 Masuk
Masukจุดเริ่มต้นของเรื่อง
วายุ ทำงานเป็นบอดี้การ์ดรับจ้างดูแลวีไอพีตามปกติของเขา จู่ๆมีรุ่นพี่ในแวดวงการบอดี้การ์ดชวนให้เขาไปทำงานด้วยกัน ซึ่งรุ่นพี่คนดังกล่าวมีนามว่า ภาค ซึ่งภาคก็คือลูกน้องคนสนิทมือขวาของ เดชา พ่อของ มิรา นั่นเอง
เดชาต้องการตัวบอดี้การ์ดฝีมือดีที่ไว้ใจได้มาคอยดูแลคุ้มครองลูกสาวคนเดียวของเขา เพราะเดิมทีบอดี้การที่ดูแลลูกสาวของเขาอยู่มีแค่คนเดียวก็คือ ภีม น้องชายของภาค เดชาต้องการคนเพิ่มเลยสั่งการกับลูกน้องมือขวาอย่างภาคไป และภาคก็มองเห็นถึงความเก่งกาจเห็นในความซื่อตรงของตัววายุ ภาคจึงได้ชักชวนวายุมาทำงานด้วยกันโดยเสนอเงินเดือนให้ครึ่งล้านกับไอ้แค่ดูแลคุ้มครองเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆแค่คนเดียว ซึ่งวายุก็ไม่ได้สนใจอะไรกับเงินเดือนครึ่งล้านนั่นเลย เพราะเขามีเงินมากพออยู่แล้ว แต่กระนั้นทีแรกวายุก็ไม่ตกลงเพราะไม่ชอบงานประจำและไม่ชอบเด็ก เขารู้สึกว่าเด็กมันน่ารำคาญ แต่พอรู้ว่าเป็นเด็กโตเขาก็เริ่มลังเลเพราะถ้าเป็นเด็กโตก็จะว่าง่ายและเข้าใจง่ายกว่าเด็กเล็กๆ คิดไปคิดมาไม่รู้อะไรดลใจให้เขาตอบตกลงยอมรับงานเป็นบอดี้การส่วนตัวให้กับเด็กสาว...
ณ คฤหาสน์หลังใหญ่ของเดชา
"ส่งกระเป๋ามาพี่ เดี๋ยวผมเอาไปเก็บที่บ้านพักให้ก่อน" เป็นเสียงของ ภีม บอดี้การ์ดส่วนตัวของลูกสาวเจ้าของคฤหาสน์หลังนี้ เขาเอ่ยอาสาเอากระเป๋าสัมภาระไปเก็บให้รุ่นพี่ที่เพิ่งเข้ามาทำงานที่นี่เป็นวันแรก ซึ่งรุ่นพี่คนดังกล่าวก็คือ วายุ
"ขอบใจ"
พรึ่บ!
เอ่ยขอบคุณรุ่นน้องจบ วายุก็โยนกระเป๋าเป้สีดำที่สะพายอยู่บนไหล่ข้างขวาของเขาให้ภีมทันที
ภีมรับกระเป๋าเป้มาอย่างไม่ทันตั้งตัวแต่ก็รับไว้ได้ทัน ก่อนจะเดินไปยังบ้านพักบอดี้การ์ดที่อยู่ด้านหลังของคฤหาสน์ทันที
"เดี๋ยวมึงเข้าไปหานายกับกูก่อน" เป็นเสียงของ ภาค ลูกน้องคนสนิทมือขวาของเดชา หรือพี่ชายของภีม เขาเอ่ยบอกวายุรุ่นน้องที่เขาได้ชักชวนให้มาทำงานที่นี่ น้ำเสียงเรียบนิ่งไม่ต่างจากใบหน้า
วายุจึงพยักหน้าให้แทนคำตอบ จากนั้นภาคก็เดินนำไปหาผู้เป็นนายที่อยู่ในห้องทำงานบนชั้นสองของคฤหาสน์ทันที
...
ภายในห้องทำงานของเดชา
"ประวัติเอ็งใช้ได้หนิ เก่งไม่พอยังรวยเอาเรื่องซะด้วย นอนอยู่บ้านสบายๆก็ได้ทำไมถึงยังมาเป็นบอดี้การ์ดอยู่อีก" เดชา เจ้าของคฤหาสน์หรือเจ้านายของทุกคนในที่นี้ เขาพูดกับลูกน้องคนใหม่พลางถามไปด้วยในประโยคหลัง เขานั่งอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ท่าทางสบายๆ แต่กลับดูสง่าและใบหน้าของเขาก็ยังหล่อเหลาเต็งตึงอย่างกับคนอายุสามสิบต้นๆ ทั้งที่ปีนี้เขาอายุสี่สิบสองปีแล้ว
"ผมไม่ใช่คนขี้เกียดครับ" วายุตอบออกไปตรงๆด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งไม่ต่างจากใบหน้า ยืนไหล่ผึ่งกุมมือไว้ด้านหน้าตามแบบฉบับบอดี้การ์ดอยู่หน้าโต๊ะทำงานของเจ้านายด้วยท่าทีนิ่งๆ ทว่าดวงตาคู่คมของเขากลับเหลือบมองรูปถ่ายขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่บนผนังด้านหลังของเจ้านายเป็นระยะๆ
"หึ ตอบตรงดีหนิ มันต้องแบบนี้สิวะกูชอบ" เดชาถึงกับถูกอกถูกใจในคำตอบของลูกน้องคนใหม่เป็นอย่างมาก ซึ่งไม่เคยมีใครกล้าตอบคำถามที่ดูจะกวนบาทาเขาขนาดนี้มาก่อน แต่เขาดันชอบที่เด็กหนุ่มบอดี้การ์ดคนนี้พูดมันออกมาด้วยความซื่อตรง มันดูจริงใจดี และเขาเองก็เริ่มจะถูกชะตากับบอดี้การ์ดคนใหม่คนนี้เข้าซะแล้ว คิดไม่ผิดที่เลือกมาดูแลลูกสาวของเขา ช่างถูกใจเขาจริงๆ
เวลาต่อมา
บ้านพักบอดี้การ์ด ภายในห้องพักส่วนตัวของวายุ
"เป็นไงบ้างพี่วายุ พออยู่ได้ไหม" ภีมเอ่ยถามเพราะเกรงว่าที่นี่อาจจะคับแคบหรือไม่สะดวกสบายสำหรับวายุ ซึ่งภีมพอจะรู้มาบ้างว่าวายุเป็นคนมีเงินมีฐานะอยู่พอตัว เขาเองก็ยังสงสัยว่าทำไมวายุถึงยังทำงานเป็นบอดี้การ์ดอยู่อีกทั้งที่รวยขนาดนั้น แต่กระนั้นเขาก็ไม่คิดจะถามละลาบละล้วงอะไรออกไปเพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว
"อืม สบายมาก" วายุตอบน้ำเสียงเรียบนิ่งไม่ต่างจากใบหน้า พลางกวาดสายตามองสำรวจภายในห้องพักไปด้วย เขาเป็นคนง่ายๆ กินง่ายอยู่ง่ายไม่ได้ยึดติดกับความสบายอยู่แล้ว ด้วยความที่เป็นคนต่างจังหวัดใช้ชีวิตเรียบง่ายมาก่อน สำหรับเขาห้องพักบอดี้การ์ดประมาณนี้ถือว่าใช้ได้ ไม่ได้แย่อะไรเลย ดูสะดวกสบายกว่าที่อื่นด้วยซ้ำไป
"เออพี่ เห็นคุณหนูยัง เป็นไง คุณหนูของผมน่ารักใช่ไหมล่ะ" จู่ๆภีมนึกขึ้นได้จึงเอ่ยถามไป ประหนึ่งถามเองตอบเองเสียมากกว่า ท่าทางขี้เล่นตามสไตส์เขา
"คุณหนูของผม" วายุพูดทวนคำพลางเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเชิงเป็นคำถาม เขารู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมาเสียดื้อๆกับคำพูดของภีม ใบหน้าหล่อเหลาที่เคยเรียบนิ่ง ตอนนี้คิ้วหนากลับขมวดเข้าหากัน นึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
"อะไรพี่ อย่ามามองผมแบบนั้น ผมหมายถึงคุณหนูที่ผมดูแลอยู่ครับ ไม่ใช่คุณหนูของผมแบบที่พี่คิด ขืนผมคิดอะไรไม่ดีกับคุณหนูนายได้เอาผมตายสิ คุณหนูเป็นเด็กที่น่ารักมาก พี่เองก็อย่าหวั่นไหวอย่าเผลอใจคิดอะไรกับคุณหนูล่ะ นายหวงลูกสาวยิ่งกว่าจงอางหวงไข่อีกนะพี่" ภีมรีบปฏิเสธออกไปทันทีเพราะดูจากสีหน้ารุ่นพี่ก็รู้แล้วว่ากำลังคิดอะไรอยู่ โดยไม่ลืมที่จะเอ่ยเตือน เพราะกลัวว่ารุ่นพี่จะโดนความน่ารักของเด็กสาวตกเข้าให้
"ไร้สาระ" วายุพูดขึ้นก่อนจะเลือกไม่สนใจ หันมองบรรยากาศรอบๆไปเรื่อย
"แล้วตกลงว่าไงพี่วายุ พี่ว่าคุณหนูน่ารักไหม" ภีมยังคงถามเล้าหลือต่อ คาดคั้นจะเอาคำตอบให้ได้ เพราะเมื่อกี๊ถามไปยังไม่ได้คำตอบเลย
"มึงถามเพื่ออะไรวะ กูยังไม่เห็น" น้ำเสียงเริ่มแข็งขึ้น ยืนกอดอกมองรุ่นน้องที่อายุน้อยกว่าเขาแค่สองปีด้วยใบหน้าเข้มดุ เพราะเริ่มจะรำคาญภีมขึ้นมาที่ถามอะไรนอกเรื่อง
"โห่~ อะไรของพี่เนี่ย ไม่เห็นได้ไงรูปคุณหนูติดอยู่เต็มบ้านพี่ไม่ได้มองเลยเหรอ" ภีมถึงกับเซ็งที่รุ่นพี่ของเขาดูไม่สนใจและไม่ใส่ใจอะไรเลย ซึ่งเขาแค่ต้องการให้รุ่นพี่เอ็นดูเด็กสาวเหมือนกับที่เขาเอ็นดูเธอแบบน้องสาวคนหนึ่งก็เท่านั้น ถึงได้คาดคั้นจะเอาคำตอบกับรุ่นพี่อยู่แบบนี้ แต่เมื่อไม่ได้คำตอบอะไรก็เลือกที่จะปล่อยผ่านอย่างเซ็งๆ
"ช่างเถอะผมไม่ถามละ พี่พักผ่อนเถอะ เดี๋ยวถึงเวลาไปรับคุณหนูที่โรงเรียนผมมาตามแล้วกัน" พูดจบภีมก็เดินออกไป
ด้านวายุมองตามหลังรุ่นน้องด้วยสายตาเรียบนิ่ง ทว่าในหัวของเขากลับนึกไปถึงรูปถ่ายเด็กผู้หญิงที่ติดอยู่บนผนังและวางอยู่บนเฟอร์นิเจอร์หรูตามจุดต่างๆเต็มบ้านไปหมด มีทั้งรูปตอนเด็กและตอนโต ซึ่งความจริงเขาเห็นรูปถ่ายเหล่านั้นตั้งแต่ย่างก้าวเข้าไปในคฤหาสน์แล้ว แค่เลือกที่จะไม่พูดออกไป
และขณะที่ในหัวกำลังคิด มือหนาข้างขวาก็ยกขึ้นมาวางทาบบนอกข้างซ้ายตรงตำแหน่งหัวใจของตัวเอง ตอนนี้ใจแกร่งของเขามันสั่นและเต้นแรงขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ บอกเป็นความรู้สึกไม่ถูกยามที่นึกถึงดวงหน้าเล็กๆน่ารักๆของเด็กสาวที่อยู่ในรูปถ่าย
"เป็นอะไรของมึงวะไอ้วายุ" เขาบ่นกับตัวเองโดยที่ยังทาบมือขวาไว้ตรงตำแหน่งหัวใจอยู่อย่างนั้น ใบหน้าหล่อเหลาที่มักจะนิ่งอยู่ตลอด ตอนนี้คิ้วหนากลับขมวดเข้าหากันยุ่งด้วยความที่ไม่เข้าใจว่าตัวเองนั้นเป็นอะไร

(ป่วนหัวใจนายบอดี้การ์ดหน้านิ่ง)วันต่อมา09:35 น.บริเวณศาลาสวนหย่อม มิรากำลังนั่งอ่านหนังสือนิยายอยู่บนศาลา เธอมักจะมาอ่านหนังสือหรือมานั่งเล่นที่ศาลาตรงนี้เป็นประจำ เรียกได้ว่าเป็นมุมโปรดของเธอก็ว่าได้ โดยมีบอดี้การ์ดส่วนตัวอีกสองคนยืนอารักขาอยู่หน้าศาลาไม่ห่าง พวกเขาทั้งสองคนยืนคนละฝั่งของศาลาโดยหันหน้าเข้าหากันเหมือนอย่างเช่นทุกครั้งที่มายืนอารักขาเด็กสาวบริเวณนี้วันนี้มิราอ่านนิยายของนักเขียนคนใหม่ตามที่เพื่อนของเธอแนะนำมา เธอเลยตื่นเต้นเป็นพิเศษกับการที่จะอ่านมัน และการอ่านนิยายมันก็ช่วยเยียวยาจิตใจที่บอบช้ำของเธอได้เยอะเลยทีเดียว แต่กระนั้นเนื้อหาของหนังสือนิยายเล่มนี้มันอ่านแล้วทำความเข้าใจได้ยากกว่านิยายของนักเขียนคนโปรดที่เธออ่านอยู่เป็นประจำและเมื่ออ่านไปได้สักพักเธอก็ต้องงงและไม่เข้าใจอีกแล้ว ซึ่งเนื้อหาในนิยายที่เธออ่านแล้วไม่เข้าใจมันคือเนื้อหาของคำพูดตัวละคร ที่พระเอกพูดขู่นางเอก เธอขมวดคิ้วเข้าหากันยุ่ง พยายามอ่านและจิตนาการตามแล้วตามอีก อ่านแล้วอ่านอีกก็ไม่เข้าใจเสียทีว่าคำพูดที่พระเอกขู่นางเอกมันหมายความว่าอะไร และในเมื่ออ่านไม่เข้าใจเธอจึงเงยหน้าจากหนังสือนิยายแล
ด้านมิราจึงได้แต่มองตามหลังคนเป็นพ่อตาละห้อย สีหน้าหงอยเศร้าลงยิ่งกว่าเดิม ทว่าลึกๆแล้วเธอไม่ได้อยากไปเรียนต่อเมืองนอกเลยด้วยซ้ำ แต่ด้วยความที่ยังเด็กเธอจึงประชดความรักที่ไม่สมหวังด้วยการหนีปัญหาไปอยู่ในที่ไกลๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องเจอเขาคนที่ทำให้ใจดวงน้อยของเธอเจ็บปวดอีกจากนั้นเธอก็หันกลับมามองข้าวในจานของตัวเองที่ไม่ได้ลดน้อยลงเลย เพราะกินไปแค่คำสองคำเป็นคำเล็กๆเพียงข้าวแค่ปลายช้อนเท่านั้น หรือแทบจะไม่ได้กินเลยด้วยซ้ำ ก่อนจะเงยหน้าพูดกับสาวใช้วัยสามสิบกลางๆ มีนามว่าชมพู่ที่ยืนอยู่อีกฝั่งของโต๊ะ"พี่ชมพู่เก็บจานเลยค่ะน้องมิอิ่มแล้ว" น้ำเสียงเบาราวกับคนไม่อยากพูดไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น"ได้ค่ะคุณหนู""ไม่ต้อง"ไม่ทันที่ชมพู่จะเดินมาเก็บจานตามคำสั่งของคุณหนูตัวน้อย ก็ต้องชะงักเท้าหยุดอยู่กับที่เพราะเสียงทุ้มของอีกคนดันเอ่ยห้ามเอาไว้เสียก่อน ก่อนที่ร่างสูงเจ้าของเสียงทุ้มจะเดินเข้ามาหาคุณหนูตัวน้อย แล้วหยุดยืนอยู่ข้างเธอที่ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ สายตาคู่คมมองใบหน้าน่ารักของเด็กสาวที่เงยหน้าขึ้นมามองเขา ซึ่งเขาไม่ชอบเลยที่แววตาของเธอตอนนี้มีแต่ความเศร้า เพราะเธอเหมาะที่จะยิ้มและมีดวงตาที่สุกใส
ภายในห้องอาหารของคฤหาสน์หลังใหญ่ บนเก้าอี้ตำแหน่งหัวโต๊ะมีประมุขของบ้านนั่งอยู่ และยังมีบอดี้การ์ดส่วนตัวของเขาและบอดี้การ์ดส่วนตัวของลูกสาวที่ยืนประจำตำแหน่งเดิมคือข้างหลังคนเป็นเจ้านายของตัวเอง"ยัยหนูของพ่อมาพอดีเลย พ่อกำลังจะให้คนไปตามอยู่พอดี พวกเธอก็ตักข้าวสิลูกสาวฉันมาแล้ว" เดชาหันไปพูดกับลูกสาวที่กำลังเดินเข้ามาในห้องอาหาร ประโยคหลังหันไปออกคำสั่งกับสาวใช้ในบ้านที่ยืนรอรับใช้อยู่สองคนด้านภีมจึงเดินไปดึงเก้าอี้ตำแหน่งที่ประจำของคุณหนูออกเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะเดินเข้ามานั่ง ภีมทำหน้าที่ของตัวเองเหมือนปกติทุกวันที่เคยทำด้านวายุที่ยืนอยู่ มองเด็กสาวตั้งแต่เห็นเธอเดินเข้ามาในห้องอาหารแล้ว แต่ครั้งนี้เธอไม่แม้แต่จะมองหน้าเขาเลยสักนิด ผิดกับทุกครั้งที่เธอมักจะลอบมองและแอบส่งยิ้มให้เขาอยู่ตลอด เมื่อเห็นท่าทีหมางเมินของเธอใจแกร่งก็กระตุกวูบทันที ทว่าใบหน้าของเขาก็ยังนิ่งเป็นปกติ ไม่ได้แสดงสีหน้าหรืออาการใดๆออกมาเลย"ไม่สบายรึเปล่ายัยหนู ทำไมตาหนูถึงดูบวมๆและแดงแบบนั้นล่ะ" เดชาเอ่ยถามลูกสาวด้วยความเป็นห่วง เพราะวันนี้สีหน้าของลูกสาวเขาดูไม่สดชื่นเอาเสียเลย พลางใช้หลังมือเอื้อมไปแตะหน้า
"ผมเคยเตือนพี่แล้วใช่ไหมว่าอย่าเผลอใจให้คุณหนู แล้วทีนี้จะทำยังไงล่ะ มีหวังถ้านายรู้นายเอาพี่ตายแน่พี่วายุ" ภีมพูดเปิดประเด็นประหนึ่งบ่นรุ่นพี่ไปทันที เพราะเขาเป็นห่วงกลัวว่ารุ่นพี่จะโดนเจ้านายเล่นงาน อีกอย่างเขาห่วงความรู้สึกของทั้งคู่ที่คงไม่มีทางลงเอยกันได้ด้วยดีอย่างแน่นอน เพราะผู้เป็นเจ้านายคงไม่ยอมให้ลูกสาวอันเป็นที่รักมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับบอดี้การ์ดในบ้านเป็นอันขาด"มึงพูดอะไร มึงคิดอะไรของมึง กูไม่ได้คิดอะไรกับคุณหนูทั้งนั้น" วายุปฏิเสธเสียงแข็ง พูดเหมือนหลอกตัวเองทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าตนคิดไม่ซื่อกับเด็กสาว"ผมไม่ใช่เด็กอนุบาลนะพี่ที่จะดูไม่ออก พี่เล่นหึงหวงคุณหนูกับผมขนาดนี้พี่ยังจะหลอกตัวเองอีกเหรอ" ภีมเถียงกลับอย่างรู้ทัน รุ่นพี่ของเขาโมโหหึงเด็กสาวซะขนาดนั้นทำไมเขาจะดูไม่ออก "ไร้สาระ กูบอกว่ากูไม่ได้คิดอะไร กูไม่มีทางชอบคุณหนูเพราะกูไม่ชอบเด็ก สำหรับกูเด็กอย่างคุณหนูมันน่ารำคาญ" วายุยังคงพูดในสิ่งที่ไม่ตรงกับใจ มองหน้ารุ่นน้องด้วยสายตาดุดัน เขารู้ตัวเองดีว่าคิดยังไงกับเด็กสาว ซึ่งเขาไม่จำเป็นต้องมายอมรับความรู้สึกของตัวเองต่อหน้ารุ่นน้อง หรือต้องมาบอกว่าเขาชอบเด็กสาว
หลายวันต่อมาตอนนี้มิราได้สอบปิดภาคเรียนที่สองและจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และกำลังอยู่ในช่วงปิดเทอม โดยระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมาเธอได้ส่งไลน์หาบอดี้การ์ดคนของใจทุกคืน ใจจริงเธออยากไลน์หาเขาแทบทุกเวลาที่เธอว่างเลยด้วยซ้ำ แต่กลัวว่าเขาจะรำคาญเธอเสียก่อน เลยไลน์หาเขาแค่ตอนก่อนนอนเพื่อบอกชอบบอกคิดถึงและบอกฝันดี ถึงแม้เขาจะตอบกลับบ้างไม่ตอบบ้างก็ตาม แค่เธอได้ไลน์หาเขาทุกคืนก่อนนอนและเห็นว่าเขาอ่านไลน์ทุกข้อความที่เธอส่งไป แค่นี้เธอก็พอใจแล้วบริเวณโต๊ะริมสระว่ายน้ำของคฤหาสน์หลังใหญ่"พี่ภีมคะ พี่วายุไปไหนเหรอคะ" มิราที่เดินออกมาจากในบ้าน เดินมาหยุดยืนอยู่ด้านหลังของบอดี้การ์ดคนสนิท แล้วเอ่ยถามหาบอดี้การ์ดคนของใจเมื่อไม่เห็นเขา พลางกวาดสายตามองหาร่างสูงของเขาไปด้วย ปกติบอดี้การ์ดส่วนตัวของเธอทั้งสองคนจะตัวติดกันตลอด แต่ตอนนี้กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของอีกคนเลยด้านภีมที่นั่งอยู่ก็หันมาตามเสียง ก่อนจะดันตัวลุกขึ้นไปยืนตรงหน้าเจ้าของเสียงหวานที่เอ่ยถามเขา โดยยืนอยู่ในท่ากุมมือไว้ด้านหน้าหรือท่าประจำของบอดี้การ์ด แล้วเอ่ยตอบออกไป"พี่วายุไปเข้าห้องน้ำครับ คุณหนูมีอะไรใช้ผมก็ได้
เวลาอาหารมื้อเย็น ภายในห้องอาหารของคฤหาสน์หลังใหญ่ มีประมุขของบ้านหรือเดชานั่งอยู่หัวโต๊ะอาหาร และมีคนเป็นลูกสาวหรือมิรานั่งเก้าอี้ตัวถัดมาเยื้องกับผู้เป็นพ่อ"เออ จริงสิ ยัยหนูจำพี่มาตินลูกชายเพื่อนพ่อได้ไหมลูก" เดชาเอ่ยถามลูกสาวของตนเมื่อนึกขึ้นได้ถึงเด็กหนุ่มที่ตัวเองหมายปองอยากได้มาเป็นลูกเขยด้านมิราที่กำลังกินข้าวอยู่จึงเงยหน้ามาพูดกับคนเป็นพ่อด้วยท่าทีปกติ"พี่มาตินลูกชายคุณลุงมานพน่ะเหรอคะ"โดยมีสายตาคู่คมของบอดี้การ์ดคนใหม่ที่ยืนอารักขาอยู่ด้านหลังของเธอไม่ห่าง มองเธออยู่ตลอดด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง"ใช่ครับ ตอนนี้พี่เขาเรียนจบโทแล้วนะลูก เห็นว่าอาทิตย์หน้าจะกลับไทยแล้ว" ขณะที่ปากขยับพูด เดชาก็มองสังเกตท่าทีของลูกสาวไปด้วย ว่าจะมีอาการหรือแสดงความดีใจอะไรออกมาหรือเปล่าเมื่อรู้ว่าลูกชายของเพื่อนเขากำลังจะกลับไทย"ค่ะ" แต่ทว่ามิราแค่เพียงพยักหน้าตอบสั้นๆเป็นการรับรู้ ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อโดยไม่ได้สนใจอะไรคนเป็นพ่อเห็นเช่นนั้นจึงแปลกใจไม่น้อยเมื่อลูกสาวดูไม่ได้ดีใจหรือตื่นเต้นกับการกลับมาของอีกคนเลย ผิดกับตอนเด็กที่เวลาลูกชายเพื่อนเขามาที่บ้าน ลูกสาวของเขาก็จะวิ่งหน้าตั้งเข้า








