บูรณิการ์มองเพื่อนของตัวเองเต้นโยกย้ายส่ายสะโพกตรงหน้าแล้วก็ยิ้มแล้วหยิบแก้วน้ำเปล่าขึ้นมาดื่มจิบเบาๆ พรุ่งนี้วันหยุดเลยรับนัดเพื่อนออกมาเที่ยว จริงๆ เธอมาเป็นคนขับรถให้เพื่อนมากกว่า เพราะตั้งแต่สมัยเรียนแล้วเธอมากับเพื่อนตลอด แต่ไม่เคยดื่มด้วยเพราะตัวเองคออ่อน เพื่อนๆ จึงให้เป็นคนขับรถ แต่เธอก็เอ็นจอยกับเพื่อนได้ถึงแม้ไม่ดื่ม มีแค่น้ำเปล่า น้ำหวานและกับแกล้มแค่นี้ก็พอแล้วสำหรับเธอ
เธอกินน้ำ กินกับแกล้มโยกตัวไปตามเสียงเพลงในผับแล้วก็ต้องหุบยิ้มร่าเริงเมื่อมีคนมายืนหยุดอยู่ตรงหน้าตัวเอง เธอจำได้ดีว่าผู้ชายตรงหน้าเป็นใคร แม้จะเจอแค่ครั้งเดียว แต่ก็จำได้ดี ยิ้มแบบนี้ ใบหน้าหล่อๆ แบบนี้มีแค่คนเดียวที่เธอเคยเจอ แล้วทำไมเขามาอยู่ตรงนี้ล่ะ
“เจอกันอีกแล้วคนสวย” กองทัพเอ่ยทักทายหญิงสาวที่ตนเห็นแวบแรกก็จำได้ทันทีว่าเมื่ออาทิตย์ที่แล้วตัวเองเจอเธอที่ไหน และก็ไม่รอช้าที่จะเดินเข้ามาทักทายคนตัวเล็ก
บูรณิการ์ทำหน้างง เพราะไม่ได้ยินคำพูดของคนตัวโตตรงหน้า ด้วยเสียงเพลงที่กำลังดังทำให้เธอส่ายหัวเป็นคำพูดว่าไม่เข้าใจที่อีกฝ่ายพูด กองทัพเห็นแบบนั้นก็เดินมายืนข้างเธอที่นั่งกับเก้าอี้แล้วก้มโน้มหน้าลงไปใกล้แก้มเนียนจนเธอต้องหดคอเบี่ยงตัวหลบ แต่ใบหน้าทรงเสน่ห์ก็ตามมา
“เจอกันอีกแล้วนะครับ” กองทัพเอ่ยกระซิบข้างแก้มเนียน และครั้งนี้บูรณิการ์ก็ได้ยินชัด เพราะเขาพูดใกล้หูนิดเดียว เสียงเพลงที่กำลังดังก้องในผับนั้นไม่ได้ดังเท่าคำพูดของคนตัวโตคนนี้เลยสักนิด
“คุณจำฉันได้” หากจะบอกว่าตนเองจำอีกฝ่ายไม่ได้ก็สายไปเสียแล้ว เพราะเธอมองเขาด้วยสายตาที่จำอีกฝ่ายได้
“แน่นอน ผมจำคุณได้และอยากเจอคุณอีกครั้งมาตลอด และคุณเองก็จำผมได้เหมือนกันใช่ไหมสาวน้อย” กองทัพตอบกลับและถามกลับ ก็คำพูดและสายตาของคนตัวเล็กนั้นบอกแทนคำพูดแล้วว่าจำตนได้
คำพูดที่ดังข้างหูทำให้ขนอ่อนในกายสาวลุกซู่ซ่าขึ้นอย่างประหลาด บูรณิการ์เองก็ไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองตอนนี้เหมือนกัน อยากจะเดินหนี แต่แข้งขาก็ไม่มีแรงจะขยับเดิน อย่าว่าแต่เดินขนาดจะยืนก็แทบทรงตัวไม่อยู่และเหมือนว่าคนตัวโตจะรู้ว่าเธอแข้งขาอ่อนจึงตวัดแขนโอบกอดเอวเล็กของเธอรั้งเข้าไปหาเขา
“คะ...คุณจะทำอะไรของคุณ”
“ก็คุณเหมือนจะล้มนี่ ถ้ายืนไม่มั่นคงก็นั่งดีกว่าไหมคนสวย” พูดจบเขาก็ยกอุ้มคนตัวเล็กในวงแขนขึ้นนั่งบนเก้าอี้ด้านหลังของเธอ จริงๆ อยากอุ้มกลับบ้านมากกว่าจะได้คุยกันแบบส่วนตัวและไม่มีเสียงเพลงรบกวน
“ปะ...ปล่อยฉันได้แล้วค่ะ” บูรณิการ์ปัดแกะแขนแข็งแรงที่กอดโอบเอวตัวเองออก
“ให้ผมกอดไว้เถอะ ว่าแต่คุณชื่ออะไร ผมชื่อกองทัพ หรือจะเรียกว่าพี่เหิมก็ได้” เขาก้มหน้าพูดแนะนำตัวเองกับสาวน้อย
“ฉันชื่อบูรณิการ์ค่ะ” สาวน้อยบอกตอบกลับเสียงเบา แต่คนที่ก้มหน้าใกล้ได้ยินชัดเจนแม้เสียงเพลงในผับจะดังมากก็ตาม
“ชื่อเล่นล่ะ” กองทัพถามต่ออีก เพราะเขาอยากเรียกชื่อที่เป็นกันเองกับสาวน้อยในวงแขน
“บีบีค่ะ” ไม่มีเหตุผลที่เธอจะไม่บอกชื่อเล่นกับคนตัวโต
“น่ารัก พี่ชอบ” เขาบอกตอบกลับพร้อมเน้นทุกคำในประโยค
ตั้งแต่เล็กจนโตใช่ว่าจะไม่เคยโดนผู้ชายจีบ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกจู่โจมแบบนี้ทำเอาใจสาวน้อยหวั่นไหวเต้นไม่เป็นจังหวะ ก็คนที่พูดหน้าตาหล่อเข้มแบบนี้ เป็นใครจะใจนิ่งได้ล่ะ ยิ่งถูกเขาโอบกอดแนบชิดแบบนี้ด้วยและลมหายใจของบุรุษก็เป่ารดข้างแก้มเนียนก็ยิ่งทำให้ใจสั่นไหวเต้นผิดจังหวะและดังรัวขึ้นเรื่อยๆ
“ไปทำความรู้จักกันไหม” กองทัพเห็นสาวน้อยไร้เดียงสาก้มหน้าเขินอายตัวเองก็เอ่ยชวนเธอตรงๆ ว่าตนอยากทำความรู้จักคนตัวเล็ก
“รู้จักกันแค่นี้พอแล้วค่ะ” เธอตอบเขากลับ เพราะเธอรู้สึกว่าหากรู้จักมากกว่านี้ ตนเองไม่ปลอดภัยแน่นอน และเรื่องราวของกองทัพ เธอก็ได้ฟังมาจากเพื่อนที่โรงแรมด้วยกันแล้วว่าเป็นยังไง เป็นผู้ชายที่ใช้ผู้หญิงสิ้นเปลืองและก็ไม่เคยพาผู้หญิงคนเดิมกลับไปโรงแรมสักครั้ง ไปทีไรก็พาคนใหม่ไปตลอด
“คนสวยทำไมใจร้ายกับพี่เหิมแบบนี้ฮึ” เขาพูดตัดพ้อราวกับว่าสนิทกับคนตัวเล็กทั้งๆ ที่เพิ่งเจอกันครั้งที่สองเองและขยับตัวไปใกล้ชิดเธอกว่าเดิม แถมแขนก็กอดรัดเอวเล็กคอดแน่นขึ้น
“ปล่อยฉันเถอะค่ะ” เธอขืนตัวเองออกจากวงแขนแข็งแรงจนเกือบจะหงายหลังตกเก้าอี้ที่นั่ง แต่ก็ยังมีแขนใหญ่ของบุรุษโอบกอดรั้งประคองไว้ด้านหลัง
“ถ้าปล่อยเราก็ตกเก้าอี้ ให้พี่กอดไว้เถอะ” กองทัพตีหน้ามึนตอบกลับไม่ยอมปล่อย แต่ยังใช้มืออีกข้างที่ว่างดึงลากเก้าอี้มานั่งข้างเบียดคนตัวเล็กและกอดกระชับเอวเล็กคอดแน่นกว่าเดิม
“คุณไม่ควรทำแบบนี้กับคนที่เพิ่งรู้จัก” เธอบอกเขาเสียงดุ
“ทำมากกว่านี้ก็ทำได้ ถ้าพี่เหิมจะทำกับบีบี”
“คนบ้ากาม!”
“บ้ากามต้องแบบนี้ อะ...อื้อ” แล้วกองทัพก็ปิดปากน้อยช่างเจรจาของบูรณิการ์ทันที ไม่ปล่อยโอกาสให้คนตัวเล็กได้พูดสวนกลับ
บูรณิการ์ไม่คิดว่ากองทัพจะจูบตัวเอง เป็นจูบแรกของตนด้วย เธอทุบตีอกแกร่ง เสียงเพลงในผับที่ดังตอนนี้มันไม่ได้มีผลกับเธอและเหมือนว่าเขาจะไม่ยอมผละปากถอยหนี ยังใช้มือโอบเอวเล็กแน่นแล้วอีกมือรั้งท้ายทอยของเธอให้แหงนเงยขึ้นรองรับปากตน
“อะ...อื้อ” ผู้คนมากมายเดินผ่านไปมา เพราะในผับแห่งนี้ไม่มีใครเขาสนใจกันอยู่แล้ว ทุกคนต่างดื่มและเต้นสนุกกัน กองทัพยกอุ้มคนตัวเล็กขึ้นจากเก้าอี้บดจูบพาเดินออกจากกลุ่มผู้คนไปด้านนอกที่ลับตาคน เขาต้องการมากกว่าจูบหญิงสาว
บูรณิการ์ถูกยกอุ้มเดินผ่านผู้คนมา อยากจะเรียกให้เพื่อนๆ ช่วยตน แต่เพื่อนก็ไม่หันมาทางตนสักคน ทุกคนกำลังสนุกกับการเต้นจนไม่สนใจเธอที่นั่งอยู่และตอนนี้ถูกคนที่เพิ่งรู้จักอุ้มเดินออกมาข้างนอกและปากของเขาก็บดจูบเอาแต่ใจจนแทบจะขาดอากาศหายใจ
“อะ...อื้อ” กองทัพรู้ทันทีว่าตนเป็นจูบแรกของบูรณิการ์ เขาพึงพอใจกับความหวานของโพรงปากน้อยแล้วผละถอนปากหนาออกห่างปากน้อยให้เธอได้หายใจ
อือ!
เมื่อปากได้รับอิสระ เธอก็รีบหอบหายใจนำอากาศเข้าไปเลี้ยงปอดตัวเอง เกิดมาเพิ่งเคยโดนจูบและเป็นจูบที่อุกอาจเหลือเกิน และเมื่อมองเห็นทางที่เขาจะอุ้มตนเองไป
เหมือนเพิ่งผ่านมาเมื่อวานนี้เอง ตอนนี้ลูกชายอายุได้สองขวบแล้ว เด็กชายทัพฟ้า สุปรีย์ หรือน้องบูม และกำลังจะเป็นพี่ชาย เพราะอีกสองเดือนเธอก็จะคลอดลูกคนที่สอง ใครจะคิดว่าชีวิตหลังแต่งงานกับกองทัพของเธอจะมีความสุขขนาดนี้ และเธอไม่อยากเชื่อว่าเสือผู้หญิงอย่างเขาจะจมปลักรักเธอแค่คนเดียว แต่ทุกอย่างมันก็พิสูจน์แล้วว่าเขา ‘รัก’ เธอและมีเธอแค่คนเดียวได้จริงๆ “ยิ้มอะไรอยู่ฮึทูนหัว” กองทัพที่เพิ่งกลับมาจากทำงานเดินเข้ามาหาภรรยาที่กำลังทำมื้อเย็นในครัว ส่วนลูกชายอยู่กับคุณตา คุณยายและคุณลุงที่สนามเด็กเล่น “มีความสุขค่ะ อีกอย่างบีบีก็ยังไม่อยากเชื่อว่าเราสองคนจะรักกัน” “เชื่อเถอะ ท้องสองแล้วนะ แล้ววันหยุดนี้เพื่อนของบีบีจะมากินข้าวที่บ้านด้วยกันไหม” กองทัพถามภรรยาพร้อมปลดกระดุมแขนเสื้อเชิ้ตแล้วพับขึ้นถึงข้อศอก อีกข้างก็ทำเช่นเดียวกัน&nb
พอตากลับมามองเห็นเป็นปกติ กองทัพก็ได้เห็นว่าตอนนี้บูรณิการ์ท้องแก่มากแล้ว และเขาเองก็มีความต้องการเหมือนกัน ตั้งนานแล้วแทบจะลงแดงตาย พอกลับมาถึงบ้าน เขาก็ไม่รอช้าจะอุ้มร่างอวบอิ่มของแม่ของลูกไปยังเตียงนอนนุ่มของตัวเองที่เคยพาบูรณิการ์มานอน “อือ...พี่เหิมอะไรกันคะเนี่ย” “ไม่อะไรแล้วทูนหัว บีบีก็รู้ว่าพี่เหิมเป็นคน ‘เซ็กซ์’ จัดแค่ไหนและก็รู้ว่าพี่เหิมต้องการเรามากแค่ไหนตอนตายังไม่เปิด” “แต่มันกลางวันอยู่นะคะ คุณพ่อ คุณแม่และพี่ชายของพี่เหิมทั้งสองก็อยู่ด้วย” “พวกเขาเข้าใจ ให้พี่เถอะนะ” แล้วเขาก็วางร่างอวบอิ่มที่อุ้มมานอนราบไปกับเตียง “แต่บีบีอายนะคะ” “มีอะไรต้องอายกันบีบี เราเป็นผัวเมียกันนะ พรุ่งนี้เราก็จะไปจดทะเบียนสมรสกันแล้ว”&nbs
นานหลายชั่วโมงกว่ากองทัพจะถูกเข็นออกมาจากห้องผ่าตัดหลังจากผ่าตัดตาเสร็จ หมอบอกว่าเขาจะกลับมามองเห็นได้ปกติ แต่ตอนนี้ให้ทุกคนช่วยดูแลคนป่วยก่อน บูรณิการ์มองคนที่นอนหลับบนเตียงพักฟื้นมีผ้าสีขาวพันที่แขนและที่ตา ยิ่งมองเขานอนนิ่งก็ยิ่งเจ็บปวดและกลัว กลัวว่าเขาจะจากไป โชคดีที่เขายังมีลมหายใจ มือน้อยยกขึ้นปาดป้ายเช็ดน้ำตาที่กำลังไหลอาบแก้มทิ้ง อึก! “ฉันไม่อยากให้คุณตาย ห้ามตายนะ ฮือ...” เธอรู้สึกผิดและเสียใจกับคำพูดตัวเองก่อนหน้านี้ที่พูดกับกองทัพที่บ้าน และคิดว่าเพราะตัวเอง กองทัพถึงเกิดอุบัติเหตุ “พี่เขาปลอดภัยแล้วลูก ไม่ต้องร้องนะหนูบีบี” นารีโอบกอดว่าที่สะใภ้คนเล็กของตัวเองที่กำลังยืนร้องไห้สะอื้นอยู่ข้างเตียง “เพราะหนู เพราะหนูพูดแบบนั้นกับเขา เขาถึงเป็นแบบนี้ อึก! ฮือ...” “ไม่เก
นารีกับเกษมพาลูกชายมาบ้านของผู้ว่าบันลือและครูจิตตราตั้งแต่เช้า มาถึงก็แนะนำตัวพร้อมบอกเจ้าบ้านว่าตนทั้งสามมาที่บ้านของทั้งสองในเช้าวันอาทิตย์นี้ทำไม เจ้าบ้านทั้งสองพอได้ยินเรื่องราวจากปากของกองทัพแล้วก็พากันเม้มปากแน่นเป็นเส้นตรงด้วยความโกรธและไม่พอใจที่ชายหนุ่มทำลายศักดิ์ศรีลูกสาวตนเองและยิ่งได้รู้ว่าตอนนี้บูรณิการ์กำลังตั้งครรภ์ก็ยิ่งโกรธ ทำให้คนที่เดินผ่านมาได้ยินพอดีอย่างบรรณวิช์เดินเข้ามากระชากคอเสื้อของกองทัพขึ้นแล้วอัดหมัดหนักๆ เข้าหน้าอีกฝ่ายเต็มแรงด้วยความโกรธ โดยที่พ่อกับแม่ยังไม่ทันได้พูดอะไร ตุ้บ! โอ๊ย! กองทัพโดนหมัดของพี่ชายบูรณิการ์จนหน้าหัน โหนกแก้มแตก แม้จะไม่พอใจอยากจะสวนกลับ แต่ก็ได้แต่เม้มปากกำมือแน่น เพราะยังไงตัวเองก็เป็นคนผิดและสมควรโดนแบบนี้แล้ว “มึงทำน้อ
ตอนนี้เขาตามหาบูรณิการ์เจอแล้ว จากที่ใช้เวลามาอยู่พักหนึ่ง ตอนนี้พี่ชายทั้งสองก็ประสบปัญหาหัวใจพร้อมกับตนเองและทั้งสองก็ ‘เมีย’ อุ้มท้องหนีไปเหมือนกันกับตน แต่ทุกคนสมหวังกันแล้ว มีความสุขกับพี่สะใภ้แล้ว เหลือแต่เขาที่ยังคงตามง้อบูรณิการ์อยู่ เขาอิจฉาพี่ชายทั้งสองเหลือเกินที่พี่สะใภ้ยอมให้อภัยแล้ว เหลือแต่ตัวเองนี่แหละที่ต้องมานั่งดื่มย้อมใจทุกวันในห้องของโรงแรมที่เคยเป็นสวรรค์ของตนและบูรณิการ์ ห้องนี้แหละที่ทำให้เขาและเธอได้มีเจ้าตัวเล็กด้วยกัน ตื๊ด! ตื๊ด! ตื๊ด! “ครับแม่” เมื่อเห็นว่าเป็นแม่โทรมา เขาจึงรีบรับ ไม่อยากให้ท่านรอนาน “อยู่ไหนน้องเหิม ตอนนี้แม่กับพ่ออยู่บ้านนะลูก” นารีเอ่ยถามลูกชายคนเล็ก นางได้อยู่ยาวตั้งแต่กองพลโดนยิงอาการสาหัสและมีเรื่องวุ่นวายต่อให้จัดการจนตอนนี้ก็ยังไม่ได้กลับไปหาสามีและลูกที่ต่างประเทศ โชคดีที่พวกเขาเข้าใจนางว่าลูกชายทั้งสาม
บัวบูชากับอำนาจมองหลานสาวที่ตนเองรักเหมือนลูกสาวแท้ๆ เพราะทั้งสองแต่งงานอยู่กินด้วยกันมานานยี่สิบปีก็ไม่มีโซ่ท้องคล้องใจ แต่ก็มีหลานสาวและหลานชายลูกพี่ชายมาให้ได้ชื่นใจ และตอนนี้บูรณิการ์ก็มาอยู่ด้วยที่นครปฐม มาช่วยงานที่ร้านทองกิจการของตนและสามีและช่วยจัดการบริหารระบบของตลาดสดให้ใหม่ “คุณว่าหนูบีบีดูซึมๆ ไหมคะ” บัวบูชาถามสามีพร้อมกับมองไปทางหลานสาวที่กำลังนั่งเหม่อลอยอยู่ในสวนหลังบ้านในตอนเช้า “ผมสังเกตตั้งแต่วันแรกที่หลานมาถึงที่นี่แล้วแหละบัว แล้วบัวได้โทรถามพี่บันลือและพี่จิตตรารึยังว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมหนูบีบีถึงตัดสินใจลาออกจากงานที่ชอบแล้วมาอยู่ช่วยงานเราที่นี่” อำนาจเอ่ยกับภรรยา “บัวโทรไปถามพี่บันลือแล้วค่ะ แต่พี่บันลือก็ไม่รู้เรื่องอะไร ทุกอย่างเป็นการตัดสินใจของหนูบีบีเอง อีกอย่างพี่บันลือก็บอกว่าให้หนูบีบีพูดเอง เราอย่าไปเซ้าซี้เดี๋ยวจะทำให้บีบีเกิดความเครียดได้ค่ะ” บัวบูชาบอกสามี&n