เสียงกระบองฟาดกระทบพลองเหล็กดังก้องทั่วแนวเขาอู่ฮุ่ย จ้าวหยางกับจวินเลี่ยยังต่อสู้กันอย่างดุเดือด ปะทะกันไม่หยุด นับร้อยเพลงอาวุธ จนจากมีกระบวนท่าเริ่มกลายเป็นการฟาดฟันแบบดิบเถื่อน เมื่อทั้งสองต่างผลักพลังใส่กันสุดกำลัง
จนในที่สุดเสียงพลองเหล็กของจ้าวหยางกับกระบองของจวินเลี่ยกระเด็นหลุดจากมือทั้งคู่ ลอยไปตกอยู่ไกลเกินเอื้อม ถึงคราวใช้เพียงมือเปล่าล้วน ๆ!
“มาต่อกันเถอะ!” จวินเลี่ยคำรามเสียงต่ำ ก่อนจะพุ่งเข้าใส่จ้าวหยางด้วยหมัดใหญ่พอกับชามข้าว จ้าวหยางยกแขนขึ้นรับเต็มแรง เสียงกระแทกกระทั้นดังเป็นจังหวะราวกลองรบ หมัดซ้าย หมัดขวา ศอก เข่า ประเคนเข้าใส่จ้าวหยางที่ได้แต่ป้องกัน หากวัดกันที่กำลังหรือความเร็วแล้ว เขาด้อยกว่าจวินเลี่ยที่ดูดกลืนพลังของพวกตนเองอย่างเห็นได้ชัด
จวินเลี่ยซัดเข้าอย่างไม่หยุดยั้ง การป้องกันเริ่มปัดป้องได้ไม่หมด จนเลือดเริ่มซึมจากมุมปากของชายหน้าเหลี่ยม ร่างกายจ้าวหยางบางส่วนเริ่มเต็มไปด้วยรอยช้ำ และบาดแผล เลือดเริ่มไหลออกจากร่าง ถึงเช่นนั้นจวินเลี่ยก็ประหลาดใจ เพราะแรงของจวินเลี่ยมหาศาล เขาตอนนี้สามารถบดขยี้วัวใหญ่ด้วยหมัดเปล่า แต่ถ
หลังการเจรจากับเฉินอี้เหมือนจะจบลง ลั่วชิงก็มิได้กล่าวคำใดต่ออีก นางเพียงมองเขาด้วยแววตาที่บ่งบอกถึงความเข้าใจ แล้วหมุนกายหันไปหาซูหรงที่ยืนอยู่ห่างออกไป“ซูหรง” เสียงของนางเรียบนิ่งแต่เปี่ยมด้วยพลัง “พาเขากลับไปที่โรงเตี๊ยม… ดูแลเขาให้ดี”ปลายนิ้วเรียวของลั่วชิงแตะที่อากาศเบื้องหน้า วงแหวนอักขระยันต์เรืองแสงสีเงินค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนพื้น ขนาดใหญ่พอจะให้คนยืนได้สองคน ก่อนที่นางจะเอ่ยถ้อยคำอำลา“เคลื่อนย้ายแสนลี้สำหรับกลับโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋น พาเขากลับไป แล้วใช้ชีวิตต่อไปให้ดีล่ะ พวกเจ้าเติบโตขึ้นมามากแล้ว คงใช้ชีวิตกันต่อไปได้แม้จะไม่มีข้า แต่ก็อย่าได้หลงลืมตัวข้าหรือสิ่งที่ข้าได้สอนพวกเจ้าล่ะ”“เจ้าค่ะ... ถึงข้าจะอยากให้ข้ากับท่านอาจารย์อยู่ด้วยกันต่อไป ทว่าข้าเองก็ได้เลือกว่าจะกลับไปอยู่ในโลกมนุษย์ จัดการความเข้าใจผิดที่มีกับสามี กับถ่ายทอดความรู้หลายอย่างแก่ผู้คนเบื้องล่าง ป้องกันไม่ให้คนหลงใหลในวิถึมารอีก... อย่างนั้นน่าจะดีกว่าเจ้าค่ะ... ลาก่อนนะเจ้าคะ” ซูหรงค้อมศีรษะ ก่อนจะเดินนำบ่าวหนุ
ลั่วชิงไม่ได้ตอบอะไรบ่าวหนุ่ม นางยังคงยืนนิ่ง ขณะที่พวกเซียนพากันไปรับตัวอู๋เป่ยและจ้าวหยางที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส หลังจากพวกเซี่ยหงถูกจับกุมและตราประทับมารถูกยึดคืนไปเรียบร้อยแล้ว ร่างของทั้งสองเต็มไปด้วยบาดแผลจนแทบไม่อาจขยับตัว พวกศิษย์เซียนพาพวกเขานอนลงบนแคร่หามวิเศษที่ลอยกลางอากาศเองได้แม้ไม่มีคนยก แล้วลอยมาถึงลั่วชิงและอีกสองผู้นำเซียน“ท่านทั้งสองคนนี้ คือผู้บาดเจ็บจากการป้องกันประตูเงามารไว้ก่อนพวกเราจะมาถึง เป็นผู้กล้าหาญและมีคุณธรรมยิ่ง” ลั่วชิงละสายตาจากเฉินอี้ ไปกล่าวต่อหน้าผู้นำเซียนทั้งสองที่มาด้วยกัน “ข้าคิดว่าพวกเขาควรได้อะไรตอบแทนความกล้าหาญนี้”ผู้นำเซียนเครายาวพยักหน้าอย่างเห็นด้วย อีกผู้หนึ่งคือเซียนอ้วนพุงพลุ้ยหัวเราะเสียงดัง พร้อมหยิบเครื่องรางสองชิ้นออกมา แล้วกล่าวขึ้น“ของวิเศษพวกนี้ ข้าคงมอบให้พวกเขาตอบแทนในความกล้าหาญ แต่ตอนนี้พาพวกเขาไปที่เขาหลิงอวิ๋นเถอะ พวกข้าจะรักษาพวกเขาเอง”ลั่วชิงใช้ยกมือขึ้นแหวกม่านอากาศเปิดทางให้กองทัพเซียนมุ่งหน้าออกจากช่องเขาอู่ฮุ่ยอีกครั้ง ทุกสายตากำลังจับจ้องมายังร่างของนางไม่เพียงด้วยความ
เซี่ยหงกระอักเลือดออกมาจากปาก แต่แววตาของนางยังไม่ถอดใจ ดวงตาข้างหนึ่งหลับสนิทเพราะเลือดจากศีรษะที่มีแผล จ้องมองลั่วชิงด้วยแววแข็งกร้าว แม้จะถูกลั่วชิงโจมตีจุดลมปราณทั่วร่างจนสาหัส ทว่าพลังความแค้นของนางยังไม่มอดดับ ร่างของนางค่อย ๆ ปล่อยพลังปราณสีม่วงออกมาอย่างเชื่องช้า“เจ้า...คิดว่าข้าจะยอมพ่ายเพียงแค่นี้หรือ...” นางคำรามเบา ๆ“เจ้าโดนโจมตีจุดลมปราณไปถึงเพียงนั้น ยังฝืนใช้พลังอีกงั้นรึ? มันเจ็บปวดทรมานมากเลย อย่าฝืนดีกว่า” ลั่วชิงพยายามเตือน แต่ไม่เป็นผล ไอพลังลมปราณสีม่วงเข้มเริ่มพวยพุ่งขึ้นรอบตัวประมุขพรรคมารอีกครั้ง แม้สีหน้าจะเต็มไปด้วยคสามเจ็บปวดก็ตามในพริบตา เทวรูปมารหกกรองค์ใหม่ก็ปรากฏขึ้นคลุมร่างของนางอีกหน ขนาดใหญ่โตเท่าอาคารสี่ห้าชั้นเหมือนเดิม ท้องฟ้าและขุนเขาสะท้านด้วยไอพลังปราณที่ปั่นป่วนหนักหน่วงกว่าเดิมมาก แม้จะมีบาดแผลทั่วร่าง เซี่ยหงก็ยืนประสานมืออยู่ด้านในศีรษะของเทวรูปนั้น กัดพันด้วยความโกรธเกรี้ยว“เจ้าควรหยุดแล้ว... ก่อนที่สิ่งที่เหลืออยู่ของเจ้า จะหายไปหมด” ลั่วชิงกล่าวเบา ๆ ขณะที
เสียงก้าวย่างของเทวรูปมารหกกรที่สร้างจากพลังปราณยังดังก้องทั่วแนวเขาอู่ฮุ่ย ฝีเท้าหนักหน่วงของมันสะเทือนผืนดินทุกครั้งที่ย่างเหยียบ จนกระทั่งมันมาถึงประตูเงามารทว่าเบื้องหน้าประตูเงามารอันสูงใหญ่กลับมีหญิงสาวผู้หนึ่งยืนต้านทานอยู่ ซูหรงนั่นเองศิษย์หญิงของลั่วชิงกางสองมือขึ้นเหนือศีรษะ ร่ายยันต์พลังปราณสีเงินเป็นรูปวงกลม ก่อตัวเป็นเกราะป้องกันที่ส่องแสงระยับ แขนยักษ์ที่ถือดาบมหึมาของเทวรูปมารเริ่มฟาดลงมาราวกับสายฟ้าฟาด แต่เกราะยันต์กลับต้านรับไว้ได้ แม้จะแตกร้าวลง ซูหรงก็ร่ายอาคม ฟื้นฟูกลับขึ้นมาใหม่ภายในพริบตา“คิดจะขวางข้าเรอะ พี่สะใภ้!?”เสียงของเซี่ยหงคำรามออกมาจากในศีรษะของเทวรูป พลางควบคุมแขนยักษ์ฟาดซ้ำลงไปอีกครั้งแรงกระแทกสะเทือนสะท้าน เกราะยันต์พลังปราณสายไปในพริบตา ซูหรงย่อตัวลงน้อย ๆ พร้อมกัดฟัน ก่อนที่ปลายนิ้วจะเขียนอักขระกลางอากาศ ร่ายยันต์ใหม่ขึ้นมาอีกชุด“ตราบใดที่ข้ายังยืนอยู่ เจ้าจะไม่มีวันผ่านประตูนี้ไปได้!” ซูหรงตะโกนอย่างเด็ดเดี่ยว ทว่าเซี่ยหงกลับหัวเราะเยาะ“เดี๋ยวก็ได้ล้มแล้ว! เจ้าคนอ่อนแอ... สายข่
สายลมในช่องภูเขาพัดแรงกว่าปกติ ท้องฟ้าบนยอดเขาอู่ฮุ่ยมืดครึ้มประหนึ่งพายุใกล้มาเยือน จ้าวหยาง ซูหรง และเฉินอี้ที่เพิ่มเดินทางทางอากาศด้วยวิชาของตัวเอง ร่อนลงเหยียบพื้นหินแข็งเบื้องหน้าประตูอันสูงใหญ่ที่ปิดสนิท มันเป็นประตูหินสีดำ สูงห้าวา กว้างสองวา ทว่าสิ่งที่พวกเขาพบหน้าประตู กลับมีเพียงพื้นหินที่ว่างเปล่าเท่านั้น“ไม่มีใครอยู่เลย...” จ้าวหยางกล่าวพร้อมขมวดคิ้ว “นี่มันกับดักชัด ๆ”ซูหรงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเบา ๆ ขณะจ้องมองประตูหินโบราณเบื้องหน้า“ใช่… พวกเราโดนหลอกแล้ว... แต่มันก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์เสียทีเดียว”“เจ้าหมายความว่าไง?” จ้าวหยางหันขวับ หลังได้ยินคำพูดของซูหรง “ข้าอยากลองอะไรบางอย่างกับประตูนี่...” ดวงตาของซูหรงฉายแววแน่วแน่ “อาจใช้เวลานาน แต่ถ้าได้ผล มันอาจกลายเป็นอาวุธสำคัญของพวกเรา”“งั้นเฉินอี้ พวกเรา
เสียงฝีเท้าของหญิงสาวในชุดบ่าวกระทบหินดังเป็นจังหวะ ขณะที่ทุกคนกำลังรับมือเทวรูปยักษ์ที่ไล่โจมตี เสี่ยวซุ่ยวิ่งไปเรื่อย ๆ จนมาถึงร่างที่คุกเข่าหมดสติของจ้าวหยาง นางทรุดตัวลง ใช้สองมือเขย่าตัวเขาอย่างรวดเร็ว“ท่านจ้าวหยาง ได้โปรด... ได้โปรดฟื้นขึ้นมาเถอะ...!”น้ำเสียงของนางสั่นเครือ มือหนึ่งรีบหยิบโอสถเซียนที่เฉินอี้ให้ไว้ขึ้นมาผลักใส่ปากเขา ใช้พลังฝ่ามืออ่อนโยนกดจุดใต้คางให้กลืนยาไปอัตโนมัติ พลางโน้มตัวลงแนบอกเขา ฟังจังหวะลมหายใจ... ครู่หนึ่งผ่านไป จ้าวหยางกระตุกเบา ๆ“เจ้า...” เขาลืมตาช้า ๆ มองใบหน้าของนางที่เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อและฝุ่นควัน “ป้อนโอสถให้ข้างั้นรึ ขอบคุณมาก...”“ทุกคนโจมตีมันไม่เข้าเลยเจ้าค่ะ มีแค่วิชาของท่านเท่านั้นที่เคยโจมตีแขนพลังปราณแล้วส่งความเสียหายถึงร่างเนื้อได้” เสี่นวซุ่ยพยายามอธิบายทั้งที่ยังหายใจหอบ“ได้ ข้าเข้าใจแล้ว”จ้าวหยางตอบพลางยันตัวลุกขึ้น เขาหยิบพลองเหล็กที่ตกอยู่ไม่ไกลขึ้นมาฟาดใส่พื้นหนึ่งครั้ง แล้วสูดลมหายใจเข้าลึกสุดปอด ก่อนจะเหว