เหยาอี้เหยามีอายุน้อยที่สุดในคณะราชทูตแห่งต้าหย่งซึ่งประกอบไปด้วยองค์หญิงหย่งเยี่ยน แม่ทัพกงจิ้ง บุตรชายของแม่ทัพใหญ่ซ่าง ซ่างเจวี๋ย และราชทูตลู่หมิง
ทั้งหมดคือคณะราชทูตเพื่อส่งเสริมสัมพันธไมตรี ลดทอนความบาดหมางที่เคยเกิดขึ้นเมื่อสามปีก่อน ทั้งหมดจึงต้องเดินทางไปยังเมืองโจวอี้ รัฐหลู่ ปกติด้วยฐานะของเหยาอี้เหยา นางไม่มีทางได้เป็นหนึ่งในคณะทูต แต่ด้วยความหลังในอดีต ทำให้ฮ่องเต้ต้องการแสดงความจริงใจ ด้วยการส่งตัวคนที่สร้างรอยร้าวในความสัมพันธ์ไปเจริญสัมพันธไมตรีเพื่อบอกว่าทางราชสำนักไม่มีเจตนาให้เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น และหากมีอะไรที่จะสามารถชดเชยให้ชาวแดนเหนือ ทางราชสำนักจะพิจารณาให้เป็นอันดับแรก ดังนั้นนางจะทำเรื่องพังไม่ได้เด็ดขาด ต่อให้จะต้องตาย นางก็ต้องตายโดยไม่ให้กระทบกระเทือนต่อสกุลของนางหรือคนรอบข้าง ด้วยความกระชั้นชิดของเวลาทำให้การเดินทางเร่งเท้าทั้งวันทั้งคืน นางนั่งอยู่ภายในรถม้าขนาดกลางถัดจากรถม้าอีกสี่คันบนตักมีปิ่นปักผมของท่านแม่ ซึ่งถือเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่ท่านย่าอนุญาตให้นางพกติดตัวมา ตัวปิ่นเงินเกลี้ยงเกลาเหมือนสายใยอันอบอุ่น นางมักจะพกติดตัวไว้เสมอ ทำเช่นนี้ นางก็ไม่กลัวอะไรแล้ว เหยาอี้เหยานอนหลับและกินนอนในรถม้า ด้วยความที่เวลาเหลือไม่มากจึงต้องเร่งเสมอ นางจึงไม่ได้มีเวลาพูดคุยหรือทำความรู้จักคณะทูตท่านอื่นเลย อีกทั้งทุกท่านที่มาเป็นตัวแทนของเมืองหลวง มีหน้าที่ของตนเองชัดเจนว่าต้องเจริญสัมพันธไมตรีด้านใด นางจึงไม่กล้ารบกวน แต่นางมักจะได้รับขนมกุ้ยฮวาจากองค์หญิงเสมอทุกวัน ทว่าเพราะปัญหาเรื่องสุขภาพ ทำให้องค์หญิงอยู่ในรถม้าเสมอ ไม่ออกมาเลยแม้สักครั้ง เพื่อทำหน้าที่ราชทูตของตนเอง เหยาอี้เหยาต้องอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัว นางต้องทำความเข้าใจขนบธรรมเนียม ประเพณี มารยาทจรรยาและประวัติศาสตร์ รวมทั้งต้องหาวิธีสืบหาข่าวเพื่อดูทัศนคติของชาวเมืองที่มีต่อนาง ซึ่งไม่ค่อยดีนัก... นางเหมือนจะเป็นตัวหายนะสำหรับชาวเมืองโจวอี้ที่สร้างฝันร้ายอันไม่อาจแก้ไข ถึงขั้นมีข่าวลือว่าท่านตาของนางเป็นสายให้พวกเจ้าเมืองนอกด่าน สร้างเรื่องลอบสังหารเจ้าเมืองฉู่หลิน แม้จะไร้หลักฐานใดๆ แต่ข่าวลือเช่นนี้กลับมีคนเชื่ออย่างมากมาย ความชิงชังต่อท่านตาและนางคือเครื่องพิสูจน์ หลายครั้งหลายครายามแวะพักยังจุดพักม้าต่างๆ เหยาอี้เหยามักจะได้พบเจอผู้คนซึ่งยังคงเอ่ยถึงเรื่องนี้ ยิ่งใกล้เขตแดนเหนือความคิดลบต่อท่านตาและนางยิ่งปรากฏชัด เส้นทางเดินรถม้าต้องผ่านหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง กงจิ้งให้เวลาพักผ่อนเพื่อเตรียมชุดเครื่องแบบสำหรับงานราชทูต โดยเสริมใยนุ่นเข้าไปเพื่อกันความหนาวเย็น ตอนค่ำเหยาอี้เหยาปลีกตัวมาซื้อไขมันแพะเพื่อทาปาก เนื่องจากอากาศหนาวเย็นจะทำให้ปากแห้งแตกเลือดซิบได้ ครั้นนางเห็นร้านจำหน่ายสิ่งของ นางก็มุ่งหน้าตรงไป ก่อนจะพบว่าบนกำแพงติดภาพวาดของท่านตา พร้อมคำสาปแช่งเอาไว้ นางพยายามดึงลงมา แต่ส่วนสูงของนางทำให้เอื้อมไม่ถึง นางจึงถกกระโปรง หมายจะปีนต้นไม้เอาคำแช่งลงมาให้จงได้ "จะทำอะไรรึ" "องค์หญิง ถวายบังคมเพคะ" เหยาอี้เหยารีบลงจากต้นไม้ นางไม่นึกว่าองค์หญิงจะเสด็จมาที่นี่เพียงลำพัง แต่กระนั้นก็ยังปิดบังใบหน้าและมือ "ต่อหน้าข้า ไม่ต้องพูดจาเป็นทางการหรอก" องค์หญิงถาม "เมื่อครู่เจ้าจะทำอันใด" "หม่อมฉันต้องการนำคำแช่งลงมา" เหยาอี้เหยากุมมือ นางช่างไร้ประโยชน์ จะช่วยท่านตายังทำไม่ได้ "เจ้าอ่านภาษานอกด่านได้รึ?" องค์หญิงช่วยดึงกระดาษคำแช่งลงมาให้ พระองค์ทรงสูงโปร่งอย่างยิ่ง "ท่านแม่เคยสอนเจ้าค่ะ" เหยาอี้เหยายอบกายขอบคุณ "องค์หญิง ขอบพระทัยที่ช่วยเหลือเพคะ" "เรื่องเล็กน้อย เจ้าช่วยไปเรียกหญิงรับใช้ให้ข้าที ข้าเดินกลับไม่ไหว" น้ำเสียงของพระองค์อ่อนแรง "ให้หม่อมฉันพยุงท่านไหมเพคะ"เหยาอี้เหยาเสนอพยุงนางมานั่ง ร้อนใจเมื่อเห็นองค์หญิงไอ "ไม่ต้อง ข้าอยากได้หญิงรับใช้ เจ้ารีบไปตามมาให้ข้าเร็ว" "องค์หญิง เช่นนั้นท่านรอข้าสักครู่ นี่เตาอุ่นเจ้าค่ะ ท่านกอดเอาไว้ก่อน หม่อมฉันจะรีบไปตามคนมาให้ท่านโดยเร็วที่สุด" เหยาอี้เหยาวิ่งจากไป สายลมพัดระเรื่อเปิดช่องว่างให้ม่านบังพริ้วไหว เผยให้เห็นนัยน์ตาสีอ่อนราวกับผลึกใส "ชุดนางช่างม่อซ่อเสียจริง" ครั้นถึงเมื่อชง เมืองสุดท้ายก่อนเข้าสู่เขตของแดนเหนือ กงจิ้งพาคณะเข้าพักยังคฤหาสน์ขององค์ชายสิบหก เขาแนะให้ทุกคนเปลี่ยนชุดเป็นชุดกันหนาว เหยาอี้เหยาซึ่งเตรียมชุดมาแล้ว พบว่าชุดของนางซ่อมซ่อจนดูไม่ได้ ขืนสวมไปย่อมสร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีให้คณะทูตแน่ ระหว่างที่กำลังคิดว่าจะซื้อใหม่หรืออย่างไรดี องค์หญิงหย่งเยี่ยนก็ให้สาวใช้นำชุดฤดูหนาวซึ่งสั่งตัดในหมู่บ้านก่อนหน้านี้ให้นาง เหยาอี้เหยาไม่อาจรับ เนื่องจากชุดผ้าไหมสูงค่าเกินไปสำหรับนาง แต่องค์หญิงกล่าวว่านางเป็นหนึ่งในคณะราชทูต เป็นหน้าที่ของพระองค์ซึ่งต้องดูแลนาง ดังนั้นการมอบชุดให้นางเป็นเรื่องสมควร อย่าได้คิดมากเลย เหยาอี้เหยายอบกายคารวะ ก่อนประคองกำไลมอบให้พระองค์ “ขอบพระทัยองค์หญิงเพคะ อี้เหยาไม่มีสิ่งใดตอบแทนในน้ำพระทัยของพระองค์ จะมีก็เพียงกำไลนำโชคนำมามอบให้พระองค์เป็นสิ่งตอบแทน” “เจ้าถักเองรึ” น้ำเสียงแหบค่อนไปทางต่ำเอ่ยถาม ก่อนที่มือซีดเซียวเรียวยาวจะยื่นออกมาจากม่านมู่ลี่ เหยาอี้เหยาอึ้งไปครู่หนึ่งเพราะนิ้วและข้อมือซึ่งพ้นผ้าไหมสีขาวนั่นงดงามไร้ที่ติ นิ้วเรียวสีขาวละเอียด ปลายเล็บมนสีชมพูเปล่งปลั่งสุขภาพดี “กำไลเล่า” ครั้นองค์หญิงถามถึงกำไล นางจึงรีบลุกขึ้นไปวางกำไลถักบนมือของพระองค์อย่างระมัดระวัง “นี่เพคะ ท่านแม่หม่อมฉันเคยสอนถักตอนเด็กๆ ท่านแม่กล่าวว่าหากสวมไว้ สิ่งไม่ดีจะถูกปัดเป่าออกไป” “เช่นนั้นรึ เช่นนั้นข้าจะรับเอาไว้” องค์หญิงหย่งเยี่ยนกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณเจ้ามาก ราชทูตเหยา” เหยาอี้เหยายินดีเป็นอย่างยิ่ง นางได้ตอบแทนน้ำใจขององค์หญิง และได้ถูกเรียกขานว่าราชทูตเหยา นางรู้สึกมีคุณค่าขึ้นมาไม่ใช่แค่เพียงตัวแถมที่ต้องมาชดใช้กรรม ขบวนรถม้าจอดพักยังโรงเตี๊ยมอีกรอบ เนื่องจากองค์หญิงอาการป่วยทรุดจนต้องแวะโรงหมอบนเขา คณะทูตสี่คนรวมทั้งนางถูกเชิญลงจากรถ สาวใช้คนอื่นช่วยเหลือนายตัวเองลงจากรถอย่างดี แต่สาวใช้ของนางรักษามาตรฐานเสมอ ซ้ำยังบ่นว่านางตลอดว่าการถูกคัดเลือกให้มาเป็นสาวใช้ของนางถือเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุดในชีวิตของนางแล้ว เหยาอี้เหยาไม่ว่าอะไร เพราะนางชินชากับการถูกปฏิบัติอย่างหยาบคายเช่นนี้มานานแล้ว รวมทั้งไม่ได้คาดหวังการดูแลใดๆ จาก ‘จางลี่’ อีก ทั้งถ้าเป็นไปได้ นางไม่อยากให้จางลี่ติดตามนางเช่นกัน ทว่าทำอย่างไรได้ มีหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตที่นางตัดสินใจเองไม่ได้ จางลี่ผู้ที่ไม่เห็นหัวนางก็คือหนึ่งในนั้น โรงเตี๊ยมอยู่ไม่ไกลจากคฤหาสน์องค์ชายสิบหกที่มาประจำราชการแทนฝ่าบาท พระองค์จึงนำหมอที่ฝีมือดีที่สุดวิ่งม้าเร็วมาด้วยตนเองด้วยความเป็นห่วงพี่หญิง เหยาอี้เหยาลงมารับน้ำร้อนให้องค์หญิงด้วยความเต็มใจ จึงได้พบกับ ‘องค์ชายหย่งมู่’ “คารวะองค์ชายสิบหก” “ข้าควรเรียกเจ้าว่าอะไรดี ราชทูตเหยารึ” หย่งมู่เอ่ยถาม เขาได้ยินบทสนทนาระหว่างเหยาอี้เหยาและพี่หญิง นัยน์ตาเขามีความริษยา ด้วยไม่มีผู้ใดที่พี่หญิงยอมสนทนาด้วย หรือแม้กระทั่งเงาก็มิให้ผู้ใดเห็น แต่เด็กผู้นี้กลับได้เห็นมือและสนทนากับพี่หญิง “องค์ชายสิบหก เรียกข้าน้อยว่าอี้เหยาเถิดเจ้าค่ะ” นางไม่เข้าใจความขุ่นเคืองที่องค์ชายมีต่อนาง ในเมื่อนางไม่เคยล่วงเกินเขา “ตอนนั้นเหตุใดเจ้าไม่พูดเช่นนี้เล่า คงจะนึกว่าตนเองเป็นราชทูตตัวจริงกระมัง คนอย่างเจ้าไหนเลยจะคู่ควรสนทนากับพี่หญิง” พี่หญิงทรงเรียกเหยาอี้เหยาว่าราชทูตเหยา มอบชุดให้นาง ฮึ! “อย่างที่ท่านพูดข้าน้อยไม่ใช่ราชทูตจริงๆ” “สำเหนียกตนก็ดี อย่าได้นึกเชียวว่าตนเองคือทูต เจ้ามันก็แค่เห็บเห่า” สายตาเหยียดหยันมองเหยาอี้เหยาอย่างกดต่ำ เหยาอี้เหยาไม่ใช่คนอ่อนแอ นางเติบโตมาด้วยความยากลำบากจึงรู้จักสู้คน “แต่องค์ชายก็มิใช่ราชทูตมิใช่รึเจ้าคะ องค์หญิงก็ไม่ใช่ แม่ทัพซ่างก็ไม่ใช่ แม่ทัพกงจิ้งก็ไม่ใช่” เหยาอี้เหยาชี้มือไปยังลู่หมิง “ความจริงในคณะทูตของเรา มีเพียงราชทูตลู่ที่เป็นทูตตัวจริง เช่นนั้นทุกคนคือเห็บเห่าใช่หรือไม่” “เจ้า!” ลู่หมิงกล่าวยิ้มๆ ลดหนังสือลง “ซ่างเจวี๋ย เจ้าเป็นเห็บเห่าแล้วนะ รู้ตัวหรือไม่” “ตายล่ะ ข้าคือเห็บเห่าหรือนี่ เช่นนี้บรรพบุรุษของข้าก็คือเห็บเห่า บรรพบุรุษขององค์ชายสิบหกก็เป็นเห็บเห่าองค์หญิงก็เป็นเห็บเห่า” ซ่างเจวี๋ยทำหน้าแขยง ในมือมีดาบ “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” หย่งมู่ทำหน้าปั้นยาก เขากำลังถูกคำพูดตนเองย้อนเกล็ด “ที่กล่าวเมื่อครู่ก็แค่ล้อเล่นกับคุณหนูเหยาเท่านั้น” “ข้าน้อยไม่ตลกเจ้าค่ะ พี่รองบอกว่าหากอีกฝ่ายไม่ตลก ไม่ใช่การล้อเล่น” “อี้เหยาพูดมีเหตุผล” “ข้าเพียงหยอกล้อเท่านั้น ไม่ได้มีใจคับแคบ หากทำให้คุณหนูเหยาไม่พอใจ เช่นนั้นข้าจะขอโทษสักคำ” “ไม่ได้เจ้าค่ะ ข้าน้อยไม่กล้ารับ องค์ชายสิบหก ข้าน้อยเข้าใจว่าท่านเพียงหยอกล้อ ดังนั้นจะไม่ใส่ใจเจ้าค่ะ” เหยาอี้เหยากล่าวอย่างใจกว้าง หย่งมู่กัดฟันเอ่ยขอบคุณ ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อ รีบขึ้นไปหาองค์หญิงทันที “อี้เหยา เจ้าไปพักเถอะ ถือโอกาสนี้พักเยอะๆ จากนี้หนทางจะลำบากอีกมาก” ลู่หมิงพูด ทางขึ้นเหนือยิ่งนานยิ่งลำบาก ซ่างเจวี๋ยให้กุญแจนาง “แม่ทัพกงฝากมา เขามีธุระไปด้านนอก เย็นๆ ถึงจะกลับ หากมีอะไรระหว่างนี้ มาหาข้าหรือราชทูตลู่ได้ทันที” “เจ้าค่ะราชทูตลู่ แม่ทัพซ่าง” เหยาอี้เหยาขอบคุณทั้งสองสำหรับเมื่อครู่ ก่อนจะนำน้ำร้อนไปให้องคนหญิง แต่ระหว่างทางนางมองออกไปทางหน้าต่าง เห็นคนผู้หนึ่งถูกมัดอยู่ที่คอกม้า “นางทำอะไรผิดกัน”ฤดูใบไม้ผลิของแดนเหนืออบอุ่นและงดงาม ต้นไม้ที่หลับใหลในฤดูเหมันต์ผลิใบอ่อน แสงแดดลอดเงาผ่านช่องว่างต้นถั่วแดงเข้ามาเป็นลำแสง ต้นถั่วแดงหงฉู่โตวเป็นไม้ยืนต้นที่ใช้เวลาหลับใหลในฤดูหนาวเช่นกัน แต่เพราะมันเติบโตในแดนใต้ที่อากาศอุ่น ก่อนจะถูกขุดล้อมแล้วย้ายขึ้นมาที่เมืองโจวอี้ ต้นถั่วแดงจึงเจริญเติบโตขึ้นมาก เหยาอี้เหยามักจะมารดน้ำต้นถั่วด้วยตนเอง นางจำได้ว่าช่วงสามปีแรก ต้นถั่วโตช้ายิ่ง จนกระถางเล็กๆ ยังโตไม่เต็ม ครั้นลงดินที่อำเภอซานถง เพียงไม่นานก็สูงเอาๆ แต่พอมาคิดดู เหยาอี้เหยาคิดว่าสาเหตุที่ต้นถั่วโตช้าตอนอยู่ในกระถาง เพราะพื้นที่ไม่พอ สารอาหารขาดแคลน พอได้รับแสงแดด สายลม พื้นที่เหมาะสม พริบตาเดียวก็สูงขึ้นจนต้องแหนหน้ามองแล้ว ร่มเงาของกิ่งก้านที่แผ่ขยายออกเป็นพุ่มงาม ใบไม้เสียดสีเบาๆ ราวกับกำลังอวยพรให้นาง เหยาอี้เหยาพนมมือรับพรด้วยน้ำตา แต่คำอวยพรบางอย่างก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้... “อยู่นี่เอง” ฉู่ซีเย่เดินเข้ามาบริเวณสวนดอกไม้ ตรงกลางมีต้นถั่วยืนต้นโดดเด่น ใต้ร่มเงามีหญิงงามในชุดผ้าคลุมตัวยาว ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนแล้ว กระนั้นเหยาอี้เหยาก็ยังสวมชุดฤดูหนาว “ท่านหาข้าอยู่หรือ” เ
เดินทางจากอำเภอซานถงถึงแดนเหนือใช้เวลาสองสัปดาห์ เหยาอี้เหยาตกลงใจใช้ชีวิตอยู่กับฉู่ซีเย่ บางวันหวานชื่น บางวันรักร้อนแรง หรือทะเลาะกันบ้าง เพราะนางอยากออกไปทำงานสำรวจสำมโนครัวแบบเมื่อก่อน เพราะอยู่เฉยๆ เบื่อเกินไปฉู่ซีเย่คัดค้านหัวชนฝา เขาไม่อยากให้นางออกไปทำงานข้างนอก กลัวว่าจะมีคนมาชมชอบนาง ก็นางงามขนาดนี้ มีแต่คนตาบอดเท่านั้นที่ไม่มอง“แน่ใจนะว่าท่านไม่อนุญาต”“แน่นอน”“งั้นคืนนี้ท่านไปนอนที่อื่น”ฉู่ซีเย่ลุกพรึ่บ “ไม่ได้”“ได้ ก็นี่ห้องข้า เสียก็แต่ว่าท่านจะยึดคืน” เหยาอี้เหยาลุกขึ้น นางคว้าหมอนและผ้าห่มของฉู่ซีเย่ออกไปทิ้งด้านนอกห้อง“อี้เหยา” ฉู่ซีเย่ตามไปเก็บแล้ววางที่เดิม ก่อนจะประกาศก้อง “คืนนี้ข้าจะนอนที่นี้”“ท่านอ๋อง ท่านไม่สิทธิ์รุกล้ำพื้นที่นะ ยิ่งเจ้าของไม่อนุญาต ยิ่งไม่ได้”“แล้วไง ใครสน” ฉู่ซีเย่นั่งลงบนเตียง เขาเอนนอนเอาแขนชันศีรษะ “ข้าพอใจจะนอนที่นี้”“ก็ได้ งั้นข้าจะไปนอนที่อื่น” เหยาอี้เหยาเดินไปที่ประตู ฉู่ซีเย่ดีดตัวลุกขึ้นมาขวาง เขายืนขวางประตู ก่อนจะถอนหายใจ เขายอมถอยให้นาง“เอาล่ะ พอก่อน มาคุยกันดีๆ เถอะ”“ก็ได้” เหยาอี้เหยาเห็นเขายอมถอย นางก็ถอยหนึ่งก้าว “
“เจ้าต้องเข้าใจว่าข้าไม่อาจสบายใจได้ ตราบใดที่มีเจ้า” หย่งสวินกล่าวอย่างลำบากใจ แต่ดวงตากลับเฝ้ารอ ในใจคงจินตนาการวันที่ได้ฆ่าฉู่ซีเย่มานับครั้งไม่ถ้วน“คนที่คิดจะฆ่าข้า ไม่ตายดีสักคน” ฉู่ซีเย่ไม่กลัวว่าหย่งสวินจะเอาดาบแทงตน เพราะคนเหลี่ยมจัดอย่างหย่งสวิน ไม่เล่นในเกมที่ตกเป็นรอง“เจ้าต้องมีชีวิตอยู่นานๆ หน่อย จะได้รู้ว่าข้าจะได้ตายดีหรือไม่ แต่น่าเสียดาย คงไม่มีวันนั้นแล้ว” หย่งสวินยกดาบขึ้น ก่อนจะฟันใส่แขนขวาจนขาด เขาส่งเสียงร้องโหยหวน“ช่วยข้าด้วย! ต้าเป่ยอ๋องจะสังหารข้า!”ประตูท้องพระโรงเปิดออกในยามรุ่งสาง ฉู่ซีเย่ถูกคุมตัวออกมามุ่งหน้าไปยังลานประหารในโทษฐานลอบทำร้ายประมุขของประเทศ ความรีบร้อนในการประหารเขาทันที เป็นความต้องการของหย่งสวินคลื่นลมในวังเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างมั่นใจแน่แล้วว่าหย่งสวินจะได้เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป ด้วยไท่จื่อก็สิ้นแล้ว หย่งมู่ที่กลัวตายก็รีบหอบผ้าหนีเอาตัวรอด ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้ากังขาหรือคัดค้านแม้เพียงนิดที่หย่งสวินคิดจะสังหารฉู่ซีเย่อย่างไรก็ตาม การประหารใช่จะทำได้เลยในทันที เพราะความวุ่นวายจากทางฝั่งของคนสนับสนุนไท่จื่อก็ไม่ยินยอมเช่นกัน
“เจ้าไม่เป็นห่วงชายผู้นั้นของเจ้าหรือ”ชายผู้นั้นของกงจิ้ง ย่อมหมายถึงฉู่ซีเย่ “ได้ยินว่าทางวังกำลังเผชิญหน้ากับพายุใหญ่ ไม่แน่ว่าชายผู้นั้นของเจ้า อาจพบอันตรายร้ายแรง”“ก็อาจจะพบอันตราย แต่ข้าไม่ห่วงมากเท่าไหร่” นางล้างผัก ท่าทีผ่อนคลายกงจิ้งทำหน้าประหลาด เหยาอี้เหยาดูไม่ร้อนใจเท่าที่ควร“สามปี” เหยาอี้เหยาพูดขณะมองตรงไปหน้าผืนนา “เขาใช้เวลาสามปีวางแผนแก้แค้น ดังนั้นข้าจึงเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ต่อให้ถูกใครคิดปองร้าย ทุกอย่างก็อยู่ในการคาดเดาของเขา”กงจิ้งมองนาง “เป็นเจ้าที่เข้าใจเขาอย่างลึกซึ้ง”“ความจริงข้าไม่เข้าใจเขาหรอก ใครจะกล้าพูดว่าเข้าใจเขาได้”กงจิ้งเห็นด้วย “ข้าแปลกใจเสมอที่รู้ว่าเขาไม่อยากเป็นหนึ่งในผู้ชิงบัลลังก์"“ข้าไม่แปลกใจ”“เพราะอะไร” ขอเพียงมีใจนึกอยาก ไม่ใช่ว่าจะชิงมาไม่ได้“เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์และยโสโอหังมาก แต่ก็เป็นคนที่รักษาคำสัตย์ยิ่งชีพมากเช่นกัน อะไรที่รับปากคนอื่นไว้แล้ว ต่อให้ดินถล่มฟ้าแหวกออก เขาก็จะทำให้ได้ ในงานพิธีรับตำแหน่งต้าเป่ยอ๋อง เขาชัดเจนแล้วว่าเลือกแดนเหนือ”“เข้าใจแล้ว”ฉู่ซีเย่ไม่ได้ให้คำสัตย์ว่าจะไม่ชิงบัลลังก์ แต่เขาให้คำสัตย์ว่าจะตา
ต้าหย่ง...ชายเสื้อปักดิ้นทองเคลื่อนไหวเพียงบางเบา แต่สามารถทำให้ตะเกียงบนโต๊ะด้านหน้าสั่นไหว เงาใหญ่ยักษ์ที่ทอดลงหลังฉากพระที่นั่งวิจิตรงดงาม แลดูแปลกตา ยิ่งเมื่อขยับเคลื่อนไหว เงาสีดำยิ่งชวนให้รู้สึกขนกายลุกพองหย่งฉียังคงทรงงานแม้จะค่อนคืนเข้าไปแล้ว พระขนงมีมีร่องรอยยับย่น หมึกเปื้อนพระหัตถ์เป็นปื้นสีดำทั้งสองข้าง ลามไปถึงชายแขนเสื้อที่ถูกหมึกสีดำทำลายความประณีตลงหลายเท่าตัวหลังตั้งตรงเริ่มตกลู่ หย่งฉีในปีนี้อายุเพียงสี่สิบกว่าปี ทว่าความเคร่งเครียดและการตรากตรำอยู่ในตำแหน่งมายาวนานกว่าสามสิบปี ทำให้ใบหน้านั้นแก่ชรา ริ้วรอยแห่งวัยทอดแนวอยู่บนหน้าพระพักตร์หมองคล้ำ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลครั้นมองลงมาภายในโถงพระที่นั่งอันหนาวเหน็บและช่างว่างเปล่า หย่งฉีคล้ายจะยิ้มเย้ยให้ตนเองอย่างสมเพชข้าวของมากมายหล่นเกลื้อนกลาดแทบเท้า ทุกสิ่งทุกอย่างพังไม่เป็นชิ้นดี กระนั้นท้องพระโรงที่เละเทะเช่นนี้ ก็ยังเทียบไม่ได้กับภายในจิตใจของเขาหย่งฉีทิ้งพู่กันในมือ เขาส่งเสียงออกมาอย่างเหนื่อยล้าราวกับแทบขาดใจ“ขันทีโม่...”โม่หานยืนก้มหน้าตามระเบียบประเพณี ในมือมีพวงแส้ม้านุ่มสลวย ทองคำซึ่งหลอมอยู
เหยาอี้เหยา “ก่อนจะให้ท่านพูดอธิบาย อยากจะขอรบกวนให้ท่านอาบน้ำล้างตัวเสียหน่อย” กลิ่นสาบจากตัวเขาทำให้ภายในบ้านถูกกลิ่นบูดรมควัน ดังนั้นนางจึงนำเสื้อผ้าที่เขาทิ้งไว้คราวก่อนออกมาให้เขา พร้อมชี้ทางว่าสามารถไปอาบน้ำที่ลำธารใกล้กับแปลงผักจี๋ฉายได้ ทั้งยังรุนหลัง ให้เขาไปไวๆ ฉู่ซีเย่ไม่อิดออด เขาก็เริ่มได้กลิ่นจากตัวเองเช่นกัน “ได้ ข้าจะไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน หลังจากนั้นค่อยสนทนาเรื่องที่เข้าใจผิด” ถึงอย่างงั้นในใจของเขาก็มีความน้อยใจเล็กๆ ที่นางดูราวกับไม่ใส่ใจเขาเลย จะถามไถ่สักคำว่าเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยหรือเปล่าก็ไม่มี ยังมีตบของนางอีก แม้แรงนางจะไม่ระคายผิวหนังหนาด้านของเขา แต่จิตใจบอบช้ำยิ่ง “ท่านอ๋อง” เหยาอี้เหยากล่าวรั้ง ใบหน้าคมกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่เมื่อหันหน้ามาก็กลบเกลื่อนให้หมดสิ้น “ว่าอย่างไรรึ” ใบหน้าของฉู่ซีเย่ในตอนนี้สามารถพูดได้คำเดียวว่าเขาสำนึกผิดแล้ว “เมื่อครู่ข้าขอโทษที่ตบท่าน ท่านเจ็บมากหรือไม่” การตบตีเขาไม่เคยอยู่ในสมองนางมาก่อน แต่พอเห็นเขามายืนอยู่ตรงหน้า แรงอารมณ์ที่ถูกกดไว้ตลอดทั้งเดือนก็ปะทุ รู้ตัวอีกทีก็ตบเขาเสียฉาดใหญ่ “แรงเท่ามดของเจ้าจะทำอะไรข้าได้กัน”