ณ หออิงถง
สองบุรุษผู้เกรียงไกรเดินเข้ามาในร้านอาหารที่กำลังครึกครื้น แต่ความจริงแล้วหากเพ่งเล็งให้ดีแล้วละก็จะเห็นว่ามีบุรุษร่างเล็กอีกหนึ่ง ประกบไปด้วยแม่นางร่างน้อยอีกนาง เมื่อก้าวเข้ามาเหยียบในหออิงถงแล้วนั้นสายตาหลายคู่พลันจับจ้อง
สตรีจ้องบุรุษ บุรุษพากันจ้องสตรี ฉับพลันหนึ่งในสามชายหนุ่มหันกลับมาจ้องตาเขม็งให้เหล่าคุณชายเจ้าชู้ทั้งหลาย จากนั้นจึงได้พากันสะดุ้งแล้วรีบร้อนหันกลับไปสนใจอาหารที่โต๊ะตัวเองต่อ
เฮอะ! ทำเป็นหวงไปได้
พวกเจ้าสามคนได้อยู่ท่ามกลางสตรีงามขนาดนี้แท้ๆ แบ่งพวกเขาดูให้ชื่นหัวใจที่แห้งเหี่ยวสักนิดไม่ได้หรืออย่างไรกัน
“เดินดีๆ” จางเหว่ยตวัดสายตาหันกลับมามองซิงซิงอีกครั้ง พร้อมกล่าวน้ำเสียงดุขึ้นมา
“ข้าเดินไม่ดีตรงไหนกัน” สาวงามทำปากมุ่ยไม่พอใจ นางทำเพียงเท่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ใจของเขาเต้นระรัวแล้ว
“เดินอย่างคุณหนูใหญ่...”
พอจางเหว่ยกล่าวขึ้นมา โฉมงามก็หันไปมองคุณหนูของนางอย่างว่าง่าย
บ้าไปแล้ว! ให้นางเดินท่าทางเยี่ยงบุรุษเช่นนั้น นางไม่เอาด้วยหรอกได้ขายหน้ากันพอดี เจ้าบ้านี่จะให้นางทำท่าทางน่าอับอายต่อหน้าผู้คนจำนวนมากขนาดนี้เชียวหรือ คิดได้ดังนั้นแก้มน้อยๆ ของนางก็พลันขึ้นสีระเรื่ออ่อนๆ ขึ้นมา นางไม่ตอบเขาอีกได้แต่เร่งฝีเท้าเดินตามผู้เป็นนายไปแทน
อาหารทั้งหลายถูกจัดตั้งขึ้นมาที่โต๊ะไม้ขนาดใหญ่อย่างรวดเร็ว เสวี่ยเหมยจองที่นั่งบนชั้นสองของหออิงถง เพื่อจะได้ชมบรรยากาศด้านล่างไปด้วย จะได้เปิดหูเปิดตาเสียบ้าง
อาหารบนโต๊ะแต่ละอย่างนั้นน่ากินจนซิงซิงที่ยืนอยู่ข้างจางเหว่ยถึงกับน้ำลายไหล ปลาราดพริกสามรสชาติ เปรี้ยว เค็ม และเผ็ดนั้นล่อตาล่อใจนัก นางได้ยินมาว่าปลาในจานนี้ทอดมาจากปลากะพง ทอดจนเหลืองกรอบแล้วนำมาจัดใส่จาน ราดน้ำพริกลงบนเนื้อปลา อา...กลิ่นก็ช่างยั่วยวนนัก แล้วไหนจะเป็ดตุ๋นเนื้อแดงนั้นอีก เนื้อคงจะนุ่มมากเป็นแน่กระมัง เกี๊ยวน้ำยัดกุ้งใส่เนื้อแน่นแค่มองปราดเดียวก็รู้ น้ำซุปก็ช่างหอมหวนเหลือเกิน หมูทอดราดซอสเปรี้ยวหวานนั่นก็ปะไร ไก่ย่างอบน้ำผึ้งก็ด้วย แล้วยังมีตบท้ายด้วยของหวาน คือเผือกบวชชามโตขนาดนี้
คุณหนูของนางจะกินหมดที่ไหนกัน!
“เอาล่ะ พวกเจ้ามากินด้วยกันเถิด” เสวี่ยเหมยกล่าวขึ้น
ในสายตาของนาง พวกซิงซิงเปรียบเสมือนสหาย เป็นดังพี่สาวและพี่ชายทุกคนล้วนผูกพันกันมานาน นับตั้งแต่นางเด็กมาจนโตขนาดนี้ หากไม่มีพวกเขานางคงใช้ชีวิตแต่ละวันเหงาและอ้างว้างมากทีเดียว
“ไม่ดีหรอกคุณหนูใหญ่ พวกข้ามิอาจเอื้อม” ขณะที่ซิงซิงเตรียมพยักหน้าตอบรับคำเชิญอยู่แล้วนั้น เสียงของจางเหล่ยพลันดังแทรกขึ้นมา โธ่! พี่ชายทำกับข้าเช่นนี้ได้อย่างไร ของกินบนโต๊ะคุณหนูเยอะเพียงนั้นนางจะกินหมดคนเดียวได้หรือ
ถึงนางจะคิดเช่นนั้น แต่พอคิดดูแล้วที่จางเหล่ยพูดก็นับว่ามีเหตุผล พวกนางเป็นแค่บ่าวรับใช้จะให้ไปร่วมโต๊ะกับเจ้านายหรือ มิควรกระมัง
“ดีสิ” เสวี่ยเหมยคลี่ยิ้ม และเอ่ยต่อว่า “ถ้าไม่มากิน ข้าจะไปฝึกยุทธ์กับพวกเจ้าสองคนทุกเย็นเลย”
ยังไม่ทันได้กล่าวเสร็จ สองร่างใหญ่พลันขยับกายอย่างไวว่องนั่งด้านหน้าคุณหนูใหญ่อย่างสงบเสงี่ยมแม้แต่ซิงซิงเองก็ยังมองไม่ทัน เห็นดังนั้นนางจึงรีบตรงมานั่งข้างๆ คุณหนูของนางอย่างดีใจทันที
บ้าไปแล้ว! จะให้นางมาทุกเย็นไม่ได้เด็ดขาด ลำพังแค่อาทิตย์ละสองวันพวกเขาก็จะตายอยู่แล้ว นางเก็บกดมาจากที่ใด ซ้อมได้ไม่มีเหน็ดเหนื่อย จากนั้นสองหนุ่มแฝดก็พากันหายใจอย่างโล่งอก ลมหายใจที่ถูกพ่นออกมาบางเบาแม้แต่นางที่เป็นเหตุให้เกิดเรื่องกลุ้มใจก็ไม่ได้ยิน
เสวี่ยเหมยมองไปยังซิงซิงที่ทำท่าทางมีความสุขกับอาหารทั้งหลายตรงหน้าก็คิดขึ้นมาว่า พวกเขานี่ยังไงกัน ซิงซิงของนางน้ำลายจะหกอยู่แล้ว ช่างไม่รู้จักเอาใจสาวงามกันเลยจริงๆ
ยามนี้เสวี่ยเหมยนางเป็นเพียงแม่นางตัวน้อย จึงทานได้ไม่กี่คำก็อิ่มแปล้แล้ว แต่เหล่าคนของนางยังทานกันไม่เสร็จ นางเลยขอลุกออกไปเดินเล่นรอใกล้ๆ หออิงถง จางเหล่ยและจางเหว่ยทั้งสองล้วนมีวรยุทธ์ สามารถหานางเจอได้ง่าย ดังนั้นนางเลยไม่กลัวว่าต้องทำให้ผู้ใดเป็นห่วง
เมื่อเดินออกมาจากห้องแล้ว ฉับพลันนางเหลือบไปเห็นเงาตะคุ่มดำๆ อยู่ในซอกใต้บันไดของทางขึ้นชั้นสาม ในสถานการณ์เช่นนี้ นางจึงคิดออกเป็นอย่างเดียวว่า
โจร!
และต้องเป็นโจรชั่วช้า ไม่งั้นจะมาทำอะไรน่าสงสัยเช่นนี้ นางพยายามทำฝีเท้าให้เบาที่สุด เพื่อไม่ให้ ‘โจรร้าย’ ได้รู้ตัวจากนั้นก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วคิดจะไปเกี่ยวคอคนตรงหน้าเสียให้เข็ด
ทว่า... เหตุใดเจ้าโจรผู้นี้จึงพลิกสถานการณ์ได้เร็วนัก นางยังไม่ทันแตะโดนตัวเลยด้วยซ้ำ ไฉนจึงกลายเป็นว่าตอนนี้นางโดนโจรชั่วผู้นี้ ซึ่งยังไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นชายหรือหญิงกันแน่ กักขังนางไว้ใต้วงแขนอีกฝ่ายแทน
ช่างน่าอับอายนัก!
แต่รอนานเข้าคนเหนือร่างที่จับข้อแขนของนางตรึงไว้นั้นไม่ขยับปากพูดเสียที นางจึงทนไม่ไหวกล่าวด้วยความโมโห “เจ้าจะทำอันใด โจรชั่วช้า!” นางเอ่ยถามเสียงเข้มทำให้น้ำเสียงดูใหญ่ที่สุด
สตรี?
นางถึงกับเป็นสตรี หากนางไม่พูดเขาก็คิดว่าเป็นบุรุษเสียแล้ว เพราะนางสวมชุดผู้ชาย ยามเมื่อได้มองนางครั้งแรกเมื่อครู่ เขาเกือบจะประทานฉายาไปให้ว่าบุรุษหน้าหยกซะแล้ว
ช่าง...เหนือความคาดหมายยิ่งนัก
ชายหนุ่มพินิจมอง ‘สตรี’ ด้านล่างอย่างละเอียดอีกครั้ง แสงจากด้านนอกสอดส่องเข้ามาเขาจึงสามารถเห็นนางได้ชัดเจน นางหน้าตางดงามนัก แลดูคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ดวงตาเล็กเรียวหงส์ชี้เป็นเส้นตรงยาวประกอบกับไฝใต้ตาทำให้แฝงไปด้วยเสน่ห์อันเย้ายวน จมูกเล็กแต่สูงโด่งเรียวบางสะกิดใจผู้คนที่ได้พบเห็นและปากเล็กๆ จิ้มลิ้มของนางชวนมองยิ่งนัก แค่ดวงหน้านางตอนนี้ก็เข้ามาสลักลึกในใจเขาโดยไม่รู้ตัวแล้ว...
ยามนี้ชายหนุ่มจึงได้ยึดเอานางไว้เป็นโฉมสะคราญอันดับหนึ่งในใจเขาไปเสียแล้ว แค่ของเขาผู้เดียว...
“น้องชายท่านนี้ อยู่ดีๆ มากล่าวหาว่าข้าเป็นโจรผู้ร้ายได้อย่างไร” มุมปากของบุรุษเหนือร่างยกยิ้มขึ้นมา นางไม่เห็นแต่กลับสัมผัสได้ว่าเขากำลังยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์อยู่ ที่สำคัญ....เขาเป็นบุรุษ แบบนี้มิควรกระมัง…
ไม่สิ! ตอนนี้นางก็เป็นบุรุษอยู่นี่นา
เสวี่ยเหมยคิดได้ดังนั้นจึงยกยิ้มมุมปากบ้าง “ข้าคงต้องถามพี่ชายมากกว่า เหตุใดมาทำท่าทางน่าสงสัยใต้บันไดนี่เล่า ผู้ใดเห็นเป็นต้องเข้าใจผิดอยู่แล้ว หากมิใช่โจรผู้ร้ายก็ขอฟังเหตุผลจากพี่ชายสักหน่อยเถิด”
บุรุษหนุ่มเกือบจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ไหว เขาอดทนจนตอนนี้ใบหน้าบิดเบี้ยวไปแล้ว แก้มทั้งสองล้วนพองไปหมด นางเลียนเสียงชายชาตรีไม่เก่งจริงๆ ทำเอาน้ำเสียงใสๆ ชวนฟังเฉกเช่นสตรีทุกคนต้องมีเป็นเอกลักษณ์หลุดออกมาปะปน
ข้างใต้บันไดนั้นค่อนข้างทึบแสง ถ้าเสวี่ยเหมยแหงนหน้ามองขึ้นไปจะกลายเป็นว่าเห็นเพียงเงาดำๆ แทน แต่ดูแสงอันน้อยนิดที่เฉียดเข้ามากระทบใบหน้าชายหนุ่มผู้นี้แล้ว รูปหน้าของเขาค่อนข้างดูคมคาย สันจมูกโด่งสวย เรียวปากดูบาง ตัวเขาใหญ่มาก เหตุใดตอนแรกนางจึงลังเลเสียได้ว่าเขาจะเป็นชายหรือหญิง และคนผู้นี้ก็แผ่รังสีน่าเกรงขามสง่างามออกมาไม่น้อยเลย
เขายังไม่ได้ตอบคำถามนาง พลันเหลือบไปเห็นด้านข้างแก้มซ้ายของนางมีอะไรติดอยู่ เล็กและดำเป็นเหมือนรอยลึกๆ เดิมทีคิดจะช่วยปัดออกให้นาง แต่มือใหญ่ที่เอื้อมออกไปกลับหยุดชะงักลง
ก็แค่ลักยิ้มคนงามเอง
ยิ่งนางเม้มปากแน่น กลับเห็นรอยเสน่ห์นี้ชัดเจนขึ้น เขาเพ่งมองสีหน้าที่ไม่พอใจของนาง นับว่าน่าสนใจนัก แม่นางน้อยลูกสาวบ้านผู้ใดกันนะ...
หลังจากเหตุการณ์นองเลือดในจวนแม่ทัพสือจบลงชินอ๋องก็ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน กำราบชนเผ่าหลาเหม่าจนสิ้น ไม่ให้เหลือรอดมีชีวิตแม้แต่คนเดียว องค์หญิงฝานฮุ่ยเองก็ไม่กลับวังหลวงของแคว้นตัวเองแต่เลือกที่จะอยู่เป็นฮูหยินแม่ทัพอยู่ที่เมืองเหอเถิงชินอ๋องหนุ่มกลับจวนมายามใดเป็นอันต้องกรอกสุราเข้าปากไม่จบไม่สิ้น บางวันถึงขั้นไม่อาบน้ำนอนอยู่ศาลาที่มีหิมะตกลงมาเป็นสาย หมัวมัวและเสี่ยวจูที่ยังร้องจนสองตาปูดบวมอยู่ก็ยิ่งร้องหนักเข้าไปอีกที่ชินอ๋องเป็นเช่นนี้พระชายาจากไปแล้วไม่หวนกลับ นี่คือเรื่องจริง...หลิงหมัวมัวอุ้มเสี่ยวซื่อจื่อน้อยไว้อย่างดี เด็กน้อยไม่รู้สักนิดว่ายามนี้จวนแห่งนี้กำลังอยู่ในบรรยากาศโศกเศร้า ได้แต่หัวเราะคิกคักชี้ดอกเหมยที่ปลิวไปมาตามสายลมดอกเหมยกลีบหนึ่งร่วงลงมาสัมผัสบนใบหน้าชินอ๋องที่กำลังสะลึมสะลืออยู่ ฉับพลันน้ำตาเขาก็ไหลลงมาไม่หยุด ดอกเหมยกลีบนี้เสมือนภรรยาเขาที่กำลังมาปลอบโยนเขาเช่นทุกครั้ง แต่ดอกเหมยกลีบนี้กลับไม่อบอุ่นเหมือนอ้อมกอดของนางสักนิดไม่มีนางเขาอยู่ไม่ได้ ขอแค่คืนนางกลับมา...“คืนนางมาให้ข้า...” เสียงแหบแห้งแทบไม่ได้ศัพท์ร้องบอกเบื้องบนหวังว่าจะมีสักคนที่ไ
ในฤดูร้อนที่เมืองหมานของอาณาจักรแคว้นฝูหยวนคนต่างเมืองมักจะชอบมาเที่ยวกันจนเมืองหมานที่ใหญ่เกือบเท่าเมืองหลวงแออัดไปในทันที เสวี่ยเหมยที่ยามนี้เพิ่งจะห้าขวบแอบหนีออกมาเที่ยวเล่นครั้งแรกเพื่อเปิดหูเปิดตาบ้าง ผู้ใดใช้ให้จางเหว่ยกับจางเหล่ยทิ้งนางไปฝึกวรยุทธ์กัน ส่วนซิงซิงเองก็ทอดทิ้งนางไปปักผ้าอะไรก็ไม่รู้ เมื่อสาวใช้ผู้นั้นมาส่งนางในห้องแล้วทำเป็นกล่อมนางเข้านอน นางแค่แกล้งหลับตาซิงซิงก็ติดกับแล้ว!เสวี่ยเหมยแอบหยิบถุงเงินที่ท่านตาชอบมอบให้เวลาไปเยี่ยมบ้านนู้นที่นางซุกซ่อนไว้อย่างดีออกมาด้วย นางมองเห็นร้านขนมน้ำตาลปั้นมาแต่ไกล สองตาเล็กก็ลุกวาวด้วยความอยากกินมานาน อยู่ในจวนซิงซิงมักสั่งห้ามนาง บอกว่าเป็นสตรีกินเดือนละครั้งก็พอ ไม่อย่างนั้นสุขภาพฟันจะไม่ดีนางรู้วิธีรักษาหรอก! บังอาจมาบังคับให้เด็กอายุห้าขวบเช่นนางงดกินของโปรดงั้นหรือแต่ใกล้ๆร้านนั้น กลับมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนเหม่อลอยอยู่ สายตาของเขากวาดมองผู้ใดอยู่นางก็ไม่อาจรู้ได้ แต่ก็ยอมมองตามเขาก่อนจะพบว่าเขามองผู้คนถือขนมแล้วกินกันอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ช่างน่าสงสารนัก!“ท่านลุงๆ เอาขนมรูปกระต่ายสองไม้เจ้าค่ะ” พ่อค้าขายขนมได้ยินแต่เ
เมื่อรถม้าเคลื่อนมาถึงจวนแม่ทัพ เสวี่ยเหมยที่นั่งอยู่ในรถม้าเพียงคนเดียว ก้าวลงมาช้าๆ เหมือนเหตุการณ์เดิมทุกอย่างขาดแค่บุรุษเคียงข้างกายเท่านั้น ยามนี้เขาอยู่ซุ่มรอโจมตีกับพวกทหารในใต้บังคับบัญชา แอบแฝงตัวอยู่รอบจวนแม่ทัพโดยที่ซ่อนตัวอย่างดีไม่ให้ใครได้รู้“เกี้ยวแต่งงานขององค์หญิงฝานฮุ่ยแคว้นชุนไห่เสด็จมาถึงแล้ว!”เสวี่ยเหมยมองไปยังขบวนยาวเหยียด ที่ยามนี้เจ้าสาวในเกี้ยวโผล่หัวออกมามองด้านนอกอย่างกับเด็กซนๆ ผู้หนึ่ง สือหลุนอี้ไม่ได้ผงะให้กับเจ้าสาวของเขาอีกต่อไปแต่ทว่าดวงตาบุรุษฉายแววมีความสุขและความอาลัยจนมากล้น“เซียนข้าว!!” ฝานฮุ่ยเห็นร่างที่คุ้นเคยผ่านผ้าคลุมสีแดงผืนบาง แม้ว่าอีกฝ่ายจะสวมผ้าคลุมอยู่นางก็จำสหายได้ เพราะอยู่ด้วยกันมานานเกือบสามเดือน จึงโบกมือให้นางมาแต่ไกล “ข้าอึดอัดจะแย่!”“กลับเข้าไปซะ!” หญู๋เติ้งข่านบังคับม้ามาข้างเกี้ยว ดันหัวน้องสาวกลับเข้าไปตามเดิม นางอายุสิบเก้าแล้วแท้ๆ ยังดื้อดึงไม่เปลี่ยนเลยสักนิดนางมองเหตุการณ์ที่ดำเนินไปอย่างเหมือนเดิมทุกอย่างเงียบๆ ขอแค่ผ่านตรงนี้ไปได้ทุกคนจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ขอแค่ผ่านมันไปได้ก็พอหลังจากผ่านพิธีกราบไหว้ฟ้าดินแล
เสวี่ยเหมยพิจารณาชายหนุ่มอย่างละเอียดอีกครั้งแต่ดูแล้วเขาไม่ได้มีท่าทีสนิทกับนางเลยสักนิด อาจจะพูดว่าทำตัวห่างไกลเสียด้วยซ้ำ แถมแววตาก็ดูมีความเคารพนางเสียส่วนใหญ่ไม่ใช่!หากเป็นเขาจะต้องเรียกนางอย่างอ่อนโยนว่าเหมยเอ๋อร์ เขาไม่เคยเรียกชื่อนางลักษณะนี้ด้วยซ้ำนอกจากเวลาโกรธ แววตาคู่นั้นก็ไม่ได้มองมาราวกับรักนางอย่างลึกซึ้งเช่นเขา แต่แล้วพอชายหนุ่มตรงหน้าค่อยๆ ถอดผ้าปิดปากออกเผยให้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยนั้นนางก็แทบจะสลบไปทันที“แม่ทัพสือ”นางจำได้แล้ว! ชายที่ถูกรถชนพร้อมกับนางเป็นเขาย่อมไม่ผิดแน่ ยามนั้นนางเห็นเขาสวมผ้าปิดปากเช่นตอนนี้ แต่ว่าตอนนั้นทั้งคู่ก็สองตาพร่ามัวล้วนจำใบหน้ากันไม่ได้ แต่ยามนี้พอได้เห็นอีกฝ่ายที่เคยพบกันในแคว้นฝูหยวนต่างก็เดาเรื่องราวและจำกันได้ทันทีทั้งสองจึงหาที่นั่งคุยกันพร้อมกับเปิดใจหาคนรักที่โลกอีกโลกหนึ่ง นางได้ยินสือหลุนอี้เล่าว่าเขาเป็นเพียงพ่อครัวคนหนึ่งเท่านั้น แต่ว่ากลับชอบมีแฟนคลับมากมายมาล้อมหน้าล้อมหลังเสมอ จนเขาต้องสวมผ้าปิดปากไว้ไม่ให้เด่นจนเกิดไป พอกลับมาโลกเดิมเขาวิ่งมาที่ขายไอศกรีมเป็นที่แรกแต่พบว่ามันไม่มีเหตุการณ์เหมือนเดิมแล้ว เขาอยากกลับไปห
“ไม่!” เสวี่ยเหมยหายใจเฮือกใหญ่แล้วสะดุ้งตื่นขึ้นมา ทว่าตัวนางในยามนี้กำลังอยู่บนเครื่องบิน! ไม่ถูก นี่มันไม่ถูกต้อง“ลิสา อย่าเสียงดัง ทำไมถึงร้องไห้ล่ะ ฝันร้ายหรือ” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งสะกิดไล่นางเบาๆ แต่ว่าทำไมช่างดูคุ้นตาเหลือเกิน ไม่จริง! นี่มันไม่จริงล่ะมั้ง“ผิง”เสียงเอ่ยตอบเพื่อนสาวแผ่วเบาออกมาจากปากเล็ก รูปร่างหน้าตาทุกอย่างเหมือนกับเสวี่ยเหมยในแคว้นฝูหยวนทุกอย่าง แต่นางไม่เข้าใจว่าทำไมหน้าตาเช่นนี้จึงกลายเป็นโฉมสะคราญในโลกยุคนั้นได้ ทั้งที่ยุคสมัยปัจจุบันนี้คนหน้าตาสวยกว่านางมีมากถมไป“ไม่สบายเหรอ” ขนมผิงรีบเอามือแตะหน้าผากตัวเธอแล้วก็เพื่อนสาวที่ร้องไห้ออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยไปพร้อมกัน “ตัวไม่ร้อนนี่นา”เสวี่ยเหมยได้แต่คิดว่าหรือเรื่องทั้งหมดนางแค่ฝันไป หากแต่ถ้าเป็นความฝันไยต้องร้องไห้ออกมาทันทีที่ตื่น หากเป็นความฝันไยต้องเจ็บหน้าอกที่ถูกธนูยิงผ่านไม่จางหาย หากเป็นความฝันใช่ว่านางจะติดอยู่ยาวนานตั้งแต่เกิดจนอายุยี่สิบปีเชียวหรือ! มันย่อมไม่ใช่ความฝัน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นคือเรื่องจริง เพียงตื่นขึ้นมาก็เกือบจะจำสหายทั้งสามคนไม่ได้แถมนางยังฟังภาษาของนักเรียนแลกเปลี่ยนที่เ
เผลอครู่เดียวฤดูเหมันต์จะผ่านไปอีกแล้วเสวี่ยเหมยนั่งอยู่ในรถม้าคันใหญ่พลันคิดเงียบๆ ผู้เดียว เวลาผ่านไปรวดเร็วนัก ทั้งที่เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นมานานแล้ว แต่นางก็รู้สึกว่ามันดำเนินไปเร็วจริงๆเส้นทางคดเคี้ยวไปมาก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงหน้าจวนหลังใหญ่ที่ประดับด้วยผ้าแดงมงคลเต็มไปหมด แม่ทัพสือหลุนอี้แต่งอาภรณ์สีแดงยืนอยู่หน้าจวนแม่ทัพ เวลาผ่านมาเพียงสองปีแต่รูปร่างเขากลับกำยำขึ้นมาไม่น้อยหิมะขาวโพลนตกลงมาไม่หยุด ทั้งที่ปีก่อนปลายเหมันต์หิมะก็เริ่มเบาบางลงมาแล้ว ชินอ๋องหนุ่มนั่งกอดภรรยาที่เหม่อลอยครุ่นคิดสิ่งใดอยู่ไม่รู้ แต่เขาก็ไม่อยากไปรบกวนนางได้แต่ตระกองกอดไว้แนบแน่นให้ความอบอุ่นผ่านกายใหญ่ไปสู่กายเล็กแสนบอบบาง“หรงจวิ้น เราก็ลงกันเถอะ” นางได้สติก่อนจะหันไปหาสามีที่นัยน์ตาเริ่มทอประกายเร่าร้อนขึ้นมา เสวี่ยเหมยจึงรีบตัดความคิดเขาทันที “ลงกันเถอะ!”“เมื่อครู่จะเข้าด้ายเข้าเข็มอยู่แล้ว แต่ถูกเสี่ยวอี้ขัดขวางเสียได้” เขาพูดพร้อมกับใช้มือใหญ่ล้วงเข้าไปในอาภรณ์ร่างบาง นางสั่นสะท้านน้อยๆ ก่อนจะหันไปหาเขา ให้ชายหนุ่มเปิดผ้าคลุมครึ่งหน้าออกแล้วสอดเรียวลิ้นเย็นเฉียบเข้ามาในโพรงปากควานหาน้ำหวานใน