“อื้อ! ปล่อยข้า” เหยาอี้เหยาประท้วง แต่ฉู่ซีเย่ไม่สะทกสะท้านต่อเรี่ยวแรงของนาง ยิ่งเมื่อพบว่าปากนางหวานล้ำจึงอยากชิมให้มากขึ้น หนทางที่จะปล่อยนางให้เป็นอิสระ ยิ่งน้อยลง ทว่าร่างกายของนางสั่นเทายิ่ง
จุมพิตของฉู่ซีเย่เนิ่นนานและทรมานนางอย่างยิ่ง เรียวปากบางถูกเขาดูดดึงจนบวมช้ำ ข้อมือบางถูกกุมจนขึ้นรอยนิ้วสีแดง ในสถานการณ์ที่นางต่อต้านไม่ได้ ขอบตาจึงร้อนผ่าว เวลานั้นฉู่ซีเย่มองเห็นหยาดน้ำตาชุ่มขนตางอนยาวก็คิดจะหยุด...แต่ไม่ได้หยุดทันทีเพราะเขาแค่คิดที่จะหยุดเท่านั้น “ข้าร้อนยิ่ง” ฉู่ซีเย่ถอนริมฝีปากออกจากเรียวปากบางอย่างอ้อยอิ่ง นิ้วมือเรียวที่ราวกับไฟเกลี่ยไล่ปอยผมให้พ้นกรอบหน้า จมูกที่แดงจัดเพราะความหนาวทำให้นางยิ่งน่าทะนุถนอมไว้ในฝ่ามือจนเขาปวดใจที่เผลอลงมือหนักเมื่อครู่ “ซื่อจื่อ...” เหยาอี้เหยาเบือนหน้าหนีริมฝีปากร้อนจัดของเขาเพื่อหายใจเอาอากาศเข้าปอด แผ่นหลังของนางติดกับขอบบ่อ สองมือที่พึ่งเป็นอิสระดันแผ่นอกที่แข็งดั่งกับก้อนหิน อีกทั้งยังร้อนลวกมือจนนางไม่กล้าแตะต้องมาก “กลัวข้าหรือ...” จมูกโด่งยังคงคลอเคลียแก้มนางไม่ห่าง พร้อมกอดรัดนางไว้อย่างแนบชิด เขารู้สึกว่าตอนนี้ร่างกายตนเองร้อนระอุจนไม่สามารถครองสติเอาไว้ได้ ทว่าเพราะร่างกายที่เย็นว่าคนปกติของนาง ถึงทำให้ฉู่ซีเย่รู้สึกดีขึ้น แต่ไม่รู้ว่ารู้สึกดีมากไปหรือไม่ เขาถึงไม่อยากปล่อยนางให้ห่างกาย ส่วนลึกในใจ อยากจะจุมพิตนางมากกว่านี้หรือสัมผัสนางให้ลึกซึ้ง ทว่าเขารู้ดีว่าไม่ควรลงมือหนักหน่วงเกินไป เพราะเพียงเท่านี้นางก็แทบจะรับมือไม่ไหวแล้ว “อย่าทำข้าเลย...” ลมหายใจอันร้อนจัดของเขาเป่ารดบนต้นคอจนนางอยากหดคอหนี แต่ตอนนี้นางหนีไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น เพราะฉู่ซีเย่กักขังนางไว้ในอ้อมกอดที่เดือดจัดของเขา “ข้าไม่ได้จะทำร้ายเจ้าเสียหน่อย” สุ้มเสียงของฉู่ซีเย่ทุ้มต่ำจนถึงขั้นแหบพร่า อีกทั้งนัยน์ตาสีอ่อนยังจ้องมองนางไม่วางตา...ราวกับผู้ล่าเฝ้ามองเหยื่ออันโอชะว่าจะกินตรงไหนก่อน “ท่าน...ท่านอย่ารังแกข้าเลย” เหยาอี้เหยาพูดเสียงเบา นางไม่กล้าเงยหน้ามองฉู่ซีเย่ จึงหลุบตาลงไปด้านล่าง ทว่านางลืมไปว่าตอนนี้ฉู่ซีเย่เปลือยเปล่า ครั้นสายตาดันไปเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็นเข้าก็หลับตาแน่น แต่สิ่งที่เห็นไปแล้วติดอยู่ในสมองไม่เลือนหายไปไหนทั้งนั้น “สักวันหนึ่งเจ้าก็ต้องนอนกับข้า” กลิ่นกายดอกโม่ลี่ของนางปลุกอารมณ์ที่ลึกเร้นของฉู่ซีเย่ให้ระสับระส่าย ความปรารถนาที่ไม่เคยแสดงออกจึงปะทุขึ้นมาเพียงแค่ได้สัมผัสนาง “ข้าต้องการเวลา” เหยาอี้เหยาพยายามรวบรวมสติที่หล่นหายกลับมา ก่อนจะเม้มปากเพราะกดดันกับสายตาของเขา ฉู่ซีเย่หัวเราะเสียงต่ำในลำคอ “ข้าคิดว่าเจ้าอยากนอนกับข้าจนใจจะขาดรอนๆ เสียอีก” “ผู้ใดจะอยากนอนกับท่าน” เหยาอี้เหยาพยายามผลักฉู่ซีเย่อีกครั้ง แต่เขาไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่นิดเดียว ทั้งยังพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “งั้นพูดมาว่าเจ้าไม่อยากนอนกับข้า” เหยาอี้เหยากัดปาก นางมีสิทธิ์พูดคำนั้นที่ไหน ในเมื่อเขาคือหนทางรอดเดียวที่นางมี “ท่านก็รู้ว่าข้ากำลังลำบาก” “แล้วข้าไม่ลำบากรึ” ความทรมานที่เขาต้องกดเอาไว้ นางหาได้รู้ไม่ “ข้ารู้ว่าท่านก็ลำบาก” เหยาอี้เหยารู้ว่าฉู่ซีเย่เลี้ยงแมลงคุณไสยเพื่อนางมาตลอด โดยที่นางไม่เคยรู้เลย ภายในใจนางจึงซาบซึ้งใจสำหรับความเมตตาของเขามาก แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าเขาจะข่มเหงนางได้เสียหน่อย “ถึงยังงั้นท่านก็ไม่มีสิทธิ...ข้า” เหยาอี้เหยาไม่อยากพูดเรื่องจุมพิต “ทั้งหมดนี้ต้องโทษเจ้า” “เหตุใดต้องโทษข้า” เหยาอี้เหยาพยายามงัดมือที่กุมเอวนางให้พ้น แต่อย่าว่าแต่จะแกะมือเขาเลย นางขยับหนีเขาไม่ได้แม้แต่ชุ่นเดียว “เพราะเจ้าทำให้ข้าร้อนจนสมองจะระเบิด” ฉู่ซีเย่ใช้สองมือยกตัวนางขึ้นมานั่งบนบ่อน้ำ ให้นางไม่หนาวเกินไป แต่เหยาอี้เหยากลับฉวยโอกาสที่ฉู่ซีเย่มอบให้คิดจะหนี “ปล่อยข้านะ” นางสะบัดตัวหนี ทว่าเขาใช้มือข้างเดียวดึงตัวนางลงมาในบ่ออย่างรวดเร็ว ทั้งยังกอดนางไว้จนแผ่นหลังแนบสนิทกับแผ่นอกที่ร้อนจัดของเขา “เจ้าฟังข้าก่อน” ฉู่ซีเย่กอดนางที่พยายามดิ้นหนีให้นิ่ง แต่นางคงผวากับจุมพิตเมื่อครู่เลยดิ้นเอาเป็นตัวตาย กระทั่งเขาเรียกชื่อนาง ถึงได้หยุด “อี้เหยา” ชื่อของนางที่ออกจากปากฉู่ซีเย่เปรียบเสมือนคำอาญาสิทธิ์ที่นางต้องฟัง “ก็ได้ ท่านพูดมา” เหยาอี้เหยายอมรับฟัง เพราะตอนนี้ทำได้แค่ฟัง “หากไม่ใช่เพราะต้องเลี้ยงแมลงคุณไสย ข้าไหนเลยจะขาดสมดุลพลังหยางจนร่างกายร้อนจัด ไม่สามารถควบคุมสมดุลพลังหยินหยางในตัวจนเกือบต้องตายแบบนี้” แมลงคุณไสยทำให้พลังภายในของฉู่ซีเย่เสียหาย ยิ่งแต่เดิมเขาไม่มีพลังหยินอยู่แล้ว มาตอนนี้ยิ่งขาดแคลนจนต้องขึ้นเขามาแช่น้ำเย็นจัดเพื่อรักษาสมดุลของร่างกาย ก่อนที่สมองจะถูกแผดไหม้ ทว่าดูเหมือนพลังหยินที่ดีที่สุดคือเหยาอี้เหยา ขอแค่เขากอดนางเอาไว้ ความเย็นจากนางก็ดับความร้อนในตัวเขาได้ทันที ดังนั้นเรื่องอะไรจะปล่อยนางไป “ท่านเป็นเช่นนี้เพราะข้าหรือ” เหยาอี้เหยาถามเสียงเครียด นางรู้สึกได้ว่าร่างกายของฉู่ซีเย่ร้อนราวกับเปลวไฟ เขาเป็นเช่นนี้เพราะนางหรอกหรือ? “ย่อมต้องเป็นเพราะเจ้า” ฉู่ซีเย่โทษนางโต้งๆ อยากให้นางรับผิดชอบกับความทรมานที่เขาต้องประสบพบเจอ “เจ้าไม่รู้หรอกว่าหลายปีมานี้ ร่างกายข้าผุพังลงแค่ไหน” หากเทียบกับเมื่อหกปีก่อน ฉู่ซีเย่ในปีนี้ดูผายผอมลงมากจริงๆ “ข้าไม่เคยรู้เลยว่าท่านลำบากขนาดนี้” นางพูดด้วยความเสียใจ ไม่ทันเห็นว่าคนด้านหลังแย้มยิ้มด้วยนัยน์ตาแสนเจ้าเล่ห์ แต่พอนางหันหน้ามา ร่องรอยความเจ้าเล่ห์ก็หายวับไปในพริบตา “ข้าน้อยขอโทษที่ทำให้ท่านเดือดร้อน” เหยาอี้เหยารู้สึกผิดยิ่ง “ตอนนี้ก็รู้แล้ว สมควรช่วยข้าดับร้อนหน่อยหรือไม่” “ให้ข้าช่วยท่านอย่างไรบ้าง” เหยาอี้เหยายินดีช่วย แต่นางก็ป้องกันตัวด้วยการพูดดักทาง “แต่...แต่ข้าไม่อยากให้ท่านรังแกข้าแบบเมื่อครู่” “ไม่รังแกแล้วล่ะ แต่คงต้องรบกวนเจ้าช่วยข้าสักอย่าง” ฉู่ซีเย่ทำหน้าราวใสซื่อ แต่ดวงตากลับเผยรอยยิ้มชั่วร้าย ทว่าเหยาอี้เหยาดูไม่ออก “อะไรหรือ” เหยาอี้เหยาถามอย่างกระตือรือร้น “มือเจ้าเย็นพอที่จะช่วยบรรเทาความร้อนในตัวข้าได้” “ให้ข้าใช้มือช่วยท่านคลายร้อนหรือ” บนร่างกายที่เย็นจัดของนาง มือนางเย็นที่สุด “ใช่ ร่างกายข้าร้อนผ่าวไปหมด ยิ่งตรงจุดนี้ยิ่งร้อน” ฉู่ซีเย่กุมมือนางไว้หลวมๆ ก่อนจะวางลงบนแผ่นอก แต่ครู่เดียวก็เลื่อนต่ำลงเรื่อยๆ “แล้ว...แล้วให้ช่วยอย่างไร” เหยาอี้เหยาขวยเขินตอนแตะต้องผิวกายฉู่ซีเย่ แต่นางแค่ไร้เดียงสาเกินกว่าจะคิดเป็นอย่างอื่น รวมทั้งคิดไม่ถึงว่าฉู่ซีเย่จะร้ายกาจกว่าที่คิด “ใช้มือของเจ้าช่วยดับร้อนให้ข้า” เขากระซิบเสียงพร่า “ตรงไหนเล่า” นางรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง แต่ว่านางก็ไม่แน่ใจว่าสิ่งไหนกันแน่ที่ไม่ถูต้อง เพราะตอนนี้ฉู่ซีเย่ดูทุกข์ทรมานจนนางไม่กล้าปฏิเสธ “ตรงนี้...” ฉู่ซีเย่เป็นคนไร้ยางอาย เขารู้ทั้งรู้ว่านางบริสุทธิ์ไร้เดียงสา แต่ก็ยังตั้งใจทำให้มืออันผุดผ่องของนางแปดเปื้อน “ตะ...ตรงนี้จับได้หรือ?” นางกังขายิ่งว่าตรงนี้สมควรจับหรือไม่ เพราะหากเปลี่ยนเป็นนาง นางไม่มีทางให้ใครแตะต้องเด็ดขาด “ได้...” เสียงเขาสั่นพร่ายิ่ง ลมหายใจทอดถอนออกมาอย่างปวดร้าวปนมีความสุข “ตรงนี้ของข้ากำลังจะแย่แล้ว ต้องรีบช่วยข้านะอี้เหยา” เหยาอี้เหยากรีดร้องเมื่อเขาครางต่ำ “ท่านหลอกข้า!” “ข้าเปล่า” เขากุมมือนางให้กุมแก่นกายอันเข้มแข็ง “...อี้เหยาช่วยข้าที” “ไม่!” เหยาอี้เหยาสะบัดมือทิ้ง พร้อมกับรีบตะเกียกตะกายขึ้นจากบ่อจนฉู่ซีเย่ที่กำลังใกล้ถึงฝั่งฝันไม่เร็วพอที่คว้าตัวนางไว้อีกครั้ง “อี้เหยา” ครั้งนี้นางเร็วยิ่ง พอขึ้นจากบ่อได้ก็รีบสาวเท้าราวกับหนีตายจนเขาตามไม่ทัน “ซื่อจื่อคนเลว!” เหยาอี้เหยาหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธปนอาย นางใช้มือข้างซ้ายกุมข้อมือข้างขวา รู้สึกว่ามือข้างนี้ของนางไม่สะอาดอีกต่อไปแล้ว ต่อไปนี้นางจะใช้มือข้างขวากินข้าวอีกได้ยังไง! ซ่างเจวี๋ยกับกงซุนหลางคอยเหยาอี้เหยาอยู่บริเวณตีนเขา เพราะเขาเป็นคนนอกเลยไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นเขาไป ส่วนกงซุนหลางแม้ใจจะอยากขึ้นไปด้วย แต่พลังภายในต่ำเกินกว่าจะสู้อากาศที่เยือกแข็งข้างบนได้ ดังนั้นจึงได้แต่เดินวนไปวนมาเพื่อรอนางกลับลงมา ซ่างเจวี๋ยกอดอกรออย่างใจจดจ่อพร้อมเงี่ยหูฟังว่ามีนกหวีดเป่าเรียกเขาหรือไม่ แต่เวลาผ่านไปครึ่งชั่วยามก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นมา กระทั่งผ่านไปอีกประมาณหนึ่งเค่อ เหยาอี้เหยาก็วิ่งลงมาด้วยท่าทีแปลกประหลาด ใบหน้าแดงก่ำ ร่างกายเปียกโชก “อี้เหยา คลุมไว้” ซ่างเจวี๋ยถอดเสื้อคลุมให้นางห่มทั้งร่าง พร้อมส่งเตาอุ่นให้นางกอดจะได้อุ่นเร็วๆ แต่นางไม่รับเตาอุ่นไป แต่จ้องมองมือข้างขวาด้วยสายตาสับสน ท่าทางราวกับทิ้งวิญญาณไว้บนเขา “เกิดอะไรขึ้น มือเจ้าเจ็บหรือ” “เปล่าเจ้าค่ะ” “เช่นนั้นทำไมต้องมองมือตัวเองราวกับอยากจะตัดทิ้ง” ซ่างเจวี๋ยมองมือนางก็ไม่มีบาดแผลอะไร เพียงแต่ดูซีดเซียวอยู่บ้าง “ข้าแค่...แม่ทัพซ่าง ข้าอยากกลับจวนแล้ว” เหยาอี้เหยาไม่อยากพูดถึงเรื่องเมื่อครู่ แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะหันไปบอกกงซุนหลางว่าฉู่ซีเย่อยู่บนเขา “ซื่อจื่อเป็นอย่างไรบ้าง” เหยาอี้เหยาพูดด้วยท่าทีเคร่งขรึม “เขาใกล้ตายแล้ว” ขณะที่นางพูดคำนี้ ฉู่ซีเย่ในชุดสีขาวแต่งกายไม่เรียบร้อยก็เดินลงมาจากเขา ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มไม่มีวี่แววของอาการใกล้ตายอย่างที่เหยาอี้เหยาพูดเลยแม้แต่น้อย แต่กลับดูอารมณ์ดีและเบิกบานใจยิ่ง “ซื่อจื่อ ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” กงซุนหลางเป็นห่วง เนื่องจากสุขภาพของฉู่ซีเย่ในช่วงหลายปีมานี้ย่ำแย่ลงมาก ฉู่ซีเย่ตอบด้วยรอยยิ้ม “ไม่เคยรู้สึกสบายดีเช่นนี้มาก่อน”ฤดูใบไม้ผลิของแดนเหนืออบอุ่นและงดงาม ต้นไม้ที่หลับใหลในฤดูเหมันต์ผลิใบอ่อน แสงแดดลอดเงาผ่านช่องว่างต้นถั่วแดงเข้ามาเป็นลำแสง ต้นถั่วแดงหงฉู่โตวเป็นไม้ยืนต้นที่ใช้เวลาหลับใหลในฤดูหนาวเช่นกัน แต่เพราะมันเติบโตในแดนใต้ที่อากาศอุ่น ก่อนจะถูกขุดล้อมแล้วย้ายขึ้นมาที่เมืองโจวอี้ ต้นถั่วแดงจึงเจริญเติบโตขึ้นมาก เหยาอี้เหยามักจะมารดน้ำต้นถั่วด้วยตนเอง นางจำได้ว่าช่วงสามปีแรก ต้นถั่วโตช้ายิ่ง จนกระถางเล็กๆ ยังโตไม่เต็ม ครั้นลงดินที่อำเภอซานถง เพียงไม่นานก็สูงเอาๆ แต่พอมาคิดดู เหยาอี้เหยาคิดว่าสาเหตุที่ต้นถั่วโตช้าตอนอยู่ในกระถาง เพราะพื้นที่ไม่พอ สารอาหารขาดแคลน พอได้รับแสงแดด สายลม พื้นที่เหมาะสม พริบตาเดียวก็สูงขึ้นจนต้องแหนหน้ามองแล้ว ร่มเงาของกิ่งก้านที่แผ่ขยายออกเป็นพุ่มงาม ใบไม้เสียดสีเบาๆ ราวกับกำลังอวยพรให้นาง เหยาอี้เหยาพนมมือรับพรด้วยน้ำตา แต่คำอวยพรบางอย่างก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้... “อยู่นี่เอง” ฉู่ซีเย่เดินเข้ามาบริเวณสวนดอกไม้ ตรงกลางมีต้นถั่วยืนต้นโดดเด่น ใต้ร่มเงามีหญิงงามในชุดผ้าคลุมตัวยาว ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนแล้ว กระนั้นเหยาอี้เหยาก็ยังสวมชุดฤดูหนาว “ท่านหาข้าอยู่หรือ” เ
เดินทางจากอำเภอซานถงถึงแดนเหนือใช้เวลาสองสัปดาห์ เหยาอี้เหยาตกลงใจใช้ชีวิตอยู่กับฉู่ซีเย่ บางวันหวานชื่น บางวันรักร้อนแรง หรือทะเลาะกันบ้าง เพราะนางอยากออกไปทำงานสำรวจสำมโนครัวแบบเมื่อก่อน เพราะอยู่เฉยๆ เบื่อเกินไปฉู่ซีเย่คัดค้านหัวชนฝา เขาไม่อยากให้นางออกไปทำงานข้างนอก กลัวว่าจะมีคนมาชมชอบนาง ก็นางงามขนาดนี้ มีแต่คนตาบอดเท่านั้นที่ไม่มอง“แน่ใจนะว่าท่านไม่อนุญาต”“แน่นอน”“งั้นคืนนี้ท่านไปนอนที่อื่น”ฉู่ซีเย่ลุกพรึ่บ “ไม่ได้”“ได้ ก็นี่ห้องข้า เสียก็แต่ว่าท่านจะยึดคืน” เหยาอี้เหยาลุกขึ้น นางคว้าหมอนและผ้าห่มของฉู่ซีเย่ออกไปทิ้งด้านนอกห้อง“อี้เหยา” ฉู่ซีเย่ตามไปเก็บแล้ววางที่เดิม ก่อนจะประกาศก้อง “คืนนี้ข้าจะนอนที่นี้”“ท่านอ๋อง ท่านไม่สิทธิ์รุกล้ำพื้นที่นะ ยิ่งเจ้าของไม่อนุญาต ยิ่งไม่ได้”“แล้วไง ใครสน” ฉู่ซีเย่นั่งลงบนเตียง เขาเอนนอนเอาแขนชันศีรษะ “ข้าพอใจจะนอนที่นี้”“ก็ได้ งั้นข้าจะไปนอนที่อื่น” เหยาอี้เหยาเดินไปที่ประตู ฉู่ซีเย่ดีดตัวลุกขึ้นมาขวาง เขายืนขวางประตู ก่อนจะถอนหายใจ เขายอมถอยให้นาง“เอาล่ะ พอก่อน มาคุยกันดีๆ เถอะ”“ก็ได้” เหยาอี้เหยาเห็นเขายอมถอย นางก็ถอยหนึ่งก้าว “
“เจ้าต้องเข้าใจว่าข้าไม่อาจสบายใจได้ ตราบใดที่มีเจ้า” หย่งสวินกล่าวอย่างลำบากใจ แต่ดวงตากลับเฝ้ารอ ในใจคงจินตนาการวันที่ได้ฆ่าฉู่ซีเย่มานับครั้งไม่ถ้วน“คนที่คิดจะฆ่าข้า ไม่ตายดีสักคน” ฉู่ซีเย่ไม่กลัวว่าหย่งสวินจะเอาดาบแทงตน เพราะคนเหลี่ยมจัดอย่างหย่งสวิน ไม่เล่นในเกมที่ตกเป็นรอง“เจ้าต้องมีชีวิตอยู่นานๆ หน่อย จะได้รู้ว่าข้าจะได้ตายดีหรือไม่ แต่น่าเสียดาย คงไม่มีวันนั้นแล้ว” หย่งสวินยกดาบขึ้น ก่อนจะฟันใส่แขนขวาจนขาด เขาส่งเสียงร้องโหยหวน“ช่วยข้าด้วย! ต้าเป่ยอ๋องจะสังหารข้า!”ประตูท้องพระโรงเปิดออกในยามรุ่งสาง ฉู่ซีเย่ถูกคุมตัวออกมามุ่งหน้าไปยังลานประหารในโทษฐานลอบทำร้ายประมุขของประเทศ ความรีบร้อนในการประหารเขาทันที เป็นความต้องการของหย่งสวินคลื่นลมในวังเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างมั่นใจแน่แล้วว่าหย่งสวินจะได้เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป ด้วยไท่จื่อก็สิ้นแล้ว หย่งมู่ที่กลัวตายก็รีบหอบผ้าหนีเอาตัวรอด ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้ากังขาหรือคัดค้านแม้เพียงนิดที่หย่งสวินคิดจะสังหารฉู่ซีเย่อย่างไรก็ตาม การประหารใช่จะทำได้เลยในทันที เพราะความวุ่นวายจากทางฝั่งของคนสนับสนุนไท่จื่อก็ไม่ยินยอมเช่นกัน
“เจ้าไม่เป็นห่วงชายผู้นั้นของเจ้าหรือ”ชายผู้นั้นของกงจิ้ง ย่อมหมายถึงฉู่ซีเย่ “ได้ยินว่าทางวังกำลังเผชิญหน้ากับพายุใหญ่ ไม่แน่ว่าชายผู้นั้นของเจ้า อาจพบอันตรายร้ายแรง”“ก็อาจจะพบอันตราย แต่ข้าไม่ห่วงมากเท่าไหร่” นางล้างผัก ท่าทีผ่อนคลายกงจิ้งทำหน้าประหลาด เหยาอี้เหยาดูไม่ร้อนใจเท่าที่ควร“สามปี” เหยาอี้เหยาพูดขณะมองตรงไปหน้าผืนนา “เขาใช้เวลาสามปีวางแผนแก้แค้น ดังนั้นข้าจึงเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ต่อให้ถูกใครคิดปองร้าย ทุกอย่างก็อยู่ในการคาดเดาของเขา”กงจิ้งมองนาง “เป็นเจ้าที่เข้าใจเขาอย่างลึกซึ้ง”“ความจริงข้าไม่เข้าใจเขาหรอก ใครจะกล้าพูดว่าเข้าใจเขาได้”กงจิ้งเห็นด้วย “ข้าแปลกใจเสมอที่รู้ว่าเขาไม่อยากเป็นหนึ่งในผู้ชิงบัลลังก์"“ข้าไม่แปลกใจ”“เพราะอะไร” ขอเพียงมีใจนึกอยาก ไม่ใช่ว่าจะชิงมาไม่ได้“เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์และยโสโอหังมาก แต่ก็เป็นคนที่รักษาคำสัตย์ยิ่งชีพมากเช่นกัน อะไรที่รับปากคนอื่นไว้แล้ว ต่อให้ดินถล่มฟ้าแหวกออก เขาก็จะทำให้ได้ ในงานพิธีรับตำแหน่งต้าเป่ยอ๋อง เขาชัดเจนแล้วว่าเลือกแดนเหนือ”“เข้าใจแล้ว”ฉู่ซีเย่ไม่ได้ให้คำสัตย์ว่าจะไม่ชิงบัลลังก์ แต่เขาให้คำสัตย์ว่าจะตา
ต้าหย่ง...ชายเสื้อปักดิ้นทองเคลื่อนไหวเพียงบางเบา แต่สามารถทำให้ตะเกียงบนโต๊ะด้านหน้าสั่นไหว เงาใหญ่ยักษ์ที่ทอดลงหลังฉากพระที่นั่งวิจิตรงดงาม แลดูแปลกตา ยิ่งเมื่อขยับเคลื่อนไหว เงาสีดำยิ่งชวนให้รู้สึกขนกายลุกพองหย่งฉียังคงทรงงานแม้จะค่อนคืนเข้าไปแล้ว พระขนงมีมีร่องรอยยับย่น หมึกเปื้อนพระหัตถ์เป็นปื้นสีดำทั้งสองข้าง ลามไปถึงชายแขนเสื้อที่ถูกหมึกสีดำทำลายความประณีตลงหลายเท่าตัวหลังตั้งตรงเริ่มตกลู่ หย่งฉีในปีนี้อายุเพียงสี่สิบกว่าปี ทว่าความเคร่งเครียดและการตรากตรำอยู่ในตำแหน่งมายาวนานกว่าสามสิบปี ทำให้ใบหน้านั้นแก่ชรา ริ้วรอยแห่งวัยทอดแนวอยู่บนหน้าพระพักตร์หมองคล้ำ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลครั้นมองลงมาภายในโถงพระที่นั่งอันหนาวเหน็บและช่างว่างเปล่า หย่งฉีคล้ายจะยิ้มเย้ยให้ตนเองอย่างสมเพชข้าวของมากมายหล่นเกลื้อนกลาดแทบเท้า ทุกสิ่งทุกอย่างพังไม่เป็นชิ้นดี กระนั้นท้องพระโรงที่เละเทะเช่นนี้ ก็ยังเทียบไม่ได้กับภายในจิตใจของเขาหย่งฉีทิ้งพู่กันในมือ เขาส่งเสียงออกมาอย่างเหนื่อยล้าราวกับแทบขาดใจ“ขันทีโม่...”โม่หานยืนก้มหน้าตามระเบียบประเพณี ในมือมีพวงแส้ม้านุ่มสลวย ทองคำซึ่งหลอมอยู
เหยาอี้เหยา “ก่อนจะให้ท่านพูดอธิบาย อยากจะขอรบกวนให้ท่านอาบน้ำล้างตัวเสียหน่อย” กลิ่นสาบจากตัวเขาทำให้ภายในบ้านถูกกลิ่นบูดรมควัน ดังนั้นนางจึงนำเสื้อผ้าที่เขาทิ้งไว้คราวก่อนออกมาให้เขา พร้อมชี้ทางว่าสามารถไปอาบน้ำที่ลำธารใกล้กับแปลงผักจี๋ฉายได้ ทั้งยังรุนหลัง ให้เขาไปไวๆ ฉู่ซีเย่ไม่อิดออด เขาก็เริ่มได้กลิ่นจากตัวเองเช่นกัน “ได้ ข้าจะไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน หลังจากนั้นค่อยสนทนาเรื่องที่เข้าใจผิด” ถึงอย่างงั้นในใจของเขาก็มีความน้อยใจเล็กๆ ที่นางดูราวกับไม่ใส่ใจเขาเลย จะถามไถ่สักคำว่าเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยหรือเปล่าก็ไม่มี ยังมีตบของนางอีก แม้แรงนางจะไม่ระคายผิวหนังหนาด้านของเขา แต่จิตใจบอบช้ำยิ่ง “ท่านอ๋อง” เหยาอี้เหยากล่าวรั้ง ใบหน้าคมกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่เมื่อหันหน้ามาก็กลบเกลื่อนให้หมดสิ้น “ว่าอย่างไรรึ” ใบหน้าของฉู่ซีเย่ในตอนนี้สามารถพูดได้คำเดียวว่าเขาสำนึกผิดแล้ว “เมื่อครู่ข้าขอโทษที่ตบท่าน ท่านเจ็บมากหรือไม่” การตบตีเขาไม่เคยอยู่ในสมองนางมาก่อน แต่พอเห็นเขามายืนอยู่ตรงหน้า แรงอารมณ์ที่ถูกกดไว้ตลอดทั้งเดือนก็ปะทุ รู้ตัวอีกทีก็ตบเขาเสียฉาดใหญ่ “แรงเท่ามดของเจ้าจะทำอะไรข้าได้กัน”