ที่นี่...ที่ไหน?
ชุนหรงเซินเปิดเปลือกตาหนักอึ้งช้าๆ สิ่งที่เห็นอย่างแรกเป็นเพดานไม้สูง คล้ายอยู่ในเรือนใครสักคน
เทพเซียนไล่มองไปรอบๆ สายตาไปสะดุดเข้ากับร่างใครบางคนที่นั่งอยู่ข้างๆ
เทพอสูร!!!
เป็นเทพอสูรตัวแดงผู้มีสี่เขาหกมือ ด้านหลังมีหางปล้องสีดำเงาเยี่ยงแมงป่องพิษร้าย
คนเจ็บทำท่าจะขยับตัวหนี ทว่าร่างกายกลับไม่ทำตามสมองสั่ง นอนนิ่งอยู่เช่นนั้นรอให้เทพอสูรเคลื่อนกายเข้ามาหาช้าๆ
กรงเล็บยาวยื่นมาใกล้ใบหน้า ชุนหรงเซินหลับตาปี๋ ใจเต้นดังดั่งเสียงประทัดด้วยความลุ้นระทึก
ข้ากำลังจะถูกฆ่า!!
..แปะ..
มือข้างหนึ่งที่ใหญ่เท่าศีรษะของเทพเซียนวางลงกลางหน้าผาก ครู่หนึ่งจึงยกออก
"ไข้ลดแล้ว พักอีกสักหน่อยท่านก็จะหายดีขอรับ"
น้ำเสียงเข้มดุของเทพอสูรทำให้ชุนหรงเซินค่อยๆลืมตาอีกครั้ง กะพริบปริบๆมองบุรุษที่นั่งชะโงกหน้ามองเขาเช่นกัน
"รับโจ๊กเลยไหมขอรับ ข้าพึ่งต้มเสร็จคาดว่าท่านน่าจะตื่นมายามนี้พอดี"
ฟังแล้วชวนให้ขมวดคิ้วงุนงง คราแรกไม่กล้ารับอาหารจากเทพอสูร แต่หลังจากได้กลิ่นโจ๊กหอม กระเพาะเจ้าปัญหาก็ส่งเสียงประท้วงขึ้นมาอย่างถูกจังหวะเสียอย่างนั้น
"ค่อยๆลุกนะขอรับ"
ฝ่ามือใหญ่ช้อนประคองร่างเทพเซียนขึ้นมานั่ง ยื่นชามที่ข้างในเป็นโจ๊กสีขาวโรยสมุนไพรหอมนิดหน่อยให้ดูน่ากินยิ่งขึ้น
ชุนหรงเซินรับมาโดยไม่ยอมพูดอะไร ลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจตักเข้าปาก
"แค่กๆๆ" แล้วก็ต้องสำลักคำใหญ่ เพราะมันร้อนมากและเขาลืมเป่า
"น้ำขอรับ"
เทพอสูรยื่นถ้วยให้ คนสำลักรีบรับน้ำมาดื่มไล่ความร้อนในคอ
"คราวนี้เป่าก่อนนะขอรับ"
"เจ้ามานั่งมองข้าเช่นนี้ ข้ากินได้ไม่ถนัด"
ชุนหรงเซินอ้อมแอ้มกล่าวแก้เขิน ที่จริงมันไม่ได้เป็นความผิดของเทพอสูรหรอก เขาเองนั่นแหละที่มัวแต่กลัวจนสติเตลิด เผลอทำเรื่องขายหน้า
"เข้าใจแล้วขอรับ"
แต่คนฟังกลับเข้าใจว่าเทพเซียนต้องการความเป็นส่วนตัวจึงเขยิบออกไปนั่งหันหลังที่มุมห้องแทน
ชุนหรงเซินถึงกับขมวดคิ้วอีกรอบ เทพอสูรองค์นี้คิดว่าการนั่งหันหลังเพื่อไม่ให้เห็นหน้าจะทำให้เขาหายกลัวอย่างนั้นหรือ?
กระนั้น.. โจ๊กในชามพร่องไปทีละน้อยขณะคนกินลอบมองเทพอสูร รู้ตัวอีกทีชามก็ว่างเปล่าเสียแล้ว
"ข้าอิ่มแล้ว"
"ขอรับ"
เทพอสูรตอบรับเพียงเท่านั้น แล้วก็ไม่พูดอะไรต่อ ไม่เปลี่ยนท่านั่งอีกต่างหาก
สุดท้ายก็เป็นชุนหรงเซินที่ผ่อนลมหายใจ บอกให้เจ้าของเรือนหันหน้ามาหา
"หันหน้ามาเถิดท่านเทพอสูร"
แล้วร่างใหญ่ยักษ์ก็ขยับกลับมานั่งประจันหน้ากับเขาเช่นเดิม น่าแปลกที่ความหวาดกลัวในใจชุนหรงเซินจางหายไปหลายส่วน
"ขอบคุณที่ช่วยข้า"
"มิได้ขอรับ เป็นหน้าที่ข้าต้องดูแลไม่ให้วิญญาณร้ายที่หลุดมาเข้าทำร้ายผู้อื่นได้ อันที่จริงสมควรรับโทษเพราะทำให้ท่านบาดเจ็บ"
ว่าแล้วเทพอสูรตรงหน้าก็ก้มตัวจนหัวติดพื้นเป็นการขอโทษ นั่นทำให้ชุนหรงเซินถึงกับตกใจ
"ไม่เป็นไรๆ ท่านก็รักษาให้ข้าแล้วนี่"
"มิได้ขอรับ พรุ่งนี้ข้าจะไปรอรับโทษจากมหาเทพขอรับ"
"บอกว่าไม่ต้องก็ไม่ต้องอย่างไรเล่า ท่านไม่ได้ทำผิดสักหน่อย เงยหน้าขึ้นมาเถิด"
เขารู้ว่าการปล่อยให้วิญญาณร้ายหลุดออกมาเป็นความผิดของนายนิรยบาล หาใช่ความผิดของเทพอสูรซึ่งมีหน้าที่เป็นปราการชั้นรอง
อีกอย่าง.. ว่ากันตามจริงคือเทพอสูรทั้งศักดิ์สูงและอายุมากกว่าเขา จะให้มาก้มหัวเช่นนี้ไม่สมควร
ศีรษะที่ประดับเขาสั้นค่อยๆเงยขึ้นกลับมาอยู่ในท่านั่งตัวตรงสง่าดังเดิม
"ขอบคุณท่านเทพที่ไม่คิดเอาความขอรับ แต่ผิดย่อมต้องว่าไปตามผิด ข้าสมควรรับโทษเพื่อไม่ให้เกิดเหตุเช่นนี้อีกในวันหน้าขอรับ"
"เห้อ.. เช่นนั้นก็ตามใจท่านเถิด" คนเหนื่อยจะพูดจำต้องยอมปล่อยไป หากอยากเจ็บตัวถึงเพียงนั้นก็เอาเถิด
เทพอสูรเจ้าของเรือนจัดแจงเสกให้สำรับที่ว่างเปล่าหายไป เปลี่ยนเป็นยาสมุนไพรชุดหนึ่งแทน
ชุนหรงเซินได้กลิ่นก็รู้ทันทีว่านี่เป็นยาดีมีฤทธิ์ต้านความเจ็บปวด เขาหยิบขึ้นมาดื่มอย่างไม่ลังเล
"พึ่งรู้ว่าที่แผ่นดินใหญ่มีสมุนไพรเหมือนที่แดนอุดรด้วย"
"มีเหมือนกันบ้างไม่เหมือนกันบ้างขอรับ แต่สิ่งนี้ท่านมหาเทพเคยประทานให้ข้า เนื่องจากทำความชอบอย่างหนึ่ง เห็นว่าแก้ปวดแผลได้ดีขอรับ"
คนเจ็บพยักหน้ารับรู้ เทพอสูรมีหน้าที่ทำตามคำสั่งองค์มหาเทพ เมื่อได้รับความชอบก็จะให้ของมาสินะ
จะว่าไป.. เทพอสูรองค์นี้ชื่ออะไรกัน
เขานั่งอยู่ในเรือนผู้อื่นมาตั้งนานสองนาน เจ้าของเรือนอุตส่าห์ทำแผล ต้มโจ๊ก จัดหายามาให้ แต่ก็ยังไม่รู้แม้กระทั่งชื่อเลยด้วยซ้ำ
"ข้าเสียมารยาทแล้ว เข้ามานั่งอยู่ในเรือนท่านอยู่เป็นนาน แต่ไม่รู้แม้กระทั่งนามของท่าน"
"ข้าชื่อซีจงจวินขอรับ"
"ซีจงจวิน ขอบคุณมากที่ช่วยข้าไว้แล้วยังดูแลข้าอย่างดี ท่านคงรู้ว่าข้าเป็นผู้ใดมาจากไหนใช่หรือไม่"
"ข้าทราบขอรับ ท่านคือเทพผู้บันดาลผืนป่ามวลผกามาลีแก่แดนอุดร"
ชุนหรงเซินมองเทพอสูรนามซีจงจวินแล้วก็คิดในใจว่าบุรุษผู้นี้เป็นถึงผู้รับใช้มหาเทพแต่กลับนอบน้อมยิ่งนัก แม้ชื่อเขาก็ยังไม่กล้าเอ่ยโดยตรง
แต่อย่าได้วางใจ.. เพราะท่าทางเหล่านี้ล้วนมาจากคำสั่งของมหาเทพเจ้าสวรรค์ ให้พวกเขามีกิริยาดี เป็นมิตรกับเทพและมารทั้งหลายเข้าไว้ เห็นวาจาเช่นเซียนผู้น้อย ทว่ายามออกศึกกลับเปลี่ยนราวเป็นคนละคน กลายเป็นนักรบฝีมือฉกาจผู้ไม่เกรงกลัวสิ่งใดในยุทธภพ
"ข้าชื่อชุนหรงเซิน คราวต่อไปได้โปรดเอ่ยขานนามข้าเถิด"
"ขอรับ"
เขารับคำง่ายๆแล้วก็ไม่ทำอะไรต่อนอกจากนั่งจ้องหน้าจนแขกทำตัวไม่ถูก ได้แต่หลบสายตามองไปรอบห้องเท่านั้นเอง
ชุนเซินหรงสังเกตว่าห้องนี้มัน.. โล่งมาก นอกจากเบาะยาวที่เขาใช้นอนอยู่ตอนนี้แล้ว ทั้งห้องก็ไม่มีอะไรอีกเลย
"ท่านอยากนอนต่อหรือไม่ขอรับ"
"ไม่ล่ะ แต่หากท่านไม่ว่าอะไร ข้าขอออกไปเดินเล่นได้หรือไม่"
"ท่านเป็นแผลที่ขา จะเดินไหวหรือขอรับ"
"ท่านให้กินยาแก้ปวดแผล ข้าจึงเดินได้สบายมาก"
"เช่นนั้นเดินแค่ในบริเวณตัวเรือนนะขอรับ ตอนนี้พึ่งเข้ายามอิ๋น ฟ้าด้านนอกยังมืดหากเกิดเหตุร้ายอีกคงไม่ดีนัก"
ชุนหรงเซินพยักหน้ารับรู้ ลุกเดินตามเจ้าของเรือนไปชมยังห้องต่างๆ
กะด้วยสายตา เดาว่าเรือนหลังนี้ใหญ่เทียบเท่ากับคฤหาสน์ อาจจะใหญ่เกินครึ่งวังของชุนหรงเซินก็เป็นได้
แต่ภายในบ้านกว้างขวางกลับมีเพียงเครื่องเรือนที่จำเป็นอย่างตู้กับโต๊ะอยู่ไม่กี่ตัว นอกนั้นก็เป็นพื้นที่ว่างไร้ของตกแต่ง
เปิดเข้าไปหลายห้องไม่มีอะไรเลยเสียด้วยซ้ำ ที่ดูจะมีของเยอะขึ้นมาหน่อยก็มีแต่ห้องครัวซึ่งมีวัตถุดิบทำอาหารบ้าง ไม่ได้มากมายอะไร
กระทั่งซีจงจวินพามาดูสวนรอบเรือน เขาเล่าว่าบริเวณนี้เดินได้เพราะเขากางข่ายอาคมและวางหินไล่วิญญาณไว้รอบทิศ
ถึงจะเรียกว่าสวน แต่ทุกพื้นที่กลับว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดนอกจากพื้นดินทรายแห้งๆอย่าว่าแต่ไม้ประดับเลย หญ้าสักต้นก็ยังไม่มีขึ้น
เหตุใดถึงได้วังเวงขนาดนี้...
จะบอกว่าชายแดนตะวันตกเป็นดินแดนที่ปลูกต้นไม้ไม่ขึ้นก็ไม่ใช่ เพราะมองออกไปไกลๆก็ยังเห็นเงาผืนป่ารกครึ้ม
คงเป็นตัวของซีจงจวินเองที่ไม่คิดจะปลูกอะไร เขาคงไม่ได้นิยมความสวยงามกระมัง
สุดท้ายซีจงจวินพาเดินไปที่โกดังข้างหลังสวน ซึ่งด้านในเต็มไปด้วยไหสุราวางตั้งเรียงรายเป็นตู้ๆ
"นี่เป็นห้องเก็บสุราที่มหาเทพทรงประทานให้ขอรับ"
ชุนหรงเซินตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง มองดูไหล้ำค่าตรงหน้าแล้วลอบกลืนน้ำลาย ใครบ้างไม่รู้ว่าสุราสวรรค์นั้นรสชาติเลิศล้ำเพียงใด
"ท่านคงชอบดื่มสินะ ถึงเก็บไว้มากมายเช่นนี้"
แต่เมื่อฟังแล้ว ซีจงจวินกลับส่ายหน้าปฏิเสธ เอ่ยเสียงเรียบดังเดิม
"ข้าไม่ชอบขอรับ เคยดื่มครั้งหนึ่งแล้วปวดหัวอย่างหนักพูดจาไม่รู้เรื่องจึงไม่คิดดื่มอีก ของเหล่านี้มหาเทพประทานให้เพราะทำความชอบหลายครั้งเท่านั้น ข้าไม่รู้จะทำอย่างไรเลยเก็บเอาไว้ขอรับ"
..เทพอสูรผู้แข็งแกร่งที่สุดในยุทธภพ เป็นรองเพียงมหาเทพองค์เดียวก็มีจุดอ่อนด้วยเหมือนกันหรือนี่
"เปิดเผยจุดอ่อนเช่นนี้ หากข้าเป็นศัตรูท่านคงไม่ดีแน่"
"ยามนี้ไร้สงคราม ท่านหาใช่ศัตรูขอรับ"
ใบหน้าคนพูดไม่ได้บ่งบอกสิ่งใดเลย ไม่รู้ว่าเพราะเขามั่นใจที่ตนเองเก่งกาจ หรือย่ามใจเพราะไม่มีใครกล้าต่อกรด้วยกันแน่
แต่ก็ต้องยอมรับว่าคนผู้นี้เป็นผู้ที่พูดอะไรตรงตามใจคิด เป็นความสัจจริง
"ท่านคงไม่เคยร่ำสุรากับผู้ใดเลยสินะ"
"เป็นเช่นนั้นขอรับ ข้ามีแขกมาเยือนไม่บ่อยนัก ส่วนใหญ่จะรีบมาและรีบกลับ อยู่คุยได้นานสุดประมาณครึ่งเค่อ"
"อืม.."
ก็ไม่แปลก เพราะซีจงจวินออกจะดูน่ากลัวปานนี้ แม้เนื้อแท้จะไม่เลวร้ายแต่ใครเล่าจะอยากมาเสียเวลาค้นหาแก่นแท้จิตใจเขา
จะว่าไป.. ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาในเรือนนี้ชุนหรงเซินยังไม่เห็นผู้ใดเลยนอกจากซีจงจวิน
"คนรับใช้เรือนท่านไปไหนหมดหรือ"
"ข้าอยู่ที่นี่คนเดียวขอรับ"
หืม..?
อยู่คนเดียว..ในเรือนกว้างขวางเช่นนี้น่ะหรือ?
"แล้วภรรยาท่านเล่า"
คนฟังคำถามยังคงมีสีหน้าเรียบนิ่ง เอ่ยตอบน้ำเสียงเหมือนเดิม
"ข้าไม่เคยมีภรรยาขอรับ"
..?
"แต่ท่านอายุไม่ใช่น้อยๆแล้วนะ"
"ข้าทราบขอรับ แต่ไม่มีผู้ใดอยากมาอยู่ในสถานที่อันตรายเช่นนี้ เรือนข้าติดชายแดนโลกวิญญาณ อันตรายกว่าชายแดนที่ติดแผ่นดินอื่นมาก หากเกิดเหตุร้ายขึ้นขณะข้าไม่อยู่บ้านคงเป็นเรื่องไม่ดี"
คำบอกเล่าด้วยแววตาว่างเปล่านั้น ทำให้ชุนหรงเซินมองเทพอสูรตรงหน้าอย่างเห็นอกเห็นใจ ซึ่งไม่แน่ใจว่าเขาจะรับรู้หรือไม่
ก็เข้าใจเหตุผลอยู่หรอก เขาเป็นเทพอสูรที่ต้องปกป้องยุทธภพ มีความคิดเช่นนี้ก็ไม่แปลกอะไร
..แต่มันไม่ดูเปล่าเปลี่ยวเกินไปหน่อยหรือ...
"ท่านอยู่แบบนี้มานาน ไม่เหงาบ้างหรือ"
นานขนาดไหน.. ตั้งแต่จำความได้ชุนหรงเซินเห็นเทพอสูรทั้งสี่ทำงานรับใช้องค์มหาเทพมาตั้งแต่สมัยบิดาเขายังหนุ่ม
คำถามของชุนหรงเซินทำให้หัวคิ้วกระบี่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ซีจงจวินทำหน้าสงสัยก่อนเอ่ยถาม
"เหงาเป็นอย่างไรหรือขอรับ"
*****************
ยามอิ๋นคือเวลา 3.00 น. ถึง 5.00 น.
1 เค่อเท่ากับ 15 นาที
ค่ำวันหนึ่งในวสันตฤดู มี่ฮวามายืนรอสามีหน้าประตูบ้าน เห็นเขากลับช้ากว่าปกติก็นึกเป็นห่วงขึ้นมาราวสามก้านธูปผ่านไปเขาก็ยังไม่มาทำเอานางร้อนใจไปหมด พวกลูกๆหิวจนทนไม่ไหวเลยพากันกินข้าวเย็นไปก่อนแล้ว เหลือแต่นางที่ยังรอกินพร้อมสามีทำไมถึงชักช้านัก..เพียงหลังจากนั้นไม่นาน ปรากฏเงาร่างดำๆบนท้องฟ้าตรงหลังบ้าน ซีจงจวินเห็นมี่ฮวามองออกไปยังทางที่เขากลับทุกวันก็แปลกใจ"มี่ฮวา ข้ากลับมาแล้ว"ได้ยินเสียงเรียกนางจึงหันหลังเดินมาหาด้วยสีหน้าขุ่นเคือง"ไปไหนมา""ข้าไปช่วยสัตว์อสูรอพยพอยู่เลยกลับช้า"ได้ยินคำเขาบอก นางหรี่ตามองเล็กน้อยคล้ายไม่ค่อยพอใจนัก"สัตว์อสูรที่ไหน""ตรงทางไปเขาสวรรค์นั่นแหละ พอดีข้าผ่านไปเห็นว่านางกำลังลำบากกับการย้ายถิ่นเลยช่วยไว้"เขาชี้แจงด้วยสีหน้างง ขณะอีกคนสะดุดใจในประโยคเมื่อครู่ แต่สุดท้ายก็ต้องถอนหายใจยอมรามือจากการเค้นถาม"เช่นนั้นก็แล้วไป วันนี้พวกลูกๆหิวจนรอเราไม่ไหว แต่ข้ายังไม่ได้กินข้าวเพราะรอท่าน" นางเข้ามาควงแขนเขาไว้ เอาใบหน้าถูไถออดอ้อนทำเอาสามีต้องอมยิ้มการทำแบบนั้นเขาคิดว่านางตั้งใจทำตัวน่ารัก แต่กลับกันนางกำลังแอบดมกลิ่นที่ติดตัวเขามาต่างหากในใจยังรู
เจ็ดร้อยปีผ่านไป..ซวนเฟยกับกับชิงเหลียงอายุพันสามร้อยปีแล้ว ร่างกายกลายเป็นหนุ่มน้อยไม่ใช่เด็กตัวกะเปี๊ยกอีกต่อไปทั้งคู่ยังคงตั้งใจทำงานอย่างขยันขันแข็ง ในเรือนมีนายน้อยและคุณหนูเพิ่มขึ้นมาอีกหลายคนจนทั้งสองกลายสภาพจากคนรับใช้เป็นพี่เลี้ยงเด็กโดยสมบูรณ์"ถูตรงนั้นให้ดีๆล่ะ"ซวนเฟยสั่งแมวป่าน้อยที่มักจะถูพื้นบ้านด้วยความเร็วเกินไปจนไม่แน่ใจว่าสะอาดจริงหรือไม่"เจ้าค่าาา ทราบแล้วเจ้าค่ะท่านหัวหน้า" นางตอบกลับมาเสียงประชดเหมือนเคย"เจ้าด้วย บนเพดานยังมีฝุ่นอยู่เลย" คราวนี้หันไปว่าเจ้ากวางผา"ข้าจะปีนขึ้นเช็ดเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ" อสูรกวางผาตอบก่อนวิ่งไปหยิบไม้ปัดฝุ่นอย่างเร็วเพราะเจ้านายทั้งสองขยันมีลูกกันมาก เมื่อคนในบ้านเพิ่มงานก็เพิ่มตาม นายท่านจึงไปเสาะหาอสูรรับใช้ใหม่มาทำงานบ้าน ส่วนซวนเฟยกับชิงเหลียงมีหน้าที่อย่างเดียวคือเฝ้าจับตาดูลูกๆให้เจ้าวิหควายุเดินตรวจความเรียบร้อยตามส่วนต่างๆไปเรื่อย นายท่านของมันได้ขยายเรือนออกไปกว้างกว่าเดิมหลายส่วน ยิ่งทำความดีความชอบปกป้องยุทธภพด้วยแล้ว ยิ่งได้รับประทานรางวัลอย่างงาม ที่ดินอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ทำให้ต้องใช้เวลาเดินตรวจตรานานขึ้น"ซวนเฟย! ซ
"ท่า..ท่านป้อ!"เด็กน้อยเกอซือชี้นิ้วไปที่บิดา เอ่ยเรียกแล้วยิ้มแป้น แก้มยุ้ยๆขึ้นสีระเรื่อช่างน่าเอ็นดูคนถูกเรียกตาเป็นประกาย อุ้มลูกขึ้นมาไว้ในมืออดใจไม่ได้ต้องจูบแก้มหนักๆสักหลายที"เก่งมากลูกพ่อ"ซีจงจวินดูจะภูมิใจเหลือเกิน มี่ฮวาที่นั่งปักผ้าอยู่ไม่ไกลมองพ่อลูกเล่นกันก็พลอยยิ้มตามไปด้วย"ท่าน..แม่!""จ้า เก่งมากเสี่ยวเกอ"นางยอมวางมือจากเข็มปักผ้าแล้วมาเล่นกับลูกบ้าง เกอซือเริ่มเติบโต ช่างน่ารักน่าเอ็นดู"ท่านตา ท่านยาย ท่านป้า"เกอซือเหมือนพยายามท่องคำที่ถูกสอนมา เสร็จแล้วก็หัวเราะตบมือเพราะคนเหล่านั้นใจดีและรักเกอซือเช่นกันตั้งแต่มี่ฮวาตั้งท้อง พ่อแม่นางมาเที่ยวหาอยู่บ่อยครั้ง เมื่อคลอดเกอซือออกมาตายายก็ดูจะเห่อหลานกันมาก ขยันมาบ้านนี้จนเด็กน้อยจำได้"พ่อจ๋า วันไหนว่างๆเราพาลูกไปเยี่ยมตายายดีหรือไม่"เดี๋ยวนี้สรรพนามที่ใช้เรียกสามีเปลี่ยนไป เพราะทั้งคู่อยากให้ลูกจำได้และเรียกตาม"เช่นนั้นข้าจะทำเรื่องลางานสักสองวัน"ภรรยาว่าอย่างไรเขาไม่เคยขัดอยู่แล้ว ในเมื่อนางอยากพาลูกออกไปเที่ยวเล่นบ้างเขาก็ตามใจดีเหมือนกัน นานๆทีจะได้เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง นางกับลูกจะได้ไม่เบื่อความอุดอู้ใน
สิบปีต่อจากนั้นมี่ฮวาตั้งครรภ์ครั้งแรก จากที่ได้รับการดูแลอย่างดี ตอนนี้สามีนางแทบไม่ให้ลุกเดินขยับไปไหนเลยด้วยซ้ำซวนเฟยกับชิงเหลียงเองก็ถูกสั่งให้ช่วยกันดูแลนางเป็นพิเศษกระทั่งลูกน้อยคลอดออกมาอย่างปลอดภัยเสียงร้องอุแว้ดังลั่นเรือน เซียนหมอสตรีมือฉมังจากแดนเทพที่ซีจงจวินไปเชิญเดินออกมาหาพ่อเด็กด้วยสีหน้ายินดี"เป็นคุณชายน้อยเจ้าค่ะ"นางบอกแล้วยื่นห่อผ้าให้ซีจงจวินอุ้ม เทพอสูรมองหน้าเด็กทารกในมือแล้วแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่เด็กคนนี้มีร่างกายเป็นเทพตัวขาวผ่องอมชมพูน่าทะนุถนอม แต่มีลักษณะคล้ายพ่อตรงที่บนหน้าผากมีเขาเล็กๆงอกออกมาสองคู่ ซึ่งมันจะค่อยๆขยายไปตามกาลเวลาซีจงจวินก้มลงหอมแก้มลูกเบาๆแล้วเดินเข้าไปหาภรรยาในห้องซวนเฟยมีหน้าที่ไปส่งท่านเซียนหมอ ชิงเหลียงช่วยเช็ดตัวให้มี่ฮวา ซีจงจวินนั่งลงข้างเตียงซับเหงื่อให้เล็กน้อยก่อนก้มลงจุมพิตที่หน้าผากนาง"ลูกเรา"เขายื่นเด็กน้อยให้นาง มี่ฮวารับเด็กที่ร้องไห้จ้าตั้งแต่เมื่อครู่มาไว้ในอ้อมแขน โอ๋กล่อมด้วยความรักใคร่"ตั้งชื่อว่าอะไรดีเจ้าคะ" นางถาม สามีใช้เวลาคิดครู่สั้นๆก่อนตอบเสียงนุ่มทุ้ม"เกอซือ"ได้ยินชื่อนั้นนางก็พยักหน้าเห็นด้วย ยิ้มให้
ผ่านไปกี่คืนวันแล้วไม่รู้ตั้งแต่ซีจงจวินได้ร่างคืนมา เขาได้เป็นเทพเฝ้าประตูสวรรค์ดังเดิม ทุกวันทำงานตามปกติคล้ายเหตุการณ์เมื่อสี่สิบกว่าปี่ก่อนไม่เคยเกิดขึ้น"ข้ากลับมาแล้ว"ตะวันพึ่งลาลับขอบฟ้าไปได้ไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา ร่างเทพอสูรบึกบึนก็มาโผล่หน้าประตูเรียบร้อย น้ำเสียงของซีจงจวินดูร่าเริงมาก ผิดกับตอนเช้าก่อนออกไปทำงานที่จะอิดออดถ่วงเวลาอยู่นั่น"สำรับพร้อมแล้ว"ภรรยาผู้น่ารักเดินออกมาจากห้องอาหาร เนื้อตัวเป็นกลิ่นของคาวหวานคลุ้งไปหมด แต่สามีก็ยังวิ่งเข้ามาสวมกอดหอมฟัดนางเสียจนแทบล้มพับ"กินข้าวอาบน้ำก่อนซีจงจวิน"มี่ฮวาต้องรีบปราม ไม่เช่นนั้นนางจะไม่อาจหลุดจากอุ้งมือพันธนาการของสามีไปได้นับวันซีจงจวินยิ่งทำตัวเหมือนเป็นเด็กเข้าไปทุกที เขาชอบอ้อน ชอบเอาใจ จนบางครั้งมี่ฮวาก็อดคิดไม่ได้ว่าเพื่อนเขารู้ถึงตัวตนด้านนี้บ้างหรือเปล่าซีจงจวินยอมผละออกแต่โดยดี หลังจากถอดชุดเกราะออกแล้วก็มานั่งกินข้าว ไปอาบน้ำ เตรียมเข้านอนพร้อมภรรยาสุดที่รักแต่จะเรียกว่าเข้านอนเลยก็ไม่ได้เพราะก่อนหน้านั้นต้องมีกิจกรรมสำหรับคู่รักเสียก่อนซีจงจวินถึงจะยอมนอน"มี่ฮวา"สัมผัสจากปลายนิ้วสะกิดหลังเบาๆให้นางหันมาห
เป็นจูบที่หวานที่สุดในชีวิตซีจงจวิน พอนางขยับเปิดปากเขาก็สอดลิ้นเข้าไปชิมรสชาติด้านใน กระหวัดเกี่ยวอย่างโหยหาเมื่อตักตวงจนมากพอแล้วมี่ฮวาผลักเขาออกเพื่อพักหายใจเล็กน้อย ดวงตายังสบประสานกันอย่างหวานฉ่ำ"เชื่อหรือยังว่าข้ารักเทพอสูรซีจงจวิน ไม่ใช่จงซีจ้านผู้นั้น"มี่ฮวารู้ว่าที่ซีจงจวินขอให้มหาเทพใส่จิตเขาลงไปในร่างของจงซีจ้านเพราะอะไรคนตอบพยักหน้าเล็กน้อย ช้อนสายตาขึ้นมองนางอย่างเด็กน้อยที่กลัวจะถูกว่าเมื่อทำผิด"ข้า.. เห็นว่าเจ้ายอมนอนกับข้าในร่างจงซีจ้าน เลยคิดว่าหากอยู่ในร่างนั้นเจ้าอาจจะชอบมากกว่า"ซีจงจวินไม่มั่นใจในตัวเองเอามากๆเลยสินะ ถึงได้มีความคิดแบบนี้มี่ฮวาระบายลมหายใจยาว กระเถิบขึ้นไปนั่งบนตักสวมกอดเขาไว้แน่นๆ ซุกหน้ากับแผ่นอกอีกรอบ"ข้าไม่สนว่าจะอยู่ในร่างไหน ขอแค่เป็นท่านก็พอ""เจ้าไม่รังเกียจข้าแล้วใช่หรือไม่""ไม่เลย ข้ากลับชอบด้วยซ้ำเวลาที่ท่านกอดข้าแบบนี้ข้ารู้สึกอบอุ่นปลอดภัย"นางชอบมือทุกข้างที่มอบความรู้สึกหลากหลายให้ มันมีความรักเจืออยู่ในทุกการกระทำร่างกายทั้งคู่ที่แนบชิดบดเบียดกันสร้างความร้อนขึ้นมา ตอนนี้ดูเหมือนว่าแค่กอดจากนางผู้เป็นที่รักเริ่มไม่เพียงพอเ