เวลา 18.00 น.
ฉันนั่งจ้องหน้าจอคอมตัวเองพร้อมกับเอกสารกองโตที่ยังเคลียร์ไม่เสร็จ เหตุการณ์เมื่อเช้าทำฉันเข้างานสายจนได้ โดนพี่ขิมบ่นชุดใหญ่ไฟกระพริบ แถมยังมอบเอกสารกองโตเป็นของขวัญที่เข้างานสายอีกด้วย วันนีทฉันไม่มีกะจิตกะใจทำอะไรเลยเอาแต่เหม่อลอยทั้งวัน งานกองโตที่ควรจะเสร็จก่อนสี่โมง เลยโดนลากยาวมาจนถึงตอนนี้ไงล่ะ หนึ่งชม.ผ่านไป “หาวววว!” ฉันยืดตัวบิดขี้เกียจพร้อมกับหาวออกมาด้วยความง่วง หลังจากที่นั่งหลังขดหลังแข็งจัดการกับการกับกองเอกสารอยู่ตั้งนาน ในที่สุดก็เคลียร์งานเสร็จสักที โครกกก~ ทันทีที่เคลียร์งานเสร็จท้องเจ้ากรรมของตัวเองก็ร้องดังขึ้นมาอย่างรู้งาน จะว่าไปวันนี้ทั้งวันฉันยังไม่ได้กินอะไรเลยแฮะ กินไม่ลงน่ะ แต่พอเจอเอกสารกองโตขนาดนี้เข้าไป ชักจะหิวจนตาลายขึ้นมาแล้วแฮะ ก่อนกลับแวะไปหาไรกินที่ตลาดใกล้บ้านก่อนดีกว่า ฟุ่บ!! นึกได้ดังนั้นฉันก็ไม่รอช้ารีบปิดคอม เก็บของ แล้วหยิบกระเป๋าเดินออกมาจากออฟฟิศอย่างรวดเร็ว พอดเดินออกมาจากออฟฟิศแล้ว ฉันก็ตรงมาที่ลิฟต์ทันที …เห็นลิฟต์แล้วหน้าของคุณคิมหันต์ก็ลอยเข้ามาในหัวทันทีเลย ขนาดตัวไม่อยู่แต่เขาก็ยังตามมาทำให้ฉันหงุดหงิดใจได้อยู่ตลอดเลย ชิ! ไอ้คนเห็นแก่ตัวเอ้ย!! “คุณเกวลินครับ!” ฉันสะดุ้งโหยงขึ้นมาด้วยความตกใจเมื่อมีเสียงเรียกดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของฉัน “คุณธนิน!!” แต่แล้วก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาเมื่อเจ้าของเสียงเรียกเมื่อสักครู่คือคุณธนิน เลขาของคุณคิมหันต์ “เลิกงานแล้วใช่มั้ยครับ?” “ค่ะ” “คุณคิมหันต์ให้ผมมารับคุณกลับบ้านครับ” “มารับฉันกลับบ้านเหรอคะ?” เขาคิดจะทำอะไรของเขาอีกเนี่ย? “ครับ” “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันกลับเองได้” “รู้ใช่มั้ยครับว่าผมขัดคำสั่งของคุณคิมหันต์ไม่ได้” หมายความว่าไม่ว่ายังไงเขาก็จะพาฉันไปส่งให้ได้ ฉันไม่มีสทธิ์ิปฏิเสธสินะ “ไปกันเถอะครับ!” คุณธนินไม่รอฟังคำตอบจากฉันด้วยซ้ำแตกลับเกินนำฉันไปซะไกลแล้ว เฮ้อออ ให้ตายเถอะ เหมือนกันทั้งเจ้านาย ทั้งเลขาเลย บนรถ บรรยากาศบนรถค่อนข้างที่จะเต็มไปด้วยความอึดอัด วันนี้มันวันอะไรของฉันเนี่ย เจอแต่เรื่องน่าอึดอัดทั้งวันเลย โครกกก~ ท้องเจ้ากรรมก็ดันร้องขึ้นมาอีกแล้ว หิวชะมัด! ทนไว้ก่อนเกว ค่อยกลับไปหาอะไรกินล่ะกันนะ “ช่วงนี้คุณคิมหันต์ดูอารมณ์ไม่ดีเลยนะครับ คุณสองคนทะเลาะกันเหรอ?” ระหว่างที่นั่งรถไป จู่ๆคุณธนินที่ขับรถอยู่ข้างๆก็ถามคำถามชวนเครียดขึ้นมาเพิ่มความน่าอึดอัดของบรรยากาศเข้าไปใหญ่ “ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะคะ?” “ปกติคุณคิมหันต์ไม่ใช่คนที่จะอารมณ์เสียได้ง่ายๆน่ะครับ จนกระทั่งคุณเข้ามา” เอ่อ…เขากำลังจะบอกว่าฉันทำให้เจ้านายของเขาอารมณ์เสียงั้นเหรอ? “ไม่รู้สิค่ะ ปกติเขาก็อารมณ์เสียใส่ฉันตลอดเวลาอยู่แล้ว” “ผมหมายถึงว่า…คุณทำให้คุณคิมหันต์ดูอ่อนไหวลงมากกว่าเมื่อก่อนเยอะเลยน่ะครับ” “งั้นเหรอคะ ฉันไม่เห็นรู้เลยค่ะ” อ่อนไหวงั้นเหรอ? ไม่จริงเลยสักนิด เวลาเขาอยู่กับฉันแล้วเขาน่าจะเป็นแผ่นดินไหวขนาด10ริคเตอร์หรือมากกว่านั้นต่างหากล่ะ “คุณเกวชอบคุณคิมหันต์ใช่มั้ยครับ?” “0_0! คะ? เอ่อ…ปะ เปล่า…” ฉันหันขวับไปมองคุณธนินที่ถามคำถามน่าตกใจกลับมา “คุณคิมหันต์ก็บอกว่างั้นเหรอครับ?” “คะ?” คุณธนินเอาแต่ถามคำถามอะไรที่น่าตกใจน่าสงสัยและงงไม่หยุดเลย “คุณสองคน…ปากแข็งพอๆกันเลยนะครับ” และคำพูดนี้ของคุณธนินก็เป็นเหมือนก้อนหินก้อนใหญ่ที่ร่วงลงมาทับใส่หัวฉันอย่างแรง ดูเหมือนว่าคุณธนินจะรู้เรื่องระหว่างฉันกับคุณคิมหันต์มากกว่าที่คนอื่นรู้เยอะเลยแฮะ “…” คุณธนินทำฉัน…พูดไม่ออกเลย “คุณคิมหันต์เป็นประเภทคนที่แสดงความรู้สึกไม่ค่อยเก่งน่ะครับ” “เรื่องนั้นฉันรู้ค่ะ” “ถึงปากจะบอกว่าเกลียด แต่การกระทำของเขามักจะแสดงออกได้ดีกว่าคำพูดนะครับ” “กับคนอื่นอาจจะใช่ค่ะ แต่กับฉัน…เขาเอาแต่พูดว่าเกลียด และปฏิบัติกับฉันอย่างคนที่เขาเกลียดเหมือนกัน” ยิ่งได้รับรู้ความรู้สึกที่แท้จริงของเขาก็ยิ่งทำให้ฉันปวดใจ ทั้งๆที่เขาชอบฉัน แต่เขากลับเลือกที่จะปิดบังความรู้สึกตัวเอง เพราะฉันไม่คู่ควรที่เป็นคนที่เขาชอบน่ะสิ “ไม่จริงหรอกครับ! ถ้าคุณคิมหันต์เกลียดคุณ เขาคงไม่สั่งให้ผมมารับคุณกลับหรอกครับ” “เขาคงกลัวว่าฉันจะหนีน่ะสิค่ะ” “เขาเป็นห่วงคุณต่างหากครับ กลัวว่าคุณจะเป็นอะไรไปจากคนที่กำลังตามคุณอยู่ต่างหากล่ะ” “เป็นห่วง? เหอะ! ฉันว่า…เอ๊ะ! เมื่อกี้คุณธนินว่าอะไรนะคะ?” ฉันถึงกับชะงักขึ้นมาด้วยความสงสัยอีกครั้ง เพราะคำพูดที่คุณธนินพูดออกมาเมื่อกี้ ไม่ใช่คำพูดที่ว่าอีตานั่นเป็นห่วงฉัน แต่เป็น…ประโยคหลังต่างหาก เอี๊ยดดด!! คุณธนินไม่ได้ตอบอะไร แต่กลับหักเลี้ยวรถที่ทางแยกก่อนหน้าอย่างรวดเร็ว ทำเอาหัวฉันเกือบจะทิ่มลงกับกระจกรถซะแล้ว “มีรถคันหนึ่งตามหลังเรามาครับ” “อะไรนะคะ?” ขวับ!! ฉันหันกลับไปมองตามข้างหลังรถ เป็นอย่างที่คุณธนินว่าจริงๆ มีรถคันหนึ่งตามหลังรถของเรามาจริงๆด้วย “เขาเป็นใครคะ? คุณรู้รึเปล่า?” “น่าจะเป็นคนที่คุณทิวเขาเพื่อนของคุณส่งมาน่ะครับ” “ทิวเขาน่ะเหรอคะ?” จะว่าไปตั้งแต่เกิดเรื่องวันนั้นทิวเขาก็ไม่ได้ติดต่อฉันกลับมาเลย เพราะแบบนี้เองสินะ เขาส่งคนมาตามดูฉันเพื่ออะไรกันแน่? “คุณคิมหันต์สังเกตเห็นว่าคนพวกนี้ตามดูคุณมาหลายวันแล้ว เขาเป็นห่วงกลัวว่าคนพวกนี้จะทำอะไรคุณ เลยให้ผมมารับคุณกลับบ้านน่ะครับ” คุณคิมหันต์เขา…เป็นห่วงฉันจริงๆงั้นเหรอ? แต่ถ้าเขารู้ว่ามีคนตามฉันอยู่ ทำไมเขาถึงไม่บอกเรื่องนี้กับฉันตั้งแต่แรกล่ะ? “ทำไมเขาถึงไม่บอกฉันล่ะคะว่าฉันโดนตาม?” “ผมก็ไม่รู้ครับ คงไม่อยากให้คุณกังวลล่ะมั้ง?” คุณธนินตอบในขณะที่ยังคงใจจดใจจ่อกันการเร่งเครื่องยนต์รถเร็วขึ้น เพื่อหนีให้พ้นพวกคนที่ตามหลังเรามา ทำยังไงดี? พวกมันยังตามหลังเรามาไม่หยุดเลย แถมยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆด้วย ถ้าเป็นแบบนี้อาจจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นก็ได้ ทิวเขา…นายทำแบบนี้ทำไมเนี่ย? ฟึ่บ!! ฉันตัดสินใจยกมือถือขึ้นมาจากกระเป๋า เพื่อโทรหาทิวเขา ฉันต้องการต้องหยุดคนพวกนี้ให้ได้ ไม่ว่าจะต้องทำยังไงก็ตาม ตืดๆๆ!! ฉันไม่รอช้ารีบกดเบอร์ โทรออกหาทิวเขาอย่างรวดเร็ว [เกว เกวเป็นยังไงบ้าง? ดีใจที่เกวโทรมานะ ทิวเป็นห่วงเกวนะ] ทิวเขากดรับสายแทบจะทันทีที่ฉันโทรหา พร้อมกับเสียงทักทายที่ดังขึ้นมาอย่างอารมณ์ดี “เป็นห่วงงั้นเหรอ? เป็นห่วงก็เลยส่งคนมาตามดูเกวแบบนี้น่ะเหรอทิว?!!” ฉันตอบกลับไปด้วยความโมโห [เกวรู้ได้ยังไง?] น้ำเสียงที่เปลี่ยนไปของทิวเขาทำฉันมั่นใจมากขึ้น เหอะ! เรื่องจริงสินะ คนพวกนี้เป็นคนที่ทิวเขาส่งมาจริงๆด้วยสินะ “คนที่ทิวส่งมากำลังขับรถตามเกวอยู่ บอกให้พวกเขาหยุดเดี๋ยวนี้เลยนะทิว” [ทิวส่งคนพวกนั้นไปตามดูเกวเพราะทิวเป็นห่วง] “เป็นห่วงงั้นเหรอ? แบบนี้เขาเรียกว่าคุกคามทิว! เกวไม่ได้รู้สึกดีกับความเป็นห่วงแบบนี้ของทิวเลยสักนิด!” [แล้วแบบไหนเกวถึงจะรู้สึกดีอ่ะ?] “อะไรนะ?” [แบบที่ไอ้คิมหันต์ทำเหรอเกว?] “เฮ้อออ! บอกให้คนของทิวหยุดตามเราเดี๋ยวนี้เลยนะ ก่อนที่เกวจะโกรธทิวไปมากกว่านี้” [ทิวทำไม่ได้หรอกเกว] “ทิวเขา!! เป็นบ้าอะไรของนายฮ่ะ!?” [ทิวปล่อยให้เกวไปอยู่กับครอบครัวของคนที่ฆ่าพ่อของเกวไม่ได้หรอก] จู่ๆทิวเขาก็โพล่งถึงเรื่องพ่อของฉันขึ้นมาอย่างน่าตกใจ “ทิวพูดอะไรของทิว?” ปี๊นนนน!! ระหว่างที่กำลังคุยกับทิวเขาอยู่นั้น จู่ๆก็มีเสียงบีบแตรรถดังมาจากข้างหลัง ขวับ!! ฉันหันกลับไปมองทางข้างหลังด้วยความตกใจ ก่อนจะเห็นว่ามีรถอีกคันพุ่งตัวมาที่ขนาบข้างรถที่ตามเรามาติดๆ “คุณคิมหันต์!” และใช่ฉันจำรถคนนั้นได้ดี และแสงจากไฟข้างทางก็สว่างมากพอจะส่องให้เห็นเจ้าของรถคันนั้น คนที่กำลังขมวดคิ้วขับรถด้วยสีหน้าที่โกรธจัดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน…อย่างคุณคิมหันต์ “คุณเกวจับไว้ดีๆนะครับ ผมจะเร่งความเร็วสลัดพวกมันให้หลุด” ฉันละสายตาจะรถของคุณคิมหันต์มามองคุณธนินที่ยังคงตั้งหน้าตั้งตาเพิ่มความเร็วรถไม่หยุดเหมือนกัน แต่ฉันก็ยังไม่ลืมสิ่งที่ทิวเขาพูดกับฉันเมื่อกี้หรอกนะ [ฟังทิวให้ดีนะเกว] “…” ฉันรู้สึกใจคอไม่ดีกับสิ่งที่ทิวเขากำลังจะพูดยังไงไม่รู้ [ไอ้คิมหันต์! เป็นลูกของฆาตกรตัวจริงที่ฆ่าพ่อของเกวต่างหากล่ะ!] ความจริงที่ออกมาจากปากของทิวเขา ทำให้ฉันรู้สึกราวกับกับว่าโลกทั้งโลกมันมันทลายลงในชั่วพริบตา โครมมม!! แต่ทันใดนั้นเสียงชนกันของอะไรบางอย่างก็ดังสนั่นขึ้นมาจากทางด้านหลังของรถ ขวับ!! ทันทีที่ฉันหันกลับไปมองสิ่งที่เกิดขึ้นข้างหลัง ใจทั้งดวงมันกลับร่วงหล่นลงไปที่พื้นในทันที เสียงที่ดังขึ้นเมื่อกี้คือเสียงชนกันของรถทั้งสองคันที่ตามหลังเรามา ดูเหมือนว่าคุณคิมหันต์จะจงใจหักเลี้ยวรถของตัวเองชนรถของพวกที่ตามเรามาอย่างจัง จนรถคันนั้นถึงกับเสียหลักพลิกคว่ำออกไปข้างทาง แต่สิ่งที่ทำฉันใจหายคือรถอีกคันที่วิ่งด้วยความเร็วสูงเข้าไปพุ่งชนเสาไฟที่อยู่ข้างทางอย่างจังต่างหากล่ะ “คะ คุณ…คุณคิมหันต์!!” และรถคันนั้นก็คือรถของคุณคิมหันต์ เอี๊ยดดด!! คุณธนินเบรกรถลงในทันที “สวัสดีครับ มีอุบัติเหตุรถชนกันน่ะครับ ช่วยส่งรถพยาบาลมาที่…” คุณธนินยกมือถือขึ้นมาโทรเรียกรถพยาบาลอย่างไว ปัง!! ส่วนฉันก็ไม่รอช้าที่จะเปิดประตูวิ่งลงมาจากรถ และตรงไปหาคุณคิมหันต์ที่ติดอยู่ในรถด้วยความร้อนรนใจ “คุณคิมหันต์! ฮึกๆ” ฉันเรียกหาคนที่นอนจมกองเลือดอยู่ในรถพร้อมทั้งน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว ตุบๆๆ!! ฉันพยายามจะเปิดประตูเพื่อหวังจะช่วยคุณคิมหันต์ออกมา แต่สภาพรถมันแย่กว่าที่เห็นเยอะมาก ประตูรถมันเปิดยังไงก็เปิดไม่ออกสักที ทำยังไงดี? เขาเลือดออกเยอะมากเลยด้วย ฉันจะช่วยเขายังไงดี? “คุณคิมหันต์! ฮือออ คุณ…คุณทำใจดีๆไว้นะ ฮึกๆ อย่าเป็นอะไรเลยนะ ฉันขอร้องล่ะ ฮือออ” ฉันร้องไห้ฟูมฟายออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อเห็นสภาพเขาที่นอนจมกองเลือดอยู่ในรถอย่างแน่นิ่ง มีเพียงดวงตาของเขาเท่านั้น ที่จ้องมองมาที่ฉันอย่างอ่อนล้า “ฉะ…ฉัน…ขอโทษเกว แค่กๆๆ” แม้คำที่เขาพรึมพรำอยู่แทบจะไม่มีเสียงออกมาด้วยซ้ำ แต่ฉันอ่านปากเขาออกว่าเขากำลังพูดคำขอโทษกับฉันอยู่ แต่หลังจากนั้นเขาก็กระอักเลือดออกมาเต็มไปหมด และมันทำให้ฉันเริ่มใจเสียมากกว่าเดิม เมื่อร่างกายของคนตรงหน้ากลับแน่นิ่งลงไปอีกครั้ง แถมดวงตาที่เคยลืมมามองฉันก็ก่อนหน้านี้ก็ปิดสนิทลงไปซะแล้ว หมับ!! ฉันยื่นมือที่กำลังสั่นไหวของตัวเองเข้าไปสัมผัสใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยเลือดของเขา ตัวเขาเย็นจัง ทำไมตัวคุณริมหันต์ถึงได้เย็นขนาดนี้ล่ะ? “ฮึกๆ คุณคิมหันต์!! คุณตื่นมาคุยกับฉันก่อนสิ ฮือออ ขอร้องล่ะ ฮึกๆ คุณคิมหันต์ ฮือๆๆ” ฉันร้องไห้ฟูมฟายพลางร้องเรียกชื่อของคนที่ไร้สติตรงหน้าอย่างบ้าคลั่ง ความรู้สึกเจ็บปวดมันบีบรัดไปทั้งหัวใจของฉัน เมื่อคิดว่าคนตรงหน้าจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกแล้ว ฉันจะทำยังไงต่อไปล่ะถ้าเขาไม่ฟื้นขึ้นมา? ถ้าคุณคิมหันต์เป็นอะไรไปฉันจะอยู่ยังไง? ขอร้องล่ะคุณคิมหันต์ ฉันไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าคุณจะเคยทำเรื่องอะไรก็ตามฉันจะไม่สนใจมันอีกแล้ว ขอแค่คุณไม่เป็นอะไร ขอแค่คุณตื่นมาเจอฉันอีกครั้ง ฉันพร้อมจะยกโทษให้คุณทุกอย่าง อย่าเป็นอะไรไปเลยนะคุณคิมหันต์…“อ้ะ!” ฉันร้องลั่นขึ้นมาเมื่อคนตัวสูงกระแทกเอวสวนจนรู้สึกจุกไปหมด“แต่ฉันชอบสุดๆไปเลยล่ะ~” เสียงกระซิบบองชอบที่แหบพร่า บวกกับแววตาหื่นกระหายของคนตรงหน้าทำให้ความเขินอายที่มีในตอนแรก เลแปรเปลี่ยนเป็นความร้อนรุ่มที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมไปอีก“จุ๊บ!! อื้ม~” ฉันก้มลงไปประทับริมฝีปากของตัวเองลงบนริมฝีปากหนา จู่ๆฉันก็เกิดความคิดประหลาดๆขึ้นมา คราวนี้ฉันอยากจะลองเป็นคนเดินเกมส์ดูบ้าง ฉันอยากจะรู้…ว่าฉันสามารถทำให้คนตรงหน้าเสียสติได้มาก เท่ากับที่เขา…ทำให้ฉันเสียสติจวนจะบ้าตายอย่างในตอนนี้รึเปล่านะ?ฉันส่งเรียวลิ้นของตัวเองเข้าไปเกี่ยวตระหวัดดูดเม้มกับเรียวลิ้นของเขาอย่างร้อนแรง เหมือนกันที่เขาทำกับฉัน และช่วงชิมรสหวานจากปากของเขาอย่างหื่นกระหาย เหมือนกันที่เขาทำกับฉัน“อืมมม~” เสียงครวญครางที่ดังออกมาจากในลำคอของคนใต้ร่าง มันทำให้ฉัพอใจมากเลยล่ะ แต่แค่นี้ยังไม่พอหรอก ฉันอยากเห็นเขา…พอใจสัมผัสของฉันมากกว่านี้“อ่าส์ เกว~” ฉันเปลี่ยนตำแหน่จาริมฝีปากของคนตัวสูง มาซุกไซร้ซอกคอแกร่งของเขาแทน ฉันใช้เรียวลิ้นของตัวเองไล้เลียและดูดเม้มไปตามผิวเนียนของเขาอย่างหื่นกระหาย ให้เหมือนกับที่เขาทำกับฉัน
วันต่อมาเมื่อวานหลังจากกลับมาจากห้องของคุณคิมหันต์แล้ว ฉันก็นั่งทำโอทียาวมาจนถึงเช้าเลยล่ะ ยังไม่ได้นอนมาตั้งแต่เมื่อคืนเลย ง่วงจนตาจะปิดอยู่แล้วเนี่ยกริ๊งงง!! ระหว่างที่กำลังนั่งเฝ้าล็อบบี้รอเวลาออกกะอยู่นั้น เสียงมือถือที่วางอยู่หน้าล็อบบี้ก็ดังขึ้นมา รินณ์ที่นั่งทำงานอยู่ใกล้ๆเลยทำหน้าที่รับสายแทน“สวัสดีค่ะ”“อาหารเช้าสองที่เหรอคะ?”“ได้ค่ะ เดี๋ยวทางเราจะเตรียมไว้ให้นะคะ”“ให้ใครไปเสริฟ์นะคะ?”“พนักงานที่ชื่อ…เกวลิน”“ได้ค่ะ อีกสามสิบนาทีเราจะเอาอาหารไปให้นะคะ”ทันทีที่วางสายฉันกับรินณ์หันมาสบตากันอย่างไม่ได้นัดหมาย“มีอะไรเหรอรินณ์?” “ก็แฟน…เอ่อ…คุณคิมหันต์อ่ะ เขาขอให้เกวเอาอาหารเช้าเสริฟ์ให้น่ะสิ” รินณ์มองซ้ายมองขวาก่อนจะเขยิบมากระซิบใกล้ๆฉันคุณคิมหันต์ให้ฉันเอาอาหารไปเสริฟ์ให้เนี่ยนะ? คิดจะแกล้งอะไรฉันอีกล่ะเนี่ย?ห้องพักกริ๊งงง!! ฉันกดออดที่หน้าห้องพักของคุณคิมหันต์ หลังจากที่เข็นรถเข็นอาหารมาส่งให้เขาถึงหน้าห้อง ตามคำสั่งที่สั่งไว้ก่อนหน้านี้แอ๊ดดด!! ผ่านไปเพียงไม่กี่วิ คนตัวสูงก็เปิดประตูห้องออกมา แต่ทันทีที่ฉันเห็นร่างของคนที่อยู่ในห้อง ฉันถึงกับเบิกตาโ
ห้องพักวีไอพีกริ๊งงง!! ฉันตัดสินใจกดออดหน้าประตูห้องพักวีไอพีห้องหนึ่ง หลังจากที่ยืนทำให้อยู่หน้าห้องมาได้สักพักหนึ่งแล้วแอ๊ดดด!! ผ่านไปไม่กี่วินาที ประตูห้องก็ถูกเปิดออกมาช้าๆ ก่อนจะปรากฏร่างของคนตัวสูงที่ยืนยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์อยู่หลังประตู“ฉันเอากระเป๋ามาให้…”หมับ!! ยังไม่ทันที่จะพูดจบ คนตัวสูงก็คว้าร่างฉันเข้าไปในห้องอย่างไม่ทันตั้งตัว พร้อมกับกระเป๋าใบใหญ่ที่ลากเข้ามาในห้องด้วยกันอีกทีปัง!! ฉันสะดุ้งตกใจเสียงปิดประตูที่ดังขึ้นมาซะลั่นห้อง “คุณคิมหันต์! คุณจะทำอะไรเนี่ย?”ตุบ!! คนตัวสูงเตะกระเป๋าใชเดินทางใบใหญ่ของตัวเอทีกันเองมาด้วยออกไป ก่อนจะดันตัวฉันให้ติดกับประตห้องไม่ให้ไปไหน“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเกวลิน”“นั่นน่ะสิค่ะ เกวก็ไม่คิดว่าจะได้เจอคุณที่นี่ในฐานะแขกวีไอพีด้วยเหมือนกันค่ะ” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงและสายตาที่ออกจะดุนิดหน่อย “คุณมาทำอะไรที่นี่คะ?”“ฉันคิดถึงเธอเกว~”ตึกตักๆๆ!! คนตัวสูงเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องเลี่ยงตอบคำถามของฉัน เป็นการกระซิบเบาที่ข้างหูฉันแทน ซึ่งวิธีนี้ก็ถือว่าเป็นวิธีทำให้ฉันใจสั่นขึ้นมาได้ดีเลยล่ะ“เราไม่ได้เจอกันตั้งเดือนนึงเลยนะเก
หนึ่งเดือนผ่านไปวันเวลาผ่านไปเร็วราวกับพลิกหน้ากระดาษ ตอนนี้ก็ผ่านมาเดือนกว่าแล้วที่ฉันมาฝึกงานที่นี่ ทุกๆวันที่อยู่ที่นี่ไม่เคยมีวันไหนที่ฉันจะไม่คิดถึงคนที่ตัวเองรักอย่างคุณคิมหันต์ แต่ถึงอย่างนั้น…ฉันก็ยังสนุกกับการฝึกงานที่นี่อยู่นั่นแหละและดูเหมือนว่าใกล้ถึงเวลาที่ฉันจะกลับไปหาคนที่ตัวเองรักสักที“เอ้า! ทุกคน ใกล้ถึงเวลาที่แขกวีไอพีขอบโรงแรมจะมาแล้ว รีบออกมาต้อนรับกันเร็ว” เสียงของผู้จัดการตะโกนร้องเรียกพนักงานทุกคนที่อยู่ในล็อบบี้โรงแรมเมื่อสองวันก่อนผู้จัดการแจ้งมาว่าในวันนี้จะมีแขกวีไอพีมาพักที่โรงแรม ซึ่งแขกคนนี้เป็นแขกคนสำคัญมากๆเลยล่ะ ลือกันว่าเขาเป็นเพื่อนของท่านประธานคนใหม่ของที่นี่ ดังนั้นเราจึงต้องให้การต้อนรับแขกวีไอพีคนนี้ให้ดีที่สุดและห้ามทำอะไรผิดพลาดโดยเด็ดขาด“ไปกันเถอะเกว” เสียงของรินณ์ที่ยืนอยู่หน้าล็อบบี้เรียกให้ออกไปยืนรอด้วยกัน“อื้อ!” ฉันกันรินณ์ออกไปรอต้อนรับแขกวีไอพีคนดังกล่าวที่หน้าประตูโรงแรม พร้อมกับผู้จัดการและพี่แอนเอี๊ยดดด!! ยืนรอกันได้อยู่พักหนึ่ง ไม่นานก็มีรถหรูคันหนึ่งเข้ามาจอดเทียบที่หน้าประตูโรงแรมพนักงานชายเดินไปเปิดประตูรถ ก่อนท
หลังจากได้ฟังคำตอบจากปากของเกวลินแล้ว สิ่งที่ค้างคาใจผมในตอนแรกก็คลายลง ผมตัดสินใจเดินออกมาจากร้านนั้น แล้วก็มาเดินเล่นที่ริมหาดกับไอ้กวินท์แทนระหว่างที่เดินเล่นอยู่ผมก็ทบทวนคำพูดของเกวลินอยู่ตลอดเวลาที่ผ่านมาสิ่งที่เกวลินต้องการมาตลอดก็คืออิสระ เพราะเธอโตมากับตระกูลของผม เลยทำให้เธอคิดว่าตัวเองติดหนี้บุญคุณตระกูลของผม ไอ้สิ่งที่ผูกมัดเกวลินมาตลอดคือ…ตระกูลอัศวนันทร์ และตัวผมนี่แหละผมไม่อยากสูญเสียเกวลินไป ผมอยากให้เกวลินอยู่กับผมไปตลอดเลยด้วยซ้ำ เพราะผมรักเธอ แต่มันคงไม่ง่ายสำหรับเกวลิน แม้เธอจะรักผม แต่เธอก็มีความต้องการเหมือนกัน และสิ่งที่เธอต้องการก็คือ…อิสระ เธอต้องการอิสระมาโดยตลอด เพราะงั้น…ผมตัดสินใจแล้วว่าผม…จะยอมให้อิสระกับเกวลิน อย่างที่เธอต้องการ“ดูเหมือนแกกับเด็กคนนั้นจะรักกันมากเลยนะ” ไอ้กวินท์พูดเหมือนเด็กฝึกงานที่มากับเกวลินไม่มีผิด“ไม่ใช่เรื่องของแก”“ครั้งแรกเลยนะที่ฉันเห็นแกร้อนรนแบบนี้อ่ะ”“อย่ามาทำเป็นรู้ดีหน่อยเหอะ”“นี่! ฉันกำลังเตือนสติแกอยู่นะเว้ย! ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเพราะอะไรน้องเขาถึงหนีมาอยู่ที่นี่ได้อ่ะ แต่จากที่ฟังเมื่อกี้…น้องเขาคงจะรัก
[คิมหันต์]ณ ร้านอาหารแห่งหนึ่งผมขับรถตามรถของเกวลินมาเรื่อยๆ จนมาถึงที่ร้านอาหารที่ตั้งอยู่ริมทะเลร้านหนึ่ง เกวลินกันเพื่อนของเธอคงจะมากินอาหารกันที่นี่ ผมไม่อยากให้เกวบินคลาดสายตาผมไป เลยตามเกวลินเข้ามาในร้านด้วยเหมือนกันแต่ผมไม่เข้าใจว่าไอ้กวินท์มันจะตามผมมาถึงที่นี่ด้วยทำไมเนี่ย?“นั่งตรงนี้มั้ยเกว?”“ได้สิ” เกวลินกับเพื่อนของเธอเลือกนั่งลงบนโต๊ะๆหนึ่งในร้านอาหาร ฟุ่บ!! ผมที่เดินตามอยู่ห่างๆ เลยเดินเข้าไปนั่งใกล้กับโต๊ะของเกวลิน ซึ่งระยะห่างระหว่างผมกันเกวลินก็ห่างกันเพียงแค่โต๊ะอาหารคั่นกลางไว้แค่โต๊ะเดียวเท่านั้นตุบ!! ส่วนไอ้กวินท์ที่ตามติดมาด้วยก็ดันเลือกที่จะมานั่งข้างๆผมอีกซะงั้น ที่มีตั้งเยอะแยะจะมานั่งติดผมทำไมเนี่ย?“แกจะตามฉันมาด้วยทำไมเนี่ย?”“ฉันไม่ได้ตามแกมาซะหน่อย ลืมไปแล้วรึไงว่ารถที่แกขับมาน่ะ รถฉันเว้ย!” มันพูดด้วยท่าทีเลิ่กลั่ก ความจริง ผมสังเกตเห็นตั้งแต่ที่โรงแรมล่ะ ไอ้กวินท์เอาแต่ชะเง้อมองตามใครสักคนอยู่ตลอดเวลา ไม่ต่างจากผมเลยสักนิด และผมก็เดาว่าคนที่มันกำลังตามอยู่คงจะเป็นเพื่อนที่อยู่กับเกวลินตอนนี้แน่ๆ“ใครว่ะ? แฟนเหรอ?” ผมเป็นฝ่ายเอ่ยปากถาม
[คิมหันต์]ณ บริษัท เอ.เอส.เอ็นก๊อกๆๆ!! เสียงเคาะประตูห้องทำงานหน้าห้องของผมดังขึ้น“เข้ามา” ธนินเดินเข้ามาในห้องหลังจากได้รับอนุญาตจากผมแล้ว“เรื่องที่ให้ไปสืบเป็นไงบ้าง?“ ทันทีที่เห็นหน้าของธนินผมก็เอ่ยถามถึงงานที่ผมมอบหมายไปให้เมื่อวานนี้ “ได้ที่อยู่ของคุณเกวลินมาแล้วครับ” ซึ่งก็เป็นเรื่องไหนไม่ได้เลน นอกจากเรื่องของเกวลิน ยัยตัวแสบที่แอบหนีผมไปไงล่ะ เมื่อวานทันทีที่รู้ว่าเกวลินหนีไป ผมก็รีบยกหูโทรหาให้ธนินไปสืบหาที่อยู่ของเกวลินทันที “เกวลินอยู่ไหน?”“คุณเกวลิน ย้ายไปฝึกงานอยู่ที่โรงแรมพาวิลเลียนที่ต่างจังหวัดครับ” ได้ยินชื่อโรงแรมที่ธนินเอ่ยแล้วผมถึงกับต้องขมวดคิ้วขึ้นมาทันที เพราะเหมือนว่าชื่อโรงแรมนี้จะฟังดูคุ้นหูเอามากเลยล่ะ“โรงแรมพาวิลเลียนเหรอ?”“ครับ โรงแรมในเครือตระกูลอัครวานิชครับ” และผมก็อดที่จะยกยิ้มมุมปากขึ้นมาไม่ได้ เมื่อสิ่งที่ผมสงสัยได้รับการยืนยันจากธนินโรงแรมพาวิลเลียน ในเครือตระกูลอัครวานิช คือโรงแรมที่ไอ้กวินท์ เพื่อนสนิทสมัยเรียนมหาลัยของผมบริหารอยู่นี่เอง ตืดๆๆ!! ทันทีที่รู้ว่าเกวลินอยู่ที่นั่น ผมก็ไม่รอช้ารีบยกหูกดโทรออกหาไอ้กวินท์มันอย่า
[เกวลิน]“ยินดีต้อนรับน้องๆฝึกงานทุกคนเลยนะคะ” เสียงของผู้จัดการโรงแรมเอ่ยขึ้น หลังจากที่พาพวกเราที่เป็นเด็กฝึกงานใหม่ ไปแนะนำสถานที่ต่างๆในโรงแรมเสร็จแล้ว“ต่อไปนี้ก็ตั้งใจทำงาน แล้วก็ขอให้โชคดีกับการฝึกงานนะคะ” พี่แอนพี่พนักงานอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น“ขอบคุณค่ะ” ฉันและเพื่อนอีกคนที่เป็นเด็กฝึกงานเหมือนกันเอ่ยขอบคุณผู้จัดการและพี่แอนพร้อมๆกัน“วันนี้ก็คงไม่มีอะไรแล้วล่ะ เราสองคนกลับไปพักผ่อนกันก่อนเถอะ แล้วเดี๋ยวค่อยมาเริ่มงานพรุ่งนี้อีกที”“ได้ค่ะ”“งั้นพี่ไปก่อนนะ” ร่ำลากันเสร็จผู้ตัดการกับพี่แอนก็เดินกลับไปทำงานของตัวเองกันต่อ เหลือไว้แค่ฉันกับเพื่อนร่วมฝึกงานกันอยู่สองคน“หวัดดี เราชื่อรินณ์นะ” เพื่อนอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ หันมาทักทายด้วยสีหน้าที่สดใส“หวัดดี เราชื่อเกว”“เกวมาจากกรุงเทพเหรอ?”“อื้อ แล้วรินณ์อ่ะ?”“เราเรียนที่นี่แหละ แล้วก็อยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็กแล้วด้วย” อ่อ เป็นคนที่นี่สินะ“อ่อ อื้ม!”“แล้วนี่…เกวจะกลับเลยรึเปล่า? เราไปกินข้าวกันมั้ย?”“โทษทีนะ พอดีเราเพิ่งย้ายมาที่นี่เมื่อวานเองอ่ะ คงต้องขอตัวกลับไปจัดของที่ห้องก่อน” “อ่อ งั้นไม่เป็นไร ไว้ไปกินข้าวกั
[คิมหันต์]เช้าวันต่อมา พรึ่บ!! ผมลืมตาขึ้นมาช้าๆ หลังจากที่หลับพักผ่อนจากกิจกรรมอันเหน็ดเหนื่อยเมื่อคืนไปทั้งคืนอย่างเต็มที่แล้ว แสงแดดที่เล็ดลอดผ่านผ้าม่านสีดำในห้องของตัวเองสาดส่องเข้ามา ทำผมถึงกับต้องหรี่ตาลงเพื่อปรับสายตาของตัวเองให้คงที่ขวับ!! เมื่อสายตากลับมาอยู่ในสภาพคงที่แล้ว ผมจึงพลิกตัวมาอีกฝั่งหนึ่งของเตียง ด้วยความหวังที่ว่าจะเจอกันคนตัวเล็กอย่างเกวลินนอนอยู่ข้างๆกาย"..." แต่แล้วสิ่งที่ผมเจอมีเพียงแค่รอยยับของผ้าปูที่ว่างเปล่าและไร้ซึ่งร่างของคนตัวเล็กเกวลินตื่นแล้วเหรอ?ฟุ่บ!! ผมคิดว่าคนตัวเล็กคนจะตื่นก่อนผมไปแล้ว ผมจึงลุกออกจากเตียง ก่อนจะเดินหยิบกางเกงนอนของตัวเองมาใส่ แล้วเดินออกไปจากห้อง ด้วยความหวังที่ว่าเกวลินคงจะอยู่ข้างนอกห้อง หรือที่ไหนสักที่ในบ้านนั่นแหละ"..." แต่ผมกลับต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจมากกว่าเดิม เมื่อลงมาแล้วไม่เจอกับเกวลินอยู่ที่ชั้นล่างของบ้าน ในครัวก็ไม่อยู่ ในห้องรับแขกก็ไม่เจอ "เกวลิน!" ผมลองตะโกนร้องเรียกชื่อของคนตัวเล็ก แต่ก็ไร้ซึ่งเสียงใดๆตอบรับกลับมาใจผมเริ่มสั่นไหวขึ้นมา จู่ๆความคิดที่ไม่ดีก็ดันโผล่เข้ามาในหัว ตอนนี้ผมกำลังคิดว่า