/ แฟนตาซี / บ่าวหญิงของศิษย์รัก / บทที่ 1 : นางกล่าวว่าข้านั้นไร้รัก

공유

บ่าวหญิงของศิษย์รัก
บ่าวหญิงของศิษย์รัก
작가: จูเฉิงกง - อันนา

บทที่ 1 : นางกล่าวว่าข้านั้นไร้รัก

last update 최신 업데이트: 2025-06-06 18:35:41

ยอดเขาหลิงอวิ๋นยามย่ำรุ่งยังคงแวดล้อมด้วยม่านหมอกสีขาวนวลราวสายไหม สายลมบางเบาพัดพาใบสนให้สั่นไหวเบา ๆ คล้ายเสียงกระซิบของภูตพรายในแดนสวรรค์ ดอกเหมยที่เบ่งบานอยู่ตามซอกผาหินส่งกลิ่นหอมเย็นจาง ๆ เคล้ากับกลิ่นไอของเหมันต์ที่ยังไม่เลือนจากยอดเขาสูงเสียดฟ้าแห่งนี้

ท่ามกลางธรรมชาติอันสงบนิ่ง มีตำหนักไม้หลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ริมหน้าผา บนระเบียงตำหนักนั้น หญิงสาวผู้หนึ่งยืนอยู่อย่างสงบนิ่งพิงเสาไม้หอม นางคือ "ลั่วชิง" เซียนหญิงผู้เร้นกายจากโลกมนุษย์มาเนิ่นนาน ชุดยาวสีขาวดุจหิมะสะอาดตา ผ้าคลุมโปร่งบางแนบแน่นกับลำตัวเพราะลมจากหน้าผา แววตานิ่งลึกคล้ายผืนน้ำสงบใต้เงาจันทร์ จ้องมองไปยังเส้นขอบฟ้าที่เริ่มแต้มแสงทองของอรุณรุ่ง ผมของนางดำขลับยาวสลวยเลยสะโพก ขึ้นมวยบางเบาด้วยปิ่นหยกเงาวับ ใบหน้ารูปไข่ ผิวขาวละเอียดราวหิมะบนยอดเขา คิ้วเรียวยาวพาดเฉียงเหนือดวงตากลมโตสีดำสนิท ดวงตานั้นแม้จะดูสงบเยือกเย็น หากแต่ลึกลงไปกลับซ่อนร่องรอยของความโศกเศร้าและความผูกพันบางประการ ปลายจมูกเล็กโด่งอย่างเหมาะเจาะ ริมฝีปากบางสีจางคล้ายกลีบเหมยยามหนาวจัด ทั้งหมดนี้รวมกันเป็นความงามที่ไม่เย้ายวนหากแต่น่าเกรงขาม

ในห้วงเวลากว่าสองพันปีที่ผ่านมา ลั่วชิงใช้ชีวิตอยู่บนยอดเขาหลิงอวิ๋น ฝึกบำเพ็ญเพียรตามวิถีเซียน ถูกขนานนามว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ทั้งกาย วาจา และใจ ทว่าแม้นางจะเปลีกวิเวก ไม่แสวงหาเกียรติยศหรือลาภยศ ก็ยังมีลูกศิษย์ที่ได้มาร่ำเรียนธรรมะและวิชาเซียนจากนางอยู่ไม่น้อย หลายคนดั้นดันฟันฝ่าอุปสรรคและบททดสอบนานาเพื่อขึ้นมาบนเขา ให้ได้รับการยอมรับเป็นศิษย์จากนาง หลายคนถูกช่วยเอาไว้จากความตาย แล้วนางได้รับเลี้ยงเอาไว้เสมือนบุตร

หนึ่งในนั้นคือเด็กสาวนามว่า "ซูหรง"

ซูหรงปรากฏตัวเมื่อสิบห้าปีก่อน ในวันที่หิมะตกหนาทึบ นางยังเป็นเพียงเด็กหญิงวัยไม่ถึงสามขวบ ถูกทิ้งไว้ที่ตีนเขาพร้อมผ้าห่มเก่า ๆ และโอสถแปลกประหลาดที่ใช้รักษาโรคต้องห้าม เหล่าศิษย์ของลั่วชิงเห็นเข้าจึงมารายงาน และด้วยความเมตตา เซียนหญิงจึงตัดสินใจเก็บนางมาเลี้ยงไว้เอง และตั้งชื่อให้นาง

ซูหรงเติบโตมาใต้ชายคาแห่งตำหนักเซียน ในความสงบของยอดเขา นางมีรูปลักษณ์งดงามเกินเด็กทั่วไป ผิวขาวอมชมพู ใบหน้ารูปไข่ ดวงตาโตกลมโตเป็นประกาย คิ้วโค้งราวจันทร์เสี้ยว จมูกเล็ก ริมฝีปากสีชมพูดูสดใสราวดอกท้อ  ผมยาวสีดำธรรมชาติ มีสีเหลือบแดงเล็กน้อยเมื่อโดนแดด นางมีน้ำเสียงใสและหัวเราะง่าย แม้ในวัยเด็กก็แสดงออกถึงอุปนิสัยเปี่ยมด้วยอารมณ์ ซุกซน หากแต่จิตใจดีและซื่อตรง

ตลอดเวลาที่อยู่บนเขา ซูหรงเรียกลั่วชิงว่า "อาจารย์แม่" และยึดถือเสมือนมารดา นางเรียนรู้วิชากระบี่ วิชาการฝึกพลังภายใน และวิถีธรรมเบื้องต้นได้เร็วกว่าผู้อื่นมาก และยิ่งเติบโต ยิ่งงามสง่า กลายเป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่เก่งกล้าสามารถกว่าศิษย์อื่นที่ใช้เวลาศึกษาเท่า ๆ กัน ซึ่งยังอยู่ในขั้นผู้ฝึกปราณพื้นฐานเท่านั้น

กระนั้นสิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยน คือดวงใจที่เต็มไปด้วยความอยากรู้ อยากเห็นในโลกเบื้องล่าง ซึ่งเป็นสถานที่ที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน นอกจากฟังเรื่องเล่าจากเหล่าศิษย์พี่และอาจารย์

เมื่ออายุครบสิบแปด ซูหรงจึงขออนุญาตลงเขาเพื่อแจกโอสถช่วยชาวบ้าน ลั่วชิงรู้ดีว่านั่นเป็นเพียงข้ออ้าง แต่นางก็มิได้ขัดขวาง หากแต่มอบโอสถหลายขนานให้ และสั่งสอนเอาไว้ว่า

            “ระดับของเจ้าในตอนนี้เป็นผู้บำเพ็ญเซียนก็จริง แต่พรสวรรค์ของเจ้านั้น อนาคตอาจพัฒนาเข้าสู่กระแสธรรมชาติเป็นชั้นเซียนเบิกนภา ควบคุมห้าธาตุและก้าวเหนือชะตากรรมจนเป็นเซียนเชื่อมจิตดารา และอาจขึ้นมาเป็นเซียนเหนือเมฆาเช่นข้าได้ หรืออาจก้าวข้ามข้าจนกลายเป็นเซียนแดนสวรรค์ก็ได้”

"แต่โลกเบื้องล่างมีทั้งแสงและเงา อาจทำให้ใจเจ้าสั่นไหว หากเป็นเช่นนั้น กิเลสในใจเจ้าจะเป็นดังเปลวไฟที่แผดเผาตนเอง และอาจจะทำให้พลังปราณ และจิตใจของเจ้าไม่อาจพัฒนาได้ถึงขั้นนั้น"

ซูหรงหัวเราะคิกคัก แม้นไม่กล้าจะลบล้างคำพูดอาจารย์ แต่ก็เพียงกล่าวยอกย้อนว่า

"อาจารย์ไม่ได้มีกิเลสเท่าผู้คนทั่วไป อาจารย์รู้ได้อย่างไรว่าไฟมันเผาหรืออบอุ่น?"

ลั่วชิงได้ยินคำกล่าวของศิษย์ที่เลี้ยงมาแต่น้อย ก็นิ่งเงียบ ไม่กล่าวตอบใด ๆ นางเพียงยืนมองร่างของศิษย์สาวเดินห่างออกไปทางทางแคบริมหน้าผา แผ่นหลังเล็ก ๆ ในชุดคลุมสีชมพูอ่อน ค่อย ๆ จมหายไปในม่านหมอกหนา

.

ในเมืองเล็กตีนเขา โรงเตี๊ยม "ไป๋อวิ๋น" เป็นสถานที่เงียบสงบ รายล้อมด้วยกลิ่นหอมของชาจีนและกลิ่นซุปที่ต้มจากเครื่องยาจีนอ่อน ๆ ท่ามกลางเสียงคนและรถม้า มีชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินตรวจความเรียบร้อยอยู่เสมอ เขาคือ "อวี้ไป๋เฉิน"

อวี้ไป๋เฉินเป็นชายหนุ่มราวยี่สิบห้า ใบหน้าคมเข้ม ดวงตาเรียวยาวแต่ซ่อนแววอ่อนโยน จมูกโด่ง ริมฝีปากบางเป็นเส้นตรงคล้ายคนไม่ยิ้มง่าย ทว่าหากยิ้มขึ้นมา จะเปล่งประกายจนหญิงสาวต้องเบือนหน้าหนีด้วยความเขินอาย ผิวคล้ำแดดเล็กน้อยเพราะทำงานกลางแจ้ง แต่สะอาดสะอ้าน ท่วงท่าทุกก้าวเดินราวนักกระบี่ผู้มีชั้นเชิง

เมื่อซูหรงลงเขา นางแวะพักที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ และเป็นครั้งแรกที่ได้พบกับอวี้ไป๋เฉิน เขาเป็นผู้ให้ที่พัก ให้น้ำชา และไม่ถามที่มา นั่นทำให้นางรู้สึกถึงความอบอุ่นอย่างแปลกประหลาด

มันเริ่มจากตรงนั้น

ซูหรงเริ่มแวะที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้บ่อยขึ้น แม้จะอ้างว่าเพราะอยู่ใกล้กับหมู่บ้านที่นางต้องไปแจกโอสถ ทว่าเมื่อสายตาของอวี้ไป๋เฉินทอดมองมายังนาง และนางเผลอยิ้มตอบโดยไม่รู้ตัว ลั่วชิงที่เฝ้าดูเหตุการณ์จากกระจกวารีในตำหนักก็รู้ในทันที

ความรัก...ได้บังเกิดขึ้นในหัวใจของศิษย์นางเข้าแล้ว

แม้นางจะรู้ แต่ลั่วชิงก็มิได้ขัดขวาง นางใช้เวลาไปกับการฝึกสมาธิให้ลึกกว่าเดิม และปล่อยให้เรื่องราวดำเนินต่อไปตามครรลองของมัน ซูหรงก็มักลงไปเยี่ยมเยียนโลกเบื้องล่าง อ้างว่าไปใช้วิชาเซียนช่วยเหลือผู้คนตกทุกข์ได้ยากบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ แต่นั่นเป็นข้ออ้างที่จะได้พบชายหนุ่มที่เธอพึงใจเท่านั้น ทั้งคู่พัฒนาสายสัมพันธ์มากขึ้นเรื่อย ๆ จนยากที่จะทำลาย เหนี่ยวรั้งเซียนฝึกหัดอย่างซูหรงให้ถูกดึงเข้าสู่ทางโลกอย่างมิอาจจะถอนตัว

จนกระทั่งวันหนึ่ง ซูหรงกลับมาบนยอดเขาอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่เพื่อฝึกวิชา ไม่ใช่เพื่อมาขอโอสถ หากแต่เพื่อกล่าวคำลาสุดท้าย

"อาจารย์... ข้าจะไปใช้ชีวิตกับเขา ไป๋เฉินขอข้าแต่งงานแล้ว"

ลั่วชิงนิ่งเงียบ นางรู้ดีว่าสักวันเรื่องนี้จะต้องมาถึง นางมิได้แสดงสีหน้าใด ๆ เพียงพยักหน้าช้า ๆ แล้วกล่าว

"จงตั้งสติ ใช้ปัญญาพิจารณาถึงผลดีร้ายที่จะตามมา อย่าให้ตาเจ้าบอดด้วยความรัก อย่าให้เปลวไฟแห่งอารมณ์แผดเผาอนาคตของเจ้า เจ้ายังอาจบรรลุในวิถีที่สูงส่งกว่านี้มากนัก"

“หากอนาคตของข้าถูกแผดเผาด้วยรัก ข้าก็ยินดี ข้ายอมอยู่ที่ระดับนี้โดยมีคนรักเคียงกาย ดีกว่าขึ้นไประดับสูงส่งโดยไร้ความรักเช่นท่าน อาจารย์โปรดอย่าห้ามข้าเลย”

ซูหรงน้ำตาคลอ แต่ยังยิ้ม นางก้มลงกราบงาม ๆ สามครั้ง ก่อนจะเดินจากไปอีกครั้ง ลงจากเขา และครั้งนี้ ลั่วชิงรู้ว่าอาจเป็นการลาจากตำหนักเซียนที่ไม่อาจจะหวนคืนกลับมาได้ของนาง

เซียนหญิงยืนนิ่งอยู่หน้าตำหนัก ปล่อยให้ลมหนาวพัดกลีบดอกเหมยกระทบผ้าแพรบางเบาของนางอีกครั้งหนึ่ง นางรำพึงกับตัวเองเมื่อศิษย์สาวเดินลงเขาไปจนลับตา

“เด็กน้อยเอ๋ย ความรักไม่ได้มีเพียงเท่าที่เจ้าเข้าใจเสียหน่อย ข้าจะพิสูจน์ให้เจ้ารู้ว่าเจ้าหาได้คิดถูกไม่”

이 책을 계속 무료로 읽어보세요.
QR 코드를 스캔하여 앱을 다운로드하세요

최신 챕터

  • บ่าวหญิงของศิษย์รัก   บทที่ 7: นางเกรี้ยวกราดที่โรงเตี๊ยมถูกบุกรุก

    ค่ำวันนั้น โรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นถูกแต่งแต้มด้วยแสงโคมแดงและกลิ่นอาหารหอมฉุย และบริเวณที่กลิ่นอาหารอบอวลมากที่สุดก็เห็นจะเป็นโต๊ะสำหรับรับรองแขกพิเศษของโรงเตี๊ยมในคืนนี้เสี่ยวซุ่ยในชุดผ้าฝ้ายสะอาดเรียบร้อย เดินถือถาดอาหารเดินวนไปมา คอยเติมชาให้ผู้คน แม้จะยังเก้ ๆ กัง ๆ แต่ก็ไม่ทำถ้วยตก นางรู้สึกปลาบปลื้มกับพัฒนาการในการคุมร่างกายของตัวเองที่ทำได้ดีขึ้น แม้แต่เพียงเล็กน้อยก็ตามขณะทำงาน นางก็ลอบชำเลืองไปยังห้องรับรองหลัก ก็พบว่าแขกในคืนนั้นคือชายฉกรรจ์สี่คนที่แต่งกายคล้ายจอมยุทธ์ต่างสำนัก เสื้อลมผ้าหนา ปักสัญลักษณ์ประหลาดบนอกเสื้อ และแต่ละคนมีสีหน้าเคร่งขรึมเกินกว่าผู้มาเยี่ยมเยียนโดยไมตรี ในโต๊ะเดียวกันนั้น อวี้ไป๋เฉินนั่งอยู่หัวโต๊ะเพื่อเผชิญหน้ากับแขกทั้งสี่ เสี่ยวซุ่ยเพิ่งได้พบหน้าเขาเป็นครั้งแรกตั้งแต่มาทำงานที่นี่ เขามีเส้นผมสีดำสนิทราวขนนกอีกา ปล่อยยาวถึงกลางหลัง ใบหน้าเรียวงามได้รูป ผิวราวกับคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในร่มมาเนิ่นนาน ริมฝีปากบางสีชมพูอ่อน ๆ คิ้วของเขาเรียวยาว ดวงตาสีน้ำตาลก็เรียวเฉียงชี้ขึ้นเล็กน้อย จมูกของเขาโด่ง รับกับใบหน้าทั้งหมดอย่างน่าพึงพอใจ เสื

  • บ่าวหญิงของศิษย์รัก   บทที่ 6 : นางกลั่นแกล้งข้า!

    แสงเช้าในโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นเริ่มต้นอย่างไม่ต่างจากทุกวัน แต่สำหรับเสี่ยวซุ่ยแล้ว เช้านี้มีบางอย่างผิดปกติ เพราะทันทีที่นางมาถึงลานซักผ้าใต้ร่มไม้หลังโรงเตี๊ยม ก็พบกับซูหรง ในชุดเสื้อผ้าสีแดงสด กำลังยืนกอดอก รออยู่ก่อนแล้วด้วยสีหน้าเรียบเฉย เหมือนจะสงบนิ่ง แต่สายตานั้นแฝงความน่าหวาดหวั่นใจบางอย่าง ทำเอาร่างกายที่ถูกทำให้มีอาการอย่างเด็กสาวทั่วไปต้องอดสั่นน้อย ๆ ไม่ได้“เสี่ยวซุ่ย วันนี้เจ้าจะต้องทำงานเพิ่ม” ซูหรงเอ่ยขึ้น ด้วยท่าทีทรงอำนาจ “เริ่มจากไปซักผ้าปูโต๊ะทั้งหมดในร้าน ผ้าม่าน ผ้าปูที่นอนด้วย ข้าเตรียมไว้ให้แล้ว เจ้าต้องทำคนเดียวนะ วันนี้คนอื่นน่าจะยุ่ง ๆ กับการเตรียมตัวต้อนรับแขกพิเศษ เห็นว่าสหายเก่าของท่านอวี้ไป๋เฉินจะมาเยี่ยมเยือน”เสี่ยวซุ่ยชะงักเล็กน้อย นางรู้ดีว่านี่ไม่ใช่หน้าที่ปกติของสาวใช้ฝึกหัดทั่วไป งานเหล่านี้รวมทุกอย่างแล้ว ต้องใช้แรงกายมาก และใช้เวลาทั้งวัน หากไม่ใช่เพราะซูหรงตั้งใจสั่งเอง สาวใช้ฝึกหัดไม่น่าจะได้ทำด้วยซ้ำ“เจ้าค่ะ ข้าจะทำให้เสร็จ…” เด็กสาวพยักหน้าเบา ๆ สีหน้าเจือความลังเล แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ ทำได้แต่เพียงรับคำสั่งเท่านั้น“เช่นนั้นก็รีบทำได้ ของทั้ง

  • บ่าวหญิงของศิษย์รัก   บทที่ 5 : นางทำให้ข้าจำต้องเริ่มใหม่

    เช้าวันใหม่ในโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นเริ่มต้นด้วยเสียงเก็บถาด ล้างหม้อ และกลิ่นหอมของข้าวร้อนผสมกลิ่นซุปสมุนไพรอ่อน ๆ ดังลอยปะปนกับเสียงฝีเท้าของบ่าวหญิงชายที่เดินขวักไขว่ เสี่ยวซุ่ยในชุดผ้าฝ้ายสีฟ้าหม่น เดินอยู่ท่ามกลางนั้นอย่างเงียบ ๆ มือขาวนวลของเธอถือตะกร้าผักแนบอก ท่าทางไม่ต่างจากสาวใช้คนอื่น ทว่าในแววตายังเจือร่องรอยของความอึดอัดบางประการเมื่อเดินเข้าไปในห้องครัว นางเห็นพี่หลินกำลังสั่งให้สาวใช้อีกคนปอกขิง เตรียมพริกแห้ง และล้างชามดินเผา“เสี่ยวซุ่ย” พี่หลินเรียกเสียงนิ่งตามเคย “วันนี้เจ้าช่วยต้มถั่วเขียวในหม้อใหญ่นั่น ข้าจะทำข้าวต้มถั่วเป็นมื้อเช้า”“เจ้าค่ะ” เสี่ยวซุ่ยตอบเรียบ ก่อนจะเดินไปที่หม้อขนาดใหญ่ ตั้งน้ำ ตวงถั่วตามที่คิดว่าเคยเห็นคนทำมาก่อน ทว่าขณะจะจุดไฟ นางกลับจ้องไม้ฟืนอยู่นานอย่างประหลาด“ไม่น่าจะยาก...” เซียนอายุนับพันในร่างเด็กสาวคิดในใจ ก่อนจะพยายามจุดไฟโดยใช้หินเหล็กและฟืนแบบชาวบ้าน แต่หลังพยายามอยู่ครู่ใหญ่ เปลวไฟกลับยังไม่ติดดีนัก ควันกลับฟุ้งขึ้นเต็มหน้า และเมื่อนางพยายามเติมถั่วในน้ำต้ม ก็พลาดทำตกกระเด็นครึ่งถุงจนกลิ้งเต็มพื้นหิน“อ๊ะ…” นางอุทานเบา ๆ พลางก้มลงเก็

  • บ่าวหญิงของศิษย์รัก   บทที่ 4 : นางยัดเยียดชีวิตใหม่ให้อาจารย์

    โรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นยามค่ำคืนนี้เงียบสงัดกว่าทุกวัน หลังจากแขกเหรื่อทยอยกันเข้านอน และเสียงจานชามในครัวก็เงียบลงเหลือเพียงเสียงลมโชยเบาใต้ชายคาเท่านั้นซูหรงนั่งอยู่ในห้องรับรองส่วนตัวของตนเอง ไฟตะเกียงบนโต๊ะส่องสว่างพอให้เห็นใบหน้าของนางซึ่งสงบเยือกเย็น แต่แววตานั้นกลับมีร่องรอยของบางสิ่งที่คล้ายความตั้งใจแน่วแน่ ประเภทที่เตรียมใจสำหรับการกระทำที่ไม่อาจหวนคืนกลับไปได้อีกบนโต๊ะของนางตอนนี้มีแผ่นยันต์ผืนบาง วัตถุดิบที่นางนำติดตัวมาจากตำหนักบนภูเขาเซียน และน้ำหมึกผสมผงหยก ซึ่งแม้จะเจือจาง แต่ก็ยังเป็นของที่ใช้ในพิธีเฉพาะทางของผู้ฝึกตนขั้นสูงที่อาจารย์เคยสอนนางมาแต่เล็ก“ข้าคงต้องเลือกทางนี้แล้ว…” นางพึมพำกับตัวเอง พลางวางปลายนิ้วลงบนยันต์ และเริ่มวาดอักขระด้วยปลายพู่กันที่สั่นน้อย ๆ แม้ภายนอกจะสงบ แต่ภายในของนางเต็มไปด้วยหลากความรู้สึกโหมกระหน่ำอยู่ภายในคล้ายพายุเมื่อยันต์เสร็จสิ้นก็เป็นเวลาสองยามพอดี นางจึงตัดสินใจจะออกไปตามเสี่ยวซุ่ย แต่เมื่อเปิดประตูออกไป ก็พบว่า เสี่ยวซุ่ยยืนรออยู่หน้าห้องแล้ว เด็กสาวย่อกายลงโค้งศีรษะให้นายหญิงแห่งโรงเตี๊ยมอย่างนอบน้อม ท่าทางสงบนิ่งและมั่นคง ก่อนที่ซ

  • บ่าวหญิงของศิษย์รัก   บทที่ 3 : นางบอกว่าบัดนี้นางได้เติบใหญ่

    โรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นในเช้าวันต่อมา เริ่มต้นด้วยกลิ่นหอมของข้าวสวยร้อน ๆ และเสียงน้ำที่ถูกตักจากบ่อใส เสียงจานชามกระทบกันเบา ๆ ดังแทรกกับเสียงไก่ขันและเสียงฝีเท้าของบ่าวหญิงชายที่เริ่มขยับเขยื้อนหลังวันใหม่มาถึง แต่ท่ามกลางความคึกคักนั้น มีเงาร่างหนึ่งซึ่งเคลื่อนไหวอย่างเงียบงันและเป็นระเบียบไม่แพ้ใคร นั่นคือ “เสี่ยวซุ่ย”เด็กสาวในชุดผ้าฝ้ายเก่า ๆ สีฟ้าหม่น ไม่ได้โดดเด่นด้วยท่าทีหรือคำพูด ทว่าเธอกลับอยู่ในทุกตำแหน่งที่ควรอยู่เสมอ เช็ดโต๊ะก่อนใคร ล้างหม้อที่ใหญ่ที่สุดก่อนใคร ขนถังน้ำ ขัดพื้น เดินเสิร์ฟชาด้วยมือที่มั่นคงและสีหน้าสงบนิ่งอย่างไม่น่าเชื่อว่านี่คือเพียงเด็กหญิงอายุสิบหกแม้ยังอยู่ในช่วงฝึกงาน แต่เสี่ยวซุ่ยกลับไม่มีบ่าวคนใดในโรงเตี๊ยมมองว่าเธออ่อนด้อยกว่าพวกตน แม้ไม่พูดมาก แต่กลับมีบางสิ่งในแววตา และในท่าทางของเธอที่ทำให้พี่หลิน บ่าวหญิงรุ่นพี่ที่เคยเข้มงวดกับเด็กใหม่ทุกรุ่น ถึงกับกล่าวกับคนอื่นอย่างประหลาดใจว่า“นางช่างเป็นเด็กที่ประหลาดนัก ข้าไม่ต้องว่าอะไรนางสักคำ นางก็ทำได้ทุกอย่าง”ระหว่างที่เหล่าบ่าวกำลังทำงานขะมักเขม้น นายหญิงอย่างซูหรงก็ยืนอยู่หน้าหน้าต่างชั้นบนของโรงเตี

  • บ่าวหญิงของศิษย์รัก   บทที่ 2 : นางต้องการบ่าวหญิงคนใหม่

    ฟ้ายามเช้าปลายฤดูใบไม้ผลิยามนี้โปร่งใสไร้เมฆ แสงอรุณทอดผ่านหมู่ไม้และผิวน้ำจนเห็นเป็นสายทองระยิบระยับ ต้นหลิวเอนพลิ้วล้อลม สายน้ำแห่งลำธารไหลเอื่อยดั่งสายธารอารมณ์ ไม่มีอันใดฉูดฉาดเกินงาม แต่ละขอบเขาอาบด้วยแสงอ่อนคล้ายสวรรค์กำลังอวยพรเงียบ ๆ แก่คนสองคนซึ่งกำลังจับจ้องกันอยู่ใต้ศาลาไม้ไผ่หลังหนึ่งวันนี้คือวันแต่งงานของ ซูหรง กับ อวี้ไป๋เฉินใต้ศาลากลางสวนของโรงเตี๊ยม ซึ่งถูกตกแต่งอย่างวิจิตรงดงามจนผิดแผกไปจากทุกวันที่ผ่านมา บัดนี้เต็มไปด้วยแขกเหรื่อ ทั้งเพื่อนบ้านจากตลาด ตระกูลค้าขายใกล้เคียง และบางคนแม้เคยเป็นผู้เดินทางหลงทาง ก็ยังหวนกลับมาร่วมเป็นสักขีพยานในวันสำคัญแม้จะเป็นงานเล็ก ไม่หวือหวา แต่รายละเอียดทุกอย่างกลับเปี่ยมด้วยความเอาใจใส่ ผืนผ้าปูโต๊ะสีขาวปักลายดอกเหมยตัดกับแจกันหยกอ่อนที่บรรจุดอกบัวขาว ผืนธงผ้าสีแดงอ่อนเขียนอักษร แสดงความยินดีต่อทั้งคู่ ด้วยหมึกทองสะท้อนแดดระยับ ราวกับทองคำที่หลอมมาทำเป็นอักขระ หลอมรวมความสุขไว้เป็นนิรันดร์ซูหรงอยู่ในชุดเจ้าสาวสีแดงเข้มปักดิ้นทอง งามราวเทพธิดาเสด็จจากฟากฟ้า เส้นผมยาวถูกเกล้ามวยขึ้นประณีต ประดับด้วยปิ่นหยกและกลีบบัวสีเงินแซมเกสรท

더보기
좋은 소설을 무료로 찾아 읽어보세요
GoodNovel 앱에서 수많은 인기 소설을 무료로 즐기세요! 마음에 드는 책을 다운로드하고, 언제 어디서나 편하게 읽을 수 있습니다
앱에서 책을 무료로 읽어보세요
앱에서 읽으려면 QR 코드를 스캔하세요.
DMCA.com Protection Status