บทที่ 1
รับฝีปากคืนเข้าหอ
จันทราเอ๋ย...เจ้าจะขึ้นช้ากว่านี้สักเค่อไม่ได้เลยหรืออย่างไร
ในใจหญิงสาวรำพึงรำพันยามแหงนหน้ามองท้องฟ้าราตรีในวสันตฤดู ไม่มีความแช่มชื่นปรากฏอยู่เลยแม้สักเสี้ยวในแววตา
ด้านนอกยังมีเสียงงานเลี้ยงครึกครื้นยิ่ง นางก็ภาวนาในใจว่าขอให้สวี่ห่าวซวนผู้นั้นโดนพวกผู้ใหญ่จับกรอกเหล้าจนเมาคอพับอยู่ในงานเสีย
แต่สวรรค์มิเป็นใจให้ลู่เจียวจูได้สมปรารถนา เพราะเพียงนางภาวนาจบไม่นานเสียงบานประตูห้องหอก็ดังขึ้น
จะเป็นใครไปได้...หากไม่ใช่เจ้าบ่าวของนาง
สวี่ห่าวซวนเองก็ไปอาบน้ำชำระกาย อยู่ในชุดนอนผ้าบางเหมือนกัน ยังหน้าแดงหูแดงเพราะฤทธิ์สุราอีกต่างหาก
ดูท่าคืนนี้คงหนีไม่พ้นแล้วกระมัง..
ลู่เจียวจูกลืนน้ำลายฝืดคอ แต่ก็ยังทำใจสู้ นั่งนิ่งไม่ไหวติง แสร้งทำเป็นไม่มีปฏิกิริยาต่อกลิ่นสุราหึ่งทั่วตัวสวี่ห่าวซวนอีกด้วย
ให้เขารู้ว่านางกำลังใจสั่นไม่ได้หรอก เสียเชิงสตรีหมดพอดี
“ขยับไป”
เสียงเขาสั่งนางก็ทำตาม ถึงความจริงแม้ไม่สั่งก็ตั้งใจจะขยับถอยห่างไปเป็นลี้แล้วก็เถิด
ชายหนุ่มก้าวเข้ามา หยิบกาสุราบนโต๊ะเล็กมารินส่งให้นางจอกหนึ่ง ถือไว้เองจอกหนึ่ง ลู่เจียวจูก็ทำหน้างง “นี่คือ?”
“สุรามงคลในคืนเข้าหอ ธรรมเนียมโบราณว่าต้องดื่ม... เมืองจงเหนียนไร้ซึ่งธรรมเนียม ไม่สั่งสอนสตรีให้รู้หน้าที่ตระเตรียมเรื่องพวกนี้เลยหรือ”
ปากคอช่าง...ทรามเสียจริง
“เมืองจงเหนียนย่อมมีธรรมเนียม และการสั่งสอนบุตรีก็ย่อมเข้มงวด กฎสำคัญของการเป็นยอดหญิงคืออย่ามือไวใจเร็ว หากดูว่าได้มาไม่ยากแล้วจะไร้ค่าในสายตาบุรุษไม่ต่างจากนางคณิกา...ถึงท่านไม่รู้เรื่องพวกนี้ข้าก็ไม่ถือสาหรอก ก็ท่านคุ้นเคยแต่กับสตรีแคว้นโจวหนานนี่นา”
สตรีผู้นี้..ใช่ไร้ฤทธิ์เดช พิษสงน้อยเสียเมื่อไร
ฟังนางว่าเสียยาว สวี่ห่าวซวนมุมปากกระตุก สุรามงคลที่สมควรคล้องแขนดื่มนั่นไม่จำเป็นอีกต่อไป เมื่อต่างคนต่างดื่มไปแล้วเรียบร้อย
ข้าไม่เททิ้งหมดจอกก็ดีเท่าไร!
เป็นเสียงภายในใจจากพวกเขาที่ว่าตรงกัน แต่มิมีผู้ใดปริปาก เพียงมองตาก็รู้ว่าข้างในคุกรุ่นเพียงใด
ยามนี้..บรรยากาศในห้องหออึมครึมเสียยิ่งกว่าเมื่อตอนค่ำเสียอีก
“ขยับไป”
สามีสั่งอีกหน ภรรยาก็ฉีกยิ้มกัดฟัน “ตามคำบัญชา”
นางประชด ก่อนจะลุกเดินไปที่ตั่งยาวในห้อง พร้อมหอบหมอนกับผ้าห่มติดมือไปด้วย
“ไม่ยักรู้ว่าหญิงผู้สูงศักดิ์แห่งเมืองจงเหนียนมีรสนิยมแบบนี้”
“ขอบคุณสามีที่ชมข้า หญิงผู้สูงศักดิ์เช่นข้าย่อมมีรสนิยมดี ที่สำคัญมีความอดทนเป็นเลิศอีกด้วย”
อ้อ..นางจะกล่าวหาว่าบุรุษชาตินักรบเช่นข้าแย่งเตียงนอนสบายๆแล้วไล่ให้นางไปนอนตั่งแข็งๆอย่างนั้นสิ?
“นิสัยเช่นนี้ ไม่ทราบสืบทอดมาจากผู้เป็นบิดาหรืออย่างไร”
“ข้าย่อมสืบทอดความยิ่งใหญ่มาจากบิดา”
“ผู้ยิ่งใหญ่โดยมากมีนิสัยโอหัง”
“เช่นนั้นนิสัยโอหังในตัวบุตรชายผู้ครองแคว้นใหญ่โตก็ย่อมมากกว่าบุตรสาวเจ้าเมืองเล็กๆเป็นแน่”
ดูทั้งคู่ประชันฝีปากกันอย่างไม่ลดละ เช่นนี้ความสงบสุขจะมาเยือนแคว้นโจวหนานและเมืองจงเหนียนได้จริงหรือ...ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้
เฮอะ! นางอยากนอนตั่งไม้เย็นชืดนั่นก็เรื่องของนางเถิด
สวี่ห่าวซวนนอนเตียง หันหลังให้นางราวกับไม่อยากใส่ใจแยแส แม้แต่ใบหน้างดงามนั่นก็ดูจะทำให้เคืองตา
เช่นเดียวกัน ทางลู่เจียวจู นางก็นอนห่อตัวในผ้าห่มผืนใหญ่ หันหลังให้ผู้เป็นสามี
ที่นอนข้าอาจแข็งไปสักหน่อย แต่มิใช่จะทนไม่ได้ เขาต่างหากที่เป็นฝ่ายทรมาน เพราะคืนหนาวนี้ต้องนอนโดยไร้ผ้าห่มและหมอนหนุนหัว
ในความเป็นจริง ผู้ที่ต้องทนทรมานในคืนเข้าหอเพราะทิฐิอันสูงส่งก็คือพวกเขาทั้งคู่ ผู้หนึ่งต้องทนนอนปวดหลัง อีกผู้หนึ่งนอนสั่นเพราะอากาศที่เย็นจัด
แต่เพราะพึ่งเจอกันก็เปิดศึกวาจาเลยเช่นนี้ ทำให้สุดท้ายพวกเขาเลือกที่จะยอมทน ไม่มีใครปริปากยอมง้อขอคืนดีก่อน
จะมีก็แต่...
“เป็นบรรยากาศคืนเข้าหอที่แปลกใหม่เสียจริง” หญิงสาวว่าน้ำเสียงประชดประชัน กลับได้ยินเสียงแค่นหัวเราะหยันจากฝั่งคนบนเตียง “ผู้ไม่เคยเข้าหอย่อมรู้สึกแปลกใหม่”
“เจ้าบ่าวของข้าคงผ่านโลกมามาก มีประสบการณ์ไม่น้อย ข้าเลื่อมใส”
“ถูกต้องอย่างเจ้าว่า ข้าผ่านโลกมามาก ศึกษาตำรามาก็มาก เรื่องอะไรจะยอมให้เวลาที่อยู่ว่างๆเปล่าประโยชน์ไป”
เขากล้าหาว่าข้าไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนอย่างนั้น!? เฮอะ! น่าขัน
“ผู้ศึกษาตำรามากอาจบกพร่องเรื่องมารยาท ราชครูบัณฑิตมักพูดพร่ำเรื่องคุณธรรมที่กระทำจริงไม่ได้”
“ย่อมดีกว่าผู้ที่ไม่รู้ทั้งหนังสือและมารยาท กาลเทศะสามัญสำนึกก็ถดถอยเสื่อมทราม”
“ผู้ที่เป็นสุภาพชนไม่กล่าวว่าสตรี”
“มิได้กล่าวว่าสตรี ไม่เคยแม้แต่เอ่ยออกมาสักคำ เพียงกล่าววาจาลอยๆผู้ใดอยากรับฟังก็รับไป”
“เป็นวาจาเลื่อนลอยไร้แก่นสาร มิใช่สิ่งที่สุภาพชนคนมีปัญญาพึงจะกล่าวเช่นกัน”
ดูนางเถิด ดูนางกล้าต่อปากต่อคำกับข้า นี่ขนาดเป็นภรรยาได้ไม่ถึงวันแท้ๆ!
“สุภาพสตรีไม่กล่าววาจาหยาบกระด้างกับสามีผู้อุปถัมภ์ต่อจากบิดา”
“แต่พึ่งอุปถัมภ์ต่อจากบิดาได้ไม่พ้นหนึ่งคืน ยังนับว่าไม่มีคุณต่อกัน”
“ยังไม่มีคุณต่อกันก็ชิงให้โทษต่อกันเสียแล้ว? ..พึ่งรู้ว่าสตรีเมืองจงเหนียนมีจิตใจเข้มแข็งถึงเพียงนี้ ข้าเลื่อมใส”
วาจาเสียดสีนั่นทิ่มแทงนางไม่พอ ยังกล่าวว่าถึงบิดานาง ด่าไปถึงคนทั้งเมืองของนาง
บุรุษปากสุนัขจากมหานรกเช่นนี้หรือที่ข้าต้องทนใช้ชีวิตอยู่ด้วย!?
“วาจาแค่พอฟังแล้วแทงใจได้ แต่กระบี่ไร้ตาฆ่าคนได้ เช่นนั้นโทษที่ข้ามอบให้ย่อมน้อยกว่าบุรุษมือเปื้อนเลือดในสงคราม”
“แต่บุรุษมือเปื้อนเลือดจากสงครามมีสัจจะ”
“สัจจะไม่มีในหมู่โจร ผู้ช่วงชิงอิสรภาพและความสงบสุขของเมืองอื่นย่อมนับเป็นมหาโจร”
ทั้งคู่ไม่มีใครยอมใคร วาจาที่ฟังชวนกายโหมร้อนไฟโทสะลุกไหม้นั้นยังคงมีมาเกือบตลอดทั้งคืน
หากถามว่าฝั่งไหนชนะ... ย่อมไม่มี เพราะความปากจัดนั้นสูสี และยิ่งทวีความรุนแรงอย่างไร้หน่วยจะวัดได้
กว่าเสียงจะเงียบ ก็คงเป็นตอนที่หมดแรงเค้นสมองกันจริงๆ
บทส่งท้ายไม่กี่เดือนหลังจากนั้น แคว้นโจวหนานก็มีข่าวดี..ฮูหยินของแม่ทัพสวี่ตั้งครรภ์แรกแล้วหลังจากเริ่มรู้ตัวว่าระดูไม่มา และอยู่ๆก็เกิดอาการเหม็นอาหารหลายอย่าง ลู่เจียวจูก็สังหรณ์ใจว่าในท้องน่าจะมีเจ้าตัวเล็กแล้ว นางจึงให้หมอมาตรวจอาการดู“ยินดีกับฮูหยินสวี่ด้วย” หมอชราประสานมือให้นางด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเป็นอย่างที่คาดไว้จริงๆเย็นย่ำเมื่อสามีกลับมาบ้านและรู้ข่าวนี้ ความยินดีก็ฉายเกลื่อนใบหน้าเขาเช่นกัน ก่อนสวี่ห่าวซวนเข้ามาสวมกอดคลอเคลีย“จะเป็นเด็กชายหรือเด็กหญิงกันนะ”“ท่านคงต้องรออีกนานกว่าจะได้เห็นหน้าลูก”เขารอลุ้นอยากเห็นหน้าลูกแทบไม่ไหว ทั้งที่อีกตั้งหลายเดือนกว่านางจะคลอด“ไม่เป็นไร ข้ารอได้ ขอแค่คลอดอย่างปลอดภัยก็พอ”เสียงเขาฟังช่างชวนอบอุ่นหัวใจ ลู่เจียวจูก็อดยิ้มกว้างไม่ได้ค่ำคืนนั้นสามีนัวเนียอยู่แต่กับร่างนาง มีจูบหวานล้ำมอบให้ทั้งบนริมฝีปากและหน้าท้องที่ยังไม่นูนออกมาเลย“จากนี้ข้าจะดูแลเจ้าให้ดีกว่าเดิม”ราวกับเป็นคำมั่
ตอนที่ 29เข้าหออีกครั้งถึงแม้จะบอกว่าการหย่าร้างไม่เคยเกิดขึ้น แต่สุดท้ายการเลี้ยงฉลองใหญ่โตประหนึ่งงานสมรสครั้งใหม่กลับเกิดขึ้นเสียอย่างนั้น“ไหนท่านว่าไม่เคยหย่ากับข้า แต่ทำไมจัดงานเสียอย่างกับแต่งกับข้าอีกครั้งเช่นนี้”“ใครว่าเป็นงานแต่งเล่า นี่มันงานฉลองที่แคว้นโจวหนานมีชัยเหนือยแคว้นเดิมของเจ้าเท่านั้น”ลู่เจียวจูฟังคำกล่าวอ้างของสามีแล้วต้องแอบเบ้ปากนิดๆ หากบอกว่าเป็นงานฉลองจริงเขาจะบังคับให้นางสวมชุดแดงมงคล สวมมงกุฎทับทิมทองเก้าชั้น ร่วมเดินเคียงข้างเขาที่สวมชุดแดงเต็มยศเช่นนี้หรือบางทีสวี่ห่าวซวนอาจอยากเสริมความมงคลให้ชีวิติด้วยการจัดงานที่เสมือนเป็นงานแต่งกับภรรยาคนนี้อีกครั้ง เพื่อให้ทุกคนร่วมอวยพรให้เขาได้ครองรักกับนางนานๆก็เป็นได้และพอถึงตอนค่ำ สุรามงคลก็ยังวางอยู่บนโต๊ะ ราวกับรอให้บ่าวสาวมารินลงจอกแล้วคล้องแขนดื่มชมจันทร์ด้วยกัน“ไหนท่านว่าไม่ใช่งานสมรสซ้ำ”“งานสมรสมีรอบเดียวน่ะดี แต่เรื่องร่วมหอมีหลายๆครั้งไม่นับว่าเสียหาย
ตอนที่ 28ข้าไม่เคยหย่ากับเจ้า‘หากเจ้าอยากตามหานาง เช่นนั้นก็ไปตามหาเอาในปรโลกเถิด’นั่นคือคำที่ลู่จุนเฟิงทิ้งเอาไว้ให้สวี่ห่าวซวนก่อนถูกลากคอไปแน่นอนว่าข้าไม่มีทางเชื่ออย่างสนิทใจเขาใช่จะอ่านความคิดลู่จุนเฟิงไม่ออก ในเมื่ออีกฝ่ายรู้ว่าตัวเองจะต้องตายอยู่แล้ว เช่นนั้นคงไม่มีทางยอมเห็นใบหน้าดีใจเปี่ยมล้นของศัตรูเด็ดขาดลู่เจียวจูยังไม่ตายแน่ๆ..แต่แค่ต้องหาตัวนางให้พบการปูพรมค้นหาสตรียอดดวงใจแม่ทัพสวี่เริ่มต้นขึ้น แต่ผิดคาดจากที่ตอนแรกคิดว่าอาจพบตัวนางได้ยากสักหน่อย ที่ไหนได้กลับมาเจอเอาง่ายๆในห้องลับของจวนเจ้าเมืองเสียอย่างนั้นถึงสภาพนาง..จะดูย่ำแย่มากเต็มทีก็ตาม“เจียวจู!!”เสียงนั้นเป็นสามีเรียกหานาง โซ่ตรวนถูกปลดออกให้เขาได้กอดร่างหญิงสาวผู้เป็นที่รักไว้นางยังพอมีสติอยู่บ้าง รู้ว่าคนที่มาช่วยเป็นใคร น้ำตาก็ไหลรินอย่างไม่อาจห้าม มือที่ไร้เรี่ยวแรงและซีดขาวค่อยๆเลื่อนมาโอบกอดตอบเขาเบาๆ“ไม่นึกว่าจะเป็
ตอนที่ 27ทวงคืนคืนวันต่อจากนั้น ความทรมานของลู่เจียวจูยังไม่สิ้นสุด ยังไม่อาจเห็นแสงสว่างใดลอดเข้ามาเช่นเดียวกับความหวัง...ส่วนลู่จุนเฟิง ความเครียดยิ่งเพิ่มพูนเมื่อเขาเริ่มกลับมาครุ่นคิดถึงหนทางต่อจากนี้เพราะลู่เจียวจูหย่ากับสวี่ห่าวซวนแล้ว สัญญาสงบศึกจึงเป็นอันสิ้นสุดลง ระหว่างแคว้นโจวหนานกับเมืองจงเหนียนกลับไปสู่ความขัดแย้งเหมือนเช่นร้อยปีที่ผ่านมาหากยังอยู่เฉยๆ..ไม่แน่ว่าภัยอาจจะมาเยือนเขาในอีกไม่ช้า เช่นนั้นลู่จุนเฟิงจึงออกคำสั่งต่อแม่ทัพของเขา ให้เริ่มจัดเตรียมกระบวนรบเพื่อบุกแคว้นโจวหนานอีกคราเพราะสวี่ห่าวซวนพึ่งหย่ากับลู่เจียวจูไป ซ้ำทางแคว้นโจวหนานพึ่งสิ้นศึกกับแดนใต้ กำลังรบน่าจะยังไม่ฟื้นคืนเต็มที่ เรียกว่าจะบุกมาหาเรานั่นเป็นไปไม่ได้ จะตั้งรับก็อาจจะยากเกินไปด้วยซ้ำนี่เป็นเวลาทองที่จะใช้ยึดอำนาจ ให้แคว้นโจวหนานตกมาอยู่ใต้อาณัติของเราเสีย!การจัดตั้งกองทัพเดินทางสู่ชายแดนสองเมืองเต็มไปด้วยความฮึกเหิมเปี่ยมล้นแต่ผิดคาด...ลู่จ
ตอนที่ 26หย่าขาด“ในเมื่อเจ้าไม่เห็นว่าข้าเป็นสามีที่คู่ควรกับเจ้าอีกต่อไป เช่นนั้นก็หย่าให้มันจบเรื่องไปเสีย”ยามกล่าวน้ำเสียงสวี่ห่าวซวนทั้งเข้มข่มขวัญ แววตาของเขาก็ช่างดุดันน่ากลัวอย่างยิ่งราวกับเขาโกรธจริงๆ และไม่คิดอยากจะมองหน้านางให้ยิ่งโกรธเพิ่มไปกว่านี้อีกจริงๆ...ลู่เจียวจูไม่ได้อยากได้รับปฏิกิริยาเช่นนี้ แต่นางต้องกลั้นใจว่าต่อ“พรุ่งนี้ ข้าจะไปยื่นหนังสือหย่าของเรากับท่านผู้ครองโจวหนานเอง ท่านโปรดวางใจ”“เช่นนั้นก็ดี ข้าจะได้ไม่ต้องเหนื่อยสะสางธุระน่ารำคาญให้ยิ่งลำบากกาย”ฟังวาจาเขาบาดหูได้อย่างเจ็บแสบนัก ลู่เจียวจูเกือบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่แล้วแต่นางยังต้องทนต่อไป กล่าวอำลาอย่างเร็วๆก่อนจากออกมา“จากนี้ข้า..ไม่ใช่ฮูหยินสวี่อีกต่อไป ต้องขอลา”“เชิญ ข้าไม่ส่งนะ”เขาทำทีไร้เยื่อใยได้อย่างแนบเนียนมากจริงๆสมดังตั้งใจ ลู่เจียวจูดูไม่ออกเลยว่าอะไรจริงอะไรปลอมกันแน่
ตอนที่ 25คำตอบรับคืนค่ำ หลังจากวันนั้นที่สวี่ห่าวซวนออกจากบ้านไป ผ่านมาสองคืนก็แล้ว สามคืนก็แล้ว ยังไม่มีวี่แววว่าเขาจะกลับมาเลยจุดประสงค์ของท่านคืออะไร? ตั้งใจหนีหน้าข้า หรือแค่อยากให้ความคิดของข้าตกตะกอนมากขึ้นกันแน่?“เฮ้อ!”ลู่เจียวจูผ่อนลมหายใจไม่ต่ำกว่าคืนละร้อยหนนางยังนั่งคอยนอนคอยอยู่บนเตียงอย่างกับจะตายลงเช่นเดิม กระทั่งบ่าวรับใช้หน้าประตูเข้ามารายงาน “ฮูหยินเจ้าคะ มีจดหมายมาถึงท่านเจ้าค่ะ”“จากท่านแม่ทัพหรือ!?”เพียงได้ยินว่ามีจดหมาย แววตานางพลันเปล่งประกายขึ้นมา ประหนึ่งวิญญาณกลับเข้าร่างแล้วกระนั้นแต่ฉับพลันมันก็ต้องวูบดับไปเมื่อได้รับคำเฉลย “ไม่ใช่เจ้าค่ะ เป็นจากท่านเจ้าเมืองจงเหนียนเจ้าค่ะ”จากลู่จุนเฟิงอย่างนั้นหรือรับจดหมายมาแล้ว ลู่เจียวจูยังไม่กล้าทำใจเปิด ด้วยหัวใจกระหน่ำเต้นลุ้นระทึกเขาจะเขียนอะไรมากันนะ...เมื่อในห้องนี้มีเพียงนาง ก็ยิ่งราวกับว่าเสียงหัวใ