“นี่ค่าแท็กซี่ค่ะลุง!!”
ปัง!!! ฉันรีบยื่นค่าแท็กซี่ไปให้ลุงคนขับอย่างไว ก่อนจะรีบวิ่งตากฝนลงมาจากรถ แล้วตรงดิ่งมายังทิวเขาที่ยืนอยู่หน้าบ้าน “ทิวเขา! ทิวมาทำอะไรที่นี่!?” ฉันตะโกนถามออกไปสู้กับเสียงฝนที่ดังลั่นไม่แพ้กัน ขวับ!! ฉันเบิกตาโพลงขึ้นมาด้วยความตกใจทันทีที่ทิวเขาหันกลับมามองฉัน แม้ฝนจะตกหนักจนแทบจะมองอะไรไม่เห็น แต่ฉันเห็นกลับเห็นใบหน้าที่ซีดเผือดของทิวเขาอย่างชัดเจน และเนื้อตัวของทิวเขาเปียกโชกไปด้วยน้ำฝนทั้งตัว “ทิว! นี่ทิวยืนตากฝนอยู่ตรงนี้มานานแค่ไหนแล้วเนี่ย?!!” “เกว…เกวโกรธอะไรทิวรึเปล่า? ทำไมทิวติดต่อเกวไม่ได้เลย? จู่ๆเกวก็หายไปไม่บอกไม่กล่าว รู้มั้ยว่าทิวเป็นห่วงเกวแค่ไหนอ่ะ?!” ทิวเขาโพล่งคำพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นคลอน ไหนจะมือเย็นเฉียบที่จับแขนของฉันไว้ตอนนี้อีก มันบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าทิวเขาคงยืนตากฝนอยู่ตรงนี้มานานมากแล้วแน่ๆ “ไม่ใช่อย่างนั้นทิว มือถือเกวเสียน่ะ เกวก็เลยไม่ได้ติดต่อทิวกลับไป” ตั้งแต่วันที่คุณคิมหันต์เขวี้ยงโทรศัพท์ฉันทิ้งไปวันนั้น ฉันก็ยังไม่ได้ติดต่อทิวเขากลับไปเลย เพราะมีเรื่องเยอะแยะให้คิดฉันเลยลืมที่จะติดต่อกลับไปหาทิวเขาซะได้ “แล้ว…เกวมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?” น้ำเสียงของทิวเขาดูจะแปลกไปจากปกติมากเลยแฮะ น้ำเสียงเรียบนิ่งที่เอ่ยออกมาของเขา มันไม่ใช่น้ำเสียงปกติที่ทิวพูดกับฉันเลย “ทิว…ตอนนี้มันไม่ใช่เวลามาถามเรื่องนั้นนะ เกวว่าทิวเข้ามาหลบฝนข้างในก่อนเถอะนะ เดี๋ยวก็ไม่สบะ…” “ผู้หญิงที่อยู่ในข่าวกับไอ้คิมหันต์…คือเกวจริงๆเหรอ?” “…อื้ม” ฉันตอบความจริงออกไปด้วยเสียงที่แผ่วเบา เพราะฉันรู้ดีว่าทิวเขารู้คำตอบอยู่แล้ว ต่อให้ฉันโกหกไปมันก็ไม่ได้มีผลดีอะไรเลย “ทำไมอ่ะเกว? ทำไมเกวถึงมาอยู่กับมันได้ล่ะ? ไหนว่าอยากจะหลุดพ้นจากตระกูลเฮงซวยนี่ไม่ใช่รึไง?! แล้วทำไมเกวถึงไปนอนกับไอ้เวรนั่นได้ล่ะ!?” “0_0! ทิวเขา! พูดอะไรออกมารู้ตัวรึเปล่า?” ฉันตกใจกับคำพูดที่ออกมาจากปากของทิวเขามากเลยล่ะ ฉันไม่เคยเห็นท่าทีที่โกรธจัดแบบนี้ของทิวเขามาก่อน ไหนจะคำพูดไม่คิดที่ออกมาจากปากของเขานั่นอีก ตอนนี้ทิวเขาดูเหมือนไม่ใช่ทิวเขาเพื่อนคนเดิมที่ฉันเคยรู้จักเลยสักนิด “รู้สิเกว ทิวรู้ตัวเองดีมาตลอด เพราะทิวชอบเกว ทิวเลยพยายามรักษาความเป็นเพื่อนของเราเอาไว้ไง แล้วเกวเองก็รู้มาตลอดไม่ใช่เหรอว่าทิวชอบเกว ทั้งๆที่เกวเองก็รู้มาตลอด แต่ทำไมเกวถึงไม่เห็นแก่ทิวบ้าง!? ทำไมเกวไม่นึกถึงใจทิวบ้าง!?” ใช่! ฉันรู้ดีมาตลอดว่าทิวเขาชอบฉัน แต่นั่นมันก็ไม่ใช่เหตุผลที่เขาจะมาพูดจาแบบนี้ใส่ฉันได้นะ “ถ้าทิวมาที่นี่เพื่อจะพูดเรื่องพวกนี้ล่ะก็ เกวว่าทิวกลับไปเถอะ” สภาพของทิวเขาตอนนี้ดูไม่น่าสนทนาด้วยเลย ทั้งๆที่เขาไม่ได้เมาอยู่ด้วยซ้ำ แต่การกระทำของเขากลับดูไร้สติซะนิ่งกว่าคนเมาซะอีก ขวับ!! ฉันสะบัดแขนตัวเองออกจากมือของทิวเขาที่กอบกุมแขนฉันเอาไว้ ก่อนจะเดินหันหลังออกมาจากตรงนั้น หมับ!! แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะได้ก้าวเท้าออกไปเลยสักก้าวเดียว ทิวเขากลับเดินเข้ามากอดรั้งร่างของฉันจากข้างหลังเอาไว้แน่น ทำไมทิวเขาถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้นะ? ทำไมจู่ๆเขาถึงได้ทำอะไรที่ไร้เหตุผลแบบนี้ขึ้นมาซะได้!! “ทิว! ปล่อยเกวนะ!!” “เกว…ไปอยู่กับทิวเถอะนะ! ถ้าเกวไม่อยากอยู่กับมัน เกวมาอยู่กับทิวได้มั้ย? ทิวสัญญาว่าทิวจะดูแลเกวให้ดีทุกอย่าง ทั้งเรื่องเรียน เรื่องงาน ทิวจะช่วยเกวทุกอย่างเลย…” “ทิวเขา…อย่าทำแบบนี้ ยิ่งทิวทำแบบนี้ เกวก็จะยิ่งอึดอัดนะทิว ถ้าทิวยังอยากเป็นเพื่อนกับเกว…” “ไม่!!” ขวับ!! ทิวเขาตะคอกปฏิเสธคำพูดของฉันออกมาทันที อีกทั้งยังรั้งร่างของฉันให้หันกลับไปหาตัวเขา พร้อมกับบีบไหล่ฉันเอาไว้แน่นจนฉันปวดร้าวไปทั่วทั้งไหล่ “ทิวไม่อยากเป็นแค่เพื่อนเกว ทิวชอบเกว! ได้ยินมั้ยว่าทิวชอบเกว!!” “แต่เกวไม่ได้ชอบทิว!!” ฉันตะคอกออกไปอย่างหมดความอดทน ตอนนี้…ความอดทนของฉันมันหมดลงแล้วจริงๆ “ใช่…เกวรู้ว่าทิวชอบเกว แต่เกวไม่ได้ชอบทิว! ทิวเป็นเพื่อนคนเดียวของเกวนะ จะให้เกวคิดมากกว่าเพื่อนกับทิว เกวทำไม่ได้!!” “ทำไมล่ะเกว?” “เพราะทิวเป็นเพื่อนเกวไง เราเป็นเพื่อนกันมันก็ดีอยู่แล้วนะทิว” “เหอะ! งั้นเหรอ? ไม่ใช่เพราะเกว…ชอบไอ้คิมหันต์หรอกเหรอ?” “0_0!!” คำพูดนี้อีกแล้ว! คำพูดนี้มันทำให้ฉันตัวแข็งทื่อไปทั้งตัวอีกแล้ว ทำไม…ทำไมถึงเป็นคำๆนี้อีกแล้วล่ะ? “เหอะ! เกว…ชอบไอ้เวรนั่นจริงๆใช่มั้ย?” “มะ…ไม่ เกว…” “ทิวไม่ยอมหรอกเกว!” หมับ!! ทิวเขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง พร้อมกับดวงตาที่เยือกเย็นพอๆกับน้ำฝนที่เคลือบไปทั่วร่างของฉันตอนนี้ ก่อนที่เขาจะบีบไหล่ทั้งสองข้างของฉันเอาไว้แน่นกว่าเดิม สายตาที่น่ากลัวของทิวเขาตอนนี้ มันคล้ายกับสายตาของคุณคิมหันต์ไม่มีผิด สายตาแบบนี้…สายตาที่บ่งบอกว่าฉันกำลังจะเจอกับหายนะซะแล้ว “ทิวไม่ยอมให้ไอ้เวรนั่นมันแย่งเกวไปได้หรอก!” “ทิว! นี่นายจะทำอะ…อื้ม 0_0!!” การกระทำของทิวเขาทำฉันเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ เพราะจู่ๆทิวเขาก็ดึงฉันเข้าหาตัวก่อนที่เขาจะก้มหน้าลงมาจูบฉันอย่างไม่ทันตั้งตัว นี่มัน…มากเกินไปแล้วนะ! “อื้อ! อ่อย!(ปล่อย!)” ตุบๆๆ!! ฉันทั้งผลักทั้งทุบอกทิวเขาอย่างแรงเพื่อให้เขาหยุดการกระทำบ้าไร้สติของตัวเองเอาไว้ก่อนที่ทุกอย่างมันจะแย่ไปมากกว่านี้ ไม่สิ! มันหมดแล้วต่างหาก เมื่อคิดได้ว่าหลังจากนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนของฉันกับทิวเขาคงจะต้องจบลงแล้วแน่ๆ สุดท้ายแล้ว…ฉันก็คงต้องสูญเสียเพื่อนคนเดียวที่ฉันมีในชีวิตไปจริงๆ จู่ๆน้ำตาของฉันมันค่อยไหลรินออกมาช้าๆอย่างห้ามไม่อยู่ ปี๊นนนน!!! เสียงแตรรถที่ดังขึ้นมาเป็นเหมือนกับระฆังที่ช่วยชีวิตฉันเอาไว้ พลั่ก!! ฉันใช้จังหวะที่ทิวเขาเผลอเพราะตกใจเสียงแตรรถผลักตัวเขาออกไปจากร่างอย่างไว และในระหว่างนั้นเองแสงสว่างจากไฟหน้ารถของใครบางคนสาดส่องเข้ามายังร่างของฉันกับทิวเขาที่กำลังยืนตากฝนขวางประตูรั้วบ้านเอาไว้ ขวับ!! ทั้งฉันและทิวเขาต่างก็หันไปมองยังต้นตอของเสียงแตรรถ แสงฟังที่สาดส่องเข้ามาในดวงตามันสว่างจ้าเกินไปจนฉันมองเจ้าของรถไม่ชัดเลย แต่ฉันเองก็พยายามเพ่งสายตามองเข้าไปในรถ จนกระทั่งในที่สุดฉันก็ได้เห็นใบหน้าของคนที่ที่เป็นเจ้าของรถ ฉันมองเห็นชัดไปถึงสายตาของเขาที่กำลังมองมาที่ฉันกับทิวเขา แววตาที่เรียบนิ่ง เยือกเย็นจนขนลุก แววตาอันน่ากลัวที่ฉันคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี เจ้าของแววตาที่น่ากลัวนั่นไม่ใช่ใครที่ไหนไกล แต่เป็น… “คุณ…คิมหันต์0_0!”“อ้ะ!” ฉันร้องลั่นขึ้นมาเมื่อคนตัวสูงกระแทกเอวสวนจนรู้สึกจุกไปหมด“แต่ฉันชอบสุดๆไปเลยล่ะ~” เสียงกระซิบบองชอบที่แหบพร่า บวกกับแววตาหื่นกระหายของคนตรงหน้าทำให้ความเขินอายที่มีในตอนแรก เลแปรเปลี่ยนเป็นความร้อนรุ่มที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมไปอีก“จุ๊บ!! อื้ม~” ฉันก้มลงไปประทับริมฝีปากของตัวเองลงบนริมฝีปากหนา จู่ๆฉันก็เกิดความคิดประหลาดๆขึ้นมา คราวนี้ฉันอยากจะลองเป็นคนเดินเกมส์ดูบ้าง ฉันอยากจะรู้…ว่าฉันสามารถทำให้คนตรงหน้าเสียสติได้มาก เท่ากับที่เขา…ทำให้ฉันเสียสติจวนจะบ้าตายอย่างในตอนนี้รึเปล่านะ?ฉันส่งเรียวลิ้นของตัวเองเข้าไปเกี่ยวตระหวัดดูดเม้มกับเรียวลิ้นของเขาอย่างร้อนแรง เหมือนกันที่เขาทำกับฉัน และช่วงชิมรสหวานจากปากของเขาอย่างหื่นกระหาย เหมือนกันที่เขาทำกับฉัน“อืมมม~” เสียงครวญครางที่ดังออกมาจากในลำคอของคนใต้ร่าง มันทำให้ฉัพอใจมากเลยล่ะ แต่แค่นี้ยังไม่พอหรอก ฉันอยากเห็นเขา…พอใจสัมผัสของฉันมากกว่านี้“อ่าส์ เกว~” ฉันเปลี่ยนตำแหน่จาริมฝีปากของคนตัวสูง มาซุกไซร้ซอกคอแกร่งของเขาแทน ฉันใช้เรียวลิ้นของตัวเองไล้เลียและดูดเม้มไปตามผิวเนียนของเขาอย่างหื่นกระหาย ให้เหมือนกับที่เขาทำกับฉัน
วันต่อมาเมื่อวานหลังจากกลับมาจากห้องของคุณคิมหันต์แล้ว ฉันก็นั่งทำโอทียาวมาจนถึงเช้าเลยล่ะ ยังไม่ได้นอนมาตั้งแต่เมื่อคืนเลย ง่วงจนตาจะปิดอยู่แล้วเนี่ยกริ๊งงง!! ระหว่างที่กำลังนั่งเฝ้าล็อบบี้รอเวลาออกกะอยู่นั้น เสียงมือถือที่วางอยู่หน้าล็อบบี้ก็ดังขึ้นมา รินณ์ที่นั่งทำงานอยู่ใกล้ๆเลยทำหน้าที่รับสายแทน“สวัสดีค่ะ”“อาหารเช้าสองที่เหรอคะ?”“ได้ค่ะ เดี๋ยวทางเราจะเตรียมไว้ให้นะคะ”“ให้ใครไปเสริฟ์นะคะ?”“พนักงานที่ชื่อ…เกวลิน”“ได้ค่ะ อีกสามสิบนาทีเราจะเอาอาหารไปให้นะคะ”ทันทีที่วางสายฉันกับรินณ์หันมาสบตากันอย่างไม่ได้นัดหมาย“มีอะไรเหรอรินณ์?” “ก็แฟน…เอ่อ…คุณคิมหันต์อ่ะ เขาขอให้เกวเอาอาหารเช้าเสริฟ์ให้น่ะสิ” รินณ์มองซ้ายมองขวาก่อนจะเขยิบมากระซิบใกล้ๆฉันคุณคิมหันต์ให้ฉันเอาอาหารไปเสริฟ์ให้เนี่ยนะ? คิดจะแกล้งอะไรฉันอีกล่ะเนี่ย?ห้องพักกริ๊งงง!! ฉันกดออดที่หน้าห้องพักของคุณคิมหันต์ หลังจากที่เข็นรถเข็นอาหารมาส่งให้เขาถึงหน้าห้อง ตามคำสั่งที่สั่งไว้ก่อนหน้านี้แอ๊ดดด!! ผ่านไปเพียงไม่กี่วิ คนตัวสูงก็เปิดประตูห้องออกมา แต่ทันทีที่ฉันเห็นร่างของคนที่อยู่ในห้อง ฉันถึงกับเบิกตาโ
ห้องพักวีไอพีกริ๊งงง!! ฉันตัดสินใจกดออดหน้าประตูห้องพักวีไอพีห้องหนึ่ง หลังจากที่ยืนทำให้อยู่หน้าห้องมาได้สักพักหนึ่งแล้วแอ๊ดดด!! ผ่านไปไม่กี่วินาที ประตูห้องก็ถูกเปิดออกมาช้าๆ ก่อนจะปรากฏร่างของคนตัวสูงที่ยืนยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์อยู่หลังประตู“ฉันเอากระเป๋ามาให้…”หมับ!! ยังไม่ทันที่จะพูดจบ คนตัวสูงก็คว้าร่างฉันเข้าไปในห้องอย่างไม่ทันตั้งตัว พร้อมกับกระเป๋าใบใหญ่ที่ลากเข้ามาในห้องด้วยกันอีกทีปัง!! ฉันสะดุ้งตกใจเสียงปิดประตูที่ดังขึ้นมาซะลั่นห้อง “คุณคิมหันต์! คุณจะทำอะไรเนี่ย?”ตุบ!! คนตัวสูงเตะกระเป๋าใชเดินทางใบใหญ่ของตัวเอทีกันเองมาด้วยออกไป ก่อนจะดันตัวฉันให้ติดกับประตห้องไม่ให้ไปไหน“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเกวลิน”“นั่นน่ะสิค่ะ เกวก็ไม่คิดว่าจะได้เจอคุณที่นี่ในฐานะแขกวีไอพีด้วยเหมือนกันค่ะ” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงและสายตาที่ออกจะดุนิดหน่อย “คุณมาทำอะไรที่นี่คะ?”“ฉันคิดถึงเธอเกว~”ตึกตักๆๆ!! คนตัวสูงเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องเลี่ยงตอบคำถามของฉัน เป็นการกระซิบเบาที่ข้างหูฉันแทน ซึ่งวิธีนี้ก็ถือว่าเป็นวิธีทำให้ฉันใจสั่นขึ้นมาได้ดีเลยล่ะ“เราไม่ได้เจอกันตั้งเดือนนึงเลยนะเก
หนึ่งเดือนผ่านไปวันเวลาผ่านไปเร็วราวกับพลิกหน้ากระดาษ ตอนนี้ก็ผ่านมาเดือนกว่าแล้วที่ฉันมาฝึกงานที่นี่ ทุกๆวันที่อยู่ที่นี่ไม่เคยมีวันไหนที่ฉันจะไม่คิดถึงคนที่ตัวเองรักอย่างคุณคิมหันต์ แต่ถึงอย่างนั้น…ฉันก็ยังสนุกกับการฝึกงานที่นี่อยู่นั่นแหละและดูเหมือนว่าใกล้ถึงเวลาที่ฉันจะกลับไปหาคนที่ตัวเองรักสักที“เอ้า! ทุกคน ใกล้ถึงเวลาที่แขกวีไอพีขอบโรงแรมจะมาแล้ว รีบออกมาต้อนรับกันเร็ว” เสียงของผู้จัดการตะโกนร้องเรียกพนักงานทุกคนที่อยู่ในล็อบบี้โรงแรมเมื่อสองวันก่อนผู้จัดการแจ้งมาว่าในวันนี้จะมีแขกวีไอพีมาพักที่โรงแรม ซึ่งแขกคนนี้เป็นแขกคนสำคัญมากๆเลยล่ะ ลือกันว่าเขาเป็นเพื่อนของท่านประธานคนใหม่ของที่นี่ ดังนั้นเราจึงต้องให้การต้อนรับแขกวีไอพีคนนี้ให้ดีที่สุดและห้ามทำอะไรผิดพลาดโดยเด็ดขาด“ไปกันเถอะเกว” เสียงของรินณ์ที่ยืนอยู่หน้าล็อบบี้เรียกให้ออกไปยืนรอด้วยกัน“อื้อ!” ฉันกันรินณ์ออกไปรอต้อนรับแขกวีไอพีคนดังกล่าวที่หน้าประตูโรงแรม พร้อมกับผู้จัดการและพี่แอนเอี๊ยดดด!! ยืนรอกันได้อยู่พักหนึ่ง ไม่นานก็มีรถหรูคันหนึ่งเข้ามาจอดเทียบที่หน้าประตูโรงแรมพนักงานชายเดินไปเปิดประตูรถ ก่อนท
หลังจากได้ฟังคำตอบจากปากของเกวลินแล้ว สิ่งที่ค้างคาใจผมในตอนแรกก็คลายลง ผมตัดสินใจเดินออกมาจากร้านนั้น แล้วก็มาเดินเล่นที่ริมหาดกับไอ้กวินท์แทนระหว่างที่เดินเล่นอยู่ผมก็ทบทวนคำพูดของเกวลินอยู่ตลอดเวลาที่ผ่านมาสิ่งที่เกวลินต้องการมาตลอดก็คืออิสระ เพราะเธอโตมากับตระกูลของผม เลยทำให้เธอคิดว่าตัวเองติดหนี้บุญคุณตระกูลของผม ไอ้สิ่งที่ผูกมัดเกวลินมาตลอดคือ…ตระกูลอัศวนันทร์ และตัวผมนี่แหละผมไม่อยากสูญเสียเกวลินไป ผมอยากให้เกวลินอยู่กับผมไปตลอดเลยด้วยซ้ำ เพราะผมรักเธอ แต่มันคงไม่ง่ายสำหรับเกวลิน แม้เธอจะรักผม แต่เธอก็มีความต้องการเหมือนกัน และสิ่งที่เธอต้องการก็คือ…อิสระ เธอต้องการอิสระมาโดยตลอด เพราะงั้น…ผมตัดสินใจแล้วว่าผม…จะยอมให้อิสระกับเกวลิน อย่างที่เธอต้องการ“ดูเหมือนแกกับเด็กคนนั้นจะรักกันมากเลยนะ” ไอ้กวินท์พูดเหมือนเด็กฝึกงานที่มากับเกวลินไม่มีผิด“ไม่ใช่เรื่องของแก”“ครั้งแรกเลยนะที่ฉันเห็นแกร้อนรนแบบนี้อ่ะ”“อย่ามาทำเป็นรู้ดีหน่อยเหอะ”“นี่! ฉันกำลังเตือนสติแกอยู่นะเว้ย! ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเพราะอะไรน้องเขาถึงหนีมาอยู่ที่นี่ได้อ่ะ แต่จากที่ฟังเมื่อกี้…น้องเขาคงจะรัก
[คิมหันต์]ณ ร้านอาหารแห่งหนึ่งผมขับรถตามรถของเกวลินมาเรื่อยๆ จนมาถึงที่ร้านอาหารที่ตั้งอยู่ริมทะเลร้านหนึ่ง เกวลินกันเพื่อนของเธอคงจะมากินอาหารกันที่นี่ ผมไม่อยากให้เกวบินคลาดสายตาผมไป เลยตามเกวลินเข้ามาในร้านด้วยเหมือนกันแต่ผมไม่เข้าใจว่าไอ้กวินท์มันจะตามผมมาถึงที่นี่ด้วยทำไมเนี่ย?“นั่งตรงนี้มั้ยเกว?”“ได้สิ” เกวลินกับเพื่อนของเธอเลือกนั่งลงบนโต๊ะๆหนึ่งในร้านอาหาร ฟุ่บ!! ผมที่เดินตามอยู่ห่างๆ เลยเดินเข้าไปนั่งใกล้กับโต๊ะของเกวลิน ซึ่งระยะห่างระหว่างผมกันเกวลินก็ห่างกันเพียงแค่โต๊ะอาหารคั่นกลางไว้แค่โต๊ะเดียวเท่านั้นตุบ!! ส่วนไอ้กวินท์ที่ตามติดมาด้วยก็ดันเลือกที่จะมานั่งข้างๆผมอีกซะงั้น ที่มีตั้งเยอะแยะจะมานั่งติดผมทำไมเนี่ย?“แกจะตามฉันมาด้วยทำไมเนี่ย?”“ฉันไม่ได้ตามแกมาซะหน่อย ลืมไปแล้วรึไงว่ารถที่แกขับมาน่ะ รถฉันเว้ย!” มันพูดด้วยท่าทีเลิ่กลั่ก ความจริง ผมสังเกตเห็นตั้งแต่ที่โรงแรมล่ะ ไอ้กวินท์เอาแต่ชะเง้อมองตามใครสักคนอยู่ตลอดเวลา ไม่ต่างจากผมเลยสักนิด และผมก็เดาว่าคนที่มันกำลังตามอยู่คงจะเป็นเพื่อนที่อยู่กับเกวลินตอนนี้แน่ๆ“ใครว่ะ? แฟนเหรอ?” ผมเป็นฝ่ายเอ่ยปากถาม
[คิมหันต์]ณ บริษัท เอ.เอส.เอ็นก๊อกๆๆ!! เสียงเคาะประตูห้องทำงานหน้าห้องของผมดังขึ้น“เข้ามา” ธนินเดินเข้ามาในห้องหลังจากได้รับอนุญาตจากผมแล้ว“เรื่องที่ให้ไปสืบเป็นไงบ้าง?“ ทันทีที่เห็นหน้าของธนินผมก็เอ่ยถามถึงงานที่ผมมอบหมายไปให้เมื่อวานนี้ “ได้ที่อยู่ของคุณเกวลินมาแล้วครับ” ซึ่งก็เป็นเรื่องไหนไม่ได้เลน นอกจากเรื่องของเกวลิน ยัยตัวแสบที่แอบหนีผมไปไงล่ะ เมื่อวานทันทีที่รู้ว่าเกวลินหนีไป ผมก็รีบยกหูโทรหาให้ธนินไปสืบหาที่อยู่ของเกวลินทันที “เกวลินอยู่ไหน?”“คุณเกวลิน ย้ายไปฝึกงานอยู่ที่โรงแรมพาวิลเลียนที่ต่างจังหวัดครับ” ได้ยินชื่อโรงแรมที่ธนินเอ่ยแล้วผมถึงกับต้องขมวดคิ้วขึ้นมาทันที เพราะเหมือนว่าชื่อโรงแรมนี้จะฟังดูคุ้นหูเอามากเลยล่ะ“โรงแรมพาวิลเลียนเหรอ?”“ครับ โรงแรมในเครือตระกูลอัครวานิชครับ” และผมก็อดที่จะยกยิ้มมุมปากขึ้นมาไม่ได้ เมื่อสิ่งที่ผมสงสัยได้รับการยืนยันจากธนินโรงแรมพาวิลเลียน ในเครือตระกูลอัครวานิช คือโรงแรมที่ไอ้กวินท์ เพื่อนสนิทสมัยเรียนมหาลัยของผมบริหารอยู่นี่เอง ตืดๆๆ!! ทันทีที่รู้ว่าเกวลินอยู่ที่นั่น ผมก็ไม่รอช้ารีบยกหูกดโทรออกหาไอ้กวินท์มันอย่า
[เกวลิน]“ยินดีต้อนรับน้องๆฝึกงานทุกคนเลยนะคะ” เสียงของผู้จัดการโรงแรมเอ่ยขึ้น หลังจากที่พาพวกเราที่เป็นเด็กฝึกงานใหม่ ไปแนะนำสถานที่ต่างๆในโรงแรมเสร็จแล้ว“ต่อไปนี้ก็ตั้งใจทำงาน แล้วก็ขอให้โชคดีกับการฝึกงานนะคะ” พี่แอนพี่พนักงานอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น“ขอบคุณค่ะ” ฉันและเพื่อนอีกคนที่เป็นเด็กฝึกงานเหมือนกันเอ่ยขอบคุณผู้จัดการและพี่แอนพร้อมๆกัน“วันนี้ก็คงไม่มีอะไรแล้วล่ะ เราสองคนกลับไปพักผ่อนกันก่อนเถอะ แล้วเดี๋ยวค่อยมาเริ่มงานพรุ่งนี้อีกที”“ได้ค่ะ”“งั้นพี่ไปก่อนนะ” ร่ำลากันเสร็จผู้ตัดการกับพี่แอนก็เดินกลับไปทำงานของตัวเองกันต่อ เหลือไว้แค่ฉันกับเพื่อนร่วมฝึกงานกันอยู่สองคน“หวัดดี เราชื่อรินณ์นะ” เพื่อนอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ หันมาทักทายด้วยสีหน้าที่สดใส“หวัดดี เราชื่อเกว”“เกวมาจากกรุงเทพเหรอ?”“อื้อ แล้วรินณ์อ่ะ?”“เราเรียนที่นี่แหละ แล้วก็อยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็กแล้วด้วย” อ่อ เป็นคนที่นี่สินะ“อ่อ อื้ม!”“แล้วนี่…เกวจะกลับเลยรึเปล่า? เราไปกินข้าวกันมั้ย?”“โทษทีนะ พอดีเราเพิ่งย้ายมาที่นี่เมื่อวานเองอ่ะ คงต้องขอตัวกลับไปจัดของที่ห้องก่อน” “อ่อ งั้นไม่เป็นไร ไว้ไปกินข้าวกั
[คิมหันต์]เช้าวันต่อมา พรึ่บ!! ผมลืมตาขึ้นมาช้าๆ หลังจากที่หลับพักผ่อนจากกิจกรรมอันเหน็ดเหนื่อยเมื่อคืนไปทั้งคืนอย่างเต็มที่แล้ว แสงแดดที่เล็ดลอดผ่านผ้าม่านสีดำในห้องของตัวเองสาดส่องเข้ามา ทำผมถึงกับต้องหรี่ตาลงเพื่อปรับสายตาของตัวเองให้คงที่ขวับ!! เมื่อสายตากลับมาอยู่ในสภาพคงที่แล้ว ผมจึงพลิกตัวมาอีกฝั่งหนึ่งของเตียง ด้วยความหวังที่ว่าจะเจอกันคนตัวเล็กอย่างเกวลินนอนอยู่ข้างๆกาย"..." แต่แล้วสิ่งที่ผมเจอมีเพียงแค่รอยยับของผ้าปูที่ว่างเปล่าและไร้ซึ่งร่างของคนตัวเล็กเกวลินตื่นแล้วเหรอ?ฟุ่บ!! ผมคิดว่าคนตัวเล็กคนจะตื่นก่อนผมไปแล้ว ผมจึงลุกออกจากเตียง ก่อนจะเดินหยิบกางเกงนอนของตัวเองมาใส่ แล้วเดินออกไปจากห้อง ด้วยความหวังที่ว่าเกวลินคงจะอยู่ข้างนอกห้อง หรือที่ไหนสักที่ในบ้านนั่นแหละ"..." แต่ผมกลับต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจมากกว่าเดิม เมื่อลงมาแล้วไม่เจอกับเกวลินอยู่ที่ชั้นล่างของบ้าน ในครัวก็ไม่อยู่ ในห้องรับแขกก็ไม่เจอ "เกวลิน!" ผมลองตะโกนร้องเรียกชื่อของคนตัวเล็ก แต่ก็ไร้ซึ่งเสียงใดๆตอบรับกลับมาใจผมเริ่มสั่นไหวขึ้นมา จู่ๆความคิดที่ไม่ดีก็ดันโผล่เข้ามาในหัว ตอนนี้ผมกำลังคิดว่า