ฟ้ายามเช้าปลายฤดูใบไม้ผลิยามนี้โปร่งใสไร้เมฆ แสงอรุณทอดผ่านหมู่ไม้และผิวน้ำจนเห็นเป็นสายทองระยิบระยับ ต้นหลิวเอนพลิ้วล้อลม สายน้ำแห่งลำธารไหลเอื่อยดั่งสายธารอารมณ์ ไม่มีอันใดฉูดฉาดเกินงาม แต่ละขอบเขาอาบด้วยแสงอ่อนคล้ายสวรรค์กำลังอวยพรเงียบ ๆ แก่คนสองคนซึ่งกำลังจับจ้องกันอยู่ใต้ศาลาไม้ไผ่หลังหนึ่ง
วันนี้คือวันแต่งงานของ ซูหรง กับ อวี้ไป๋เฉิน
ใต้ศาลากลางสวนของโรงเตี๊ยม ซึ่งถูกตกแต่งอย่างวิจิตรงดงามจนผิดแผกไปจากทุกวันที่ผ่านมา บัดนี้เต็มไปด้วยแขกเหรื่อ ทั้งเพื่อนบ้านจากตลาด ตระกูลค้าขายใกล้เคียง และบางคนแม้เคยเป็นผู้เดินทางหลงทาง ก็ยังหวนกลับมาร่วมเป็นสักขีพยานในวันสำคัญ
แม้จะเป็นงานเล็ก ไม่หวือหวา แต่รายละเอียดทุกอย่างกลับเปี่ยมด้วยความเอาใจใส่ ผืนผ้าปูโต๊ะสีขาวปักลายดอกเหมยตัดกับแจกันหยกอ่อนที่บรรจุดอกบัวขาว ผืนธงผ้าสีแดงอ่อนเขียนอักษร แสดงความยินดีต่อทั้งคู่ ด้วยหมึกทองสะท้อนแดดระยับ ราวกับทองคำที่หลอมมาทำเป็นอักขระ หลอมรวมความสุขไว้เป็นนิรันดร์
ซูหรงอยู่ในชุดเจ้าสาวสีแดงเข้มปักดิ้นทอง งามราวเทพธิดาเสด็จจากฟากฟ้า เส้นผมยาวถูกเกล้ามวยขึ้นประณีต ประดับด้วยปิ่นหยกและกลีบบัวสีเงินแซมเกสรทอง เมื่อแสงอรุณต้องใบหน้า นางดูมีความอ่อนโยนที่หาได้ยากจากหญิงในยุทธภพ
เธอเคยเป็นศิษย์ผู้ซุกซนและดื้อดึง แต่ยามนี้ แววตากลับเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน
หากแต่ผู้ที่อยู่ในความคิดเธอ กลับมิใช่เจ้าบ่าว
“อาจารย์…” หญิงสาวอดีตผู้บำเพ็ญเซียนเสียงรำพึงภายในใจเอ่ยแผ่ว “วันนี้ข้ากลับไม่มีท่านเคียงข้าง… ท่านเป็นดังมารดาที่เลี้ยงข้ามา ข้าปรารถนาให้ท่านมาแสดงความยินดีกับข้าบ้างเสียจริง”
เธอยิ้มรับพิธี ยิ้มรับคำอวยพร ทว่าเบื้องลึกในใจกลับรู้สึกว่าบางสิ่งขาดหายไป
.
หลังวันแต่งงาน ผ่านไปไม่นาน โรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋น ที่เดิมเป็นเพียงเรือนไม้เล็ก ๆ กลับขยับขยายอย่างรวดเร็ว
อวี้ไป๋เฉิน แม้จะดูเป็นชายหนุ่มเรียบง่าย แต่กลับวางกลยุทธ์ธุรกิจได้แยบยล เขารู้จักจัดสรรพื้นที่ เพิ่มห้องพักตะวันตก ติดตั้งครัวกลาง ปรับปรุงห้องโถงเพื่อรองรับการจัดเลี้ยง แม้กระทั่งเครื่องเรือนก็ได้รับการเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดจากฝีมือช่างไม้ชั้นดี จนผู้คนเริ่มกล่าวขานว่าโรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็น “เรือนรับรองที่หอมกลิ่นบุปผา”
ส่วนซูหรง หลังจากแต่งงาน นางมิได้อยู่เฉยเป็นเพียงภรรยาเจ้าของโรงเตี๊ยม หากแต่กลับลงมือจัดการด้วยตนเองทุกขั้นตอน นับตั้งแต่ตรวจบัญชี สั่งของ คัดเลือกวัตถุดิบ ไปจนถึงฝึกฝนบ่าวทั้งหญิงชายในการต้อนรับแขกอย่างเป็นระบบ
โรงเตี๊ยมเจริญรุ่งเรือง จนในหนึ่งเดือนเต็ม ห้องพักถูกจองแน่นทุกคืน แม้ในฤดูฝนก็ยังไม่มีแผ่ว และเมื่อกิจการเติบโตขึ้น สิ่งหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ ต้องรับคนเพิ่ม
“เปิดรับสาวใช้?”
“ใช่” ซูหรงพยักหน้า ขณะนั่งอยู่หลังโต๊ะบัญชี “ต้องเพิ่มคนที่คล่องแคล่ว ซื่อสัตย์ หน้าตาสะอาดพอดูได้ มีใจรักงานบริการ”
“เจ้าคิดจะลงไปป่าวประกาศด้วยตนเองหรือไม่?”
“ไม่” นางหัวเราะ “ส่งข่าวไปที่ตลาดพอ ผู้ใดสนใจก็ให้มาสมัครที่นี่ ข้าขอดูที่มาที่ไปก่อนแล้วค่อยพิจารณา”
หลังจากที่นางคิดได้ไม่นานก็เขียนใบประกาศ ฝากให้บ่าวนำไปติดประกาศในตลาดกลางเมือง ไม่นานในตลาดก็มีแผ่นป้ายประกาศเล็ก ๆ ที่เขียนด้วยลายมือเรียบร้อยว่า:
✦ โรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋น ✦
เปิดรับสมัครสาวใช้ใหม่
อายุระหว่าง 14 – 18 ปี หน้าตาเรียบร้อย มีใจรักงาน
ที่พักพร้อมอาหารครบ
คัดเลือกโดยคุณนายซูหรงด้วยตนเอง
หลังประกาศติดได้วันเดียว ยามบ่ายวันรุ่งขึ้น หญิงสาวหลายคนก็มารวมตัวหน้าประตูโรงเตี๊ยม พวกนางแต่ละคนแต่งกายสะอาดพอประมาณ หน้าตาแตกต่างกันไปตั้งแต่ลูกชาวนาไปจนถึงสาวจากตระกูลล้มละลาย
ท่ามกลางนั้น มีคนหนึ่งที่มิได้โดดเด่นเลยหากมองเพียงภายนอก หากแต่ต้องตาซูหรงอย่างประหลาด นางเป็นเด็กสาวในชุดเสื้อผ้าฝ้ายสีฟ้าอมเทาเก่า ๆ ผมหน้าม้าตัดตรง ท่าทีเหมือนจะเจียมเนื้อเจียมตัว แต่ดวงตากลับนิ่งสงบ ราวกับมิได้หวั่นไหวกับสิ่งใดในใต้หล้า
การคัดเลือกเป็นไปอย่างเรียบง่าย ซูหรงนั่งอยู่ในห้องโถงหน้าต่างเปิดกว้าง แสงแดดส่องกระทบจอกชา นางเพียงเงยหน้ามองแต่ละคน แล้วถามสั้น ๆ ว่า
“เจ้าทำอะไรได้บ้าง?”
“ทำไมจึงอยากเป็นสาวใช้?”
“เคยเรียนหนังสือหรือไม่?”
นางไม่คาดหวังคำตอบเลิศหรู แต่ดูท่าที ความซื่อตรง และสายตาของแต่ละคน บางคนก็นางก็รับไว้ทันที บางคนนางเห็นว่าไม่เหมาะสม ก็แนะนำให้ลองสมัครงานร้านอื่น ๆ ที่ต้องการคน
จนกระทั่งถึงตาของเด็กสาวที่นางต้องตาคนนั้น...
ผิวของนางเรียบเนียนดั่งหยกขาวไร้ตำหนิ มีสีอมชมพูเรื่อเหมือนกลีบบัวแรกแย้มในยามอรุณ แก้มที่ไม่แต่งแต้มใด ๆ กลับมีเลือดฝาดโดยธรรมชาติ เส้นผมสีดำขลับตัดหน้าม้าเสมอกันเป็นเส้นตรง ผมส่วนที่เหลือถูกรวบแน่น รัดเรียบง่าย ไม่ประดับด้วยสิ่งใด นอกจากเชือกดำพันไว้ ริมฝีปากน้อย ๆ สีอ่อนซีดแต่ได้รูป คิ้วบางโค้งเรียวราวพู่กันจีนแตะหมึกครั้งเดียว วางอยู่เหนือดวงตากลมโต ดวงตาคู่นั้นดำลึก ละเอียด และนิ่งราวผิวน้ำในบึงยามไร้ลม ราวกับซ่อนความรู้แจ้งเอาไว้ทุกกระแสสายตา จมูกเล็กโด่งอย่างอ่อนโยน ปลายคางเรียวเป็นรูปไข่รับกับโครงหน้าที่บางระหง ใบหน้าของนางแม้จะไม่มีเสน่ห์แบบฉูดฉาด หากแต่ดูนาน ๆ กลับเหมือนมีไอหมอกลึกลับเคลือบไว้ ทำให้ผู้อยู่ใกล้รู้สึกถึงความน่ารักน่าเอ็นดูอย่างไม่รู้สาเหตุ
เด็กสาวตัวน้อยยืนเงียบต่อหน้าซูหรง สายตากหลบต่ำ ไม่สบประสานตรง ๆ แต่ท่าทางกลับดูมั่นคงอย่างประหลาด
“ชื่ออะไร?” ซูหรงถามออกไป
“เสี่ยวซุ่ย”
“อายุ?”
“เกิดปีเถาะเจ้าค่ะ ตอนนี้ก็น่าจะ...” เสี่ยวซุ่ยพูดพลางพยายามนับนิ้ว แต่ซูหรงนับให้ก่อนจะเสียเวลากว่านั้น
“สิบหกงั้นสินะ มาจากไหน?”
“จากภูเขาทางใต้”
บทสนทนาดูเรียบง่าย ทว่ากลับทำให้ซูหรงนิ่งไปชั่วครู่ แม้นางจะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ใจกลับสะดุด ราวกับคุ้นเคยกันมาอย่างประหลาด... เสียงนั้น... แววตานั้น... ท่าทางนั้น... มือที่ประสานกันอย่างสุภาพเรียบง่ายแบบหญิงสาวผู้เจียมเนื้อเจียมตัว แต่กลับทำให้นางอดรู้สึกเหมือนท่าทางประสานมือก่อนร่ายวิชาของสำนักเซียน
แม้ในใจเกิดความแคลงเคลือบ เธอก็ไม่ได้พูดออกไป เพียงถามอีกเบา ๆ ว่า
“เคยอยู่ในสำนักหรือสถานศึกษาที่ไหนหรือไม่?”
“เคยอยู่โรงเรียนบนเขา แต่ไม่ได้เรียนเจ้าค่ะ ทำงานนิดหน่อย” เด็กสาวตอบกลับ แล้วก้มหน้าลงนิดหนึ่งหลบสายตา
“เจ้าดูไม่เหมือนเด็กทั่วไปเลยนะ” ซูหรงพูดพลางยิ้ม มองเด็กสาวตรงหน้าอยู่เงียบ ๆ สักครู่ คล้ายจะพินิจอย่างลึกซึ้ง ใบหน้าของเสี่ยวซุ่ยนั้นไม่แสดงความประหม่า ไม่สะทกสะท้านแม้ต้องยืนอยู่ต่อหน้าผู้เป็นนายหญิงเจ้าของโรงเตี๊ยม ทว่าก็ไม่มีแววอวดดีหรือจองหองสักนิด มีเพียงความสงบเย็นที่ชวนให้รู้สึกนึกถึง… เงาใครบางคนในอดีต
“เจ้าทำอาหารได้หรือไม่?” ซูหรงถามเสียงนิ่ง แต่ไม่เร่งเร้า เสี่ยวซุ่ยเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แววตาวูบไหววาบหนึ่งก่อนเอ่ยคำตอบ
“ทำได้เล็กน้อยเจ้าค่ะ”
“เคยล้างจานชามหรือไม่?”
“เจ้าค่ะ” เสียงตอบนั้นราบเรียบ
“แล้วหากต้องล้างให้ทันก่อนตะวันตกดินคนเดียวทั้งกอง ล้างไม่หมดมีโทษ เจ้าจะรับมืออย่างไร?”
“หากมีแค่สองมือ ก็ขอเริ่มเร็วขึ้นเจ้าค่ะ ถ้ายังไม่ทัน ก็ขอขัดให้หมดแม้ในยามค่ำคืน” เด็กสาวเงยหน้ามองด้วยแววตาแน่วแน่เป็นครั้งแรก
คำตอบนั้นไม่ใช่คำพูดที่ฟังดูประทับใจ แต่ในแววตาและท่าทีที่มุ่งมั่นไม่สะทกสะท้าน กลับมีบางสิ่งทำให้ซูหรงนิ่งไป ด้วยแววตาเช่นนี้… เมื่อก่อนเคยมีใครคนหนึ่งพูดคล้ายกันไว้ใต้ต้นหลิวข้างตำหนักเซียน
“หากท่านให้ข้าทำจนถึงรุ่งเช้า ข้าก็จะทำ ข้าจะไม่ให้ศิษย์พี่คนใดลำบากเพราะข้า”
นั่นคือคำพูดของนางเองเมื่อสิบปีก่อน ยามเป็นศิษย์ของอาจารย์ลั่วชิง
ซูหรงบีบมือที่วางบนโต๊ะเบา ๆ รู้สึกเสี้ยวหนึ่งของตนเองสะท้อนอยู่ในร่างเด็กสาวผู้นี้ มันน่าหัวเราะ ที่คนดื้อรั้นจนหนีลงเขามากลับได้มานั่งเจรจากับคนที่คล้ายตนเองในอดีตถึงเพียงนี้
“แล้วถ้ามีใครรังแกเจ้าในโรงเตี๊ยม เจ้าจะทำอย่างไร?”
“ถ้าไม่ถึงตายก็จะไม่พูดเจ้าค่ะ” เสี่ยวซุ่ยตอบเสียงเบา
“ไม่พูด?” ซูหรงเลิกคิ้ว
“ใช่เจ้าค่ะ... เพราะถ้าบอก เจ้านายจะลำบากใจ หากไม่ใช่เรื่องถึงตาย ข้าจะทนได้” ดวงตาคู่นั้นกลับสงบยิ่งกว่าก่อนหน้า คำตอบนั้นสะเทือนใจผู้เป็นนายหญิงอยู่ลึก ๆ ซูหรงวางพัดไม้ไผ่ที่พับอยู่ในมือลงบนโต๊ะเบา ๆ แล้วถอนใจ
“มีคนเคยสอนเจ้าแบบนี้หรือ?”
เสี่ยวซุ่ยไม่ตอบ เพียงหลบตาลงอย่างนุ่มนวล ซูหรงหลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ
“นับจากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าจะอยู่ที่นี่ เป็นบ่าวหญิงคนใหม่ ทำหน้าที่เป็นสาวใช้ฝึกหัด ข้าจะให้พี่หลินคอยดูแลและสอนงานเบื้องต้นให้เจ้า หากครบเจ็ดวันแล้วยังไม่บกพร่อง ข้าจะให้ห้องพักของตน และเพิ่มเงินเบี้ยเลี้ยงให้อีกห้าอีแปะต่อวัน”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” เสี่ยวซุ่ยก้มศีรษะลงงดงาม มุมปากขยับเพียงเล็กน้อยคล้ายยิ้ม แต่ไม่เด่นชัด
ซูหรงพยักหน้า แล้วหันไปเรียกบ่าวหญิงรุ่นพี่คนหนึ่งที่ยืนรออยู่ด้านหลัง
“พี่หลิน พาเด็กคนนี้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเริ่มสอนงานให้วันนี้เลยก็ได้ แต่อย่าหักโหมมากนัก นางดูเหมือนจะเดินทางมาไกล”
“รับทราบเจ้าค่ะ” พี่หลิน บ่าวหญิงวัยยี่สิบปลาย ๆ ผมรวบเป็นมวยต่ำไว้ด้านหลัง ท่าทางขยันขันแข็ง รับคำนายหญิงของตน เสี่ยวซุ่ยก็พยักหน้าก่อนจะลุกขึ้น แล้วหันไปก้มศีรษะให้ซูหรงอีกครั้ง จากนั้นก็เดินตามหญิงสาวออกจากห้องโถงไปอย่างเงียบงัน
หลังเด็กสาวออกไป ห้องก็กลับเข้าสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง มีเพียงเสียงสายลมพัดผ่านพุ่มไม้ด้านนอก และแสงแดดทอดผ่านตะแกรงไม้ไผ่บนหน้าต่าง ทำให้จุดบนโต๊ะเป็นเงาตารางสลับสีขาวดำเหมือนลวดลายบนผ้าผืนใหญ่
ซูหรงยกชาขึ้นจิบเงียบ ๆ แววตาเหม่อมองไปที่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะซึ่งไม่มีใครนั่งอยู่ นางคิดถึงใครบางคนขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว...
“อาจารย์ หากท่านได้เห็นเด็กคนนี้ ท่านคงแปลกใจ”
นางกระซิบในใจ แล้ววางถ้วยชาลงเบา ๆ ก่อนจะหยิบแผ่นบันทึกบัญชีขึ้นมาอ่านต่อ แต่วินาทีนั้นเอง ลมเบา ๆ พลันพัดเข้ามาในห้อง ศีรษะของซูหรงเงยขึ้นโดยไม่ตั้งใจ... บางสิ่งบางอย่างในสายลมนั้นทำให้หัวใจนางสั่นไหว ไม่ใช่ลมธรรมดา หากเป็นกลิ่นอันคุ้นเคย
กลิ่นของกลีบบัวขาวจากหุบเขาเซียน... กลิ่นที่คุ้นเคยจากเหล่าเซียนและผู้ฝึกตนในสำนักเก่าของนาง!
ค่ำวันนั้น โรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นถูกแต่งแต้มด้วยแสงโคมแดงและกลิ่นอาหารหอมฉุย และบริเวณที่กลิ่นอาหารอบอวลมากที่สุดก็เห็นจะเป็นโต๊ะสำหรับรับรองแขกพิเศษของโรงเตี๊ยมในคืนนี้เสี่ยวซุ่ยในชุดผ้าฝ้ายสะอาดเรียบร้อย เดินถือถาดอาหารเดินวนไปมา คอยเติมชาให้ผู้คน แม้จะยังเก้ ๆ กัง ๆ แต่ก็ไม่ทำถ้วยตก นางรู้สึกปลาบปลื้มกับพัฒนาการในการคุมร่างกายของตัวเองที่ทำได้ดีขึ้น แม้แต่เพียงเล็กน้อยก็ตามขณะทำงาน นางก็ลอบชำเลืองไปยังห้องรับรองหลัก ก็พบว่าแขกในคืนนั้นคือชายฉกรรจ์สี่คนที่แต่งกายคล้ายจอมยุทธ์ต่างสำนัก เสื้อลมผ้าหนา ปักสัญลักษณ์ประหลาดบนอกเสื้อ และแต่ละคนมีสีหน้าเคร่งขรึมเกินกว่าผู้มาเยี่ยมเยียนโดยไมตรี ในโต๊ะเดียวกันนั้น อวี้ไป๋เฉินนั่งอยู่หัวโต๊ะเพื่อเผชิญหน้ากับแขกทั้งสี่ เสี่ยวซุ่ยเพิ่งได้พบหน้าเขาเป็นครั้งแรกตั้งแต่มาทำงานที่นี่ เขามีเส้นผมสีดำสนิทราวขนนกอีกา ปล่อยยาวถึงกลางหลัง ใบหน้าเรียวงามได้รูป ผิวราวกับคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในร่มมาเนิ่นนาน ริมฝีปากบางสีชมพูอ่อน ๆ คิ้วของเขาเรียวยาว ดวงตาสีน้ำตาลก็เรียวเฉียงชี้ขึ้นเล็กน้อย จมูกของเขาโด่ง รับกับใบหน้าทั้งหมดอย่างน่าพึงพอใจ เสื
แสงเช้าในโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นเริ่มต้นอย่างไม่ต่างจากทุกวัน แต่สำหรับเสี่ยวซุ่ยแล้ว เช้านี้มีบางอย่างผิดปกติ เพราะทันทีที่นางมาถึงลานซักผ้าใต้ร่มไม้หลังโรงเตี๊ยม ก็พบกับซูหรง ในชุดเสื้อผ้าสีแดงสด กำลังยืนกอดอก รออยู่ก่อนแล้วด้วยสีหน้าเรียบเฉย เหมือนจะสงบนิ่ง แต่สายตานั้นแฝงความน่าหวาดหวั่นใจบางอย่าง ทำเอาร่างกายที่ถูกทำให้มีอาการอย่างเด็กสาวทั่วไปต้องอดสั่นน้อย ๆ ไม่ได้“เสี่ยวซุ่ย วันนี้เจ้าจะต้องทำงานเพิ่ม” ซูหรงเอ่ยขึ้น ด้วยท่าทีทรงอำนาจ “เริ่มจากไปซักผ้าปูโต๊ะทั้งหมดในร้าน ผ้าม่าน ผ้าปูที่นอนด้วย ข้าเตรียมไว้ให้แล้ว เจ้าต้องทำคนเดียวนะ วันนี้คนอื่นน่าจะยุ่ง ๆ กับการเตรียมตัวต้อนรับแขกพิเศษ เห็นว่าสหายเก่าของท่านอวี้ไป๋เฉินจะมาเยี่ยมเยือน”เสี่ยวซุ่ยชะงักเล็กน้อย นางรู้ดีว่านี่ไม่ใช่หน้าที่ปกติของสาวใช้ฝึกหัดทั่วไป งานเหล่านี้รวมทุกอย่างแล้ว ต้องใช้แรงกายมาก และใช้เวลาทั้งวัน หากไม่ใช่เพราะซูหรงตั้งใจสั่งเอง สาวใช้ฝึกหัดไม่น่าจะได้ทำด้วยซ้ำ“เจ้าค่ะ ข้าจะทำให้เสร็จ…” เด็กสาวพยักหน้าเบา ๆ สีหน้าเจือความลังเล แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ ทำได้แต่เพียงรับคำสั่งเท่านั้น“เช่นนั้นก็รีบทำได้ ของทั้ง
เช้าวันใหม่ในโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นเริ่มต้นด้วยเสียงเก็บถาด ล้างหม้อ และกลิ่นหอมของข้าวร้อนผสมกลิ่นซุปสมุนไพรอ่อน ๆ ดังลอยปะปนกับเสียงฝีเท้าของบ่าวหญิงชายที่เดินขวักไขว่ เสี่ยวซุ่ยในชุดผ้าฝ้ายสีฟ้าหม่น เดินอยู่ท่ามกลางนั้นอย่างเงียบ ๆ มือขาวนวลของเธอถือตะกร้าผักแนบอก ท่าทางไม่ต่างจากสาวใช้คนอื่น ทว่าในแววตายังเจือร่องรอยของความอึดอัดบางประการเมื่อเดินเข้าไปในห้องครัว นางเห็นพี่หลินกำลังสั่งให้สาวใช้อีกคนปอกขิง เตรียมพริกแห้ง และล้างชามดินเผา“เสี่ยวซุ่ย” พี่หลินเรียกเสียงนิ่งตามเคย “วันนี้เจ้าช่วยต้มถั่วเขียวในหม้อใหญ่นั่น ข้าจะทำข้าวต้มถั่วเป็นมื้อเช้า”“เจ้าค่ะ” เสี่ยวซุ่ยตอบเรียบ ก่อนจะเดินไปที่หม้อขนาดใหญ่ ตั้งน้ำ ตวงถั่วตามที่คิดว่าเคยเห็นคนทำมาก่อน ทว่าขณะจะจุดไฟ นางกลับจ้องไม้ฟืนอยู่นานอย่างประหลาด“ไม่น่าจะยาก...” เซียนอายุนับพันในร่างเด็กสาวคิดในใจ ก่อนจะพยายามจุดไฟโดยใช้หินเหล็กและฟืนแบบชาวบ้าน แต่หลังพยายามอยู่ครู่ใหญ่ เปลวไฟกลับยังไม่ติดดีนัก ควันกลับฟุ้งขึ้นเต็มหน้า และเมื่อนางพยายามเติมถั่วในน้ำต้ม ก็พลาดทำตกกระเด็นครึ่งถุงจนกลิ้งเต็มพื้นหิน“อ๊ะ…” นางอุทานเบา ๆ พลางก้มลงเก็
โรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นยามค่ำคืนนี้เงียบสงัดกว่าทุกวัน หลังจากแขกเหรื่อทยอยกันเข้านอน และเสียงจานชามในครัวก็เงียบลงเหลือเพียงเสียงลมโชยเบาใต้ชายคาเท่านั้นซูหรงนั่งอยู่ในห้องรับรองส่วนตัวของตนเอง ไฟตะเกียงบนโต๊ะส่องสว่างพอให้เห็นใบหน้าของนางซึ่งสงบเยือกเย็น แต่แววตานั้นกลับมีร่องรอยของบางสิ่งที่คล้ายความตั้งใจแน่วแน่ ประเภทที่เตรียมใจสำหรับการกระทำที่ไม่อาจหวนคืนกลับไปได้อีกบนโต๊ะของนางตอนนี้มีแผ่นยันต์ผืนบาง วัตถุดิบที่นางนำติดตัวมาจากตำหนักบนภูเขาเซียน และน้ำหมึกผสมผงหยก ซึ่งแม้จะเจือจาง แต่ก็ยังเป็นของที่ใช้ในพิธีเฉพาะทางของผู้ฝึกตนขั้นสูงที่อาจารย์เคยสอนนางมาแต่เล็ก“ข้าคงต้องเลือกทางนี้แล้ว…” นางพึมพำกับตัวเอง พลางวางปลายนิ้วลงบนยันต์ และเริ่มวาดอักขระด้วยปลายพู่กันที่สั่นน้อย ๆ แม้ภายนอกจะสงบ แต่ภายในของนางเต็มไปด้วยหลากความรู้สึกโหมกระหน่ำอยู่ภายในคล้ายพายุเมื่อยันต์เสร็จสิ้นก็เป็นเวลาสองยามพอดี นางจึงตัดสินใจจะออกไปตามเสี่ยวซุ่ย แต่เมื่อเปิดประตูออกไป ก็พบว่า เสี่ยวซุ่ยยืนรออยู่หน้าห้องแล้ว เด็กสาวย่อกายลงโค้งศีรษะให้นายหญิงแห่งโรงเตี๊ยมอย่างนอบน้อม ท่าทางสงบนิ่งและมั่นคง ก่อนที่ซ
โรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นในเช้าวันต่อมา เริ่มต้นด้วยกลิ่นหอมของข้าวสวยร้อน ๆ และเสียงน้ำที่ถูกตักจากบ่อใส เสียงจานชามกระทบกันเบา ๆ ดังแทรกกับเสียงไก่ขันและเสียงฝีเท้าของบ่าวหญิงชายที่เริ่มขยับเขยื้อนหลังวันใหม่มาถึง แต่ท่ามกลางความคึกคักนั้น มีเงาร่างหนึ่งซึ่งเคลื่อนไหวอย่างเงียบงันและเป็นระเบียบไม่แพ้ใคร นั่นคือ “เสี่ยวซุ่ย”เด็กสาวในชุดผ้าฝ้ายเก่า ๆ สีฟ้าหม่น ไม่ได้โดดเด่นด้วยท่าทีหรือคำพูด ทว่าเธอกลับอยู่ในทุกตำแหน่งที่ควรอยู่เสมอ เช็ดโต๊ะก่อนใคร ล้างหม้อที่ใหญ่ที่สุดก่อนใคร ขนถังน้ำ ขัดพื้น เดินเสิร์ฟชาด้วยมือที่มั่นคงและสีหน้าสงบนิ่งอย่างไม่น่าเชื่อว่านี่คือเพียงเด็กหญิงอายุสิบหกแม้ยังอยู่ในช่วงฝึกงาน แต่เสี่ยวซุ่ยกลับไม่มีบ่าวคนใดในโรงเตี๊ยมมองว่าเธออ่อนด้อยกว่าพวกตน แม้ไม่พูดมาก แต่กลับมีบางสิ่งในแววตา และในท่าทางของเธอที่ทำให้พี่หลิน บ่าวหญิงรุ่นพี่ที่เคยเข้มงวดกับเด็กใหม่ทุกรุ่น ถึงกับกล่าวกับคนอื่นอย่างประหลาดใจว่า“นางช่างเป็นเด็กที่ประหลาดนัก ข้าไม่ต้องว่าอะไรนางสักคำ นางก็ทำได้ทุกอย่าง”ระหว่างที่เหล่าบ่าวกำลังทำงานขะมักเขม้น นายหญิงอย่างซูหรงก็ยืนอยู่หน้าหน้าต่างชั้นบนของโรงเตี
ฟ้ายามเช้าปลายฤดูใบไม้ผลิยามนี้โปร่งใสไร้เมฆ แสงอรุณทอดผ่านหมู่ไม้และผิวน้ำจนเห็นเป็นสายทองระยิบระยับ ต้นหลิวเอนพลิ้วล้อลม สายน้ำแห่งลำธารไหลเอื่อยดั่งสายธารอารมณ์ ไม่มีอันใดฉูดฉาดเกินงาม แต่ละขอบเขาอาบด้วยแสงอ่อนคล้ายสวรรค์กำลังอวยพรเงียบ ๆ แก่คนสองคนซึ่งกำลังจับจ้องกันอยู่ใต้ศาลาไม้ไผ่หลังหนึ่งวันนี้คือวันแต่งงานของ ซูหรง กับ อวี้ไป๋เฉินใต้ศาลากลางสวนของโรงเตี๊ยม ซึ่งถูกตกแต่งอย่างวิจิตรงดงามจนผิดแผกไปจากทุกวันที่ผ่านมา บัดนี้เต็มไปด้วยแขกเหรื่อ ทั้งเพื่อนบ้านจากตลาด ตระกูลค้าขายใกล้เคียง และบางคนแม้เคยเป็นผู้เดินทางหลงทาง ก็ยังหวนกลับมาร่วมเป็นสักขีพยานในวันสำคัญแม้จะเป็นงานเล็ก ไม่หวือหวา แต่รายละเอียดทุกอย่างกลับเปี่ยมด้วยความเอาใจใส่ ผืนผ้าปูโต๊ะสีขาวปักลายดอกเหมยตัดกับแจกันหยกอ่อนที่บรรจุดอกบัวขาว ผืนธงผ้าสีแดงอ่อนเขียนอักษร แสดงความยินดีต่อทั้งคู่ ด้วยหมึกทองสะท้อนแดดระยับ ราวกับทองคำที่หลอมมาทำเป็นอักขระ หลอมรวมความสุขไว้เป็นนิรันดร์ซูหรงอยู่ในชุดเจ้าสาวสีแดงเข้มปักดิ้นทอง งามราวเทพธิดาเสด็จจากฟากฟ้า เส้นผมยาวถูกเกล้ามวยขึ้นประณีต ประดับด้วยปิ่นหยกและกลีบบัวสีเงินแซมเกสรท