กงจิ้งกลับมาตอนเย็น เหยาอี้เหยาทานข้าวกับแม่ทัพกงเป็นมื้อแรกนับตั้งแต่เริ่มเดินทาง ส่วนองค์หญิงไม่รับอาหารเย็น แม่ทัพซ่างกับลู่หมิงฝึกวิชายุทธ์หลังเขา ระหว่างมื้ออาหารเหยาอี้เหยาไม่พูดอะไรมากนัก จนมองไปนอกหน้าต่างแล้วเห็นหญิงสาวที่คอกม้าจึงเอ่ยถามไป
“แม่ทัพกง หญิงสาวที่ถูกมัดอยู่ที่คอกม้าทำอันใดผิดไปหรือ” กงจิ้งตอบ “ไม่ใช่เรื่องของเจ้า” “อากาศหนาวเช่นนี้ นางน่าสงสารเหลือเกิน” กงจิ้งพูดสั้นๆ “ใช้ปากกินข้าว ไม่ต้องพูด” “เจ้าค่ะ” หลังจากนั้นไร้บทสนทนาใดๆ อีก เหยาอี้เหยาพักผ่อน นางหลับไปด้วยความเหนื่อยล้าจนถึงยามซวี ก่อนจะตื่นขึ้นมาเพราะรู้สึกหนาวอย่างสุดขั้ว ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเลย เพราะเตาอุ่นในห้องไม่ได้เติมถ่านอย่างที่ควร เหยาอี้เหยารีบลุกไปที่หน้าต่าง เห็นหิมะสีเงินโปรยปรายลงมา ซึ่งหากเป็นที่เมืองหลวง ยามนี้คงไม่มีหิมะ แต่ทางเหนือไม่เหมือนกัน ยิ่งใกล้เมืองโจวอี้ อากาศจะยิ่งหนาว และจะเห็นหิมะบ่อยขึ้น เหยาอี้เหยาสวมเสื้อคลุมเพิ่มอีก ตอนที่มือกำลังรัดเชือกเข้าด้วยกันเพื่อกันความหนาว ก็นึกถึงทาสที่เห็นตอนมาถึงโรงเตี๊ยม นางถูกมัดอยู่ที่คอกม้าด้วยสภาพน่าสงสาร เมื่อเย็นเหยาอี้เหยาจึงเอ่ยถามเสี่ยวเอ๋อร์ของโรงเตี๊ยมว่าทำไมจึงมัดนางไว้ในสภาพนั้น เสี่ยวเอ๋อร์ไม่ยอมเล่า จนเหยาอี้เหยามอบเงินให้เขาหนึ่งตำลึงจึงยอมเปิดปากเล่าว่า ทาสหญิงคนนั้นชื่อ ‘เมียนเมี่ยน’ เป็นชาวเผ่านอกด่าน ถูกขายมาให้โรงเตี๊ยมเพื่อเป็นนางรับแขก เมื่อสองสามวันก่อนนางทำร้ายแขกจนบาดเจ็บ จึงถูกโบยและมัดไว้เพื่อเชือดไก่ให้ลิงดู เหยาอี้เหยาเปิดหน้าต่างอีกรอบ นางชะเง้อคอมอง ก่อนจะเห็นว่าเมียนเมี่ยนยังคงถูกมัดไว้ที่คอกม้าด้วยสภาพที่น่าสงสาร เมฆบนฟ้าเปิดออกส่องให้สว่างขึ้น สายตาของเหยาอี้เหยาประสานกับเมียนเมี่ยน รอยยิ้มบนใบหน้าบวมช้ำและเลือดกรังราวกับจะบอกเหยาอี้เหยาว่า ‘ข้าไม่เป็นอะไรหรอกคุณหนูน้อย ท่านปิดหน้าต่างแล้วกลับไปนอนเถอะ อย่าโดนความหนาวมากไปกว่านี้เลย’ ในเสี้ยววินาทีถัดมา ศีรษะเมียนเมี่ยนก็ตกจนคางชิดอก ความนิ่งสนิทของเมียนเมี่ยนบ่งบอกว่าร่างกายมาถึงขีดสุดแล้ว เหยาอี้เหยากลับมาที่ตั่งเตียง นางเทเงินในถุงออกมาเพื่อนับ รวมทั้งหมดได้เพียงไม่กี่สิบตำลึง ทั้งหมดคือเงินที่นางเก็บออมมาทั้งชีวิต นางกัดปากด้วยความวิตก หากไม่ได้เห็นเมียนเมี่ยนก็ว่าไปอย่าง แต่นี่นางเห็นแล้ว นางคงจะทำใจปล่อยอีกฝ่ายไปเช่นนี้ไม่ได้ เหยาอี้เหยาจุดตะเกียงด้วยกลักไม้ขีดไฟ ครั้นไฟติดแล้ว จึงสวมเสื้อคลุมซ่อมซ่อที่มีติดตัวเดินลงบันไดไปเพื่อคุยกับกงจิ้ง ขอเจรจาซื้อตัวทาสหญิง แน่นอนว่ากงจิ้งไม่เห็นด้วย ซ้ำยังไม่เข้าใจว่าเหยาอี้เหยาจะโยนเงินทิ้งไปเพื่อทาสหญิงนอกด่านทำไม สำหรับชาวฮั่นแล้ว พวกเขาไม่ค่อยต้อนรับชาวเผ่านอกด่านและเกลียดชังจนสามารถมองเห็นอีกฝ่ายตายต่อหน้าต่อตาได้ “ท่านแม่ทัพ ขอร้องท่านล่ะ ช่วยนางด้วยเถิด” นางยังเด็กเกินไปที่จะออกหน้า อีกทั้งนางคิดว่าให้กงจิ้งซึ่งเป็นองครักษ์หลวงออกหน้า เถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมคงไม่กดราคาและไม่กล้าปฏิเสธแน่ แต่ดูท่ากงจิ้งจะไม่อยากช่วยเหยาอี้เหยา กงจิ้งมองเหยาอี้เหยาที่อายุเพียงแปดขวบว่านางคงไม่รู้ตัวว่ากำลังทำสิ่งใดอยู่ “คุณหนูเหยา ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่ท่านจะมามีเมตตาธรรมได้ กลับไปนอนเสีย” กงจิ้งไม่รู้ว่าสกุลเหยาดูแลเหยาอี้เหยายังไง แต่จากเสื้อผ้า เครื่องประดับหรือแม้แต่การที่นางถูกส่งตัวมาเป็นท่านหญิงตัวแถมก็น่าจะชัดเจนแล้วว่านางมีชีวิตในสกุลเหยาอย่างไร “แม่ทัพกง….” “คุณหนูเหยา ข้าขอพูดให้ชัดเจน หากเจ้าทำอะไรที่ข้าสั่งห้าม ข้าจะส่งตัวเจ้ากลับเมืองหลวง แล้วก็อย่าคิดจะไปขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น หากข้ารู้ ข้าจะไม่เอาเจ้าไว้” เหยาอี้เหยาฟังเสียงลมโกรก ความหนาวเย็นเริ่มแทรกซึมผ่านช่องว่างเข้ามาให้รู้สึก นางรับคำของกงจิ้ง เดินกลับห้องด้วยอาการคอตก ทว่าเมื่อพ้นสายตากงจิ้งแล้ว คอที่ตกก็ตั้งขึ้น เหยาอี้เหยารวบรวมเงินทั้งหมดแล้วไปหาเสี่ยวเอ๋อร์ที่โรงเตี๊ยมอย่างลับๆ นางฝากจดหมายให้ทางการฉบับหนึ่งและอาหารให้เมียนเมี่ยนวันละมื้อ นางจะต้องช่วยเมียนเมี่ยนให้ได้ ขบวนคณะทูตจากไปสองวัน ทางการนำกำลังทหารมาตรวจ นำโดยเหยาอี้ร่าง เขาได้รับจดหมายจากน้องสาวให้มาช่วยเมียนเมี่ยน แต่เขาไร้อำนาจจะทำได้ เวลานั้นเอง เจ้าเมืองชงกลับส่งจดหมายมาหาเขาด้วยตัวเอง ให้เหยาอี้ร่างตรวจสอบเรื่องทุจริตค้าทาส พร้อมทั้งให้กำลังพลพร้อมสรรพ แม้เขาจะงุนงงและสงสัยว่าน้องสาวตนกับเจ้าเมืองชงใจตรงกันหรือว่าอะไร แต่ประโยชน์ของชาวเมืองสำคัญที่สุด วันต่อมาเขาจึงมาตรวจสอบ เหยาอี้ร่างพบการกระทำความผิดจริง เขาได้เขียนสำนวนคดีและลงโทษผู้ที่กระทำความผิด ส่วนเมียนเมี่ยนถูกปล่อยตัวในเวลาต่อมา หลังได้รับหนังสือปลดสถานะทาส นางก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย เหยาอี้เหยาได้รับจดหมายจากพี่รองในสองเดือนให้หลัง ถ้อยความในจดหมายเขียนไว้ว่าได้ช่วยเหลือเมียนเหมี่ยนแล้ว ทว่าหญิงสาวหายตัวไปหลังจากถูกปล่อยตัว เขาจึงไม่รู้ว่าเมียนเมี่ยนไปไหนต่อ นางพอใจกับทุกอย่างแล้วจึงเขียนตอบขอบคุณพี่รองและบอกเล่าการเดินทางของนางว่าเข้าสู่เขตของรัฐหลู่แล้ว อีกไม่นานนางก็จะถึงเมืองโจวอี้ ตลอดสองข้างทางจึงเริ่มขาวโพลน หนาวเหน็บขึ้นเรื่อยๆ ภูมิประเทศทางแถบแดนเหนือเป็นเมืองหิมะ อากาศหนาวเย็นแทบทั้งปี อาณาเขตของรัฐติดกับพื้นที่นอกด่านจึงเกิดสงครามและจลาจลเนื่องๆ ชายแดนไม่เคยสงบ นอกจากนี้สภาพอากาศที่แปรปรวนยังส่งผลให้พืชผลทางการเกษตรเสียหาย ชาวบ้านยากจนข้นแค้น เดือดร้อนกันจนขายลูกแลกมันฝรั่งหนึ่งถุง ผู้อพยพนอนตายจนกระดูกขาวโพลนอยู่กลางกองหิมะ ภาพความลำบากทำให้เหยาอี้เหยาหดหู่ใจอยู่บ้าง แต่เมื่อเข้าสู่เมืองโจวอี้ นางก็เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน ผู้คนในเมืองโจวอี้ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่มีใครยากจนจนต้องอดตาย สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารปกครองเมืองของผู้รักษาการแทนเจ้าเมืองโจวอี้ที่เสียชีวิตไปเมื่อสามปีก่อน คณะทูตเคลื่อนตัวไปยังประตูใหญ่ เตรียมเข้าสู่เขตเมือง หลังตรวจป้ายประจำตัวเรียบร้อย ทหารในชุดที่แตกต่างจากเมืองหลวงก็ปล่อยให้รถม้าเข้าไปได้ “แม่ทัพกง ข้าน้อย ‘เหมาถง’ เป็นตัวแทนของซื่อจื่อ เนื่องจากวันนี้ดึกมากแล้ว ซื่อจื่อเกรงว่าท่านแม่ทัพและคณะจะเหน็ดเหนื่อยจึงให้ข้าน้อยมาเชิญทุกท่านไปยังที่พำนักก่อน” “เข้าใจแล้ว ขอบคุณแม่ทัพเหมาที่เป็นธุระให้” กงจิ้งรับคำ ตนเองและคณะมาถึงช้ากว่าเวลาไปหลายวันจึงไม่มีอะไรให้ต้องไม่พอใจที่ซื่อจื่อไม่มาต้อนรับ รถม้าเคลื่อนที่ไปยังพื้นหิน เหยาอี้เหยานั่งรถม้าถัดจากองค์หญิง เส้นทางเลี้ยวเข้าสู่ป่าไผ่เพื่อไปยังที่พำนักของคณะทูต ซึ่งทางฉู่อ๋องจัดเตรียมไว้ต้อนรับ ทว่าตอนนั้นเอง ขบวนรถม้าก็ถูกโจมตี “คุ้มกันองค์หญิง!” กงจิ้งคำราม ดาบคมวาวส่องแสงประกายกลางหิมะ การซุ่มโจมตีรวดเร็วและหนักหน่วง “อี้เหยา หมอบให้ต่ำที่สุด” ซ่างเจวี๋ยโผตัวมาบังคับรถม้าแทนเนื่องจากคนขับรถม้าถูกธนูยิงตายไปเสียแล้ว จางลี่กรีดร้องนางหมอบต่ำอยู่ที่พื้นเช่นเหยาอี้เหยา นางได้ยินเสียงต่อสู้และลูกธนูที่ปักรถม้าดอกแล้วดอกเล่า “ลู่หมิง ระวัง!” ลู่หมิงรับคำเงียบๆ เขาใช้หนังสือรับลูกธนูก่อนจะโหนตัวขึ้นมารับช่วงบังคับรถม้าแทน ซ่างเจวี๋ยสละรถม้าของตนเองเพื่อถ่วงเวลา “ทางนี้ให้เป็นหน้าที่ข้า” ลู่หมิงทำตามคำสั่งของกงจิ้งย้ายตัวมาคุมรถม้าของเหยาอี้เหยา ส่วนซ่างเจวี๋ยคุมรถม้าขององค์หญิงรถม้าของเหยาอี้เหยาตามหลังรถม้าขององค์หญิง กงจิ้งและเหมาถงนำกำลังคนต้านคนร้าย เหยาอี้เหยาคลานตัวมาที่ด้านหน้า เพื่อคุยกับลู่หมิงในสถานการณ์ที่ตึงเครียดถูกคนไล่ล่า “ราชทูตลู่ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง” “หนังสือข้าสิ้นแล้ว” ลู่หมิงพูดขำๆ “อี้เหยา เจ้าบาดเจ็บหรือไม่” “ไม่เลยราชทูตลู่ ข้าพอช่วยอะไรท่านได้บ้าง” “เสียใจอี้เหยา แต่ไม่มีอะไรที่เจ้าช่วยได้” ลู่หมิงบังคับรถม้า “เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะพาเจ้าไปยังที่พำนักอันปลอดภัย อดทนไว้นะ” สิ้นประโยคนั้น ลู่หมิงถูกคนร้ายยิงธนูตกม้า เหยาอี้เหยาโผตัวออกไปดึงรถบังเหียนม้าไว้สุดตัว แต่ม้าสิ้นแล้ว เพลาหัก รถม้าพุ่งชนอัดต้นสนอย่างจังจนนางหมดสติไปครู่หนึ่ง ครั้นพอได้สติสะลึมสะลือ เหยาอี้เหยาก็เห็นภาพอันน่าสยดสยอง ศพคนตายนอนเกลื่อน ลู่หมิงใกล้จะถูกคนฆ่าเป็นรายถัดไป เหยาอี้เหยาพุ่งตัวเข้าใส่ ใช้เสื้อคลุมตัวนอกพันศีรษะคนร้ายเอาไว้ ลู่หมิงชักดาบสั้นออกมาแทงคนร้ายที่อก ในเวลาที่คนร้ายเหวี่ยงเหยาอี้เหยาไปจนปะทะกับโค่นต้นไม้ ซ่างเจวี๋ยวนรถม้ากลับมาช่วย เขาเหินตัวจากม้าแล้วพุ่งเข้าจัดการคนที่กำลังรุมลู่หมิง ธนูดอกหนึ่งพุ่งมาทางเหยาอี้เหยา อีกไม่กี่คืบคงได้สิ้นลมหายใจ ถ้าหากไม่มีผ้าไหมผืนงามเคลื่อนตัวผ่านอากาศมารั้งตัวนางเข้าไปในรถม้าให้พ้นลูกธนู เหยาอี้เหยาถูกกระแทกที่ศีรษะ สติรางเลือนจนวูบไปครู่หนึ่ง ครั้นได้สติก็พบว่าตนเองนอนอยู่บนรถม้าที่เคลื่อนไหวไม่หยุดโดยมีองค์หญิงหย่งเยี่ยนนั่งอยู่ตรงข้ามในลักษณะหันหลัง ทว่าเมื่อเหยาอี้เหยาลองใช้สายตาเพ่งพินิจอย่างถี่ถ้วน องค์หญิงหย่งเยี่ยนดูคล้ายจะไม่ใช่องค์หญิงหย่งเยี่ยนที่นางรู้จัก... แม้มือของพระองค์จะงดงามไร้ที่ติเช่นเดิม ทว่าใบหน้านั้น... “ท่านไม่ใช่….” เขาหันหน้ามาช้าๆ ใบหน้าของเขาทำให้เหยาอี้เหยาต้องรีบคุกเข่าโดยพลัน พร้อมทั้งคิดว่าเป็นเขาหรือ เป็นเขามาตลอดเลยหรือ? ฉู่ซื่อจื่อ!ฤดูใบไม้ผลิของแดนเหนืออบอุ่นและงดงาม ต้นไม้ที่หลับใหลในฤดูเหมันต์ผลิใบอ่อน แสงแดดลอดเงาผ่านช่องว่างต้นถั่วแดงเข้ามาเป็นลำแสง ต้นถั่วแดงหงฉู่โตวเป็นไม้ยืนต้นที่ใช้เวลาหลับใหลในฤดูหนาวเช่นกัน แต่เพราะมันเติบโตในแดนใต้ที่อากาศอุ่น ก่อนจะถูกขุดล้อมแล้วย้ายขึ้นมาที่เมืองโจวอี้ ต้นถั่วแดงจึงเจริญเติบโตขึ้นมาก เหยาอี้เหยามักจะมารดน้ำต้นถั่วด้วยตนเอง นางจำได้ว่าช่วงสามปีแรก ต้นถั่วโตช้ายิ่ง จนกระถางเล็กๆ ยังโตไม่เต็ม ครั้นลงดินที่อำเภอซานถง เพียงไม่นานก็สูงเอาๆ แต่พอมาคิดดู เหยาอี้เหยาคิดว่าสาเหตุที่ต้นถั่วโตช้าตอนอยู่ในกระถาง เพราะพื้นที่ไม่พอ สารอาหารขาดแคลน พอได้รับแสงแดด สายลม พื้นที่เหมาะสม พริบตาเดียวก็สูงขึ้นจนต้องแหนหน้ามองแล้ว ร่มเงาของกิ่งก้านที่แผ่ขยายออกเป็นพุ่มงาม ใบไม้เสียดสีเบาๆ ราวกับกำลังอวยพรให้นาง เหยาอี้เหยาพนมมือรับพรด้วยน้ำตา แต่คำอวยพรบางอย่างก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้... “อยู่นี่เอง” ฉู่ซีเย่เดินเข้ามาบริเวณสวนดอกไม้ ตรงกลางมีต้นถั่วยืนต้นโดดเด่น ใต้ร่มเงามีหญิงงามในชุดผ้าคลุมตัวยาว ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนแล้ว กระนั้นเหยาอี้เหยาก็ยังสวมชุดฤดูหนาว “ท่านหาข้าอยู่หรือ” เ
เดินทางจากอำเภอซานถงถึงแดนเหนือใช้เวลาสองสัปดาห์ เหยาอี้เหยาตกลงใจใช้ชีวิตอยู่กับฉู่ซีเย่ บางวันหวานชื่น บางวันรักร้อนแรง หรือทะเลาะกันบ้าง เพราะนางอยากออกไปทำงานสำรวจสำมโนครัวแบบเมื่อก่อน เพราะอยู่เฉยๆ เบื่อเกินไปฉู่ซีเย่คัดค้านหัวชนฝา เขาไม่อยากให้นางออกไปทำงานข้างนอก กลัวว่าจะมีคนมาชมชอบนาง ก็นางงามขนาดนี้ มีแต่คนตาบอดเท่านั้นที่ไม่มอง“แน่ใจนะว่าท่านไม่อนุญาต”“แน่นอน”“งั้นคืนนี้ท่านไปนอนที่อื่น”ฉู่ซีเย่ลุกพรึ่บ “ไม่ได้”“ได้ ก็นี่ห้องข้า เสียก็แต่ว่าท่านจะยึดคืน” เหยาอี้เหยาลุกขึ้น นางคว้าหมอนและผ้าห่มของฉู่ซีเย่ออกไปทิ้งด้านนอกห้อง“อี้เหยา” ฉู่ซีเย่ตามไปเก็บแล้ววางที่เดิม ก่อนจะประกาศก้อง “คืนนี้ข้าจะนอนที่นี้”“ท่านอ๋อง ท่านไม่สิทธิ์รุกล้ำพื้นที่นะ ยิ่งเจ้าของไม่อนุญาต ยิ่งไม่ได้”“แล้วไง ใครสน” ฉู่ซีเย่นั่งลงบนเตียง เขาเอนนอนเอาแขนชันศีรษะ “ข้าพอใจจะนอนที่นี้”“ก็ได้ งั้นข้าจะไปนอนที่อื่น” เหยาอี้เหยาเดินไปที่ประตู ฉู่ซีเย่ดีดตัวลุกขึ้นมาขวาง เขายืนขวางประตู ก่อนจะถอนหายใจ เขายอมถอยให้นาง“เอาล่ะ พอก่อน มาคุยกันดีๆ เถอะ”“ก็ได้” เหยาอี้เหยาเห็นเขายอมถอย นางก็ถอยหนึ่งก้าว “
“เจ้าต้องเข้าใจว่าข้าไม่อาจสบายใจได้ ตราบใดที่มีเจ้า” หย่งสวินกล่าวอย่างลำบากใจ แต่ดวงตากลับเฝ้ารอ ในใจคงจินตนาการวันที่ได้ฆ่าฉู่ซีเย่มานับครั้งไม่ถ้วน“คนที่คิดจะฆ่าข้า ไม่ตายดีสักคน” ฉู่ซีเย่ไม่กลัวว่าหย่งสวินจะเอาดาบแทงตน เพราะคนเหลี่ยมจัดอย่างหย่งสวิน ไม่เล่นในเกมที่ตกเป็นรอง“เจ้าต้องมีชีวิตอยู่นานๆ หน่อย จะได้รู้ว่าข้าจะได้ตายดีหรือไม่ แต่น่าเสียดาย คงไม่มีวันนั้นแล้ว” หย่งสวินยกดาบขึ้น ก่อนจะฟันใส่แขนขวาจนขาด เขาส่งเสียงร้องโหยหวน“ช่วยข้าด้วย! ต้าเป่ยอ๋องจะสังหารข้า!”ประตูท้องพระโรงเปิดออกในยามรุ่งสาง ฉู่ซีเย่ถูกคุมตัวออกมามุ่งหน้าไปยังลานประหารในโทษฐานลอบทำร้ายประมุขของประเทศ ความรีบร้อนในการประหารเขาทันที เป็นความต้องการของหย่งสวินคลื่นลมในวังเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างมั่นใจแน่แล้วว่าหย่งสวินจะได้เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป ด้วยไท่จื่อก็สิ้นแล้ว หย่งมู่ที่กลัวตายก็รีบหอบผ้าหนีเอาตัวรอด ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้ากังขาหรือคัดค้านแม้เพียงนิดที่หย่งสวินคิดจะสังหารฉู่ซีเย่อย่างไรก็ตาม การประหารใช่จะทำได้เลยในทันที เพราะความวุ่นวายจากทางฝั่งของคนสนับสนุนไท่จื่อก็ไม่ยินยอมเช่นกัน
“เจ้าไม่เป็นห่วงชายผู้นั้นของเจ้าหรือ”ชายผู้นั้นของกงจิ้ง ย่อมหมายถึงฉู่ซีเย่ “ได้ยินว่าทางวังกำลังเผชิญหน้ากับพายุใหญ่ ไม่แน่ว่าชายผู้นั้นของเจ้า อาจพบอันตรายร้ายแรง”“ก็อาจจะพบอันตราย แต่ข้าไม่ห่วงมากเท่าไหร่” นางล้างผัก ท่าทีผ่อนคลายกงจิ้งทำหน้าประหลาด เหยาอี้เหยาดูไม่ร้อนใจเท่าที่ควร“สามปี” เหยาอี้เหยาพูดขณะมองตรงไปหน้าผืนนา “เขาใช้เวลาสามปีวางแผนแก้แค้น ดังนั้นข้าจึงเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ต่อให้ถูกใครคิดปองร้าย ทุกอย่างก็อยู่ในการคาดเดาของเขา”กงจิ้งมองนาง “เป็นเจ้าที่เข้าใจเขาอย่างลึกซึ้ง”“ความจริงข้าไม่เข้าใจเขาหรอก ใครจะกล้าพูดว่าเข้าใจเขาได้”กงจิ้งเห็นด้วย “ข้าแปลกใจเสมอที่รู้ว่าเขาไม่อยากเป็นหนึ่งในผู้ชิงบัลลังก์"“ข้าไม่แปลกใจ”“เพราะอะไร” ขอเพียงมีใจนึกอยาก ไม่ใช่ว่าจะชิงมาไม่ได้“เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์และยโสโอหังมาก แต่ก็เป็นคนที่รักษาคำสัตย์ยิ่งชีพมากเช่นกัน อะไรที่รับปากคนอื่นไว้แล้ว ต่อให้ดินถล่มฟ้าแหวกออก เขาก็จะทำให้ได้ ในงานพิธีรับตำแหน่งต้าเป่ยอ๋อง เขาชัดเจนแล้วว่าเลือกแดนเหนือ”“เข้าใจแล้ว”ฉู่ซีเย่ไม่ได้ให้คำสัตย์ว่าจะไม่ชิงบัลลังก์ แต่เขาให้คำสัตย์ว่าจะตา
ต้าหย่ง...ชายเสื้อปักดิ้นทองเคลื่อนไหวเพียงบางเบา แต่สามารถทำให้ตะเกียงบนโต๊ะด้านหน้าสั่นไหว เงาใหญ่ยักษ์ที่ทอดลงหลังฉากพระที่นั่งวิจิตรงดงาม แลดูแปลกตา ยิ่งเมื่อขยับเคลื่อนไหว เงาสีดำยิ่งชวนให้รู้สึกขนกายลุกพองหย่งฉียังคงทรงงานแม้จะค่อนคืนเข้าไปแล้ว พระขนงมีมีร่องรอยยับย่น หมึกเปื้อนพระหัตถ์เป็นปื้นสีดำทั้งสองข้าง ลามไปถึงชายแขนเสื้อที่ถูกหมึกสีดำทำลายความประณีตลงหลายเท่าตัวหลังตั้งตรงเริ่มตกลู่ หย่งฉีในปีนี้อายุเพียงสี่สิบกว่าปี ทว่าความเคร่งเครียดและการตรากตรำอยู่ในตำแหน่งมายาวนานกว่าสามสิบปี ทำให้ใบหน้านั้นแก่ชรา ริ้วรอยแห่งวัยทอดแนวอยู่บนหน้าพระพักตร์หมองคล้ำ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลครั้นมองลงมาภายในโถงพระที่นั่งอันหนาวเหน็บและช่างว่างเปล่า หย่งฉีคล้ายจะยิ้มเย้ยให้ตนเองอย่างสมเพชข้าวของมากมายหล่นเกลื้อนกลาดแทบเท้า ทุกสิ่งทุกอย่างพังไม่เป็นชิ้นดี กระนั้นท้องพระโรงที่เละเทะเช่นนี้ ก็ยังเทียบไม่ได้กับภายในจิตใจของเขาหย่งฉีทิ้งพู่กันในมือ เขาส่งเสียงออกมาอย่างเหนื่อยล้าราวกับแทบขาดใจ“ขันทีโม่...”โม่หานยืนก้มหน้าตามระเบียบประเพณี ในมือมีพวงแส้ม้านุ่มสลวย ทองคำซึ่งหลอมอยู
เหยาอี้เหยา “ก่อนจะให้ท่านพูดอธิบาย อยากจะขอรบกวนให้ท่านอาบน้ำล้างตัวเสียหน่อย” กลิ่นสาบจากตัวเขาทำให้ภายในบ้านถูกกลิ่นบูดรมควัน ดังนั้นนางจึงนำเสื้อผ้าที่เขาทิ้งไว้คราวก่อนออกมาให้เขา พร้อมชี้ทางว่าสามารถไปอาบน้ำที่ลำธารใกล้กับแปลงผักจี๋ฉายได้ ทั้งยังรุนหลัง ให้เขาไปไวๆ ฉู่ซีเย่ไม่อิดออด เขาก็เริ่มได้กลิ่นจากตัวเองเช่นกัน “ได้ ข้าจะไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน หลังจากนั้นค่อยสนทนาเรื่องที่เข้าใจผิด” ถึงอย่างงั้นในใจของเขาก็มีความน้อยใจเล็กๆ ที่นางดูราวกับไม่ใส่ใจเขาเลย จะถามไถ่สักคำว่าเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยหรือเปล่าก็ไม่มี ยังมีตบของนางอีก แม้แรงนางจะไม่ระคายผิวหนังหนาด้านของเขา แต่จิตใจบอบช้ำยิ่ง “ท่านอ๋อง” เหยาอี้เหยากล่าวรั้ง ใบหน้าคมกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่เมื่อหันหน้ามาก็กลบเกลื่อนให้หมดสิ้น “ว่าอย่างไรรึ” ใบหน้าของฉู่ซีเย่ในตอนนี้สามารถพูดได้คำเดียวว่าเขาสำนึกผิดแล้ว “เมื่อครู่ข้าขอโทษที่ตบท่าน ท่านเจ็บมากหรือไม่” การตบตีเขาไม่เคยอยู่ในสมองนางมาก่อน แต่พอเห็นเขามายืนอยู่ตรงหน้า แรงอารมณ์ที่ถูกกดไว้ตลอดทั้งเดือนก็ปะทุ รู้ตัวอีกทีก็ตบเขาเสียฉาดใหญ่ “แรงเท่ามดของเจ้าจะทำอะไรข้าได้กัน”