หน้าหลัก / แฟนตาซี / บ่าวหญิงของศิษย์รัก / บทที่ 3 : นางบอกว่าบัดนี้นางได้เติบใหญ่

แชร์

บทที่ 3 : นางบอกว่าบัดนี้นางได้เติบใหญ่

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-06-07 09:14:10

โรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นในเช้าวันต่อมา เริ่มต้นด้วยกลิ่นหอมของข้าวสวยร้อน ๆ และเสียงน้ำที่ถูกตักจากบ่อใส เสียงจานชามกระทบกันเบา ๆ ดังแทรกกับเสียงไก่ขันและเสียงฝีเท้าของบ่าวหญิงชายที่เริ่มขยับเขยื้อนหลังวันใหม่มาถึง แต่ท่ามกลางความคึกคักนั้น มีเงาร่างหนึ่งซึ่งเคลื่อนไหวอย่างเงียบงันและเป็นระเบียบไม่แพ้ใคร นั่นคือ “เสี่ยวซุ่ย”

เด็กสาวในชุดผ้าฝ้ายเก่า ๆ สีฟ้าหม่น ไม่ได้โดดเด่นด้วยท่าทีหรือคำพูด ทว่าเธอกลับอยู่ในทุกตำแหน่งที่ควรอยู่เสมอ เช็ดโต๊ะก่อนใคร ล้างหม้อที่ใหญ่ที่สุดก่อนใคร ขนถังน้ำ ขัดพื้น เดินเสิร์ฟชาด้วยมือที่มั่นคงและสีหน้าสงบนิ่งอย่างไม่น่าเชื่อว่านี่คือเพียงเด็กหญิงอายุสิบหก

แม้ยังอยู่ในช่วงฝึกงาน แต่เสี่ยวซุ่ยกลับไม่มีบ่าวคนใดในโรงเตี๊ยมมองว่าเธออ่อนด้อยกว่าพวกตน แม้ไม่พูดมาก แต่กลับมีบางสิ่งในแววตา และในท่าทางของเธอที่ทำให้พี่หลิน บ่าวหญิงรุ่นพี่ที่เคยเข้มงวดกับเด็กใหม่ทุกรุ่น ถึงกับกล่าวกับคนอื่นอย่างประหลาดใจว่า

“นางช่างเป็นเด็กที่ประหลาดนัก ข้าไม่ต้องว่าอะไรนางสักคำ นางก็ทำได้ทุกอย่าง”

ระหว่างที่เหล่าบ่าวกำลังทำงานขะมักเขม้น นายหญิงอย่างซูหรงก็ยืนอยู่หน้าหน้าต่างชั้นบนของโรงเตี๊ยม แสงเช้าสาดกระทบใบหน้าจนเห็นเงาระบายบาง ๆ บนแก้ม นางถือถ้วยชาร้อนในมือ มองลงมายังลานเบื้องล่างที่เหล่าบ่าวกำลังง่วนกับงานประจำวัน

สายตาของนาง ไม่ได้ไล่ตามใครอื่นนอกจากเงาร่างของเด็กสาวผมที่ไว้หน้าม้า ซึ่งกำลังยกถังน้ำด้วยท่าทางนิ่งเรียบ ซึ่งคนที่นางจับตา ก็คือเสี่ยวซุ่ยนั่นเอง

แม้ผ่านมาเพียงวันเดียว แต่เด็กคนนี้กลับไม่มีทีท่าว่าจะเหน็ดเหนื่อย หรืออิดออดเลยแม้แต่น้อย นางทำงานทุกอย่างอย่างราบรื่น ไม่เคยส่งเสียงโวยวาย ไม่เคยทำจานตก ไม่เคยหันหลังให้เวลามีผู้เรียกใช้… และไม่เคยพลาดตำแหน่งที่ควรจะยืน

ซูหรงยกถ้วยชาขึ้นจิบ ขณะสายตายังไม่ละจากภาพเบื้องล่าง ขมวดคิ้วเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว บ่นพึมพำกับตนเอง

“หากเป็นเพียงสาวใช้ธรรมดา จะมีท่วงท่าก้าวเดินมั่นคงถึงเพียงนี้หรือ?”

นางคิดพลางก็ออกจากห้อง ไปเดินตรวจสอบการจัดเตรียมอาหารสำหรับแขกสำคัญที่กำลังจะเข้าพักคืนนี้ และเมื่อแวะไปที่ห้องครัว นางก็เห็นเสี่ยวซุ่ยกำลังจัดถ้วยชามลงไปในถาดไม้ใหญ่

มือเล็ก ๆ นั้นจับชามอย่างมั่นคง นิ้วเรียวแต่มีแรงพอจะถาดไม้ใส่ชามหลายใบที่หนักไปเก็บเข้าที่หลังเรียงเสร็จโดยไม่แสดงความออกว่าลำบากมาทางสีหน้า ที่ผิดสังเกตคืออีกประการคือการวางตำแหน่งชามเรียงตรงแนวพอดิบพอดี ราวกับใช้สายวัด

ซูหรงเดินเข้าไปใกล้โดยไม่ได้ส่งเสียง ทว่าเด็กสาวรู้ตัวว่ามีผู้มาเยือน ก่อนจะหันมาเงียบ ๆ และโค้งศีรษะเล็กน้อยอย่างนอบน้อม

“จัดชามพวกนั้นเสร็จแล้วหรือ?” ซูหรงถามเรียบ ๆ

“เจ้าค่ะ” เสี่ยวซุ่ยตอบเบา ๆ “ข้าวสวยก็กำลังจะยกลงแล้วเช่นกัน”

“เจ้าเคยทำงานในโรงเตี๊ยมมาก่อนหรือ?” ซูหรงเอ่ยถาม

“ไม่เคยเจ้าค่ะ” เสี่ยวซุ่ยตอบโดยไม่ลังเล โดยที่แววตายังคงนิ่งสงบ

ซูหรงเดินไปดูถ้วยชามที่วางเรียง สัมผัสถึงความเย็นเล็กน้อยจากขอบชามก่อนจะเอ่ยถามต่อโดยไม่หันหลัง

“แล้วใครเป็นคนสอนเจ้าวางของแบบนี้?”

“ไม่มีเจ้าค่ะ” เสี่ยวซุ่ยตอบ

ซูหรงไม่พูดอะไรไปครู่หนึ่ง นางเพียงยืนเงียบ ราวกับกำลังพยายามจับอารมณ์ของอีกฝ่าย

“เจ้าจับจังหวะของงานได้เร็วเกินไป เร็วมากจนผิดวิสัยคนทั่วไป ข้าเคยฝึกบ่าวมาหลายคน ต่อให้เป็นคนหัวไวก็ยังต้องใช้เวลาร่วมเจ็ดวันจึงจะเข้าใจลำดับงานในครัว และเรียนรู้จังหวะของห้องโถง”

ซูหรงกล่าวขึ้นมา ส่วนเสี่ยวซุ่ยยังคงยืนเงียบสนิท ก้มหน้า มือเล็กวางแนบกับตะเข็บชายเสื้อ

“เจ้าเรียนรู้เพียงครึ่งวัน แต่กลับรู้ว่าเวลานี้ต้องเตรียมอะไร วางตรงไหน ท่าทางวางถาดไม่ใช่ของชาวบ้านทั่วไป แต่เป็นท่าที่ถูกฝึกมาจากที่ที่มีระเบียบแบบแผน… ไม่เช่นนั้นเจ้าก็คงเป็นอัจฉริยะแล้วล่ะ...” เสียงซูหรงต่ำลงอีกเล็กน้อย “มองหน้าข้าแล้วตอบมาเถิด ว่าเจ้าเป็นใครกันแน่ เสี่ยวซุ่ย?”

เด็กสาวยังไม่ตอบ เพียงแต่เงยขึ้น สบตาอีกฝ่ายด้วยดวงตากลมโตเป็นครั้งแรกในการสนทนาวันนี้ และวูบหนึ่งในแววตานั้น ซูหรงสัมผัสได้ถึงประกายบางอย่าง มันราวกับผู้ที่เคยเฝ้ามองนางมาก่อนจากที่ไกลโพ้น นั่นทำให้ซูหรงรู้สึกเย็นวาบถึงต้นคอ โดยไร้สาเหตุ

“ข้าชื่อเสี่ยวซุ่ย เป็นคนที่จะพยายามเป็นบ่าวที่ดีของโรงเตี๊ยมนี้เจ้าค่ะ”

คำตอบของนางทำเอาซูหรงไม่อยากจะสนทนาอย่างอื่นอีก จึงได้แต่บอกให้นางไปทำหน้าที่ต่อไป ทว่าหลังจากเสี่ยวซุ่ยเดินจากไปทำงานอื่น ๆ ต่อ ซูหรงที่อยู่เพียงลำพังในครัว กับกลิ่นกลีบบัวขาวที่ทิ้งไว้ นางกลับรู้สึกว่าในอกนั้นคล้ายมีบางอย่างค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นมา… ระลึกถึงผู้หนึ่งที่ไม่ควรหวนคิดถึงอีก

“อาจารย์…? ท่านจำแลงมาเป็นนางไม่ผิดแน่ แต่ถ้าไม่มีหลักฐานนี่สิ”

นางคิดอยู่ในใจครู่หนึ่ง ก่อนจะชำเลืองมองในส่วนของวัตถุดิบในครัว แล้วพบว่า ขิงแห้ง ดอกเก๊กฮวย และวัตถุดิบสมุนไพรต่าง ๆ ถูกจัดวางแยกชั้นอย่างเป็นระเบียบ สลับตำแหน่งจากเดิมที่ปนกันอยู่หลังจากวัตถุดิบที่เพิ่งสั่งมาเมื่อวาน นางกำลังกังวลว่าต้องจัดเรียงอยู่หลายวัน แม้ว่าจะให้ใบสั่งพี่หลินหัวหน้าบ่าวไปแล้ว ทว่าเช้านี้กลับถูกต้องทุกตำแหน่ง เหมือนตำราสำนักเซียนใช้เรียงวัตถุดิบยาที่นางสั่งไว้ทุกประการ

นี่มัน... ระบบแบบในห้องปรุงโอสถของตำหนักเซียน… ไม่มีทางที่คนสามัญจะทำได้แน่”

ซูหรงครุ่นคิดในใจ มือของนางเย็นวาบ ราวกับร่างของนางเพิ่งสะดุดข้ามเส้นแบ่งระหว่างความบังเอิญกับความจริง

“ช้าก่อนเสี่ยวชุ่ย!” ซูหรงร้องเรียก เมื่อเริ่มตั้งสติได้ บ่าวหญิงคนใหม่หันขวับกลับมาทันควัน “ข้าขอถามเจ้าตรง ๆ อีกครั้ง... เจ้าเรียนรู้วิธีจัดสมุนไพรจากที่ไหน?”

“จากที่พี่หลินบอกว่านายหญิงเขียนไว้ในใบสั่งเจ้าค่ะ” เสี่ยวซุ่ยตอบเสียงเรียบ

“เด็กสาวธรรมดาเรียนรู้ลำดับโอสถอย่างนั้นไม่ได้หรอก แม้แต่ศิษย์ของอาจารย์ลั่วชิงก็ต้องฝึกอย่างต่ำสามปีถึงจะจำได้”

“หากท่านสงสัย ข้าพร้อมถูกลงโทษเจ้าค่ะ แต่สิ่งที่ข้าทำ ล้วนเพื่อให้โรงเตี๊ยมนี้ไม่ติดขัด” เสี่ยงซุ่ยตอบพลางก้มหน้า ขณะที่ ซูหรงเดินมาหยุดตรงหน้าเธอ

“เจ้าคือท่านใช่หรือไม่ ถ้าเสียงหัวใจของข้าบอกไม่ผิด” เสียงของซูหรงแผ่วเบาลง “อาจารย์ลั่วชิง”

เสี่ยวซุ่ยเงยหน้าขึ้นสบตาอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีการปฏิเสธ ไม่มีคำโกหก เพียงแต่เงียบงัน เหมือนเป็นการยอมรับ...ด้วยความสงบ ส่วนซูหรงนั้นเบือนหน้าหนีไปทางหน้าต่าง หัวใจเต้นแรงราวจะหลุดจากอก ในหัวครุ่นคิดอะไรต่อมิอะไรมากมาย

เหตุใด... นางจึงต้องลงมาถึงเพียงนี้... เพื่ออะไร?”

หรือว่าคำพูดของข้าในวันนั้น... มันแทงลึกถึงหัวใจนางมากกว่าที่ข้าคิด...?”

ซูหรงหายใจเข้าลึก ๆ พยายามทำตัวให้นิ่งสงบ แม้ว่าน้ำเสียงของนางจะยังสั่นเล็กน้อย ยามที่กล่าวคำถัดมา

“ข้ายังไม่รู้ว่าเหตุใดท่านต้องปลอมตัวลงมา... แต่หากท่านหวังจะสั่งสอนข้า... ข้าขอเตือนว่า… เส้นทางของข้าเดินมาไกลเกินจะถอยหลังกลับแล้ว…”

เสี่ยวซุ่ยยืนนิ่ง สีหน้าไม่เปลี่ยน แต่นัยน์ตาที่เงียบสงบกลับฉายวาบแห่งความเศร้าลึกซึ้ง นางทอดมองซูหรงซึ่งยืนเบือนหน้าหนีไปทางหน้าต่าง ถึงเช่นนั้นนายหญิงแห่งโรงเตี๊ยมก็สั่นไหวเล็กน้อย หากไม่ใช่เพราะอารมณ์ปั่นป่วน ก็คงเพราะหัวใจที่หวั่นไหวเกินจะเอ่ยออกมาเป็นถ้อยคำ

“…ใช่ ข้าคืออาจารย์ของเจ้า”

เสียงของเสี่ยวซุ่ยไม่ดัง แต่กังวานในอกซูหรงจนรู้สึกว่าห้องครัวทั้งห้องเงียบลงทันใด

“ข้าลงเขามา เพราะเจ้า”

ซูหรงหันกลับมาช้า ๆ ดวงตาเบิกโพลง “…เพื่อข้า?”

“เจ้าอาจคิดว่าข้ามาด้วยความดื้อรั้น หรือเพราะข้าทนไม่ไหวที่เจ้าทิ้งวิถีเซียนเพื่อความรัก แต่ไม่ใช่เลย ข้ารู้ว่าความรักคือสิ่งที่แม้แต่เซียนยังหลีกเลี่ยงไม่ได้ ข้ามาเพราะข้าเป็นห่วงเจ้า นั่นก็เป็นความรักแบบหนี่งมิใช่รึ?” ลั่วชิงเอ่ยต่ออย่างเนิบช้า ทำให้ซูหรงนิ่งไปชั่วอึดใจ ริมฝีปากเม้มแน่น

“เจ้าคือศิษย์ที่ข้าเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็ก ข้ารู้จักเจ้าดียิ่งกว่าใครในใต้หล้า เจ้าไม่ใช่คนอ่อนแอ แต่เจ้าเชื่อใจเร็ว และเมื่อรักสิ่งใดก็จะทุ่มเททั้งชีวิตโดยไม่หันกลับมามองตนเอง เจ้าอาจไม่เห็นว่า สิ่งที่เจ้าคิดว่าคือความสุข... อาจแฝงบางสิ่งที่เจ้าไม่คาดฝันอยู่ ตอนนี้ข้าไม่อาจบอกเจ้าได้ว่าคืออะไร แต่ว่า...” ลั่วชิงหยุดพักคำ

“ข้าไม่อาจอยู่บนเขาต่อไปได้อีก เมื่อรู้ว่าเจ้าอาจกำลังฝากทั้งชีวิตไว้กับผู้ที่ข้าไม่อาจวางใจ ข้าจึงต้องมาที่นี่เพื่อปกป้องเจ้า ยามที่เรื่องไม่คาดฝันจะมาเยือน”

“เพราะท่านไม่เชื่อในความรักของข้า ท่านจึงคิดว่ามันจะพังเสมอน่ะสิ ข้าโตแล้วนะ อะไรข้าก็รับมือได้!” ซูหรงหัวเราะในลำคอเบา ๆ เสียงหัวเราะนั้นเจือแววขื่นขม

“มิใช่” ลั่วชิงตอบทันที

“ท่านจะว่าอะไรก็ช่าง แต่ข้าไม่เหมือนท่าน” ซูหรงเม้มปากแน่น นางก้าวเข้าไปใกล้ทีละก้าวจนยืนประจันหน้าเด็กสาวตรงหน้าอีกครั้ง “เพราะข้ารู้ว่า ความรักของข้าคือการอยู่เคียงข้างเขา ไม่ใช่เพียงเฝ้ามอง ข้าไม่อาจปล่อยเขาให้เดินลำพังได้ เพราะถ้าเจ็บ ข้าจะเจ็บด้วย ถ้าเหนื่อย ข้าจะร่วมรับ ข้ายอมทิ้งทุกสิ่ง แม้แต่เส้นทางแห่งเซียน เพื่ออยู่กับเขาได้ในทุกวันธรรมดา นั่นคือความรักของข้า ข้าโตแล้ว ข้าเลือกได้ ท่านเข้าใจหรือไม่?”

ลั่วชิงนิ่งไป อารมณ์ซัดสาดอยู่ภายในนัยน์ตาคู่นั้น ทว่ามิได้โต้แย้ง นางเพียงเงยหน้าขึ้นสบตาซูหรงตรง ๆ ราวกับจะยอมรับถ้อยคำทั้งหมดของศิษย์ผู้นี้ แล้วกล่าวเสียงเบา

“เจ้าพูดได้งดงาม... ข้าเข้าใจดี และข้าหวังว่าเขาจะคู่ควรกับสิ่งที่เจ้ามอบให้จริง ๆ”

“ท่านไม่ได้เข้าใจ!” ซูหรงหรี่ตา แววตาราวกับแปรเปลี่ยนเป็นผู้ตัดสินมากกว่าผู้ถูกสั่งสอน “หากท่านเข้าใจ ท่านจะไม่ต้องมาบอกว่ามาที่นี่เพื่อปกป้องข้า ข้าเคยอยากให้ท่านอยู่กับข้าในวันแต่งงาน ในวันสำคัญอะไรก็จริง แต่เพื่อให้ท่านมองดูความสำเร็จของข้า ไม่ใช่เพื่อมองว่าข้าจะล้มเหลวในสักวันให้ท่านคอยช่วย!”

ลั่วชิงเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้า นางรู้ว่าเด็กคนนี้พยายามจะพิสูจน์ว่าตัวเองเติบโตจนไม่ต้องการความรักความห่วงใยของผู้เป็นดังมารดา เช่นนั้นนางก็ไม่ควรจะอยู่ที่นี่

“เช่นนั้นข้าคงต้องขอลา...” ลั่วชิงในร่างเสี่ยวซุ่ยทำท่าว่าจะเดินจากไป ทว่าซูหรงกับขยับตัวมาขวางนางไม่ให้ออกไปทางประตูครัวได้

“ข้าไม่ได้บอกว่าข้าไม่ต้องการท่าน ข้าบอกว่าอยากให้ท่านมองดูความสำเร็จของข้าในเส้นทางที่ช้าเลือก!” ซูหรงพูดขึ้นมาเสียงแข็ง ถึงเช่นนั้นก็มีน้ำตาคลอดในดวงตา “เช่นนั้นคืนนี้สองยาม ข้าขอให้ท่านโปรดไปพบข้าที่ห้องของข้าก่อน แล้วเราค่อยว่ากันว่าท่านจะอยู่หรือจะไป”

“เช่นนั้นก็ได้” ลั่วชิงตกลงรับคำ โดยหารู้ไม่ว่านั่นจะเปลี่ยนชีวิตเธอไปตลอดกาลนาน

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • บ่าวหญิงของศิษย์รัก   บทที่ 7: นางเกรี้ยวกราดที่โรงเตี๊ยมถูกบุกรุก

    ค่ำวันนั้น โรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นถูกแต่งแต้มด้วยแสงโคมแดงและกลิ่นอาหารหอมฉุย และบริเวณที่กลิ่นอาหารอบอวลมากที่สุดก็เห็นจะเป็นโต๊ะสำหรับรับรองแขกพิเศษของโรงเตี๊ยมในคืนนี้เสี่ยวซุ่ยในชุดผ้าฝ้ายสะอาดเรียบร้อย เดินถือถาดอาหารเดินวนไปมา คอยเติมชาให้ผู้คน แม้จะยังเก้ ๆ กัง ๆ แต่ก็ไม่ทำถ้วยตก นางรู้สึกปลาบปลื้มกับพัฒนาการในการคุมร่างกายของตัวเองที่ทำได้ดีขึ้น แม้แต่เพียงเล็กน้อยก็ตามขณะทำงาน นางก็ลอบชำเลืองไปยังห้องรับรองหลัก ก็พบว่าแขกในคืนนั้นคือชายฉกรรจ์สี่คนที่แต่งกายคล้ายจอมยุทธ์ต่างสำนัก เสื้อลมผ้าหนา ปักสัญลักษณ์ประหลาดบนอกเสื้อ และแต่ละคนมีสีหน้าเคร่งขรึมเกินกว่าผู้มาเยี่ยมเยียนโดยไมตรี ในโต๊ะเดียวกันนั้น อวี้ไป๋เฉินนั่งอยู่หัวโต๊ะเพื่อเผชิญหน้ากับแขกทั้งสี่ เสี่ยวซุ่ยเพิ่งได้พบหน้าเขาเป็นครั้งแรกตั้งแต่มาทำงานที่นี่ เขามีเส้นผมสีดำสนิทราวขนนกอีกา ปล่อยยาวถึงกลางหลัง ใบหน้าเรียวงามได้รูป ผิวราวกับคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในร่มมาเนิ่นนาน ริมฝีปากบางสีชมพูอ่อน ๆ คิ้วของเขาเรียวยาว ดวงตาสีน้ำตาลก็เรียวเฉียงชี้ขึ้นเล็กน้อย จมูกของเขาโด่ง รับกับใบหน้าทั้งหมดอย่างน่าพึงพอใจ เสื

  • บ่าวหญิงของศิษย์รัก   บทที่ 6 : นางกลั่นแกล้งข้า!

    แสงเช้าในโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นเริ่มต้นอย่างไม่ต่างจากทุกวัน แต่สำหรับเสี่ยวซุ่ยแล้ว เช้านี้มีบางอย่างผิดปกติ เพราะทันทีที่นางมาถึงลานซักผ้าใต้ร่มไม้หลังโรงเตี๊ยม ก็พบกับซูหรง ในชุดเสื้อผ้าสีแดงสด กำลังยืนกอดอก รออยู่ก่อนแล้วด้วยสีหน้าเรียบเฉย เหมือนจะสงบนิ่ง แต่สายตานั้นแฝงความน่าหวาดหวั่นใจบางอย่าง ทำเอาร่างกายที่ถูกทำให้มีอาการอย่างเด็กสาวทั่วไปต้องอดสั่นน้อย ๆ ไม่ได้“เสี่ยวซุ่ย วันนี้เจ้าจะต้องทำงานเพิ่ม” ซูหรงเอ่ยขึ้น ด้วยท่าทีทรงอำนาจ “เริ่มจากไปซักผ้าปูโต๊ะทั้งหมดในร้าน ผ้าม่าน ผ้าปูที่นอนด้วย ข้าเตรียมไว้ให้แล้ว เจ้าต้องทำคนเดียวนะ วันนี้คนอื่นน่าจะยุ่ง ๆ กับการเตรียมตัวต้อนรับแขกพิเศษ เห็นว่าสหายเก่าของท่านอวี้ไป๋เฉินจะมาเยี่ยมเยือน”เสี่ยวซุ่ยชะงักเล็กน้อย นางรู้ดีว่านี่ไม่ใช่หน้าที่ปกติของสาวใช้ฝึกหัดทั่วไป งานเหล่านี้รวมทุกอย่างแล้ว ต้องใช้แรงกายมาก และใช้เวลาทั้งวัน หากไม่ใช่เพราะซูหรงตั้งใจสั่งเอง สาวใช้ฝึกหัดไม่น่าจะได้ทำด้วยซ้ำ“เจ้าค่ะ ข้าจะทำให้เสร็จ…” เด็กสาวพยักหน้าเบา ๆ สีหน้าเจือความลังเล แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ ทำได้แต่เพียงรับคำสั่งเท่านั้น“เช่นนั้นก็รีบทำได้ ของทั้ง

  • บ่าวหญิงของศิษย์รัก   บทที่ 5 : นางทำให้ข้าจำต้องเริ่มใหม่

    เช้าวันใหม่ในโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นเริ่มต้นด้วยเสียงเก็บถาด ล้างหม้อ และกลิ่นหอมของข้าวร้อนผสมกลิ่นซุปสมุนไพรอ่อน ๆ ดังลอยปะปนกับเสียงฝีเท้าของบ่าวหญิงชายที่เดินขวักไขว่ เสี่ยวซุ่ยในชุดผ้าฝ้ายสีฟ้าหม่น เดินอยู่ท่ามกลางนั้นอย่างเงียบ ๆ มือขาวนวลของเธอถือตะกร้าผักแนบอก ท่าทางไม่ต่างจากสาวใช้คนอื่น ทว่าในแววตายังเจือร่องรอยของความอึดอัดบางประการเมื่อเดินเข้าไปในห้องครัว นางเห็นพี่หลินกำลังสั่งให้สาวใช้อีกคนปอกขิง เตรียมพริกแห้ง และล้างชามดินเผา“เสี่ยวซุ่ย” พี่หลินเรียกเสียงนิ่งตามเคย “วันนี้เจ้าช่วยต้มถั่วเขียวในหม้อใหญ่นั่น ข้าจะทำข้าวต้มถั่วเป็นมื้อเช้า”“เจ้าค่ะ” เสี่ยวซุ่ยตอบเรียบ ก่อนจะเดินไปที่หม้อขนาดใหญ่ ตั้งน้ำ ตวงถั่วตามที่คิดว่าเคยเห็นคนทำมาก่อน ทว่าขณะจะจุดไฟ นางกลับจ้องไม้ฟืนอยู่นานอย่างประหลาด“ไม่น่าจะยาก...” เซียนอายุนับพันในร่างเด็กสาวคิดในใจ ก่อนจะพยายามจุดไฟโดยใช้หินเหล็กและฟืนแบบชาวบ้าน แต่หลังพยายามอยู่ครู่ใหญ่ เปลวไฟกลับยังไม่ติดดีนัก ควันกลับฟุ้งขึ้นเต็มหน้า และเมื่อนางพยายามเติมถั่วในน้ำต้ม ก็พลาดทำตกกระเด็นครึ่งถุงจนกลิ้งเต็มพื้นหิน“อ๊ะ…” นางอุทานเบา ๆ พลางก้มลงเก็

  • บ่าวหญิงของศิษย์รัก   บทที่ 4 : นางยัดเยียดชีวิตใหม่ให้อาจารย์

    โรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นยามค่ำคืนนี้เงียบสงัดกว่าทุกวัน หลังจากแขกเหรื่อทยอยกันเข้านอน และเสียงจานชามในครัวก็เงียบลงเหลือเพียงเสียงลมโชยเบาใต้ชายคาเท่านั้นซูหรงนั่งอยู่ในห้องรับรองส่วนตัวของตนเอง ไฟตะเกียงบนโต๊ะส่องสว่างพอให้เห็นใบหน้าของนางซึ่งสงบเยือกเย็น แต่แววตานั้นกลับมีร่องรอยของบางสิ่งที่คล้ายความตั้งใจแน่วแน่ ประเภทที่เตรียมใจสำหรับการกระทำที่ไม่อาจหวนคืนกลับไปได้อีกบนโต๊ะของนางตอนนี้มีแผ่นยันต์ผืนบาง วัตถุดิบที่นางนำติดตัวมาจากตำหนักบนภูเขาเซียน และน้ำหมึกผสมผงหยก ซึ่งแม้จะเจือจาง แต่ก็ยังเป็นของที่ใช้ในพิธีเฉพาะทางของผู้ฝึกตนขั้นสูงที่อาจารย์เคยสอนนางมาแต่เล็ก“ข้าคงต้องเลือกทางนี้แล้ว…” นางพึมพำกับตัวเอง พลางวางปลายนิ้วลงบนยันต์ และเริ่มวาดอักขระด้วยปลายพู่กันที่สั่นน้อย ๆ แม้ภายนอกจะสงบ แต่ภายในของนางเต็มไปด้วยหลากความรู้สึกโหมกระหน่ำอยู่ภายในคล้ายพายุเมื่อยันต์เสร็จสิ้นก็เป็นเวลาสองยามพอดี นางจึงตัดสินใจจะออกไปตามเสี่ยวซุ่ย แต่เมื่อเปิดประตูออกไป ก็พบว่า เสี่ยวซุ่ยยืนรออยู่หน้าห้องแล้ว เด็กสาวย่อกายลงโค้งศีรษะให้นายหญิงแห่งโรงเตี๊ยมอย่างนอบน้อม ท่าทางสงบนิ่งและมั่นคง ก่อนที่ซ

  • บ่าวหญิงของศิษย์รัก   บทที่ 3 : นางบอกว่าบัดนี้นางได้เติบใหญ่

    โรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นในเช้าวันต่อมา เริ่มต้นด้วยกลิ่นหอมของข้าวสวยร้อน ๆ และเสียงน้ำที่ถูกตักจากบ่อใส เสียงจานชามกระทบกันเบา ๆ ดังแทรกกับเสียงไก่ขันและเสียงฝีเท้าของบ่าวหญิงชายที่เริ่มขยับเขยื้อนหลังวันใหม่มาถึง แต่ท่ามกลางความคึกคักนั้น มีเงาร่างหนึ่งซึ่งเคลื่อนไหวอย่างเงียบงันและเป็นระเบียบไม่แพ้ใคร นั่นคือ “เสี่ยวซุ่ย”เด็กสาวในชุดผ้าฝ้ายเก่า ๆ สีฟ้าหม่น ไม่ได้โดดเด่นด้วยท่าทีหรือคำพูด ทว่าเธอกลับอยู่ในทุกตำแหน่งที่ควรอยู่เสมอ เช็ดโต๊ะก่อนใคร ล้างหม้อที่ใหญ่ที่สุดก่อนใคร ขนถังน้ำ ขัดพื้น เดินเสิร์ฟชาด้วยมือที่มั่นคงและสีหน้าสงบนิ่งอย่างไม่น่าเชื่อว่านี่คือเพียงเด็กหญิงอายุสิบหกแม้ยังอยู่ในช่วงฝึกงาน แต่เสี่ยวซุ่ยกลับไม่มีบ่าวคนใดในโรงเตี๊ยมมองว่าเธออ่อนด้อยกว่าพวกตน แม้ไม่พูดมาก แต่กลับมีบางสิ่งในแววตา และในท่าทางของเธอที่ทำให้พี่หลิน บ่าวหญิงรุ่นพี่ที่เคยเข้มงวดกับเด็กใหม่ทุกรุ่น ถึงกับกล่าวกับคนอื่นอย่างประหลาดใจว่า“นางช่างเป็นเด็กที่ประหลาดนัก ข้าไม่ต้องว่าอะไรนางสักคำ นางก็ทำได้ทุกอย่าง”ระหว่างที่เหล่าบ่าวกำลังทำงานขะมักเขม้น นายหญิงอย่างซูหรงก็ยืนอยู่หน้าหน้าต่างชั้นบนของโรงเตี

  • บ่าวหญิงของศิษย์รัก   บทที่ 2 : นางต้องการบ่าวหญิงคนใหม่

    ฟ้ายามเช้าปลายฤดูใบไม้ผลิยามนี้โปร่งใสไร้เมฆ แสงอรุณทอดผ่านหมู่ไม้และผิวน้ำจนเห็นเป็นสายทองระยิบระยับ ต้นหลิวเอนพลิ้วล้อลม สายน้ำแห่งลำธารไหลเอื่อยดั่งสายธารอารมณ์ ไม่มีอันใดฉูดฉาดเกินงาม แต่ละขอบเขาอาบด้วยแสงอ่อนคล้ายสวรรค์กำลังอวยพรเงียบ ๆ แก่คนสองคนซึ่งกำลังจับจ้องกันอยู่ใต้ศาลาไม้ไผ่หลังหนึ่งวันนี้คือวันแต่งงานของ ซูหรง กับ อวี้ไป๋เฉินใต้ศาลากลางสวนของโรงเตี๊ยม ซึ่งถูกตกแต่งอย่างวิจิตรงดงามจนผิดแผกไปจากทุกวันที่ผ่านมา บัดนี้เต็มไปด้วยแขกเหรื่อ ทั้งเพื่อนบ้านจากตลาด ตระกูลค้าขายใกล้เคียง และบางคนแม้เคยเป็นผู้เดินทางหลงทาง ก็ยังหวนกลับมาร่วมเป็นสักขีพยานในวันสำคัญแม้จะเป็นงานเล็ก ไม่หวือหวา แต่รายละเอียดทุกอย่างกลับเปี่ยมด้วยความเอาใจใส่ ผืนผ้าปูโต๊ะสีขาวปักลายดอกเหมยตัดกับแจกันหยกอ่อนที่บรรจุดอกบัวขาว ผืนธงผ้าสีแดงอ่อนเขียนอักษร แสดงความยินดีต่อทั้งคู่ ด้วยหมึกทองสะท้อนแดดระยับ ราวกับทองคำที่หลอมมาทำเป็นอักขระ หลอมรวมความสุขไว้เป็นนิรันดร์ซูหรงอยู่ในชุดเจ้าสาวสีแดงเข้มปักดิ้นทอง งามราวเทพธิดาเสด็จจากฟากฟ้า เส้นผมยาวถูกเกล้ามวยขึ้นประณีต ประดับด้วยปิ่นหยกและกลีบบัวสีเงินแซมเกสรท

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status