โรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นในเช้าวันต่อมา เริ่มต้นด้วยกลิ่นหอมของข้าวสวยร้อน ๆ และเสียงน้ำที่ถูกตักจากบ่อใส เสียงจานชามกระทบกันเบา ๆ ดังแทรกกับเสียงไก่ขันและเสียงฝีเท้าของบ่าวหญิงชายที่เริ่มขยับเขยื้อนหลังวันใหม่มาถึง แต่ท่ามกลางความคึกคักนั้น มีเงาร่างหนึ่งซึ่งเคลื่อนไหวอย่างเงียบงันและเป็นระเบียบไม่แพ้ใคร นั่นคือ “เสี่ยวซุ่ย”
เด็กสาวในชุดผ้าฝ้ายเก่า ๆ สีฟ้าหม่น ไม่ได้โดดเด่นด้วยท่าทีหรือคำพูด ทว่านางกลับอยู่ในทุกตำแหน่งที่ควรอยู่เสมอ เช็ดโต๊ะก่อนใคร ล้างหม้อที่ใหญ่ที่สุดก่อนใคร ขนถังน้ำ ขัดพื้น เดินเสิร์ฟชาด้วยมือที่มั่นคงและสีหน้าสงบนิ่งอย่างไม่น่าเชื่อว่านี่คือเพียงเด็กหญิงอายุสิบหก
แม้ยังอยู่ในช่วงฝึกงาน แต่เสี่ยวซุ่ยกลับไม่มีบ่าวคนใดในโรงเตี๊ยมมองว่านางอ่อนด้อยกว่าพวกตน แม้ไม่พูดมาก แต่กลับมีบางสิ่งในแววตา และในท่าทางของนางที่ทำให้พี่หลิน บ่าวหญิงรุ่นพี่ที่เคยเข้มงวดกับเด็กใหม่ทุกรุ่น ถึงกับกล่าวกับคนอื่นอย่างประหลาดใจว่า
“นางช่างเป็นเด็กที่ประหลาดนัก ข้าไม่ต้องว่าอะไรนางสักคำ นางก็ทำได้ทุกอย่าง”
ระหว่างที่เหล่าบ่าวกำลังทำงานขะมักเขม้น นายหญิงอย่างซูหรงก็ยืนอยู่หน้าหน้าต่างชั้นบนของโรงเตี๊ยม แสงเช้าสาดกระทบใบหน้าจนเห็นเงาระบายบาง ๆ บนแก้ม นางถือถ้วยชาร้อนในมือ มองลงมายังลานเบื้องล่างที่เหล่าบ่าวกำลังง่วนกับงานประจำวัน
สายตาของนาง ไม่ได้ไล่ตามใครอื่นนอกจากเงาร่างของเด็กสาวผมที่ไว้หน้าม้า ซึ่งกำลังยกถังน้ำด้วยท่าทางนิ่งเรียบ ซึ่งคนที่นางจับตา ก็คือเสี่ยวซุ่ยนั่นเอง
แม้ผ่านมาเพียงวันเดียว แต่เด็กคนนี้กลับไม่มีทีท่าว่าจะเหน็ดเหนื่อย หรืออิดออดเลยแม้แต่น้อย นางทำงานทุกอย่างอย่างราบรื่น ไม่เคยส่งเสียงโวยวาย ไม่เคยทำจานตก ไม่เคยหันหลังให้เวลามีผู้เรียกใช้… และไม่เคยพลาดตำแหน่งที่ควรจะยืน
ซูหรงยกถ้วยชาขึ้นจิบ ขณะสายตายังไม่ละจากภาพเบื้องล่าง ขมวดคิ้วเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว บ่นพึมพำกับตนเอง
“หากเป็นเพียงสาวใช้ธรรมดา จะมีท่วงท่าก้าวเดินมั่นคงถึงเพียงนี้หรือ?”
นางคิดพลางก็ออกจากห้อง ไปเดินตรวจสอบการจัดเตรียมอาหารสำหรับแขกสำคัญที่กำลังจะเข้าพักคืนนี้ และเมื่อแวะไปที่ห้องครัว นางก็เห็นเสี่ยวซุ่ยกำลังจัดถ้วยชามลงไปในถาดไม้ใหญ่
มือเล็ก ๆ นั้นจับชามอย่างมั่นคง นิ้วเรียวแต่มีแรงพอจะถาดไม้ใส่ชามหลายใบที่หนักไปเก็บเข้าที่หลังเรียงเสร็จโดยไม่แสดงความออกว่าลำบากมาทางสีหน้า ที่ผิดสังเกตคืออีกประการคือการวางตำแหน่งชามเรียงตรงแนวพอดิบพอดี ราวกับใช้สายวัด
ซูหรงเดินเข้าไปใกล้โดยไม่ได้ส่งเสียง ทว่าเด็กสาวรู้ตัวว่ามีผู้มาเยือน ก่อนจะหันมาเงียบ ๆ และโค้งศีรษะเล็กน้อยอย่างนอบน้อม
“จัดชามพวกนั้นเสร็จแล้วหรือ?” ซูหรงถามเรียบ ๆ
“เจ้าค่ะ” เสี่ยวซุ่ยตอบเบา ๆ “ข้าวสวยก็กำลังจะยกลงแล้วเช่นกัน”
“เจ้าเคยทำงานในโรงเตี๊ยมมาก่อนหรือ?” ซูหรงเอ่ยถาม
“ไม่เคยเจ้าค่ะ” เสี่ยวซุ่ยตอบโดยไม่ลังเล โดยที่แววตายังคงนิ่งสงบ
ซูหรงเดินไปดูถ้วยชามที่วางเรียง สัมผัสถึงความเย็นเล็กน้อยจากขอบชามก่อนจะเอ่ยถามต่อโดยไม่หันหลัง
“แล้วใครเป็นคนสอนเจ้าวางของแบบนี้?”
“ไม่มีเจ้าค่ะ” เสี่ยวซุ่ยตอบ
ซูหรงไม่พูดอะไรไปครู่หนึ่ง นางเพียงยืนเงียบ ราวกับกำลังพยายามจับอารมณ์ของอีกฝ่าย
“เจ้าจับจังหวะของงานได้เร็วเกินไป เร็วมากจนผิดวิสัยคนทั่วไป ข้าเคยฝึกบ่าวมาหลายคน ต่อให้เป็นคนหัวไวก็ยังต้องใช้เวลาร่วมเจ็ดวันจึงจะเข้าใจลำดับงานในครัว และเรียนรู้จังหวะของห้องโถง”
ซูหรงกล่าวขึ้นมา ส่วนเสี่ยวซุ่ยยังคงยืนเงียบสนิท ก้มหน้า มือเล็กวางแนบกับตะเข็บชายเสื้อ
“เจ้าเรียนรู้เพียงครึ่งวัน แต่กลับรู้ว่าเวลานี้ต้องเตรียมอะไร วางตรงไหน ท่าทางวางถาดไม่ใช่ของชาวบ้านทั่วไป แต่เป็นท่าที่ถูกฝึกมาจากที่ที่มีระเบียบแบบแผน… ไม่เช่นนั้นเจ้าก็คงเป็นอัจฉริยะแล้วล่ะ...” เสียงซูหรงต่ำลงอีกเล็กน้อย “มองหน้าข้าแล้วตอบมาเถิด ว่าเจ้าเป็นใครกันแน่ เสี่ยวซุ่ย?”
เด็กสาวยังไม่ตอบ เพียงแต่เงยขึ้น สบตาอีกฝ่ายด้วยดวงตากลมโตเป็นครั้งแรกในการสนทนาวันนี้ และวูบหนึ่งในแววตานั้น ซูหรงสัมผัสได้ถึงประกายบางอย่าง มันราวกับผู้ที่เคยเฝ้ามองนางมาก่อนจากที่ไกลโพ้น นั่นทำให้ซูหรงรู้สึกเย็นวาบถึงต้นคอ โดยไร้สาเหตุ
“ข้าชื่อเสี่ยวซุ่ย เป็นคนที่จะพยายามเป็นบ่าวที่ดีของโรงเตี๊ยมนี้เจ้าค่ะ”
คำตอบของนางทำเอาซูหรงไม่อยากจะสนทนาอย่างอื่นอีก จึงได้แต่บอกให้นางไปทำหน้าที่ต่อไป ทว่าหลังจากเสี่ยวซุ่ยเดินจากไปทำงานอื่น ๆ ต่อ ซูหรงที่อยู่เพียงลำพังในครัว กับกลิ่นกลีบบัวขาวที่ทิ้งไว้ นางกลับรู้สึกว่าในอกนั้นคล้ายมีบางอย่างค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นมา… ระลึกถึงผู้หนึ่งที่ไม่ควรหวนคิดถึงอีก
“อาจารย์…? ท่านจำแลงมาเป็นนางไม่ผิดแน่ แต่ข้าไม่มีหลักฐานนี่สิ”
นางคิดอยู่ในใจครู่หนึ่ง ก่อนจะชำเลืองมองในส่วนของวัตถุดิบในครัว แล้วพบว่า ขิงแห้ง ดอกเก๊กฮวย และวัตถุดิบสมุนไพรต่าง ๆ ถูกจัดวางแยกชั้นอย่างเป็นระเบียบ สลับตำแหน่งจากเดิมที่ปนกันอยู่หลังจากวัตถุดิบที่เพิ่งสั่งมาเมื่อวาน นางกำลังกังวลว่าต้องจัดเรียงอยู่หลายวัน แม้ว่าจะให้ใบสั่งพี่หลินหัวหน้าบ่าวไปแล้ว ทว่าเช้านี้กลับถูกต้องทุกตำแหน่ง เหมือนตำราสำนักเซียนใช้เรียงวัตถุดิบยาที่นางสั่งไว้ทุกประการ
“นี่มัน... ระบบแบบในห้องปรุงโอสถของตำหนักเซียน… ไม่มีทางที่คนสามัญจะทำได้แน่”
ซูหรงครุ่นคิดในใจ มือของนางเย็นวาบ ราวกับร่างของนางเพิ่งสะดุดข้ามเส้นแบ่งระหว่างความบังเอิญกับความจริง
“ช้าก่อนเสี่ยวชุ่ย!” ซูหรงร้องเรียก เมื่อเริ่มตั้งสติได้ บ่าวหญิงคนใหม่หันขวับกลับมาทันควัน “ข้าขอถามเจ้าตรง ๆ อีกครั้ง... เจ้าเรียนรู้วิธีจัดสมุนไพรจากที่ไหน?”
“จากที่พี่หลินบอกว่านายหญิงเขียนไว้ในใบสั่งเจ้าค่ะ” เสี่ยวซุ่ยตอบเสียงเรียบ
“เด็กสาวธรรมดาเรียนรู้ลำดับโอสถอย่างนั้นไม่ได้หรอก แม้แต่ศิษย์ของอาจารย์ลั่วชิงก็ต้องฝึกอย่างต่ำสามปีถึงจะจำได้”
“หากท่านสงสัย ข้าพร้อมถูกลงโทษเจ้าค่ะ แต่สิ่งที่ข้าทำ ล้วนเพื่อให้โรงเตี๊ยมนี้ไม่ติดขัด” เสี่ยงซุ่ยตอบพลางก้มหน้า ขณะที่ ซูหรงเดินมาหยุดตรงหน้านาง
“เจ้าคือท่านใช่หรือไม่ ถ้าเสียงหัวใจของข้าบอกไม่ผิด” เสียงของซูหรงแผ่วเบาลง “อาจารย์ลั่วชิง”
เสี่ยวซุ่ยเงยหน้าขึ้นสบตาอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีการปฏิเสธ ไม่มีคำโกหก เพียงแต่เงียบงัน เหมือนเป็นการยอมรับ...ด้วยความสงบ ส่วนซูหรงนั้นเบือนหน้าหนีไปทางหน้าต่าง หัวใจเต้นแรงราวจะหลุดจากอก ในหัวครุ่นคิดอะไรต่อมิอะไรมากมาย
“เหตุใด... นางจึงต้องลงมาถึงเพียงนี้... เพื่ออะไร?”
“หรือว่าคำพูดของข้าในวันนั้น... มันแทงลึกถึงหัวใจนางมากกว่าที่ข้าคิด...?”
ซูหรงหายใจเข้าลึก ๆ พยายามทำตัวให้นิ่งสงบ แม้ว่าน้ำเสียงของนางจะยังสั่นเล็กน้อย ยามที่กล่าวคำถัดมา
“ข้ายังไม่รู้ว่าเหตุใดท่านต้องปลอมตัวลงมา... แต่หากท่านหวังจะสั่งสอนข้า... ข้าขอเตือนว่า… เส้นทางของข้าเดินมาไกลเกินจะถอยหลังกลับแล้ว…”
เสี่ยวซุ่ยยืนนิ่ง สีหน้าไม่เปลี่ยน แต่นัยน์ตาที่เงียบสงบกลับฉายวาบแห่งความเศร้าลึกซึ้ง นางทอดมองซูหรงซึ่งยืนเบือนหน้าหนีไปทางหน้าต่าง ถึงเช่นนั้นนายหญิงแห่งโรงเตี๊ยมก็สั่นไหวเล็กน้อย หากไม่ใช่เพราะอารมณ์ปั่นป่วน ก็คงเพราะหัวใจที่หวั่นไหวเกินจะเอ่ยออกมาเป็นถ้อยคำ
“…ใช่ ข้าคืออาจารย์ของเจ้า”
เสียงของเสี่ยวซุ่ยไม่ดัง แต่กังวานในอกซูหรงจนรู้สึกว่าห้องครัวทั้งห้องเงียบลงทันใด
“ข้าลงเขามา เพราะเจ้า”
ซูหรงหันกลับมาช้า ๆ ดวงตาเบิกโพลง “…เพื่อข้า?”
“เจ้าอาจคิดว่าข้ามาด้วยความดื้อรั้น หรือเพราะข้าทนไม่ไหวที่เจ้าทิ้งวิถีเซียนเพื่อความรัก แต่ไม่ใช่เลย ข้ารู้ว่าความรักคือสิ่งที่แม้แต่เซียนยังหลีกเลี่ยงไม่ได้ ข้ามาเพราะข้าเป็นห่วงเจ้า นั่นก็เป็นความรักแบบหนี่งมิใช่รึ?” ลั่วชิงเอ่ยต่ออย่างเนิบช้า ทำให้ซูหรงนิ่งไปชั่วอึดใจ ริมฝีปากเม้มแน่น
“เจ้าคือศิษย์ที่ข้าเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็ก ข้ารู้จักเจ้าดียิ่งกว่าใครในใต้หล้า เจ้าไม่ใช่คนอ่อนแอ แต่เจ้าเชื่อใจเร็ว และเมื่อรักสิ่งใดก็จะทุ่มเททั้งชีวิตโดยไม่หันกลับมามองตนเอง เจ้าอาจไม่เห็นว่า สิ่งที่เจ้าคิดว่าคือความสุข... อาจแฝงบางสิ่งที่เจ้าไม่คาดฝันอยู่ ตอนนี้ข้าไม่อาจบอกเจ้าได้ว่าคืออะไร แต่ว่า...” ลั่วชิงหยุดพักคำ
“ข้าไม่อาจอยู่บนเขาต่อไปได้อีก เมื่อรู้ว่าเจ้าอาจกำลังฝากทั้งชีวิตไว้กับผู้ที่ข้าไม่อาจวางใจ ข้าจึงต้องมาที่นี่เพื่อปกป้องเจ้า ยามที่เรื่องไม่คาดฝันจะมาเยือน”
“เพราะท่านไม่เชื่อในความรักของข้า ท่านจึงคิดว่ามันจะพังเสมอน่ะสิ ข้าโตแล้วนะ อะไรข้าก็รับมือได้!” ซูหรงหัวเราะในลำคอเบา ๆ เสียงหัวเราะนั้นเจือแววขื่นขม
“มิใช่” ลั่วชิงตอบทันที
“ท่านจะว่าอะไรก็ช่าง แต่ข้าไม่เหมือนท่าน” ซูหรงเม้มปากแน่น นางก้าวเข้าไปใกล้ทีละก้าวจนยืนประจันหน้าเด็กสาวตรงหน้าอีกครั้ง “เพราะข้ารู้ว่า ความรักของข้าคือการอยู่เคียงข้างเขา ไม่ใช่เพียงเฝ้ามอง ข้าไม่อาจปล่อยเขาให้เดินลำพังได้ เพราะถ้าเจ็บ ข้าจะเจ็บด้วย ถ้าเหนื่อย ข้าจะร่วมรับ ข้ายอมทิ้งทุกสิ่ง แม้แต่เส้นทางแห่งเซียน เพื่ออยู่กับเขาได้ในทุกวันธรรมดา นั่นคือความรักของข้า ข้าโตแล้ว ข้าเลือกได้ ท่านเข้าใจหรือไม่?”
ลั่วชิงนิ่งไป อารมณ์ซัดสาดอยู่ภายในนัยน์ตาคู่นั้น ทว่ามิได้โต้แย้ง นางเพียงเงยหน้าขึ้นสบตาซูหรงตรง ๆ ราวกับจะยอมรับถ้อยคำทั้งหมดของศิษย์ผู้นี้ แล้วกล่าวเสียงเบา
“เจ้าพูดได้งดงาม... ข้าเข้าใจดี และข้าหวังว่าเขาจะคู่ควรกับสิ่งที่เจ้ามอบให้จริง ๆ”
“ท่านไม่ได้เข้าใจ!” ซูหรงหรี่ตา แววตาราวกับแปรเปลี่ยนเป็นผู้ตัดสินมากกว่าผู้ถูกสั่งสอน “หากท่านเข้าใจ ท่านจะไม่ต้องมาบอกว่ามาที่นี่เพื่อปกป้องข้า ข้าเคยอยากให้ท่านอยู่กับข้าในวันแต่งงาน ในวันสำคัญอะไรก็จริง แต่เพื่อให้ท่านมองดูความสำเร็จของข้า ไม่ใช่เพื่อมองว่าข้าจะล้มเหลวในสักวันให้ท่านคอยช่วย!”
ลั่วชิงเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้า นางรู้ว่าเด็กคนนี้พยายามจะพิสูจน์ว่าตัวเองเติบโตจนไม่ต้องการความรักความห่วงใยของผู้เป็นดังมารดา เช่นนั้นนางก็ไม่ควรจะอยู่ที่นี่
“เช่นนั้นข้าคงต้องขอลา...” ลั่วชิงในร่างเสี่ยวซุ่ยทำท่าว่าจะเดินจากไป ทว่าซูหรงกับขยับตัวมาขวางนางไม่ให้ออกไปทางประตูครัวได้
“ข้าไม่ได้บอกว่าข้าไม่ต้องการท่าน ข้าบอกว่าอยากให้ท่านมองดูความสำเร็จของข้าในเส้นทางที่ข้าเลือก!” ซูหรงพูดขึ้นมาเสียงแข็ง ถึงเช่นนั้นก็มีน้ำตาคลอดในดวงตา “เช่นนั้นคืนนี้สองยาม ข้าขอให้ท่านโปรดตามขึ้นไปข้าที่ห้องของข้าก่อน แล้วเราค่อยว่ากันว่าท่านจะอยู่หรือจะไป”
“เช่นนั้นก็ได้” ลั่วชิงตกลงรับคำ โดยหารู้ไม่ว่านั่นจะเปลี่ยนชีวิตนางไปตลอดกาลนาน
คืนหลังจากที่ซูหรงเเละสามีปรับความเข้าใจกันได้ เสียงหรีดหริ่งเรไรยามราตรีขับขาน ลมเย็นในยามค่ำคืนพัดผ่านม่านโปร่งของห้องพักชั้นบนสุดของโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋น พัดพากลิ่นหอมอ่อน ๆ จากโคมไฟน้ำมันซึ่งซูหรงเพิ่งจุดไว้เมื่อครู่ให้หอมอบอวลอยู่ในห้อง นางยืนอยู่ริมหน้าต่างในชุดคลุมบางเบาสีแดงเลือดนกที่แฝงประกายทองจาง ๆ เมื่อถูกแสงจันทร์สาดส่อง อวี้ไป๋เฉินมองนางจากทางประตูหลังเดินเข้ามาเงียบ ๆ ราวกับกลัวทำลายความสงบอันละเอียดอ่อนนี้ “ข้าเคยฝันถึงคืนนี้อยู่หลายครั้ง...” นางเอ่ยเสียงเบาพลางหันกลับมา แววตาอบอุ่นดั่งผู้หญิงธรรมดาที่รอผู้ชายคนหนึ่งกลับมา หลังจากเขาผ่านพ้นจากสงครามในหัวใจ อวี้ไป๋เฉินเดินเข้ามาช้า ๆ พลางยื่นมือออกไปแตะแผ่นหลังบางที่สั่นเพียงเล็กน้อยยามลมพัด “ข้าก็ฝันเช่นกัน...” เขาโน้มตัวลงกระซิบข้างหู ขณะที่สองมือโอบรอบเอวของนางแน่นขึ้น ซูหรงหลับตาแนบกับอกเขา แผ่นอกที่เคยอบอุ่น ตอนนี้เต็มไปด้วยกลิ่นเหงื่อและกลิ่นไม้เก่า ๆ จากการทำงานในโรงเตี๊ยม หากแต่สำหรับนาง มันหอมเสียยิ่งกว่าดอกไม้ใด ๆ “ข้าเคยคิดว่าเราจะเสียความสัมพันธ์สามีภรรยาไปแล้ว...” นางเอ่ยเสียงสั่น ก้มหน้าลงหลบสายตา “เมื่
วันต่อมา หลังจากศึกเขาอู่ฮุ่ย แสงแดดยามสายส่องลอดหลังคากระเบื้องเก่า เสียงนกกระจิบร้องประสานกับกลิ่นหอมของน้ำเต้าต้มหวานจากในครัว โรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นกลับมาสงบอีกครั้งแม้สถานการณ์จะวุ่นวายเพราะต้องซ่อมแซมอาคารหลายจุดหลังเหตุการณ์พรรคมารบุกโจมตี แต่ซูหรงกลับดูสดใสเป็นพิเศษ นางเดินเคียงอวี้ไป๋เฉินสามีของนาง ท่าทีดูสนิทสนมกว่าแต่ก่อนนัก เพราะหลังจากกลับมาเมื่อรู้ความจริงจากเซี่ยหง ทั้งคู่ได้นั่งคุยกันถึงเรื่องในอดีตที่เคยไม่เข้าใจกัน ด้วยความเข้าใจในที่สุดว่าสามีนางไม่ได้ตั้งใจทรยศ ไม่ได้หลอกลวงนางเพราะผลประโยชน์ใดในยุทธภพ หากแต่เป็นชายผู้พยายามละทิ้งอดีตอันโหดร้ายของพรรคมารเพื่อตั้งต้นใหม่อย่างสงบ“เจ้ารู้หรือไม่...” ซูหรงเอ่ยเสียงเบา “ข้าเคยโกรธเจ้ายิ่งนัก ที่เจ้าปิดบังเรื่องพรรคมาร... แต่ตอนนี้ ข้ารู้แล้วว่าเจ้าทำเพื่อจะตัดขาดจากอดีตนั้นอย่างแท้จริง”อวี้ไป๋เฉินไม่ตอบ แต่เพียงยิ้มเศร้า ๆ ขณะที่นางกุมมือเขาแน่นขึ้น“เรากลับมาเป็นครอบครัวอย่างแท้จริงเถิด... ไม่ใช่แค่สามีภรรยาในนาม แต่เป็นสองคนที่เข้าใจกัน&rdqu
หลังการเจรจากับเฉินอี้เหมือนจะจบลง ลั่วชิงก็มิได้กล่าวคำใดต่ออีก นางเพียงมองเขาด้วยแววตาที่บ่งบอกถึงความเข้าใจ แล้วหมุนกายหันไปหาซูหรงที่ยืนอยู่ห่างออกไป“ซูหรง” เสียงของนางเรียบนิ่งแต่เปี่ยมด้วยพลัง “พาเขากลับไปที่โรงเตี๊ยม… ดูแลเขาให้ดี”ปลายนิ้วเรียวของลั่วชิงแตะที่อากาศเบื้องหน้า วงแหวนอักขระยันต์เรืองแสงสีเงินค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนพื้น ขนาดใหญ่พอจะให้คนยืนได้สองคน ก่อนที่นางจะเอ่ยถ้อยคำอำลา“เคลื่อนย้ายแสนลี้สำหรับกลับโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋น พาเขากลับไป แล้วใช้ชีวิตต่อไปให้ดีล่ะ พวกเจ้าเติบโตขึ้นมามากแล้ว คงใช้ชีวิตกันต่อไปได้แม้จะไม่มีข้า แต่ก็อย่าได้หลงลืมตัวข้าหรือสิ่งที่ข้าได้สอนพวกเจ้าล่ะ”“เจ้าค่ะ... ถึงข้าจะอยากให้ข้ากับท่านอาจารย์อยู่ด้วยกันต่อไป ทว่าข้าเองก็ได้เลือกว่าจะกลับไปอยู่ในโลกมนุษย์ จัดการความเข้าใจผิดที่มีกับสามี กับถ่ายทอดความรู้หลายอย่างแก่ผู้คนเบื้องล่าง ป้องกันไม่ให้คนหลงใหลในวิถึมารอีก... อย่างนั้นน่าจะดีกว่าเจ้าค่ะ... ลาก่อนนะเจ้าคะ” ซูหรงค้อมศีรษะ ก่อนจะเดินนำบ่าวหนุ
ลั่วชิงไม่ได้ตอบอะไรบ่าวหนุ่ม นางยังคงยืนนิ่ง ขณะที่พวกเซียนพากันไปรับตัวอู๋เป่ยและจ้าวหยางที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส หลังจากพวกเซี่ยหงถูกจับกุมและตราประทับมารถูกยึดคืนไปเรียบร้อยแล้ว ร่างของทั้งสองเต็มไปด้วยบาดแผลจนแทบไม่อาจขยับตัว พวกศิษย์เซียนพาพวกเขานอนลงบนแคร่หามวิเศษที่ลอยกลางอากาศเองได้แม้ไม่มีคนยก แล้วลอยมาถึงลั่วชิงและอีกสองผู้นำเซียน“ท่านทั้งสองคนนี้ คือผู้บาดเจ็บจากการป้องกันประตูเงามารไว้ก่อนพวกเราจะมาถึง เป็นผู้กล้าหาญและมีคุณธรรมยิ่ง” ลั่วชิงละสายตาจากเฉินอี้ ไปกล่าวต่อหน้าผู้นำเซียนทั้งสองที่มาด้วยกัน “ข้าคิดว่าพวกเขาควรได้อะไรตอบแทนความกล้าหาญนี้”ผู้นำเซียนเครายาวพยักหน้าอย่างเห็นด้วย อีกผู้หนึ่งคือเซียนอ้วนพุงพลุ้ยหัวเราะเสียงดัง พร้อมหยิบเครื่องรางสองชิ้นออกมา แล้วกล่าวขึ้น“ของวิเศษพวกนี้ ข้าคงมอบให้พวกเขาตอบแทนในความกล้าหาญ แต่ตอนนี้พาพวกเขาไปที่เขาหลิงอวิ๋นเถอะ พวกข้าจะรักษาพวกเขาเอง”ลั่วชิงใช้ยกมือขึ้นแหวกม่านอากาศเปิดทางให้กองทัพเซียนมุ่งหน้าออกจากช่องเขาอู่ฮุ่ยอีกครั้ง ทุกสายตากำลังจับจ้องมายังร่างของนางไม่เพียงด้วยความ
เซี่ยหงกระอักเลือดออกมาจากปาก แต่แววตาของนางยังไม่ถอดใจ ดวงตาข้างหนึ่งหลับสนิทเพราะเลือดจากศีรษะที่มีแผล จ้องมองลั่วชิงด้วยแววแข็งกร้าว แม้จะถูกลั่วชิงโจมตีจุดลมปราณทั่วร่างจนสาหัส ทว่าพลังความแค้นของนางยังไม่มอดดับ ร่างของนางค่อย ๆ ปล่อยพลังปราณสีม่วงออกมาอย่างเชื่องช้า“เจ้า...คิดว่าข้าจะยอมพ่ายเพียงแค่นี้หรือ...” นางคำรามเบา ๆ“เจ้าโดนโจมตีจุดลมปราณไปถึงเพียงนั้น ยังฝืนใช้พลังอีกงั้นรึ? มันเจ็บปวดทรมานมากเลย อย่าฝืนดีกว่า” ลั่วชิงพยายามเตือน แต่ไม่เป็นผล ไอพลังลมปราณสีม่วงเข้มเริ่มพวยพุ่งขึ้นรอบตัวประมุขพรรคมารอีกครั้ง แม้สีหน้าจะเต็มไปด้วยคสามเจ็บปวดก็ตามในพริบตา เทวรูปมารหกกรองค์ใหม่ก็ปรากฏขึ้นคลุมร่างของนางอีกหน ขนาดใหญ่โตเท่าอาคารสี่ห้าชั้นเหมือนเดิม ท้องฟ้าและขุนเขาสะท้านด้วยไอพลังปราณที่ปั่นป่วนหนักหน่วงกว่าเดิมมาก แม้จะมีบาดแผลทั่วร่าง เซี่ยหงก็ยืนประสานมืออยู่ด้านในศีรษะของเทวรูปนั้น กัดพันด้วยความโกรธเกรี้ยว“เจ้าควรหยุดแล้ว... ก่อนที่สิ่งที่เหลืออยู่ของเจ้า จะหายไปหมด” ลั่วชิงกล่าวเบา ๆ ขณะที
เสียงก้าวย่างของเทวรูปมารหกกรที่สร้างจากพลังปราณยังดังก้องทั่วแนวเขาอู่ฮุ่ย ฝีเท้าหนักหน่วงของมันสะเทือนผืนดินทุกครั้งที่ย่างเหยียบ จนกระทั่งมันมาถึงประตูเงามารทว่าเบื้องหน้าประตูเงามารอันสูงใหญ่กลับมีหญิงสาวผู้หนึ่งยืนต้านทานอยู่ ซูหรงนั่นเองศิษย์หญิงของลั่วชิงกางสองมือขึ้นเหนือศีรษะ ร่ายยันต์พลังปราณสีเงินเป็นรูปวงกลม ก่อตัวเป็นเกราะป้องกันที่ส่องแสงระยับ แขนยักษ์ที่ถือดาบมหึมาของเทวรูปมารเริ่มฟาดลงมาราวกับสายฟ้าฟาด แต่เกราะยันต์กลับต้านรับไว้ได้ แม้จะแตกร้าวลง ซูหรงก็ร่ายอาคม ฟื้นฟูกลับขึ้นมาใหม่ภายในพริบตา“คิดจะขวางข้าเรอะ พี่สะใภ้!?”เสียงของเซี่ยหงคำรามออกมาจากในศีรษะของเทวรูป พลางควบคุมแขนยักษ์ฟาดซ้ำลงไปอีกครั้งแรงกระแทกสะเทือนสะท้าน เกราะยันต์พลังปราณสายไปในพริบตา ซูหรงย่อตัวลงน้อย ๆ พร้อมกัดฟัน ก่อนที่ปลายนิ้วจะเขียนอักขระกลางอากาศ ร่ายยันต์ใหม่ขึ้นมาอีกชุด“ตราบใดที่ข้ายังยืนอยู่ เจ้าจะไม่มีวันผ่านประตูนี้ไปได้!” ซูหรงตะโกนอย่างเด็ดเดี่ยว ทว่าเซี่ยหงกลับหัวเราะเยาะ“เดี๋ยวก็ได้ล้มแล้ว! เจ้าคนอ่อนแอ... สายข่