แคว้นอวี้…ดินแดนที่ตั้งตระหง่านเหนือคาบสมุทรตะวันออก แผ่นดินนี้กว้างใหญ่จนแสงอาทิตย์ต้องใช้เวลาสองวันเต็มจึงจะไล้แสงผ่านสุดขอบผืนดิน ผู้คนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าที่นี่คือดินแดนแห่งวรรณศิลป์และกลยุทธ์การศึก ขุนนางฝ่ายบุ๋นล้วนเชี่ยวชาญกลอนและพิชัยสงคราม ส่วนฝ่ายบู๊ก็ถือดาบดั่งเป็นส่วนหนึ่งของวิญญาณ
ทิศเหนือสุดคือ ป้อมหิมะขาว อันหนาวเยือก คุมเส้นทางสู่แดนเถื่อน ทิศตะวันตกเป็นเทือกเขาตระหง่านที่คั่นแคว้นอวี้กับแคว้นเว่ย ทางทิศใต้ลงไปคือเมืองท่าที่การค้ารุ่งเรือง น้ำทะเลสีนิลและเรือสำเภานับพัน ส่วนทิศตะวันออกนั้นคือวังหลวงหัวใจของแคว้น ที่มีทั้งความงามสง่าและเต็มไปด้วยกลิ่นอายของเกมการเมือง และแน่นอนว่าผู้ครองบัลลังก์สูงสุดในวังนั้น…คือเขา…อวี้เหยียน พระองค์ไม่ได้เกิดมาเพื่อครองบัลลังก์ หากแต่เป็นโอรสลำดับสุดท้ายของฮ่องเต้องค์ก่อน เกิดจากสนมขั้นต่ำจนไม่มีใครเหลียวแล เด็กชายในชุดผ้าฝ้ายเก่า ๆ ที่ยืนอยู่ท้ายขบวนพี่น้อง ยามเสวยก็มักได้เพียงเศษอาหารที่เหลือ แต่ดวงตาคมเรียวคู่นั้น…กลับเฝ้าสังเกตทุกสิ่งเงียบ ๆ พระมารดาของเขานั้นหาได้รักใคร่เขาไม่ เพื่อปกป้องชีวิตของเขานางจึงต้องเสียขาทั้งสองข้างไป สูญเสียความโปรดปราน ยามที่นางคับแค้นใจแน่นอนว่าย่อมเอามาลงกับบุตรชายของนางเอง หากว่าเสด็จพ่อของเขามีพระโอรสเพียงเขาคนเดียวหรือน้อยกว่านี้ ไม่แน่เขาอาจได้รับความสำคัญแม้ไม่ได้เกิดจากมารดาตระกูลต่ำศักดิ์ หรือเขาอาจได้เป็นบุตรบุญธรรมของฮองเฮา แต่ทว่าน่าเสียดาย เสด็จพ่อของเขามีพระโอรสที่เกิดจากทั้งฮองเฮาและพระสนมมากถึงสิบสี่คน ใคร ๆ ต่างพูดกันว่าสวรรค์ต่างเมตตาโอรสสวรรค์พระองค์นี้นัก จึงประทานบุตรชายติด ๆ กันมากถึงเพียงนี้ แต่สำหรับองค์ชายสิบสี่อย่างเขา นับว่าคือนรกเสียมากกว่า เขาที่ต้องเรียนร่วมกับพี่ ๆ มักถูกเปรียบเทียบเสมอ ไม่ว่าจะยศตำแหน่งมารดา ตระกูลมารดาใครมีอำนาจช่วยเสด็จพ่อได้ จนไปถึงใครที่ทั้งเรียนและต่อสู้เก่งที่สุด เมื่อเด็กผู้ชายวัยคึกคะนองมารวมอยู่ในที่เดียวกัน ความแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นในเรื่องพละกำลังและความเป็นผู้นำก็ฉายชัดยิ่งขึ้น เขาที่เป็นน้องเล็กสุด ไหนเลยจะสามารถเอาชนะในเรื่องเหล่านั้นได้ อวี้เหยียนพยายามเก็บงำซ่อนความสามารถ ไม่อาจทำตัวเด่น แต่ไหนเลยทุกอย่างจะเป็นดั่งใจคิด ยิ่งเขากดตัวเอง เหล่าพี่ ๆ ยิ่งกดเขาให้ต่ำยิ่งกว่า หาเรื่องแกล้งเขาทุกครั้งที่มีโอกาส จนวันหนึ่งอวี้เหยียนถูกขังอยู่ในห้องเก็บของเป็นนาน ไม่ว่าจะตะโกนขอความช่วยเหลือเพียงใด ตะกุยตะกายหาทางออกอย่างไร ก็ไม่อาจออกไปได้ คืนนั้นบรรดาสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยอย่างหนูและแมลงสาบออกมาเดินพล่านไต่ขึ้นมาตามเนื้อตัวของเขาในยามทีาเขาเผลอหลับไป หนูบางตัวบ้างก็แทะเล็มนิ้วเท้าของเขา บางก็กัดหู เจ็บปวดทรมานจนไม่อาจนอนได้ ห้องที่เล็กแคบนั้นไม่ว่าเขาจะขยับหนีไปทางใดก็ไม่อาจหนีได้พ้น จำต้องทนอยู่อย่างนั้น กว่าจะมีใครมาพบเขาเข้าก็ยามซื่อเข้าไปแล้ว อวี้เหยียนคับแค้นใจ และนั่นจึงเป็นจุดที่เขาเริ่มจะหมดความอดทน “ในเมื่อพวกเขาดูถูกเรา…ก็ให้พวกเขาฆ่ากันเอง” วัยสิบสามหนาวเขาเริ่มปล่อยข่าวลับ ปลุกความระแวงในหมู่พี่น้อง ช่วงนี้สถานการณ์เริ่มตึงเครียด เพราะแว่วข่าวมาว่าเสด็จพ่อกำลังจะแต่งตั้งองค์รัชทายาท เมื่อได้ข่าวที่อวี้เหยียนกระตุ้นเขื้อไฟในใจเพัยงน้อยนิด ไฟในใจพวกเขาก็ลุกโหมจนพวกเขากัดกันและทำร้ายกันอย่างเลือดเย็น มีเพียงองค์ชายสิบสาม พระโอรสคนโปรดของเสด็จพ่อในตอนนั้นคือเพียงคนเดียวที่รอด และเป็นศัตรูสำคัญที่มีขุนนางฝ่ายบุ๋นหนุนหลัง อวี้เหยียนรู้ดีว่า หากหวังจะเอาชนะพี่ชาย ต้องมีพันธมิตรฝ่ายบู๊อยู่ในมือ และพันธมิตรที่แข็งแกร่งที่สุด…คือเสนาบดีฝ่ายขวา อวิ๋นจิ้นเหยียน ผู้คุมกองทัพชายแดนและป้อมทหารทั้งสี่ทิศ [ภาพตัดไป เปลี่ยนเป็นฉาก ราชวังเมื่อสามปีก่อน] เรือนโถงใหญ่เงียบกริบ ร่างสูงในชุดเกราะครึ่งทางพิธีคุกเข่าลงเบื้องหน้าองค์ชายสิบสี่ อวิ๋นจิ้นเอ่ยเสียงหนักแน่น “ข้ามีเพียงบุตรสาวคนเดียว…ขอเพียงพระองค์รักษาเกียรติของนาง ไม่ว่าพระองค์จะเป็นเช่นไร สกุลอวิ๋นจะขออยู่ข้างท่าน” อวี้เหยียนสบตาเขาด้วยสายตาเย็นชาจนอีกฝ่ายสะท้าน “ท่านยอมโยนบุตรสาวเข้าสู่วังวน…เพื่อแลกกับเกียรติยศตระกูลเช่นนั้นหรือ” ริมฝีปากเขาโค้งขึ้นน้อย ๆ ราวกับเย้ยหยัน “เช่นนั้น…ข้าก็จะใช้นาง” [ภาพเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง] พิธีแต่งงานของจักรพรรดิในอนาคตกลับไร้ซึ่งความยินดี เทียนแดงมงคลดับไปครึ่งหนึ่งเพราะพายุฝนพัดแรง ร่างเจ้าสาวสีแดงสดในชุดปักดิ้นทองถูกส่งเข้าตำหนักคุนหนิง แต่เขาไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง คืนเข้าหอ เสียงเขาเย็นชา ราวกับคมมีดเฉือนเข้ากลางอก “เจ้าจะมีชื่อเป็นพระชายาเอกก็จริง แต่ในใจข้า…ไม่มีที่ให้เจ้า” หญิงสาววัยสิบหกหลับตาแน่น มือกำชายผ้าไว้เสียจนเจ็บเพื่อซ่อนความสั่นไหว และคำพูดนั้นฝังลึกเป็นรอยแผลแรกของชีวิตคู่ เมื่อเขาขึ้นครองบัลลังก์ อวิ๋นซินเยว่ถูกแต่งตั้งเป็นฮองเฮาตามฐานะ แต่ตำหนักคุนหนิงยังคงเงียบงันราวกับบ้านร้าง ไม่มีคืนไหนที่เขาเคยแวะมา ในสายตาของทุกคน นางคือฮองเฮาผู้สูงศักดิ์ แต่ในหัวใจของเขา…นางเป็นเพียงพันธะที่ไม่อาจปฏิเสธ! …….. ภาพทั้งหมดดับลง เหลือเพียงแสงตะเกียงวูบไหวอีกครั้งในตำหนักอันเงียบงัน น้ำตาหนึ่งหยดไหลลงข้างแก้มอวิ๋นซินเยว่โดยไม่รู้ตัว เธอพึมพำกับตัวเอง “…ภายใต้ความเย็นชาเช่นนั้น กลับมีอดีตที่เจ็บปวดขนาดนี้” เสี่ยวหลิงยกมือเท้าสะเอว ยิ้มแหย “ทีนี้หม่าม๊าเข้าใจแล้วใช่ไหม ว่าทำไมจักรพรรดิถึงไม่ยอมให้หัวใจตกเป็นเชลยของใครง่าย ๆ” อวิ๋นซินเยว่นิ่งงันอยู่ท่ามกลางความเงียบของตำหนักคุนหนิง อดีตที่เสี่ยวหลิงฉายให้เห็นนั้น…ราวกับเพิ่งสลักลึกเข้าในหัวใจเธอเสียงเหล่าขุนนางขานรายงานลากยาวราวบทสวดอันซ้ำซาก อวี้เหยียนนั่งบนบัลลังก์มังกร สายพระเนตรเย็นเยียบไล่ไปทีละคน…จนถึงเงาร่างหนึ่งที่นั่งเคียงข้าง ผ้าคลุมไหล่สีเข้มของฮองเฮาอวิ๋นซินเยว่สะท้อนเข้าตาเขาพอดี ดวงตาเธอก้มต่ำ ฟังรายงานอย่างสงบ แต่นิ้วเรียวแอบหมุนกำไลหยกบนข้อมือซ้ายไปมาอย่างเบื่อหน่ายเพียงท่าทางเล็กน้อยนั้น กลับสะกิดของเขายิ่งนัก มุมปากหยักหนายกขึ้นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว แต่เพียงแวบเดียวเท่านั้น เขารีบตวัดสานตากลับไปยังขุนนางที่กำลังเถียงกันเรื่องการเก็บภาษีชายแดน หลี่กงกงที่ยืนก้มหน้าอยู่ด้านล่าง มองเห็นแววตานั้นชัดกว่าใคร คนที่นั่งสูงสุดบนบัลลังก์ มังกรยังเป็นมังกร แต่แววตานั้น…ไม่เหมือนเดิม ฮ่องเต้หนุ่มที่ดึงสติกลับมา ได้ยินเสียงขุนนางหนุ่มฝ่ายบุ๋นดังขึ้นอย่างกล้าหาญเกินวัย “ทูลฝ่าบาท หากยังเก็บภาษีเช่นนี้ต่อไป ชาวบ้านชายแดนจะอดตายพะย่ะค่ะ” “เงียบ” พระสุรเสียงดังก้องไปทั่วท้องพระโรงขุนนางหนุ่มหน้าซีดเผือด รีบก้มลงคุกเข่า ทุกสายตาในท้องพระโรงตึงเครียด แต่ละคนไม่กล้าเงยหน้าทั้งห้องเงียบรางกับไร้ผู้คน…ยกเว้นเพี
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ยังดังระงมรอบลานชมบุปผา “ฮองเฮาเป็นผู้จัดงานจะปฏิเสธความผิดได้อย่างไร!”“สนมขั้นผินถึงกับเกือบสิ้นใจเช่นนี้ มิใช่เรื่องเล็กแล้ว!”หมอหลวงยังคงคุกเข่า รายงานเสียงหนักแน่นว่าเป็นอาการแพ้ดอกไม้ที่ใช้ประดับงานซึ่งทั้งหมดล้วนผ่านมือฮองเฮาจัดการทั้งสิ้นสายตาของเหล่าสนมพุ่งมาที่อวิ๋นซินเยว่ไม่วาง ราวกับเธอเป็นอาชญากรตัวจริง ร่างบางกำมือแน่น หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุอก ไม่ว่าจะคิดทางไหน ก็ไร้ทางรอด…ทันใดนั้น เสียงเล็ก ๆ ดังเจื้อยแจ้วขึ้นในโสตประสาทของเธอ เสี่ยวหลิง![หม่าม๊า…ทุกคนกำลังตัดสินท่านผิดแน่ ๆ แล้วครับ แต่ถ้าหม่าม๊าอยากให้ช่วย เสี่ยวหลิงก็พอมีวิธีขอรับ]อวิ๋นซินเยว่สะดุ้งน้อย ๆ คิ้วขมวดแน่น พลันกระซิบในใจ 'วิธีอะไร'[วิธีที่จะทำให้ท่านหลุดพ้นในวันนี้อย่างปลอดภัย… เสี่ยวหลิงสามารถปล่อยบั๊กข้อมูล ให้หลักฐานทั้งหมดเบี่ยงเบนไปหาคนอื่นได้ แต่ว่ามีข้อแลกเปลี่ยนครับ]'ข้อแลกเปลี่ยนเหรอ'เสี่ยวหลิงเงียบไปชั่วครู่ ก่อนตอบเสียงเบาลง ราวกับตัวเองก็ไม่อยากพูด[หากวันนี้หม่าม๊าใช้วิธีนี้…ท่านจะรอดพ้นก็จริง แต่ระบบจะตัด *เหตุการณ์พิเศษกับฝ่าบาท ที่ควรเกิดขึ้นหลังงานนี้ออกไปขอรับ]
เสียงหัวเราะชื่นชมจากบรรดาสนมดังระงมไปทั่วลาน เมื่อ ซูกุ้ยเฟย ยกกลอนที่เพิ่งแต่งเสร็จขึ้นถวายไทเฮา ท่วงทำนองอ่อนหวาน เปรียบดอกโบตั๋นเป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศ สละสลวยจนแม้แต่ขุนนางฝ่ายในที่นั่งอยู่ด้วยยังพยักหน้ารับ ซูกุ้ยเฟยยกยิ้มบาง ก่อนหันไปทางซินเยว่พลางเอื้อนเอ่ยเสียงใส “กลอนของหม่อมฉันหาได้พิเศษอันใดไม่… ผู้ที่มีความสามารถแท้จริงด้านบทกวีคือฮองเฮาต่างหากเพคะ” ทันใดนั้นสายตาทุกคู่ก็หันมาจับจ้องยัง อวิ๋นซินเยว่ หัวใจเธอกระตุก เพราะตัวเองแต่งกลอนไม่เป็นแม้แต่นิดเดียว! [ติ๊ง! สถานการณ์อันตรายระดับ 95%! หากตอบไม่ได้ = ค่าศักดิ์ศรีฮองเฮาลดฮวบ! ถูกผู้คนหัวเราะเยาะทั้งงาน และไทเฮาจะผิดหวังในตัวท่านมากขอรับ] “เอ่อ…หม่อมฉันกลัวว่า หากแต่งกลอนออกมา…จะไปไม่ถึงครึ่งของกุ้ยเฟยเพคะ” เสียงกระซิบดังระงม หลายคนชะงักนึกว่าฮองเฮาจะถอยหนี แต่เธอกลับหันไปยิ้มกว้างต่อหน้าทุกคน ไทเฮาเลิกพระขนงเล็กน้อย คล้ายสนใจอยากฟัง อวิ๋นซินเยว่สูดหายใจลึก แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงใส “ดอกไม้อาจงดงามเพราะฤดูกาล แต่ก็เหี่ยวเฉาไปเพราะฤดูกาลผันผ่านเช่นกัน
และแล้ววันจัดงานชมบุปผาก็มาถึง เสียงกลองเบา ๆ จากเหล่านักดนตรีด้านนอกดังมาเป็นสัญญาณ งานเลี้ยงชมบุปผาที่ทุกคนรอคอยกำลังจะเริ่มขึ้น ภายในตำหนักคุนหนิง อวิ๋นซินเยว่แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง นางกำนัลนับสิบต่างรุมล้อม ใส่เสื้อคลุมชั้นแล้วชั้นเล่า สีสันสดใสราวท้องฟ้ายามรุ่งอรุณกับกลีบกุหลาบแรกแย้ม ชุดปักดิ้นเงินลายหงส์สยายปีกโอบล้อมไปทั่วร่าง ผมดำถูกรวบขึ้นอย่างประณีต ประดับปิ่นหยกมรกตระยิบระยับ เมื่อเครื่องประดับชิ้นสุดท้ายถูกเสียบลง เธอถูกดันให้นั่งต่อหน้ากระจกทองเหลืองบานใหญ่ ภาพสะท้อนเบื้องหน้าทำให้เธอถึงกับตะลึง “นี่…คือข้าจริง ๆ หรือ?” อวิ๋นซินเยว่อ้าปากค้างเล็กน้อย กะพริบตาปริบ ๆ เหมือนมองคนแปลกหน้า ผิวที่ปกติซีดขาวบัดนี้เจือสีแดงนวลอย่างสุขภาพดี ริมฝีปากทาด้วยชาดสีแดงอ่อนดูงามละมุน สายตาที่เคยสดใสราวเด็กสาวกลับกลายเป็นวาววับดั่งหญิงสูงศักดิ์ที่พร้อมจะสะกดทุกสายตาแต่แววซุกซนยังไม่หายไป ทำให้ความสง่างามนั้นยิ่งมีเสน่ห์มากกว่าใคร
ลมฤดูใบไม้ผลิพัดกลีบดอกเหมยปลิวเข้ามาในตำหนักคุนหนิง อวิ๋นซินเยว่นั่งอยู่ท่ามกลางกองบันทึกพิธีและตำรามารยาทสูงเป็นตั้ง ดวงตาคมกวาดมองทีละบรรทัดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม นางพึมพำเบา ๆ “งานชมดอกไม้… มิใช่เพียงเรื่องความงาม หากแต่สะท้อนศักดิ์ศรีของฮองเฮา หากข้าพลาดเพียงนิดเดียว ซูกุ้ยเฟยจะต้องใช้เป็นข้ออ้างโจมตีข้าแน่” ทันใดนั้น แสงสีฟ้าใสสว่างวาบขึ้นกลางอากาศ เสี่ยวหลิง ระบบเอไออัจฉริยะปรากฏร่างจำลองขึ้นมาพร้อมเสียงแจ่มใสที่ตัดกับบรรยากาศตึงเครียด “หม่าม๊า อย่ากังวลไปเลย ข้าได้สแกนบันทึกงานราชพิธีเก่า ๆ ทั้งหมดแล้ว พบว่ามีจุดอ่อนอยู่หลายอย่างที่สามารถพลิกสถานการณ์ให้ท่านได้เปรียบ!” อวิ๋นซินเยว่เงยหน้ามองด้วยสายตาวาบประกายความหวัง “เจ้ามีแผนอะไรหรือ เสี่ยวหลิง?” ภาพเสมือนคล้ายแผนผังสามมิติถูกฉายขึ้นกลางห้อง แสดงการจัดวางตำแหน่งโต๊ะสำรับ น้ำชา ดนตรี และตำแหน่งดอกไม้ในสวน เสี่ยวหลิงเอ่ยเสียงกระตือรือร้น “หากท่านเลือกพันธุ์ดอกไม้ที่ยังไม่เบ่งบานเต็มที่ พอถึงวันงานมันจะผลิบานพร้อมกันพอดี สร้างความประทับใจได้มากกว่าซูกุ้ยเฟยที่มัวแต่เน้นความหรูหราเกินจำเป็น” นางพยักหน้าอย่างครุ
เสียงฆ้องเบา ๆ ดังขึ้นสามครั้ง ก่อนที่ม่านกำมะหยี่สีแดงขลิบทองในห้องโถงของตำหนักคุนหนิงจะถูกเลิกขึ้นอย่างช้า ๆ แสงแดดยามสายส่องลอดเข้ามาตกต้องกับอาภรณ์สีม่วงทองระยับตา ไทเฮาปรากฏกายอย่างสง่างามเรือนพระเกศาที่ขาวแซมเพียงเล็กน้อยถูกเกล้าอย่างประณีต ประดับปิ่นหยกชั้นสูง สายตาคมกริบของนางกวาดมองเหล่าสนมและพระสนมชั้นสูงที่คุกเข่าลงและนั่งเรียงรายอยู่เบื้องหน้า ทันใดนั้น บรรยากาศทั้งตำหนักอี้คุนก็เหมือนถูกตรึงด้วยไอเย็นแห่งอำนาจของสตรีที่เคยได้ชื่อว่ามีอำนาจที่สุดในวังหลังของจักรพรรดิองค์ก่อนเสียงขันทีขานพระนามกังวานก้อง “ไทเฮาเสด็จ”เหล่าสตรีในวังหลังที่มียศต่ำต่างหมอบลงจนหน้าผากแตะพื้น อวิ๋นซินเยว่เองก็ยืนขึ้นเช่นกัน เพียงประสานมือค้อมตัวลงต่ำอย่างนอบน้อม แต่ในใจกลับรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลที่กำลังกดทับมาบนบ่าไทเฮา ก้าวลงจากบัลลังก์ย่อม ๆ แท่นสูง เสียงรองเท้าปักมุกกระทบพื้นไม้ดังก้องอย่างสง่างามนางทอดพระเนตรมายังอวิ๋นซินเยว่ ริมฝีปากโค้งเพียงน้อย แต่เต็มไปด้วยนัยลึกล้ำ “ฮองเฮา… อีกเจ็ดวันจะมีงานเลี้ยงชมบุปผา เจ้าคงรู้ดีว่า นี่ไม่ใช่เพียงงานรื่นเริง แต่เป็นงานที่แสดงเกียรติยศและเป็