Masukวันนี้ผมไม่มีเรียนคลาสเย็น เลยกลับมาถึงบ้านตอนที่ฟ้ายังสว่าง แน่นอนว่าหลังจากอาบน้ำกินข้าวเรียบร้อยแล้ว ผมก็ต้องไปสิงในเกมกับเพื่อนต่างคณะตามกิจวัตรเดิมของตัวเอง
ระหว่างเล่นเกมจนใกล้จะถึงจุดไคลแมกซ์ มือซ้ายกดคีย์บอร์ดรัว ๆ มือขวาลากเมาส์อย่างใจจดใจจ่ออยู่นั้น จู่ ๆ เซฟก็ถามขึ้นมา
“คิริน มึงคบกับไต้ฝุ่นเหรอวะ”
“ฮะ! เชี่ย!”
ประโยคคำถามไม่มีปี่มีขลุ่ยของเซฟ ทำเอาผมนิ้วเคลื่อนกดปุ่มพลาด ไม่ได้ยิงพลังออกมา สุดท้ายก็โดนฝั่งตรงข้ามฟาดพลังอัดเต็มหน้า จนตายในวินาทีสุดท้าย
“พูดอะไรของมึงเนี่ยเซฟ กูตายเลยเห็นไหม”
ผมโวยวายออกมา ใบหน้าที่ปรากฏบนจอออกอาการบูดบึ้งเล็กน้อย สองแขนยกขึ้นกอดอก
“ตอบกูมาก่อน” เซฟถามย้ำ
“ตอบอะไร” ผมทวนคำถามอีกครั้ง เมื่อกี้เพราะตั้งสมาธิมากก็เลยไม่ทันได้ฟังคำถาม รู้แค่ตกใจเสียงของมันที่ดังขึ้นมากะทันหันเท่านั้น
“มึงคบกับไต้ฝุ่นเหรอ” เซฟพูด
“เออ กูก็อยากรู้ บอกมาเลยนะเว้ย” เปาเสริมขึ้นมาอีกคน
“ยังไง ๆ” โอบลากเสียงยาว ฟังแล้วดูกวนตีนสุด ๆ
ส่วนผมนั้นอึ้งกิมกี่ไปแล้วเรียบร้อย ทำไมพวกมันถึงได้ถามคำถามนี้ล่ะ มันไปรู้อะไรมา!
“ไม่มี!” ผมพูดเสียงดัง ก่อนที่จะถามออกไปเสียงนิ่ง แต่ในใจหวิวจนก้นแทบนั่งไม่ติดเก้าอี้แล้ว “มึงพูดบ้าอะไร”
“แน่ะ ยังจะมาแกล้งทำไขสืออีก” ดูท่าว่าเปาจะไม่เชื่อผม
“อะไร?” ผมเอียงคอมองใบหน้าเพื่อน ๆ ในจอ พร้อมกับคอมเมนต์ในช่องตัวเองที่ไหลขึ้นมารัว ๆ
[นั่นสิคะน้องคิริน ยังไงคะ ตอบเลย]
[คบกันเหรอ]
[อยากรู้ใจจะขาดแล้วเนี่ย]
[คิริน มีแฟนแล้วเหรอ]
[เห็นโพสต์ในเพจแฟนคลับไต้ฝุ่นหรือยัง]
คอมเมนต์ล่าสุดนี้ทำให้ผมต้องรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดหาไอ้เพจบ้านั่นทันที ปกติผมก็ไม่เคยสนใจพวกผู้ชายอยู่แล้ว เพราะงั้นเลยไม่ได้กดติดตามเขาเอาไว้ พอไม่ได้กดติดตามแน่นอนว่าต้องไม่รู้
สาเหตุที่พวกเพื่อนสามคนถามแบบนี้ จะต้องมาจากเพจนี้แน่เลย ว่าแต่พวกมันติดตามเพจแฟนคลับคนอื่นด้วยเหรอเนี่ย
ระหว่างที่พิมพ์ชื่อเพจ ด้วยความลนลานก็เลยพิมพ์ผิด ๆ ถูก ๆ ผมสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างหงุดหงิดใจ กว่าจะหาเพจนั่นเจอก็เล่นเอาเกือบปาโทรศัพท์ทิ้ง
“เชี่ย...”
พอเข้าเพจมา โพสต์แรกที่เด่นหราอยู่เลยก็คือรูปภาพของผมกับไต้ฝุ่น แม้รูปจะถูกถ่ายในมุมที่เห็นหน้าผมไม่ค่อยชัด แต่ถ้าคนรู้จักมาเห็นก็ต้องรู้ว่าเป็นใครแน่นอน!
ภาพแรกเป็นภาพตอนที่ต่อแถวซื้อสุกี้ และไต้ฝุ่นก็ขยี้หัวของผมพอดี ภาพสองเป็นภาพอีกฝ่ายยื่นขวดน้ำให้ตอนกินข้าว จากมุมของคนนอก มองจากดาวอังคารก็รู้ว่าไม่ใช่เพื่อนกัน
ตะ แต่มันไม่ใช่ไง...เอ๊ะ หรือใช่ ก็ไต้ฝุ่นไม่รู้นี่นาว่านี่เป็นแค่เรื่องโจ๊ก
อ๊าก ปวดกระบาล
ไม่คิดว่าเรื่องราวมันจะบานปลายไปขนาดนี้ แบบนี้ไม่ใช่ว่ารู้กันไปทั้งมหาวิทยาลัยแล้วเหรอวะ
แล้วถ้าผมบอกเลิกไต้ฝุ่นล่ะจะเป็นยังไง หรือถ้ามีคนรู้ว่านี่เป็นแค่เกมล่ะ ไหนจะแฟนคลับในสตรีมหลักพันที่เป็นพยานนั่นอีก ไม่ว่าทางไหนผมก็โดนฉีกอกแน่นอน
“ว่าไง คิริน” เซฟพูดขึ้นมา คงจะเห็นจากจอว่าผมหน้าซีดไปแล้วนั่นแหละ
“กูขอไปคิดแป๊บนะ” ผมโบกมือท่าปางห้ามญาติใส่กล้อง ดวงตาหลุกหลิกไปมาอย่างใช้ความคิด
“คิดไรวะ มึงแค่ตอบมาเนี่ย คบใช่ไหม” เปาก็ส่งเสียงเค้นมาอีกคน
โอเค ผมรู้ว่าเพื่อนเป็นห่วง เพราะท่าทางของผมมันดูซื่อบื้อ โดนเอาเปรียบง่ายอย่างที่พวกมันเคยว่านั่นแหละ และถึงแม้ต้นเหตุของเรื่องนี้จะมีพวกมันมาเอี่ยวด้วยก็เถอะ แต่ผมยังต้องขอใช้ความคิดอีกนิดหน่อย
“เดี๋ยวกูแชตหา”
ผมตัดบท เอ่ยขอโทษคนดูสตรีมแล้วกดปิดไลฟ์ทันที
ปลายนิ้วจ่ออยู่ที่ช่องคอมเมนต์ในเพจแฟนคลับที่ขึ้น 1.3k พลางสูดหายใจเข้าลึกเพื่อตั้งสติ
คอมเมนต์เยอะฉิบหาย ผมบ่นในใจก่อนจะกดเข้าไป
[อบอุ่นเวอร์ ไม่เคยเห็นไต้ฝุ่นเป็นแบบนี้ ขนาดกับเพื่อนเขายังไม่ทำเลยนะ]
[แฟนแน่นอนจ้า ฉันตามไต้ฝุ่นมาตั้งแต่มัธยม ไม่เคยเห็นเขากินข้าวกับเพื่อนคนอื่น อ้อ ยกเว้นพวกประกวดเดือนคณะอื่นนะ]
[เฮ้อ รู้สึกอกหัก]
[ไต้ฝุ่นเป็นของทุกคนนะ มาทำงี้ได้ไง อีตุ๊ด]
ผมใจหายวาบเมื่อเห็นคอมเมนต์นี้เข้า เกิดมาจนอายุยี่สิบ นี่เป็นครั้งแรกที่โดนคนอื่นด่าแรงขนาดนี้ เลยอดที่จะใจสั่นไม่ได้ ริมฝีปากเม้มแน่น กลั้นใจกดเข้าไปในคอมเมนต์ย่อยอีกที
[แม่แกสิตุ๊ด อยู่ ๆ มาด่าคนอื่นแบบนี้]
[ที่บ้านไม่สอนเรื่องมารยาทเหรอ]
[ให้ไต้ฝุ่นไปคบกับผู้ชาย ยังดีกว่าคบกับชะนีสันดานแบบหล่อน]
พอเห็นว่าพอจะมีคนปกป้องผมบ้าง ในใจพลันชื้นขึ้นเล็กน้อย จากนั้นผมก็นั่งไล่อ่านคอมเมนต์ต่อ
ถัดมาเป็นภาพถ่ายจากด้านหลัง ไต้ฝุ่นเดินนำหน้า ผมเดินตามหลัง มันจะไม่อะไรเลยถ้าในมือเขาไม่หิ้วกระเป๋าผมไปด้วย
[โอ๊ย เลิกสงสัยค่ะ ตอนแรกพวกเราก็สงสัยว่าไต้ฝุ่นมาทำไมที่คลาสบัญชี แต่ แต่ เขามารับคนจ้า มีถือกระเป๋าให้ด้วยนะ แฟนกันชัวร์ป้าบ]
และใต้ความเห็นนั้นก็เต็มไปด้วยคอมเมนต์หวีดของสาว ๆ มีหลุดเมนต์หยาบคายมาบ้างเล็กน้อย เอาเป็นว่าอย่างน้อยตอนนี้ผมก็ยังโชคดีที่ไม่ได้ถูกแฟนคลับไต้ฝุ่นเกลียด จนกลายเป็นการล่าค่าหัวอะไรแบบนั้น
ตอนนี้เหลือก็แต่ตัวต้นเรื่องแล้ว ผมจะเอายังไงกับเขาดี...
คืนนั้นผมอ่านคอมเมนต์นับพันถึงกลางดึก ทั้งปวดนิ้ว ปวดตา ปวดหัวเพราะใช้สายตาเยอะ จนต้องหายามากินกันเลยทีเดียว สุดท้ายปาเข้าไปตีสองแล้วแต่ผมยังคงนอนไม่หลับ
“หลับสิ”
ผมข่มตาบังคับให้ตัวเองนอนหลับ แต่ยิ่งฝืนมันก็ยิ่งเครียด ตาสว่างไม่มีเค้าว่าจะหลับเลยแม้แต่นิดเดียว
พรุ่งนี้มีเรียนเช้าซะด้วย
ในเมื่อฝืนนอนก็ยิ่งปวดหัว ผมเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง ปกติผมจะตั้งโหมดนอนหลับเอาไว้ตั้งแต่สี่ทุ่ม ทำให้แจ้งเตือนที่เข้าหลังจากเวลานี้ไม่ดังขึ้นมา ทว่าพอเข้าแอปแชต ก็เห็นข้อความจากกลุ่มเพื่อนสนิทต่างคณะที่รัวกันมาเป็นสิบ ทั้งยังมีแชตส่วนตัวจากพวกเซฟและเพื่อนในคณะที่รู้จักผมอีกหลายคน
ผมมองแชตจากคนเป็นสิบตาแทบถลน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพวกเขาทักมาด้วยเรื่องอะไร แน่นอนว่าผมยังไม่คิดที่จะเข้าไปคุยกับใครทั้งนั้น สายตาเอาแต่จ้องมองไปยังช่องแชตหนึ่งที่ข้อความขึ้นเลขหนึ่ง บ่งบอกว่าฝ่ายนั้นส่งมาเพียงหนึ่งข้อความ
Olive_2 [ฝันดี]
ท่ามกลางแชตมากมาย ผมกดอ่านข้อความของไต้ฝุ่นอย่างไม่รู้ตัว นิ้วกดแป้นพิมพ์เชื่องช้ากว่าที่เคยเป็น
“ฝันดี”
พอส่งไปแล้ว มาคิดอีกทีผมกลับรู้สึกว่าตัวเองบ้ามาก คนเขาส่งมาตั้งแต่สี่ทุ่มแต่ผมดันตอบกลับตีสอง หมอนั่นคงจะมาเห็นอีกทีตอนเช้านั่นแหละ
เพิ่งจะด่าตัวเองได้ไม่ทันไร ในแชตกลับขึ้นอ่านเสียอย่างนั้น ข้อความใหม่พลันเด้งมา
[ยังไม่นอน?]
“นอนไม่หลับ” ผมพิมพ์ไปตามตรง แน่นอนสิ ตีสองแล้วยังมาพิมพ์แชตแบบนี้ นอกจากเล่นเกมก็มีแต่นอนไม่หลับนี่แหละ “แล้วทำไมนายยังไม่นอน”
[นอนไม่หลับเหมือนกัน]
คำตอบนี้เหนือความคาดหมายของผมมาก ในใจอยากจะถามว่านอนไม่หลับเรื่องอะไร ใช่เรื่องเดียวกันไหม แต่ผมไม่กล้าเปิดประเด็นก่อน
“...”
[เราคบกันแล้วใช่ไหม]
หลังจากทิ้งช่วงไปประมาณหนึ่งนาที จู่ ๆ ไต้ฝุ่นก็ส่งข้อความที่สองมา เป็นประโยคคำถามที่ยากจะตอบเหลือเกิน ผมเม้มปากแน่น เพราะไม่รู้จะตอบว่ายังไงดี
ถ้าพูดตามหลักแล้ว ผมขอเขาคบ เขาตอบตกลง นั่นเท่ากับว่าพวกเราคบกันอยู่ แต่ความเป็นจริงเรื่องทั้งหมดมันกลับไม่ง่ายดายแบบนั้น เรื่องการขอคบเป็นเพียงแค่การเล่นสนุกของผมกับเพื่อนเท่านั้น
ผม...
ไม่กล้าตอบ
ก่อนที่สายเรียกเข้าจะตัดไป ผมก็กดรับเอาในวิสุดท้ายพอดี“ฮัลโหล”[อยู่ไหน]อีกฝ่ายยังคงเป็นไต้ฝุ่นคนเดิม พูดน้อย ไม่อ้อมค้อม ยิงเข้าประเด็นทันที ผมเริ่มจะชินแล้วละ“อ่า เอ่อ แถว xx”ด้วยความที่ขึ้นรถมาผมก็เอาแต่เหม่อ เลยไม่ได้ดูว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ตรงไหนแล้ว พอชะโงกหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ถึงได้เห็นว่ายังมาได้ไม่ถึงครึ่งทางด้วยซ้ำ ช่วงเวลาเร่งด่วนกับรถเมล์ ยังไงก็ไม่มีทางเร็วไปกว่ารถเล็กได้[ลงป้ายหน้า]“หา?” ผมเผลอร้องออกมาเสียงดัง จนป้าที่นั่งด้านข้างหันมามอง ผมได้แต่ก้มหัวขอโทษท่านเล็กน้อย พอตั้งสติได้เลยพอจะเดาออกว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร “วันนี้มีเรียนเช้าเหรอ”[ไม่มี อาจารย์ยกคลาส] ไต้ฝุ่นตอบกลับสั้น ๆ ก่อนถามย้ำอีกรอบ [ลงหรือยัง]“ให้ลงทำไม จะมารับ?” ผมแกล้งยียวน[อืม]ชิบ นี่ก็ตรงเกิน“ไม่ใช่แฟนกันจริง ๆ สักหน่อย ไม่ต้องดูแลขนาดนี้ก็ได้มั้ง” ผมบ่นเสียงเบา ทว่ามือก็เอื้อมไปกดออด แล้วลงที่ป้ายรถเมล์อย่างที่อีกฝ่ายต้องการ[ฉันไม่เคยทำอะไรเล่น ๆ แล้วก็ไม่ชอบหลอกใครด้วย]“...”ประโยคนี้มันหลอกด่าผมปะวะลงจากรถเมล์มาได้ไม่นาน รถยุโรปเงาวับคุ้นตาก็ขับเข้ามาจอดเทียบท่าทันที ไม่ต้องรออีกฝ่าย
[เราคบกันแล้วใช่ไหม] ประโยคคำถามนี้ ราวกับเพื่อยืนยันให้แน่ใจถึงสถานะของพวกเรา ผมจ้องข้อความนี้ตาค้าง สมองประมวลผลไม่หยุดถ้าบอกว่า อ๋อใช่ เราคบกัน แล้วภายหลังไต้ฝุ่นรู้ความจริงเข้าล่ะ หมอนี่จะไม่รู้สึกเหมือนถูกล้อเล่นอยู่เหรอ ไม่ต้องพูดถึงแฟนคลับพวกนั้นเลย ผมคงโดนเขาเกลียดแน่นอนผมไม่ได้ชอบไต้ฝุ่นในเชิงนั้นก็จริง แต่ก็ไม่ได้อยากถูกเกลียดหรอกนะ อย่างน้อยในแง่ของเพื่อน ผมก็ชอบเขาอยู่บ้างอันที่จริงแล้วผมเป็นคนโกหกไม่เก่งเลย ถ้าให้โกหกในแชตน่ะได้ เพราะอีกฝั่งไม่ได้เห็นสีหน้าและน้ำเสียง แต่ถ้าอยู่ต่อหน้าแล้วเรื่องที่ต้องตอบมีคำโกหก ท่าทางผมมันจะออกจนอีกฝ่ายจับได้แน่นอนว่าด้วยสถานะของเราตอนนี้ ผมคงไม่สามารถโกหกไต้ฝุ่นไปได้ตลอด และจะต้องถูกจับได้แน่นอนถ้าอย่างงั้นควรบอกเลยดีไหมนะ ดีกว่าปล่อยให้เขารู้จากปากคนอื่นระหว่างที่ผมกำลังครุ่นคิดถึงเหตุผลต่าง ๆ นานา โดยไม่ได้ตอบอะไรกลับไป จู่ ๆ หน้าจอก็มีสายเรียกเข้าขึ้นมาเป็นไต้ฝุ่น...ผมลังเลอยู่ประมาณห้าวิ จากนั้นก็กดรับสาย ยังไม่ทันได้พูดอะไรออกไป อีกฝ่ายกลับเอ่ยถามมาเสียงเรียบ[ทำไมไม่ตอบแชตล่ะ]ก็กำลังคิดอยู่ไงผมสูดลมหายใจเข้าลึก โอเค เอ
วันนี้ผมไม่มีเรียนคลาสเย็น เลยกลับมาถึงบ้านตอนที่ฟ้ายังสว่าง แน่นอนว่าหลังจากอาบน้ำกินข้าวเรียบร้อยแล้ว ผมก็ต้องไปสิงในเกมกับเพื่อนต่างคณะตามกิจวัตรเดิมของตัวเองระหว่างเล่นเกมจนใกล้จะถึงจุดไคลแมกซ์ มือซ้ายกดคีย์บอร์ดรัว ๆ มือขวาลากเมาส์อย่างใจจดใจจ่ออยู่นั้น จู่ ๆ เซฟก็ถามขึ้นมา“คิริน มึงคบกับไต้ฝุ่นเหรอวะ”“ฮะ! เชี่ย!”ประโยคคำถามไม่มีปี่มีขลุ่ยของเซฟ ทำเอาผมนิ้วเคลื่อนกดปุ่มพลาด ไม่ได้ยิงพลังออกมา สุดท้ายก็โดนฝั่งตรงข้ามฟาดพลังอัดเต็มหน้า จนตายในวินาทีสุดท้าย“พูดอะไรของมึงเนี่ยเซฟ กูตายเลยเห็นไหม”ผมโวยวายออกมา ใบหน้าที่ปรากฏบนจอออกอาการบูดบึ้งเล็กน้อย สองแขนยกขึ้นกอดอก“ตอบกูมาก่อน” เซฟถามย้ำ“ตอบอะไร” ผมทวนคำถามอีกครั้ง เมื่อกี้เพราะตั้งสมาธิมากก็เลยไม่ทันได้ฟังคำถาม รู้แค่ตกใจเสียงของมันที่ดังขึ้นมากะทันหันเท่านั้น“มึงคบกับไต้ฝุ่นเหรอ” เซฟพูด“เออ กูก็อยากรู้ บอกมาเลยนะเว้ย” เปาเสริมขึ้นมาอีกคน“ยังไง ๆ” โอบลากเสียงยาว ฟังแล้วดูกวนตีนสุด ๆส่วนผมนั้นอึ้งกิมกี่ไปแล้วเรียบร้อย ทำไมพวกมันถึงได้ถามคำถามนี้ล่ะ มันไปรู้อะไรมา!“ไม่มี!” ผมพูดเสียงดัง ก่อนที่จะถามออกไปเสียงนิ่ง แต่ใน
“อ้าว คิริน มายืนทำอะไรตรงนี้ล่ะ ทำไมไม่เข้าห้อง แล้วนี่ทำไมหน้าแดง เป็นไข้เหรอ”เสียงของเพื่อนร่วมคลาสคนหนึ่งทักขึ้นมา ผมรีบยกมือปิดแก้มตัวเองอย่างร้อนตัว “แค่ร้อนเฉย ๆ ใช่ อากาศร้อนเนอะวันนี้”“ก็ไม่นะ”ก่อนที่เพื่อนร่วมคลาสจะได้ถามอะไรต่อ ผมก็รีบวิ่งฉิวเข้าห้อง ตัดจบบทสนทนาอย่างคนร้อนตัวทันทีผมจำได้ว่าไต้ฝุ่นบอกให้รอหน้าห้องเรียนตัวเอง แต่ผมยังไม่ทันได้ ‘รอ’ อีกฝ่ายก็มา 'ยืน' เป็นเสาหลักอยู่หน้าห้องแล้วเรียบร้อยดูท่าอาจารย์คงจะเลิกคลาสเร็วสินะ ช่างน่าอิจฉาจริง แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ ผมไม่ได้อยากให้หมอนี่มาตอนที่เพื่อนร่วมคลาสอยู่กันเต็มแบบนี้นะ!เสียงจ้อกแจ้กจอแจของสาว ๆ ในคลาสดังกระหึ่มอย่างกับผึ้งแตกรัง สายตาหลายคู่เหล่ออกไปด้านนอก จนลูกตาแทบจะทะลุออกมาอยู่แล้ว“วันนี้พวกเธอคงเรียนเข้าหัวหมดแล้วเนอะ น่าจะไม่ต้องสอนอะไรแล้ว เนื้อหาวันนี้ออกสอบนะจ๊ะ”อาจารย์ประจำคลาสกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็น และนั่นก็ทำให้ทั้งห้องกลับมาสงบตั้งใจเรียนกันอีกครั้งนักศึกษาที่เรียนวิชานี้ต่างรู้นิสัยของอาจารย์ท่านนี้ดีว่า เป็นคนที่ดูใจดีแค่ภายนอกเท่านั้น ระดับความยากของข้อสอบจะขึ้นอยู่กับความพอใจล้ว
ผมมองเพื่อนทั้งสองของไต้ฝุ่นด้วยรอยยิ้มแห้ง มุมปากกระตุกเล็กน้อย ว่าแต่พวกนายใช้สายตามองประเมินคนอื่นโจ่งแจ้งแบบนี้ รู้ไหมว่ามันเสียมารยาท ยังดีที่หน้าตาผมก็ไม่ได้ขี้เหร่ ทั้งยังโดนชมบ่อย ๆ ว่าน่ารัก ถึงจะไม่หล่อแต่ก็พอมั่นใจได้ละนะ ไม่งั้นเจอแบบนี้เข้าไปเป็นต้องเสียเซลฟ์แน่“สวัสดีครับ” ผมทักทายอีกรอบ“จะกินอะไร” ไต้ฝุ่นหันมาถาม “เดี๋ยวไปซื้อให้”ประโยคนี้หลุดออกมายิ่งทำให้เพื่อนทั้งสองของเขาตาโตแทบจะทะลักออกมาอยู่แล้วขอร้อง นายช่วยดูหน้าเพื่อนตัวเองหน่อยเถอะ“คิดไม่ออกอะ เดี๋ยวฉันไปด้วย”“อืม”ไต้ฝุ่นพยักหน้า พวกเราจึงเดินออกไปพร้อมกัน แน่นอนว่าผมโกหก ปกติผมมีเมนูประจำของตัวเองอยู่แล้วเวลาที่ต้องมากินข้าวในโรงอาหารมหาวิทยาลัย นั่นก็คือสุกี้น้ำยังไงล่ะ!แต่ที่บอกว่าไม่รู้ ก็เพราะไม่อยากอยู่กับสองคนนั้นต่างหาก ถ้าต้องนั่งอยู่คนเดียวท่ามกลางพวกเขา ผมน่าจะโดนจ้องจนตัวหดเหลือสองนิ้วแน่ ๆ“ชอบสุกี้เหรอ?”น้ำเสียงเรียบนิ่งถามออกมา เมื่อเห็นว่าผมหยุดยืนอยู่หน้าร้านเจ้าประจำ“อื้ม เจ้านี้อร่อยนะ” ผมหันไปพูดยิ้ม ๆ “ว่าแต่ทำไมไม่ไปต่อแถวซื้อข้าวล่ะ หรือนายจะกินร้านนี้เหมือนกัน”“ทำไมไม่กินข้า
“แม่ฮะ วันนี้รินไม่กินข้าวเที่ยงที่บ้านนะ” ผมตะโกน มือก็สาละวนผูกเชือกรองเท้าอยู่ที่หน้าประตูบ้าน“อ้าว แล้วไม่หิวเหรอลูก มื้อเช้าก็ไม่ได้กิน”“เดี๋ยวว่าจะไปกินกับเพื่อนที่โรงอาหารน่ะครับ”“งั้นเอานมไปกินรองท้องก่อนสักกล่องนะ เผื่อหิวจนเป็นลมไป” แม่พูดพร้อมกับเดินไปหยิบนมมายื่นให้“เวอร์น่า” ผมตอบยิ้ม ๆ ทว่าก็รับเอาความหวังดีของผู้เป็นแม่มาอย่างไม่อิดออด พอผูกเชือกรองเท้าเสร็จก็เจาะกล่องกินมันหน้าประตูบ้านนั่นแหละ จะได้ไม่ต้องหิ้วไปทิ้งนอกบ้านจัดการอะไรเสร็จเรียบร้อย ครั้งนี้ตัวไม่เลอะแล้ว ผมเลยกระโจนเข้าไปกอดคุณแม่สุดสวยของตัวเอง แล้วหอมแก้มท่านฟอดใหญ่“แหม โตแล้วยังจะขี้อ้อนอยู่อีก” แม่หัวเราะคิกคัก พลางตีแขนผมไปด้วย “ถ้ามีแฟนแล้วไปอ้อนแบบนี้ อีกฝ่ายคงหลงตาย”“...”จากที่ผมกำลังอารมณ์ดี ๆ เจอประโยคนี้เข้าไปก็ถึงกับชะงักกึก รอยยิ้มแข็งค้าง มือไม้สับสนไปหมดอย่างไม่รู้จะเอาไปวางไว้ตรงไหนดีทำไมต้องน







