอันสูงใหญ่กลับมีหญิงสาวผู้หนึ่งยืนต้านทานอยู่ ซูหรงนั่นเองศิษย์หญิงของลั่วชิงกางสองมือขึ้นเหนือศีรษะ ร่ายยันต์พลังปราณสีเงินเป็นรูปวงกลม ก่อตัวเป็นเกราะป้องกันที่ส่องแสงระยับ แขนยักษ์ที่ถือดาบมหึมาของเทวรูปมารเริ่มฟาดลงมาราวกับสายฟ้าฟาด แต่เกราะยันต์กลับต้านรับไว้ได้ แม้จะแตกร้าวลง ซูหรงก็ร่ายอาคม ฟื้นฟูกลับขึ้นมาใหม่ภายในพริบตา“คิดจะขวางข้าเรอะ พี่สะใภ้!?”เสียงของเซี่ยหงคำรามออกมาจากในศีรษะของเทวรูป พลางควบคุมแขนยักษ์ฟาดซ้ำลงไปอีกครั้งแรงกระแทกสะเทือนสะท้าน เกราะยันต์พลังปราณสายไปในพริบตา ซูหรงย่อตัวลงน้อย ๆ พร้อมกัดฟัน ก่อนที่ปลายนิ้วจะเขียนอักขระกลางอากาศ ร่ายยันต์ใหม่ขึ้นมาอีกชุด“ตราบใดที่ข้ายังยืนอยู่ เจ้าจะไม่มีวันผ่านประตูนี้ไปได้!” ซูหรงตะโกนอย่างเด็ดเดี่ยว ทว่าเซี่ยหงกลับหัวเราะเยาะ“เดี๋ยวก็ได้ล้มแล้ว! เจ้าคนอ่อนแอ... สายข่