เขาได้แต่อ้าปากค้าง...อยากก่นด่าออกไปว่า ไอ้บัดซบ! หากก็ทำได้เพียงแค่กลอกตาไปมา ขณะคิดว่าจะกล่าวออกไปอย่างไรให้ท่านแม่ทัพตรงหน้าเข้าใจว่าอะไรทำได้ สิ่งใดทำมิได้ สิ่งใดควรและสิ่งใดมิควร
“หากท่านอยากถูกรักษาด้วยวิธีนี้ เดี๋ยวข้าจะไปบอกกล่าวให้ท่านรองแม่ทัพชิงชวนมานอนร่วมเตียงด้วย...คงจะช่วยได้มากเชียวล่ะ” อย่านึกว่าเขาจะรู้มิทันนะ แม่ทัพปีศาจตัวร้ายคิดทำสิ่งใดอยู่ ถึงเขาจะมิฉลาดเฉลียวสักเท่าใด หากเรื่องนี้ก็มิได้โง่จนมองมิออกว่าตนเองกำลังถูกหลอกกินเต้าหู้อยู่หรอกนะ
“ไม่ต้องการชิงชวน แต่จะเอาเจ้า!”
น้ำเสียงแม้จะเบาหากมีน้ำหนัก อีกทั้งสายตาที่มองมาเหมือนกับมีสองมือจับตรึงเอาไว้มิยอมให้เขาขยับ ก่อนที่ร่างหนาจะเคลื่อนตัวมาหาเขาอย่างรวดเร็ว กักร่างบอบบางให้ตกอยู่ในอ้อมแขนแข็งแกร่ง พลางโน้มใบหน้าลงมาจนริมฝีปากแนบชิดกับใบหูเพื่อบอกกับเขาว่า...
“ข้าต้องการเพียงเจ้า...อาซวง!”
อะไรนะ! เก้าเทียนรุ่ยพยายามคิดเรียบเรียงวาจาของท่านแม่ทัพอยู่ครู่หนึ่ง หากสติก็มิสมบูรณ์ด้วยใบหูถูกรุกรานจากปากอุ่นที่ขบกัดสลับเรียวลิ้นร่วมกระเซ้าเย้าแหย่ ไหนจะมือที่อยู่มินิ่ง ลูบไล้แผ่นหลังเรื่อยลงไปจนถึงสะเอว
“ข้าอยากมีเจ้านอนร่วมเตียง...อาซวง”
อะไรกันวะเนี่ย! แล้วอาซวงนี่ใครกัน? คงจะมิได้หมายถึงเขาหรอกนะ
สัมผัสทำให้เขาวูบไหวจนแทบมิกล้าหายใจแล้ว สัมผัสยังทำให้สมองมันเบลอจนคิดสิ่งใดมิออก มิทันจะได้ตั้งตัวด้วยซ้ำ ร่างเล็กก็ถูกช้อนไปวางบนเตียงนอนแล้ว
“เดี๋ยว! เดี๋ยวก่อนสิท่านแม่ทัพ” เก้าเทียนรุ่ยรีบยกมือยันอกกว้างเอาไว้เมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น “ท่าน...ท่านเพิ่งจะหายป่วยนะ ท่านทำเช่นนี้มิได้”
“ทำอันใด” ศีรษะท่านแม่ทัพเอียงเล็กน้อย บนใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย
หะ! หมายความว่าเขาคิดมากไปเอง ท่านแม่ทัพมิได้จะกินเต้าหู้เขาหรอกหรือ
“ข้าเพียงอยากจะนอนกอดเจ้าเท่านั้นเอง หรือเจ้าต้องการให้ข้าทำสิ่งอื่นใด”
หะ! หมายความว่า เขาโดนท่านแม่ทัพปีศาจบ้านี่หลอกเอาใช่ไหม
หลังนิ้วของท่านแม่ทัพลากไล้บนแก้มของเขาที่ร้อนผ่าวเรื่อยลงมาจนถึงริมฝีปาก กดสัมผัสหยอกเย้าลงไปราวกับว่าจะให้นิ้วแทนริมฝีปากของตนเองชั่วคราว ยิ่งทำให้ตัวเขาคิดอันใดมิออก
“แต่หากเจ้าต้องการเช่นนั้น ย่อมได้”
“เปล่า ๆ นะ...มิใช่นะ ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น” เก้าเทียนรุ่ยรีบปฏิเสธออกไปด้วยเพลิงโทสะผสมกับความอับอาย
“เหตุใดข้าถึงมิได้คิดเช่นนั้น ข้าคิดว่าปากกับใจของเจ้ามิตรงกัน ปากเจ้าบอกว่าไม่ หากใจกลับเรียกร้องให้ข้าสัมผัสเจ้า...ไปทั่วกาย ให้ข้าได้เห็นว่าร่างกายของเจ้างดงามเพียงใด ได้เห็นใบหน้าและดวงตาที่บ่งบอกว่าพึงพอใจและชอบในสิ่งที่ข้าทำลงไปมากเพียงใด เสียงหวานใสยามเว้าวอนขอร้องยามที่เรา...”
ท่านแม่ทัพกระซิบบางคำใกล้กับหู ทำเอาเขาถึงกับเลือดขึ้นหน้าด้วยความเดือดดาลมิน้อย หากขณะเดียวกันมันก็ทำให้เก้าเทียนรุ่ยอับอายและไหววูบในช่องท้อง ด้วยว่าเผลอคิดอะไรที่มันมิควรออกไปจริง ๆ นั่นแหละ
“บ้าไปแล้ว! ท่านหยุดกล่าวเช่นนี้เลยนะ ข้า...ข้ามิได้คิดเช่นที่ท่านกล่าวมา” หากน้ำเสียงของเขามิได้มั่นใจอย่างที่กล่าวออกไปเลยสักนิด ประสบการณ์ที่มี มิว่ากับสตรีหรือบุรุษมิโชกโชนเช่นท่านแม่ทัพปีศาจผู้นี้ เมื่อถูกอีกฝ่ายแตะต้องกระเซ้าเย้าหยอก ข้าก็มิรู้ว่าจะรับมือและหาทางออกให้กับตนเองอย่างไร
“ข้าเพียงแค่หวังดีอยากให้ร่างกายของท่านฟื้นตัวได้เร็ว...จะได้หาตัวการที่ทำให้ท่านเป็นเช่นนี้เร็วขึ้นอย่างไรเล่า”
“อาการที่ข้าเป็น...มีคนทำให้เกิดขึ้น”
“ข้า...มิรู้” น้ำเสียงเขาแผ่วเบาด้วยความมิมั่นใจ หากใจนั้นคิดไปแล้วว่าเหตุที่เกิดขึ้นกับท่านแม่ทัพย่อมเป็นฝีมือของใครบางคนที่หวังอะไรบางอย่างจริง ๆ นั่นแหละ หากทุกอย่างก็ยังมิกระจ่างชัดแจ่มแจ้ง
“หากท่านอยากรู้ ตนเองต้องพบเจอกับสิ่งใดอยู่ ท่านก็ต้องรีบทำให้ตนเองหายโดยเร็วที่สุด...ต้องกินอาหารที่ดีและพักผ่อนให้เพียงพอด้วย”
เก้าเทียนรุ่ยโล่งใจเมื่อท่านแม่ทัพพยักหน้ารับโดยมิโต้เถียง “ถ้าเช่นนั้นท่านก็ปล่อยตัวข้าได้แล้ว”
“เหตุใดถึงยังต้องปล่อย...ข้าควรรีบนอนพักมิใช่หรือ”
เก้าเทียนรุ่ยได้แต่กลอกตาไปมาเมื่อเจอกับการตีมึนของท่านแม่ทัพปีศาจที่สุดแสนจะเอาแต่ใจ ดูท่า...มิว่าเขาจะกล่าวออกไปอย่างไร ให้ปากฉีกและคอแห้ง บุรุษตรงหน้าก็มิคิดจะฟัง คงคิดเพียงความต้องการของตนเองเท่านั้น อีกทั้งเขาเองก็เหนื่อยใจหากจะต้องสู้รบตบมือด้วย เพราะเพียงแค่มิกี่ชั่วยามที่ต่อปากต่อคำอยู่ ท่านแม่ทัพก็สร้างเรื่องให้หนักใจถึงเพียงนี้แล้ว วันพรุ่งนี้เขาคงจะต้องเหนื่อยและปวดหัวหนักมากไปกว่านี้แน่นอน หากเป็นเช่นนี้ การรีบพักผ่อนเอาแรง ทำให้ตนเองมีสติให้มากที่สุด จะได้รับมือกับท่านแม่ทัพได้โดยมิเพลี่ยงพล้ำเช่นตอนนี้ย่อมเป็นการดี
“ท่านอยากนอนกอดข้าใช่ไหม เอาเลย ตามสบายเลย ข้ามิขัดความต้องการของท่านแล้ว” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยอย่างอ่อนอกอ่อนใจ ท่านแม่ทัพผู้นี้ช่างเอาแต่ใจเหลือเกิน มิอยากหายดีในเร็ววันหรือไง ถึงได้มิยอมพักผ่อน
“นอนกันอาซวง”
เดี๋ยวนะ เขาได้ยินนามนี้อีกแล้ว
“ที่ท่านเรียกขาน...อาซวง” เก้าเทียนรุ่ยชี้มือเข้าหาตนเองและเมื่อเห็นท่านแม่ทัพพยักหน้ารับ จากที่จะบอกกล่าวว่าตัวเขาถูกเรียกขานว่าเอ้อร์เอ๋อร์กลับกลายเป็นความสงสัยขึ้นมาทันที “ทำไมท่านถึงเรียกข้าเช่นนี้”
“ยังมิใช่ตอนนี้”
“แต่...ข้าควรจะได้รู้มิใช่หรือ เหตุใดท่านถึงได้เรียกขานข้าเช่นนี้”
“เจ้าอยากรู้...เจ้าควรเรียกข้าท่านพี่และใกล้ชิดกับข้าให้มากกว่านี้สิ” รอยยิ้มที่แต้มบนใบหน้าและสายตาของท่านแม่ทัพใหญ่ ยังจะมีนิ้วยาวที่ลากไล้บนผิวแก้มนุ่มทำให้เก้าเทียนรุ่ยร้อนผ่าวไปทั่วทั้งใบหน้าและไหววูบในช่วงท้องอีกแล้ว
“ข้า...มิอยากรู้แล้ว” เก้าเทียนรุ่ยรีบปฏิเสธ สองแก้มร้อนผ่าวราวกับจะไหม้จนต้องรีบหันหน้าหนีสายตาที่มันเว้าวอนแต่แฝงไว้ด้วยความเร่าร้อนที่มันทำให้หัวใจเขาเต้นผิดจังหวะ
“แล้วเด็กสองคนนั้น” เสวียนลิ่วหลางเอ่ยถามเพราะหนานชวนส่งข่าวให้รู้บ้างแล้ว“ดูเป็นเด็กดีอยู่ขอรับ” นับตั้งแต่ที่เขาอยู่กับเสวียนลิ่วหลางมา มิเพียงแค่ร่างกายที่เปลี่ยนไป หากรับรู้ว่าภายในกายเริ่มมีพลังลมปราณมากพอที่จะสัมผัสได้ว่าใครมีวรยุทธ์และพอจะมองออกว่าผู้ใดมาดีหรือร้าย ทำให้มองออกว่าเด็กน้อยสองคนเป็นเด็กดีจริง ๆ จึงยินดีเป็นอย่างมากที่มารดามีคนดี ๆ มาคอยดูแล“แล้วท่านพี่ละขอรับ พบเจอเรื่องใดหรือไม่”หากเสวียนลิ่วหลางมิทันจะได้บอกกล่าวเรื่องที่ได้ไปตรวจสอบมา...มิได้มีสิ่งใดร้ายแรง ก็เป็นพวกมารปลายแถวกับเผ่าปีศาจที่มิชอบหน้ากันมาทะเลาะกัน แล้วกลุ่มจอมยุทธ์รุ่นใหม่เขาอยากแสดงว่าตนมีฝีมือเท่านั้น ก็มีบางคนเดินเข้ามา“มาทำไม” เสวียนลิ่วหลางเอ่ยเสียงเข้มดุ หากเด็กน้อยตรงหน้ากลับมิสนใจแล้วยังจะส่งยิ้มให้กับเก้าเทียนรุ่ยเพื่อยั่วโทสะยักษ์ใหญ่ตรงหน้าอีกด้วย“มิได้มาหาเจ้าเสียหน่อย มาหานั่น...” ปากเล็กสีแดงสดบุ้ยใบ้ไปทางเก้าเทียนรุ่ย “ต่างหากล่ะ...คิดถึงมากเลย”“ที่นี่เรือนข้า...ไปคิดถึงไกล ๆ หากมิอยากถูกจับโยนออกไป”“กล้ารึ...ข้าพี่ชายสองนะ เจ้ากล้าทำร้ายพี่ชายเมียเจ้ารึ”“ฮึ! พี่ชายที่นอก
“อึก...อ้ายฉี!” ชิงชวนร้องเรียกด้วยความเกรี้ยวกราดเพราะยังมิทันได้เตรียมกายรับอ้ายฉีก็แทรกแท่งใหญ่ร้อนเข้ามาอย่างรวดเร็ว แล้วยังจะหัวเราะร่าพร้อมกับกลั่นแกล้งเขาด้วยการขยับกายออกแล้วเคลื่อนกลับเข้าไปใหม่จนสุด“ไอ้เจ้าบ้าอ้ายฉี!”“อา...ข้ามันคนบ้านี่น่า เขาว่าคนบ้าทำอะไรก็มิผิด” ว่าแล้วอ้ายฉีก็เร่งเคลื่อนกายจู่โจมเข้าในพื้นที่เร้นลับของชิงชวนอย่างหนักหน่วงซ้ำแล้วซ้ำเล่า...จากนุ่มนวลกลับเป็นรุนแรงเมื่อถูกผนังอ่อนนุ่มบีบรัด“เจ้าว่า...ข้าจะบ้าได้มากกว่านี้ไหมอาชวน”“หยุดทำอย่างที่เจ้าคิดเลยนะอ้ายฉี” ชิงชวนห้ามปรามเมื่อพอจะรู้ว่าอีกฝ่ายคิดทำการสิ่งใด เขามิอยากเดินออกจากห้องพักอย่างอับอายเพราะถูกอีกฝ่ายจับกดจนเตียงพังอย่างเช่นโรงเตี้ยมที่ก่อนหน้าอ้ายฉีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยขณะกล่าวออกไป “ข้ายังมิได้คิดอะไรสักหน่อย”“ฮึ! เจ้าอย่าคิดว่าข้าจะมิล่วงรู้ ข้าอยู่กับเจ้ามานานเท่าใดแล้ว ยามนี้หากมิใช่เพราะคิดว่าเดินทางกันพอแล้วกับในยุทธภพมีเรื่องมากมายชวนปวดหัว คิดว่าเจ้ากับข้าจะคิดกลับไปหาท่านแม่ทัพ...นายท่านกับคุณชายหรือไงกัน”“ครั้งนี้ข้ายอมก็ได้” หากมิใช่เพราะจะทำให้ชิงชวนอับอาย แต่เขาสัมผัสได้ว
“ใบหน้าเมียข้ายามนี้ช่างงดงามเหลือเกิน เร่งอีกหน่อยสิท่านพี่ ข้าอยากได้ยินเสียงร้องของอาเหว่ย” จวินต้าเกอเอ่ยยามทอดสายตามองใบหน้าที่แสดงออกถึงความสุขสมยามถูกกระแทกด้วยความต้องการ“ได้สิน้องข้า” เฮยต้าเกอตอบรับ ผนังอ่อนนุ่มช่างบีบรัดเสียจนเขาถึงหายใจหอบแรงทำให้เขาขยับโยกกายด้วยความหนักหน่วงรุนแรงตามความต้องการที่มันเพิ่มมากขึ้น...และมากขึ้นจางเหว่ยสัมผัสได้ถึงกระแสความร้อนที่ไหลพุ่งเข้าสู่ร่างกายพร้อมกับเสียงครางของเฮยต้าเกอ ก่อนคลื่นความร้อนครั้งใหม่จะถาโถมเข้าหา“ข้าถูกพี่ใหญ่กลั่นแกล้ง แล้วยังจะต้องพาหมูป่ากลับมา ระหว่างทางก็ยังจะพลัดตกลงไปในแม่น้ำด้วย กว่าจะถึงบ้านก็เหนื่อยมิใช่น้อย เมียข้าช่วยปลอบโยนข้าหน่อยนะ” จวินต้าเกอเอ่ยขณะสองมือใหญ่ลูบคลำไปทั่วร่างกายพร้อมกับใช้แท่งใหญ่ยักษ์ของตนเองกดรุกล้ำเข้าไปในร่องทางด้านหลังของจางเหว่ยยามถูกผนังอบอุ่นห่อหุ้มและรัด ความต้องการของจวินต้าเกอก็เพิ่มมากขึ้น เขาขยับกายตัวราวกับพายุฝนที่กำลังกระหน่ำสาดซัดอย่างรุนแรง“หากเมียข้ายังจะทำสีหน้าเช่นนั้น...วันนี้เราคงจะมิได้ไปหานายท่านกับคุณชายเป็นแน่” เฮยต้าเกอกล่าวขณะวางมือลูบไล้บนอกเมียรัก“ข้า
“ท่าน...ท่านพี่” จางเหว่ยเอ่ยทักสองบุรุษที่เดินเข้ามาในบ้านเสียงแผ่วเบา ด้วยอย่างไรเขาก็ยังมิชินกับการเป็นฟูเหรินของบุรุษด้วยกัน แต่มิใช่เพราะเขาจำต้องผูกพันธสัญญาหรือมิเต็มใจอยู่กับกระทิงสองพี่น้องหรอกนะ แต่เพราะใจของเขาก็รู้สึกดีกับทั้งสองคนอยู่มิน้อย ยิ่งเมื่อผ่านพ้นค่ำคืนผูกพันธสัญญาไปแล้ว เฮยต้าเกอและจวินต้าเกอก็ดูแลเขาอย่างดี“มิสบายหรือเมียข้า” เฮยต้าเกอเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง“ข้ามิได้เป็นอะไร หากแต่ท่านพี่กับท่านพี่จวิน เหตุใดถึงได้กลับมาเรือนเร็วเช่นนี้ ยังมิทันจะเที่ยงเลย ท่านมิสบาย...บาดเจ็บใช่หรือไม่” จางเหว่ยเอ่ยถามพลางมองดูว่าบุรุษตรงหน้ามีบาดแผลที่ส่วนใดของร่างกายบ้าง“มิได้เป็นเช่นนั้น วันนี้โชคดี ได้หมูป่าตัวใหญ่มา เลยคิดกันว่ารีบกลับบ้านจะดีกว่า หมูป่าตัวใหญ่เช่นนี้ถ้าได้นั่งล้อมวงกินกันหลาย ๆ คนคงจะดีมิใช่น้อย อาเหว่ยอยากพามันไปกินกับนายท่านกับคุณชายหรือไม่” เฮยต้าเกอกล่าวถึงเสวียนลิ่วหลางกับเก้าเทียนรุ่ย“แต่กว่าท่านพี่จะจับมันได้...มิง่ายเลยนะขอรับ” แม้จะดีใจที่กระทิงสองพี่น้องยังคิดถึงความรู้สึกของเขา“สัตว์มีอยู่เต็มป่า จะจับเมื่อไหร่ก็ได้ แต่นายที่ดีอย่างนายท่
“อ่า...รอค่ำคืนนี้ก่อนนะเมียรักของข้า รุ่งสางแล้วเราต้องเร่งทำเวลา” ยามนี้จวนแม่ทัพยังมีงานให้เขาทำอยู่ อีกทั้งยังบางคนที่มิอยากให้เขาออกไปใช้ชีวิตที่อื่นก็มาคอยอ้อนวอนขอร้อง“อื้อ...” เก้าเทียนรุ่ยรับคำก่อนจะยกตนเองขึ้นเพื่อตอบรับเจ้ายักษ์ใหญ่ที่ค่อย ๆ สอดดันเข้ามาในร่างก่อนจะถอนออกอย่างเชื่องช้า แล้วย้อนกลับเข้ามาอีกครั้ง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกครั้งจะลึกขึ้นเรื่อย ๆร่างเล็กบางไหวโยกตามแรงเคลื่อนไหว ผนังด้านในรับรู้สึกแท่งร้อนที่บุกรุกเข้ามาในกายครั้งแล้วครั้งเล่า บ้างก็เชื่องช้า บ้างก็รวดเร็ว“ท่านพี่”ใบหน้าแดงระเรื่อของเก้าเทียนรุ่ย ดวงตากลมใสที่ยามนี้ฉายแววปรารถนาอย่างชัดเจนทำให้เสวียนลิ่วหลางยิ่งถาโถมแท่งร้อนบุกรุกเข้าไปในพื้นที่หวงห้ามด้วยความปรารถนาที่รุนแรง เสียงสะท้อนของร่างกายที่กระทบกันดังทั่วห้องเช่นเดียวกับเสียงหอบของสองคนที่ดำดิ่งกับความใกล้ชิดเสวียนลิ่วหลางพลิกกายบางให้ลงนอนคว่ำ ใบหน้าเก้าเทียนรุ่ยแนบกับหมอนหนุน แขนแกร่งสอดรัดเอวเล็กขณะกดสะโพกพาแท่งเหล็กร้อนให้ดำดิ่งสอดแทรกไปในช่องทางที่อ่อนนุ่มครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนเสียงคำรามจะแผดดังขึ้นพร้อมกระแสความร้อนไหลพุ่งเข้าสู่
“เอาเป็นข้า...” เด็กน้อยเคลื่อนไหวกายเพียงเล็กน้อยแต่กลับรวดเร็วเสียจนแทบจะมองมิทัน เพียงแค่มิถึงหนึ่งจิบชาดูเหมือนว่าทุกคนที่ยังคงอ่อนแรงยกเว้นเสวียนลิ่วหลางก็ดีขึ้น“ข้าช่วยพวกเจ้าได้เพียงแค่นี้ ส่วนที่เหลือก็เป็นเรื่องของพวกเจ้าเองแล้ว”“เดี๋ยว!” เก้าเทียนรุ่ยร้องเรียกเด็กน้อยตรงหน้าที่หันกายจะจากไป“มีอะไรอีก ข้ามิได้คิดร้ายกับพวกเจ้านะ”“เปล่า ข้ามิได้คิดเช่นนั้น แต่...” เก้าเทียนรุ่ยขบเม้มปากเข้าหากัน มิรู้ว่ามันเป็นความรู้สึกของเขาเองหรือเปล่าที่รู้สึกคุ้นเคยกับเด็กน้อยตรงหน้าประมาณหนึ่ง จนมันอดที่จะคิดมิได้“หากเจ้ามิพูดอะไร ข้าจะไปแล้วนะ”“เจ้า...คุณเป็นหนึ่ง” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยเสียงแผ่วเบา“หือ...” คิ้วของเด็กน้อยเลิกขึ้น“ใช่หรือไม่”เด็กน้อยคลี่ยิ้ม ก่อนจะเอ่ยออกไปว่า “จะใช่หรือมิใช่ จะมีสิ่งใดแตกต่างไปล่ะ ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมิอาจย้อนกลับไปแก้ไขสิ่งใดได้แล้ว เจ้านั่นแหละ...ได้โอกาสแล้วก็ใช้ชีวิตนับจากนี้ไปให้มีความสุขเถอะ” กล่าวจบเด็กน้อยที่มิบอกกล่าวให้ทุกคนรู้เป็นผู้ใดจากไปพร้อมกับร่างของเสวียนลิ่วหลางที่ทรุดล้มลงศีรษะแนบชิดกับลำคอเก้าเทียนรุ่ย“ท่านพี่!”“ท่านแม่ทัพ!”