๗
ชิงป๋ายร้อนวิชา
ชิงป๋ายหวังว่าจะได้ลองวิชาในลำธารแต่ไม่สมหวัง เพราะจู่ ๆ ฝนก็ตั้งเค้าทั้งคู่จึงรีบกลับจวน
จนกระทั่งลงกลอนประตูด้านในแล้วเดินเข้ามาในตัวเรือนแล้ว ชิงป๋ายก็ไม่ยับยั้งชั่งใจอีกต่อไป
แขนแกร่งสวมกอดร่างบางอันชุ่มไปด้วยน้ำฝน ริมฝีปากขบเม้มใบหูขาวสะอาด ตวัดลิ้นชิมรสหญิงสาวด้วยความร้อนใจประสาชายหนุ่มเพิ่งริลองกายสาว
เฟิ่งเฟยยืนนิ่ง ๆ ให้โอกาสเขาได้ทำความคุ้นเคยกับร่างกายของนาง มือหนาปลดเสื้อผ้าของนางออกด้วยความรวดเร็ว จับนางหันกายเข้าหาตนพร้อมตะโบมจูบไม่ให้จังหวะหยุดชะงัก
สองมือใหญ่ปลดชุดตนเองจนร่างกายสมบูรณ์แบบไร้อาภรณ์ติดกาย เมื่อขจัดสิ่งกีดขวางแล้ว เขาก็กดสองแขนเรียวเล็กแนบประตู ใช้ปลายลิ้นชิมเนื้อนางทุกซอกทุกมุม ทั้งยังกดลึกจนผิวเนื้อเนียนละเอียดขึ้นสีกุหลาบ
“หวานนัก”
ผละริมฝีปากออกมาชั่วขณะชมเปาะ ก่อนจะก้มหน้าลงชิมก้อนเนื้อนุ่มทั้งสองข้าง
กลางกายของเขาชูชันขึ้นเรื่อย ๆ จากการที่เขาไม่ปลดปล่อยออกมาในทันที ทำให้รู้ว่าเขาคงผ่านการช่วยตัวเองมานับครั้งไม่ถ้วน ยามนี้เมื่อเจอของจริงจึงสามารถควบคุมได้ในระดับหนึ่ง
ร่างสูงย่อกายลง อีกเพียงนิด ลิ้นของเขาก็จะแตะลงบนเนินเนื้อสามเหลี่ยมอยู่รอมร่อ หากไม่ใช่เพราะว่าเฟิ่งเฟยจับหน้าเขาขึ้นมาจุมพิตกันก่อน
ที่นางห้ามไม่ใช่เพราะว่าจะถ่วงเวลาแต่อย่างใด เป็นเพราะ...
“คุณชาย คุณชายขอรับ คุณชายชิงอยู่แถวนี้หรือไม่”
ชิงป๋ายชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงลูกน้องคนสนิท
เขามองหน้าเฟิ่งเฟยอย่างขอคำปรึกษาซึ่งนางก็แนะนำให้เขากลับตระกูลชิงไปก่อนแล้วค่อยกำหนดเวลามารับตัวนางเข้าไปในจวน
“แล้วคืนนี้ข้าจะมาหา ข้าจะบอกให้องครักษ์พักโรงเตี๊ยมในเมืองก่อนสักคืนสองคืน”
ก่อนจากเขาก็ได้จุมพิตริมฝีปากนุ่มอย่างโหยหา ในใจเฝ้ารอให้ถึงคืนนี้เร็ว ๆ
โดยไม่คิดเลยว่าค่ำคืนที่เขาใฝ่ฝัน จะได้เห็นบุรุษร่างกายสูงใหญ่คนหนึ่งมาเคาะประตูจวนของเฟิ่งเฟย ดวงตาสาดประกายเย็นชาในทันทีเมื่อเห็นบุรุษคนนั้นสวมกอดร่างบาง
“มิใช่ว่าต้องไปนำทัพหรือ นี่เพิ่งผ่านไปคืนเดียว เหตุใดถึงกลับมาแล้วล่ะ”
“ข้าทนคิดถึงท่านไม่ไหวเลยเสนอให้ชินอ๋องตีเมืองหน้าด่านของชิงไฮ้ให้แตกยับ ส่วนทัพใหญ่จะต้องแบ่งคนมาช่วยทางนี้แน่ ดีที่ทางใต้มีกำลังเรือนแสน มากพอจะยึดครองเมืองหน้าด่านได้”
ทั้งสองเดินเข้าไปในจวน ชิงป๋ายก็เดินผ่านประตูรั้วที่ไม่ได้ลงกลอนเอาไว้เข้าไปเงียบ ๆ
หู่ชิงเป็นนักรบมากฝีมือ เขาสามารถรับรู้การมีอยู่ของคนได้ ครั้งชินอ๋องเป็นเพราะเขาตั้งใจทำเป็นไม่รู้ แต่สำหรับชิงป๋ายเขาไม่รู้ตัวจริง ๆ
...เพราะเฟิ่งเฟยทำให้เขาไม่อาจรับรู้ได้!
การตีตราจองไม่เพียงจะได้รับการปกป้องจากปีกเท่านั้น แต่เฟิ่งเฟยยังสามารถร่ายเวทต่าง ๆ ใส่เขาได้ในระยะไกลอีกด้วย
“แม่ทัพหนีทัพ ไม่ประจำการทัพแล้วใครจะควบคุมดูแล”
“แม้ข้าจะไม่เคยคุมทัพนี้ แต่พวกเขาย่อมรู้กิตติศัพท์ของข้า ผ่านการโดนล้างบางมาทำให้ข้าไม่คิดจะอุทิศชีวิตให้กองทัพถึงเพียงนั้นแล้ว”
ทั้งสองไม่ได้เข้าไปในเรือน แต่นั่งอยู่ที่ศาลาในสวน หู่ชิงยกร่างบางนั่งบนตัก กดจมูกสูดกลิ่นหอมเข้าปอด
“อยู่ ๆ ข้าก็รู้สึกเหมือนโดนแย่งของรัก”
เอ่ยเสียงทุ้มต่ำพร้อมพรมจูบตั้งแต่ขมับเล็กลงมายังแก้มนุ่ม ฟันขาวขบเบา ๆ อย่างมันเขี้ยว มือไม้ไม่อยู่สุข จับตรงนั้นบีบตรงนี้จนสาวงามมีอารมณ์ร่วมด้วย
เขาจับร่างบางให้หันหน้าเข้าหาเขา ขาเรียวยาวตวัดรัดเอวสอบ สองแขนโอบรอบคอหนา เงยหน้ารับจูบแสนหวานจากเขา
แก่นกายแข็งดุนดันขึ้น มือบางข้างหนึ่งเปลี่ยนมาจับแก่นกายหนา ดึงมันผ่านเนื้อผ้าจนเจ้าของแก่นกายครางเสียงทุ้มในลำคอ
หู่ชิงไม่สนการปลุกเร้าอีกต่อไป ช้อนสะโพกเด้งขึ้นแล้วกดลงให้สอดเข้ากับแก่นกายของเขาพร้อมยกสะโพกนางขึ้นลงช้า ๆ
ใบหน้างามฝังลงบนลำคอหนา ลมหายใจกระชั้น จังหวะไหนที่กดเข้าลึกถึงจุดสุดยอด ฟันเล็กก็จะขบเนื้อเขาเป็นการระบายอารมณ์ จนผิวเนื้อรอบคอขึ้นรอยฟันเต็มไปหมด
“อ๊า...”
ที่นั่งศาลาสั่นสะเทือนอยู่นาน กว่าที่พายุรักจะสงบลงไปหนึ่งรอบ เดิมทีคิดจะมาดูหน้าให้หายคิดถึงเท่านั้น แต่กลายเป็นว่าได้เอาเปรียบนางอีกแล้ว
“อีกรอบได้หรือไม่”
หู่ชิงกอดรัดร่างหอมกรุ่นอยู่นาน เมื่อเรี่ยวแรงกลับมาก็ขอนางอีกครั้ง แต่เฟิ่งเฟยส่ายหน้าปฏิเสธ หู่ชิงจึงถอนหายใจอย่างเสียดายแล้วอุ้มร่างบางเข้าไปส่งถึงเตียงนอน
ร่างบางเสื้อผ้าอยู่ครบแต่หลุดลุ่ย หู่ชิงมองใบหน้างามอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะจุมพิตหน้าผากใสเบา ๆ ขณะที่เฟิ่งเฟยกำลังเคลิ้ม หู่ชิงก็จับขาเรียวแยกออกแล้วใช้ลิ้นตวัดเลียกลางกายสาว โดยอ้างว่าจะทำความสะอาดให้
เฟิ่งเฟยหลับตาพริ้มเอาแรง แต่พอลืมตาขึ้นมาอีกที คนที่กำลังดูดเลียกลางกายสาวอย่างหิวกระหายกลับเป็นชิงป๋ายแทน!
๔๖ตำนานตลอดไป งานแต่งงานของเฟิ่งเฟยและตานติ่งเฮ่อถูกเนรมิตให้เป็นดั่งดินแดนบุปผาจากฝีมือของปีศาจบุปผา ดอกไม้นานาชนิดเป็นสีดำ แดง ม่วงและน้ำเงินถูกจัดไว้อย่างลงตัวในห้องโถง แขกที่มาร่วมงานต่างเพลิดเพลินไปกับการชมดอกไม้ขณะรอพิธีการเริ่ม พิธีการแต่งงานของแดนปีศาจไม่มากขั้นตอน บ่าวสาวเพียงใส่ชุดแต่งงานแล้วร่วมกรีดเลือดสาบานตนต่อหน้าแขกเหรื่อทั้งงาน เลือดที่กรีดจากกริชเงินจะถูกหยดลงศิลานิรันดร์กาล เครื่องหมายอันแสดงว่าชายหญิงได้ร่วมพิธีสาบานตนกันแล้ว หากใครผิดคำสาบานจะโดนศิลานิรันดร์กาลสำเร็จโทษเอง “บ่าวสาวมาถึงแล้ว” เมื่อฤกษ์ยามมาถึง ผู้ดำเนินการในพิธีก็เบิกตัวบ่าวสาวเข้าสู่ห้องโถง แขกในงานอยู่ในความเงียบสงบ หันไปทางเข้าประตูห้องโถงใหญ่ เมื่อสองเท้าต่างขนาดก้าวเข้ามาด้านใน ทุกคนก็ปรบมือต้อนรับเป็นการให้เกียรติตัวเอกของงาน เฟิ่งเฟยใส่ชุดสีแดงบ่อยแล้ว นางจึงขอเจ้าบ่าวใส่ชุดแต่งงานสีขาวทั้งตัวแทน ดอกไม้และชุดของแขกเป็นโทนทึบ เมื่อเห็นบ่าวสาวอยู่ในชุดสีขาวกันทั้งคู่ทำให้ดูสว่างไสวโดดเด่นราวกับมีแสงตกกระทบ “ท่านพ่อ”
๔๕มือเย็นใจอุ่น เฟิ่งเฟยกำลังอึ้งกับสารที่เพิ่งได้รับมาเมื่อครู่นี้ เดินใจลอยในหัวคิดโน้นนี่นั่น รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ตานติ่งเฮ่อพานางมาหยุดอยู่ที่รังไหมด้านหลังตำหนักประมุขปีศาจ “เฮ่อเกอพาข้ามาที่นี่ทำไมเจ้าคะ” นางหลุดออกจากภวังค์ได้เพราะมือหนากระตุกมือนางเบา ๆ เพราะความจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเป็นผลให้สมองของนางประมวลผลได้ช้า ลืมไปแล้วว่ารังไหมที่อยู่ตรงนี้มีไว้สำหรับทำอะไร “มนุษย์สองคนนั้นอย่างไรเล่า ตอนนี้พวกเขากำลังอยู่ในช่วงฟักตัว เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเขาต้องใช้เวลาเท่าไรกว่าจะสามารถเป็นภูตได้” หู่ชิงกับชิงป๋ายเช่นนั้นหรือ “พวกเขา อยู่ในนี้หรือเจ้าคะ” ตานติ่งเฮ่อไม่ตอบเป็นคำพูด มือหนาข้างหนึ่งสะบัดหนึ่งครั้ง ก็เห็นว่ามีร่างมนุษย์ชายสองคนกำลังหมุนวนอยู่ในรังไหมใหญ่เท่าต้นไม้สามคนโอบ “อยู่รังไหมเท่ากับเป็นภูตพฤกษา หากตั้งใจบำเพ็ญเพียรก็มีสิทธิ์เป็นปีศาจโอสถได้ ซึ่งที่กล่าวมานี้ต้องใช้เวลา เจ้ารอพวกเขาได้หรือไม่” เฟิ่งเฟยมองตานติ่งเฮ่อว่าเขากล่าวคำพูดนี้ด้วยความรู้สึกใด จนแล้วจนรอดนางก็อ่านสายตาของเขาไ
๔๔พูดแล้วไม่คืนคำ ตานติ่งเฮ่อนิ่งไปกับคำพูดของเฟิ่งเฟย ตอนแรกเขาคิดไว้แล้วว่านางอาจจะรู้สึกดีกับเขามากขึ้น แต่ไม่คิดว่านางจะลั่นวาจานี้ออกมา ไม่สิ! มิใช่ไม่คิด แต่ไม่ ‘กล้า’ คิดต่างหาก “เจ้าเอ่ยคำพูดนี้ออกมา จริงจังเพียงกี่ส่วน เชื่อถือได้แค่ไหน” “ข้าจริงจัง ที่ข้าเคยบอกว่ายังไม่อยากแต่งงาน ความจริงแล้วอาจเพราะว่ายังไม่เจอใครให้สามารถฝากชีวิตได้เท่าเฮ่อเกอ วันที่รู้ว่าเฮ่อเกอคือเจ้าบ่าวที่รอมานาน มุมมองการแต่งงานของข้าก็เปลี่ยนไป ท่านดีต่อข้าเพียงนี้ หากข้าไม่ขอท่านแต่งงานแล้วจะไปขอใคร” ท่าทางจริงจังของนางทำให้ตานติ่งเฮ่อพูดไม่ออก เริ่มสับสนว่านางใช้ใจหรือใช้สมองนำทางถึงได้กล้าเอ่ยขอเขาแต่งงาน “ข้าจะเชื่อเพราะข้าอยากเชื่อเช่นนี้ พูดแล้วห้ามคืนคำนะ” แม้จะคิดเช่นนั้นเขาก็เลือกจะเชื่อว่านางใช้หัวใจนำทาง “ไม่คืนคำแน่นอนเจ้าค่ะ” เฟิ่งเฟยให้คำมั่น “เช่นนั้น...เราสองคนแต่งงานกันเถิด!” ตานติ่งเฮ่อเอ่ยขอเฟิ่งเฟยอีกหนซึ่งนางก็พยักหน้ารับ เอื้อมมือไปจับมือใหญ่ไว้แล้วใช้เวทเคลื่อนกายกลับมาที่ตำหนักประมุขปีศ
๔๓ยินดีหรือไม่ เฟิ่งเฟยกลับแดนปีศาจด้วยจังหวะหัวใจที่เต้นไม่สม่ำเสมอ ในหัวสับสนไปหมด ทั้งยังคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ตั้งแต่แรกเริ่มที่นางได้ไปเยือนแดนมนุษย์โดยง่ายทั้ง ๆ ที่ผ่านมาประมุขปีศาจไม่เคยปล่อยให้นางออกนอกเขตปีศาจเลย เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นหลังจากนางกลับจากแดนปีศาจก็ด้วย “เฮ่อเกออยู่หรือไม่เ” เฟิ่งเฟยมาหาตานติ่งเฮ่อถึงตำหนัก ที่นี่มีเพียงพ่อบ้านปีศาจดูแลอยู่เท่านั้น ไม่มีบ่าวรับใช้ปีศาจเพราะเจ้าของตำหนักเชี่ยวชาญอาคมศาสตร์มืด ค่ายกลและเวทย์ทั่วไป ทำให้ไม่จำเป็นต้องมีสมุนรับใช้ “อยู่ขอรับท่านหญิง ในห้องหนังสือ” “ไปเรียนให้หน่อยได้หรือไม่ว่าข้าขอพบ” พ่อบ้านปีศาจยิ้มพร้อมผายมือเข้าไปยังด้านใน “นายท่านกล่าวว่าหากท่านหญิงมาให้เชิญด้านในได้เลยขอรับ” ขนาดข้าจะมาวันนี้ เขาก็คาดคะเนไว้แล้ว “อือ” เฟิ่งเฟยพยักหน้ารับแล้วเดินไปทางห้องหนังสือของตานติ่งเฮ่อ นางเคยมาที่นี่หลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่มาจะมีพ่อบ้านปีศาจเข้ามาขออนุญาตก่อน หากได้รับอนุญาตแล้วนางจึงสามารถเข้ามาที่นี่ได้
๔๒ดินแดนพิภพ ณ แดนพิภพดินแดนที่มีไว้สำหรับการคัดกรองดวงวิญญาณมนุษย์ วิญญาณที่ถึงแก่ฆาตและทำกรรมดีไว้มากจะสามารถขึ้นเป็นเซียนฝึกหัดได้ในทันที แต่หากวิญญาณดวงนั้นทำกรรมชั่วไว้มาก ก็จะถูกส่งไปยังแม่น้ำชำระล้าง ดำผุดดำว่ายอยู่เช่นนั้นจนกว่าจะล้างกรรมหมด วิญญาณที่ดวงยังไม่ถึงฆาต ผู้นำดวงวิญญาณจะพาดวงวิญญาณเข้าห้องพิพากษา เทพพิภพจะให้ทางเลือกระหว่างจะเป็นสัมภเวสีผีเร่ร่อนหรือว่าจะเลือกสายปีศาจ การเลือกเป็นสัมภเวสีสามารถกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อีกครั้ง มีโอกาสสร้างบุญเพื่อหนทางสู่การเป็นเซียน แต่การเลือกสายปีศาจจะไม่อาจเปลี่ยนเป็นเผ่าสวรรค์ได้ ต้องกลายเป็นภูตหรือปีศาจตลอดไป “เป็นครั้งแรกเลยที่ข้ามาที่นี่” ดินแดนพิภพไร้สิ่งมีชีวิตใดแม้แต่ต้นไม้ใบหญ้า เป็นดินแดนที่ปกคลุมด้วยไรฝุ่นหนาทึบ ตอนเดินเข้ามาเฟิ่งเฟยเห็นดวงวิญญาณมากมายกำลังเดินเข้ามาที่นี่พร้อมกับนาง บ้างก็โดนผู้นำวิญญาณกระชากลากถูดุจสัตว์เดรัจฉาน สภาพของพวกเขาคือช่วงเวลาสุดท้ายตอนถึงแก่กรรม บ้างก็มีเลือดอาบเต็มใบหน้า บ้างก็ร่างกายไม่ครบส่วน น่าสยดสยองยิ่งแล้ว “นั่
๔๑เหมาะเจาะเพียงนี้ ณ เรือนลอยฟ้า เฟิ่งเฟยมาหาสถานที่เงียบ ๆ เพื่อขบคิดถึงสิ่งที่ตานติ่งเฮ่อบอก คิ้วใบหลิวแทบจะขมวดเข้าหากันยุ่ง รู้สึกกลัดกลุ้มมากที่สุดตั้งแต่ที่เคยเป็นมา “เรื่องการแต่งงานมิใช่ว่าต้องใช้หัวใจนำทางหรอกหรือ ไฉนให้ข้าลองกลับมาคิดดู” ตั้งคำถามพร้อมถอนหายใจ “หือ” แต่แล้วก็เด้งตัวลุกขึ้นนั่ง! เพราะตรงหัวใจซึ่งเป็นตำแหน่งที่ทำพันธะสัญญาไว้กับหู่ชิงและชิงป๋ายร้อนผ่าว ความนี้สื่อได้สองอย่าง ไม่บาดเจ็บหนักก็ถึงแก่ชีวิต นางรีบบินลงจากเรือนลอยฟ้า เร่งเดินทางออกจากแดนปีศาจโดยเร็วที่สุด ใช้เวลานานพอสมควรกว่านางจะออกจากแดนปีศาจได้ เมื่อเท้าแตะดินแดนมนุษย์ ดวงตาคู่งามหลับตาพริ้มหาตำแหน่งของทั้งคู่ “เหตุใดไปอยู่ที่วังหลวงอีกแล้ว!” นางเคลื่อนกายไปยังวังหลวงแคว้นตง ในหัวคิดว่าชินอ๋องจะต้องเล่นแง่อะไรอีก เพื่อความรวดเร็วครั้งนี้นางยอมใช้ปีกของตนเดินทางไปยังจุดหมาย ร่ายเวทไม่ให้มนุษย์สามารถมองเห็นร่างจริงของนางได้ “เฟิ่งเฟย!” แต่กับปีศาจและเทพด้วยกันแล้วยังสามารถมองเห
๔๐พี่ก็คือพี่ ไม่เอานะ! ร่างงามพลันลุกขึ้นเต็มความสูง ส่ายหน้าไปมาช้า ๆ แววตาแฝงด้วยอารมณ์หลากหลาย ด้วยที่ผ่านมานางมองเขาเป็นพี่ชายมาตลอด แล้วจะเปลี่ยนไปเป็นเจ้าบ่าวได้อย่างไร! “นั่งลงก่อน เรายังพูดเรื่องนี้กันไม่จบ” ประมุขปีศาจสั่งเสียงเข้ม เฟิ่งเฟยอยากขัดขืน แต่เมื่อเห็นสายตาคมดุของตานติ่งเฮ่อ นางจึงนั่งลงตามเดิม สายตาแบบนี้ของเขา ชัดเจนว่ากำลังโมโห! “ที่เจ้ายังไม่อยากแต่งงานเพราะอะไร เพราะรักอิสระหรือ” คำถามจากบิดาทำเอาเฟิ่งเฟยเงียบไป หากเป็นเมื่อก่อนนางคงเอ่ยเหตุผลนี้ออกไปอย่างไม่ลังเล แต่พอตอนนี้โดนถามด้วยคำถามนี้อีกครั้ง นางกลับตอบได้ไม่เต็มปาก “ข้า…” “หากเจ้าต้องการอิสระ อาเฮ่อให้เจ้าได้อยู่แล้ว ไม่มีใครกักขังเจ้าได้หรอก อีกอย่างพ่อเองก็ไม่ไว้ใจใครนอกจากอาเฮ่อ” เฟิ่งเฟยไม่เถียง หลุบตาลงต่ำซ่อนความรู้สึกนึกคิดในแววตา ตานติ่งเฮ่อส่งสายตาไปยังประมุขปีศาจ อารมณ์ประมาณว่าวันนี้พอเท่านี้ก่อน “เจ้าลองเก็บไปคิดดู ไปเถอะ พ่อจะทำงานต่อ” เฟิ่งเฟยลุกขึ้นพร้อมตานติ่ง
๓๙เจ้าบ่าวผู้รอมานาน ณ แดนปีศาจเฟิ่งเฟยกลับมายังแดนปีศาจหลังจากที่ไม่ได้กลับมานานหลายวัน คนแรกที่นางได้พบหลังจากย่างกรายข้ามสะพานมาก็คือ... “เฮ่อเกอ! มานานแล้วหรือเจ้าคะ” เฟิ่งเฟยถามด้วยน้ำเสียงสดใส เดินเข้าไปหาพี่ชายต่างสายเลือดด้วยรอยยิ้ม “ท่านประมุขปีศาจให้ข้ามารอรับเจ้า” รอยยิ้มบนใบหน้างามหายไปทันควัน ท่าทางกระอักกระอ่วนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ตอนแรกนางยังไม่คิดจะกลับตำหนักประมุขปีศาจ วางแผนว่าจะไปกลบดานที่เรือนลอยฟ้า ให้พี่ชายรับหน้าไปก่อน “ข้า...ทำอะไรผิดไปหรือเจ้าคะ” ด้วยไม่อยากคาดเดาจึงเอ่ยถามไปตามตรง “หึ!” คนถูกถามยิ้มมุมปาก หันหลังให้นางแล้วเดินจากไป “เอา! ไม่ตอบแต่มาส่งยิ้มปริศนาให้กัน” แม้จะแอบมองค้อนชายหนุ่มไล่หลัง แต่สุดท้ายก็ก้าวตามหลังเขาไปเพราะยังต้องการคนไกล่เกลี่ยกับบิดาอยู่ ที่ผ่านมาเป็นเช่นนี้เสมอ เมื่อใดที่นางทำผิดมักจะมีตานติ่งเฮ่อคอยแก้ต่างให้ ในชีวิตข้าไม่มีเขาไม่ได้ ณ ตำหนักของประมุขปีศาจ สองร่างต่างเพศในชุดสีดำแ
๓๘ในวันที่หมู่บ้านมีสมาชิก ณ หมู่บ้านกลางน้ำ เฟิ่งเฟยนั่งอยู่ในโถงรับแขกของเรือนหลักท่ามกลางสายตาหู่ชิง ชิงป๋าย เทพปราการและเหลียนฮวาเยา พวกเขาล้วนเป็นบุรุษที่นางเคยสานสัมพันธ์ทางกายด้วย แม้คนหนึ่งอาจจะไม่ได้สอดใส่ ส่วนอีกคนก็เปลี่ยนฐานะจากมนุษย์มาเป็นเทพแล้วก็ตาม อยู่ ๆ นางก็รู้สึกอึดอัดกับสายตาของพวกเขา “อึดอัด” สตรีหนึ่งเดียวในที่นี้ทนไม่ไหวเอ่ยขึ้นมาจนได้ ท่าทางของพวกเขาคล้ายมีสิ่งใดอยากจะสนทนากับนาง มิหนำซ้ำยังจริงจังมาก “ข้าขอเป็นตัวแทนของพวกเขาถามเจ้าเองก็แล้วกัน” เทพปราการผู้อาวุโสที่สุดมองหน้าเฟิ่งเฟยนิ่ง ๆ “ว่ามาเลย” เมื่อเฟิ่งเฟยทำใจได้แล้วนางก็เอ่ยขึ้น “ตอนนี้พวกเรา อะแห่ม! ข้าหมายถึงพวกเขาเข้าใจถึงสถานะของตนเองดีเลยอยากรู้ว่าเจ้าจะรับผิดชอบพวกเขาอย่างไร” คำถามตรงไปตรงมารวมถึงสายตาคาดหวังของพวกเขาทำเอาเฟิ่งเฟยเผลอกลืนน้ำลายลงคอดังอึก “ข้ายัง...ไม่ได้คิด” เฟิ่งเฟยตอบออกไปตามตรง สายตาของพวกเขาแฝงความผิดหวังในคำตอบชัดเจน ชิงป๋ายชัดเจนกว่าใคร หากให้เทียบกับทุกคนแล้ว น