หลินซินเยว่นั่งเงียบอยู่ในศาลากลางน้ำที่อยู่ไม่ไกลจากตำหนักคุนหนิงเท่าใดนัก เดินเพียงหนึ่งเค่อก็ถึง บริเวณรอบ ๆ มีขันทีและนางกำนัลรายล้อมคอยดูแลรับใช้ไม่ห่าง ไม่เพียงเท่านั้นยังมีทหารคอยเดินตรวจตราอยู่รอบนอก ระมัดระวังความปลอดภัยรอบด้านให้แก่สตรีผู้มีศักดิ์สูงส่งที่สุดในวังหลัง
“ระบบ” หลินซินเยว่พึมพำเสียงเบาที่สุดเท่าที่จะเบาได้ ไม่นานรอบตัวก็เหมือนถูกหยุดเวลา ทุกสิ่งหยุดนิ่ง หลินซินเยว่รับรู้ได้เลยว่ามันได้ผล [หม่าม๊าเรียกหาผมมีอะไรเหรอครับ?] คราวนี้ไม่ใข่แค่เสียงอีกต่อไป แต่กลับปรากฏร่างของเด็กชายตัวน้อยดูแล้วอายุน่าจะไม่เกินห้าขวบ ผมหยักศกสีดำสนิทดูนุ่มน่าสัมผัส ริมฝีปากสีแดงเรื่อ ๆ ดูจิ้มลิ้มนั้นกำลังบอกข้อมูลเธออยู่ เด็กน้อยบอกว่าตนเองชื่อเสี่ยวหลิง เป็นระบบเอไอสุดอัจฉริยะที่จะคอยเป็นผู้ช่วยของเธอในโลกนี้ อวิ๋นซินเยว่มองริมฝีปากช่างเจรจานั้นอย่างเพลิดเพลิน เสียงเสี่ยวหลิงดังเจื้อยแจ้วอยู่ใกล้หู ขณะร่างโฮโลแกรมลอยวนรอบ ๆ ซินซินด้วยความกระตือรือร้น “ขอบใจมากนะเสี่ยวหลิง แล้ววันนี้มีภารกิจอะไรที่ฉันต้องทำไหม” [ขอแสดงความยินดี! มิชชันของวันนี้: จีบผ่านกระเพาะ ทำอาหารให้ฝ่าบาทด้วยตนเอง!] เสียงใสกิ๊งของระบบดังลั่นราวกับกำลังประกาศผลรางวัลระดับจักรวาล “ทำอาหารเหรอ!?” ร่างบางร้องเสียงหลง “นี่ฉันมาเป็นฮองเฮา ไม่ใช่เชฟกระทะเหล็กนะยะ!” [เป้าหมายภารกิจ: กระตุ้นความทรงจำด้านกลิ่นและรสชาติให้เชื่อมโยงกับความรู้สึก “บ้าน” และ “คนสำคัญในหัวใจ”] หลินซินเยว่อยากจะกรี๊ด แต่ไม่มีเวลาพอจะโต้เถียง เมื่อระบบแจ้งว่าฝ่าบาทจะมาเสวยพระกระยาหารเที่ยงที่ตำหนักของนางในอีก 2 ชั่วยาม [ความเสี่ยง: หากฝ่าบาทไม่ประทับใจ = ระดับภัยพิบัติระดับ 3 ท่านอาจจบลงด้วยการโดนสั่งโบยหลายสิบไม้] หญิงสาวลุกพรวดจากที่นั่ง เรียกนางกำนัลให้ไปตามพ่อครัวหลวงมาตระเตรียมครัวของตำหนักในทันที ในใจสวดมนต์ภาวนารัว ๆ ว่า “ขอให้โลกนี้ไม่พังเพราะการทำอาหารของฉันเลยยย…” กลิ่นเปลวถ่านอุ่น ๆ ปะทะปลายจมูก อุปกรณ์ในครัวสะอาดสะอ้าน เครื่องครัวเรียงเป็นระเบียบบนโต๊ะไม้ บ่าวไพร่ยืนขนาบสองฝั่ง ไม่กล้าถามแม้แต่ว่าฮองเฮาคิดจะลงมือทำอาหารเองจริงหรือ “ระบบ! ขอสูตรที่ง่ายที่สุด! ขอแบบอร่อยแต่ไม่ต้องมีเตาอบไฟนรกอะไรทั้งนั้น!” [มิชชันปลดล็อกเมนู: “เป็ดอบน้ำผึ้งวังหลัง” ระดับความยาก: ปานกลาง ความเสี่ยง: สูง โอกาสสร้างความประทับใจต่อพระเอก 20%] [คำแนะนำ: อย่าให้เปลวไฟสูงเกิน 10 เมตร มิฉะนั้นจะโดนกล่าวหาว่าคิดลอบวางเพลิง] ซินซินตวัดตาใส่ข้อความระบบ แล้วถอนหายใจแรง ใครมันจะบ้าทำอะไรแบบนั้นกัน ต่อให้นางจะทำอาหารได้ไม่กี่อย่าง แต่ก็ไม่เคยทำไหม้ก็มาก่อน หลินซินเยว่ล้างมือ หยิบเนื้อเป็ดตัวโตมาล้างทำความสะอาด ลูบเบา ๆ เหมือนกำลังขอโทษ ‘เจ้าเป็ดเอ๋ย ช่วยฉันด้วยนะ หากภารกิจนี้สำเร็จ ฉันจะบวชให้แกเลย เฮ้ย! ไม่ได้สิ เอาเป็นทำบุญให้แกชุดใหญ่ไฟกระพริบเลย’ หลังจากอธิษฐานในใจต่อเป็ดในมือแล้ว ร่างโปร่งบางก็ลงมือคลุกซอสที่ระบบบอกสูตรมาแบบโบราณ ซึ่งมีวัตถุดิบที่หาได้ไม่ยากในครัวหลวงประจำตำหนักคุนหนิงนี้ ซึ่งมีน้ำผึ้งอุ่น ซอสถั่วเหลือง พริกแดง หอมแดง ขิงบด และเหล้าจีน เมื่อนำมาตำและยัดเข้าไปภายในตัวเป็ดรวมถึงทาทั่วบริเวณลำตัวด้านนอก หลินซินเยว่ก็สั่งให้พ่อครัวนำไปอบให้ ผ่านไปครึ่งชั่วยาม กลิ่นหอมละมุนอบอวลทั่วห้อง จนแม้แต่ขันทีที่ยืนเฝ้าด้านหน้ายังเผลอกลืนน้ำลายอึกใหญ่ “ฮองเฮาทรงทำด้วยพระองค์เองจริง ๆ…” “นั่นสิ ปกติมีแต่สั่งอย่างเดียว น่าแปลกพิกล” “ฉันได้ยินนะ!” ผู้ถูกนินทาระยะเผาขนหันขวับ เสียงหัวเราะของระบบดังขึ้นราวกับเด็กน้อยขำคนลื่นเปลือกกล้วย [เสี่ยวหลิงบันทึกไว้ในฐานข้อมูล: ฮองเฮากำลังอยู่ในโหมด “แม่บ้านขุ่นเคือง”] **ก่อนเวลาเสวย 15 นาที** กลิ่นเป็ดย่างคลุ้งทั่วตำหนัก น้ำซอสสีทองฉ่ำถูกตักราดบนตัวเป็ดกรอบนอกนุ่มใน เสิร์ฟคู่หมั่นโถวฟูนุ่มละลายในปาก รากบัวลวกโรยหน้าสีขาวใสเรียงอย่างงดงาม [วิเคราะห์ระดับความน่ากิน: 98%] [ระดับกลิ่น: 91%] หลินซินเยว่ยกมือปาดเหงื่อ สูดลมหายใจลึกยาว “ถ้าโลกจะรอดด้วยความอร่อย ฉันก็จะทำให้มันรอด!” **ห้องเสวย** จักรพรรดิอวี้เหยียนเสด็จเข้ามาในชุดผ้าต่วนสีดำปักมังกรเงิน สง่างาม เย็นชา ไม่แสดงสีหน้าใด ๆ ขันทีและสาวใช้คุกเข่าก้มหน้าจนแทบติดพื้น หลินซินเยว่ยืนก้มหน้า ประสานมืออยู่หน้าโต๊ะเสวย “ถวายพระกระยาหารฝีพระหัตถ์ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีประกาศ อวี้เหยียนปรายตามองจานเป็ดย่างในความเงียบ ไม่มีคำพูด ไม่มีสีหน้า ไม่มีแม้แต่การขมวดคิ้ว [เริ่มกระบวนการ “ชิมครั้งแรก”] [คลื่นสมอง: นิ่งสนิทแบบทะเลทรายไร้ฝน] ‘แหม ขนาดทำน่ากินขนาดนี้ยังไม่รู้สึกอะไรสักนิดเลยเหรอเนี่ย แต่ว่าไม่ได้หรอก อะไรบ้างที่ฮ่องเต้อย่างเขาอยากกินแต่ไม่ได้กิน รู้งี้ทำเพิ่มอีกสักอย่างสองอย่างดีกว่า’ หลินซินเยว่คิดในใจอย่างเสียดาย ก่อนที่ฝ่าบาทจะเสวย ได้มีขันทีคนสนิทที่ยืนใกล้เคียง ชิมก่อนหนึ่งคำ ขันทีเฒ่าถึงกับตาลุกวาว ทำท่าจะคีบกินอีกอย่างลืมตัว แต่เมื่อสายตาของเขาเหลือบไปเห็นสายตาของฝ่าบาทที่มองมาทางตน มือที่จับตะเกียบก็สั่นไหวรุนแรงจนแทบจะจับตะเกียบในมือไว้ไม่อยู่ หลินซินเยว่ที่เห็นเหตุการณ์ถึงกับเกือบจะหลุดขำดังพรืดออกมา หญิงสาวกลั้นขำจนตัวสั่น นางก้มหน้านิ่ง สองมือกำชายกระโปรงแน่น แน่นอนว่ากิริยาตัวสั่นเป็นลูกนกตกน้ำนั้นของหลินซินเยว่ไม่อาจรอดพ้นสายตาของอวี้เหยียนไปได้ 'นางกลัวข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ' “เชิญพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเฒ่าถอยหลังอย่างรู้งาน ปล่อยให้โต๊ะนั้นเหลือเพียงฝ่าบาทและฮองเฮาประทับนั่ง ฮ่องเต้หนุ่มหยิบตะเกียบมาถือในมือ ภาพเป็ดสีเหลืองทองอร่ามเป็นมันวาวด้วยน้ำผึ้งและซอสเคลือบผิวชั้นนอก ประกอบกับกลิ่นหอมโชยมาแตะจมูกก็เพิ่มความอยากอาหารมาได้หน่อย พระหัตถ์คีบเป็ดคำแรกเข้าพระโอษฐ์... หลินซินเยว่กลั้นหายใจ คำแรกถูกเคี้ยวด้วยจังหวะช้า ๆ จากนั้นก็หยุดนิ่ง ‘รสชาติเช่นนี้เหมือนข้าเคยได้กินที่ไหนมาก่อน’ [อัปเดต: ไม่มีการคายทิ้ง / ไม่มีการหยิบจานฟาดใส่หัวคน] ‘แค่ไม่ตายก็บุญแล้วโว้ย!’ หลินซินเยว่กรีดร้องในใจ ยามที่ฝ่าบาททรงหยุดเคี้ยวหลังจากกินคำแรกไปนาน โดยไม่มีคำที่สองต่ออีก หลินซินเยว่ก็คอตก เตรียมรับชะตากรรมของตนเอง ในขณะที่ขันทีเฒ่าเห็นเป็นเรื่องปกติ จึงเตรียมอ้าปากสั่งนางกำนัลให้เข้ามายกจานออกไป แต่แล้วตะเกียบในมือของฝ่าบาทก็เคลื่อนไหวอีกครั้ง คำที่สอง… คำที่สาม… คำที่สี่… \[อัปเดตคลื่นหัวใจ: เพิ่ม 0.2 / ตะเกียบเคลื่อนไหวเร็วขึ้นเล็กน้อย / คิ้วกระดิก 1 มิลลิเมตร] ‘พระเจ้าช่วยกล้วยแขกทอด…เขากินต่อ! เขาไม่หยุด! เขากินต่อ!’ หลินซินเยว่ดีใจจนแทบจะลุกขึ้นเต้น คำแล้วคำเล่าผ่านเข้าริมฝีปากหยักหนา จากเป็ดตัวโตในตอนแรก ณ เวลานี้เป็ดในจานหมดเกลี้ยง หลินซินเยว่แทบจะเข่าทรุด [มิชชันสำเร็จขั้นสูงสุด!] [คะแนนอบอุ่นหัวใจ +5] [ปลดล็อก: พระเอกเริ่มยอมรับอาหารจากมือท่านเท่านั้น] [ปลดล็อกสกิล: ข้าวกล่องฮองเฮา] อวี้เหยียนไม่พูดคำใด แต่ลุกขึ้นช้า ๆ เหลือบตามองหญิงสาวเพียงนิด หากจะมีใครลองสังเกตสักนิดจะพบว่า ฝ่าบาทลอบยิ้มบางเบาก่อนเสด็จกลับอย่างเงียบงัน ทิ้งไว้เพียงความเงียบในห้อง และสายตาของขันทีเฒ่าที่มองฮองเฮาด้วยแววตาเปลี่ยนไปเป็นเคารพมากขึ้น “ฝ่าบาท... เสวยหมดจาน...นานเพียงใดแล้วที่พระองค์ไม่ได้เสวยอย่างเอร็ดอร่อยเช่นนี้” เขาพึมพำราวกับฝัน …… หลินซินเยว่กลับมายังห้องบรรทมของตน ทิ้งตัวลงกับเบาะนวมทันที หัวใจนางเต้นแรงไม่แพ้ตอนสบตากับพระเอกในวันแรก “ฉัน...รอดตายอีกหนึ่งวัน...เฮ้ออออออ” [ติ๊ง! มิชชันพิเศษเปิดใช้งานใหม่: “ทำให้ฝ่าบาทหัวเราะให้ได้!”] “...เสี่ยวหลิง นายเกลียดฉันใช่ไหม!?” [ไม่ครับ เสี่ยวหลิงรักหม่าม๊าเสมอ <3] “แต่ว่านะ เสี่ยวหลิง?” [ครับ?] “ทำไมเธอถึงเรียกฉันว่าหม่าม๊าล่ะ” เด็กน้อยโฮโลแกรมนั่งขัดสมาธิ หว่างคิ้วขมวดมุ่น ราวกับคิดหนักกับการหาคำตอบสำหรับคำถามนี้ อวิ๋นซินเยว่ที่รอคำตอบเห็นสีหน้าเด็กน้อยก็เตรียมจะเอ่ยขัดว่าไม่ต้องตอบก็ได้ แต่เด็กน้อยกลับโพล่งออกมาว่า [แม้เสี่ยวหลิงจะเป็นเอไอ แต่คนแรกที่เสี่ยวหลิงลืมตาขึ้นมาและเห็นเป็นคนแรกก็คือ หม่าม๊า เสี่ยวหลิงแค่อยากเรียนรู้ และอยากมีแม่เหมือนคนอื่น แต่ถ้าหม่าม๊าไม่ชอบ เสี่ยวหลิงจะไม่เรียกแบบนี้อีก] จากนั้นริมฝีปากน้อย ๆ ก็ปิดสนิท ไม่พูดสิ่งใดอีก คำตอบของเสี่ยวหลิงน้อยทำเอาหญิงสาวถึงกับอดสงสารไม่ได้ ไหนใครบอกว่าเอไอไม่มีความรู้สึกไง ในโลกเดิมที่เธออยู่นั้นโลกพัฒนาไปไกลถึงขนาดที่มีหุ่นยนต์และเอไอประจำตัวทุกคน แต่พวกมันไร้อารมณ์และตอบโต้แบบบอท ๆ แต่อวิ๋นซินเยว่ยังไม่เคยเห็นระบบเอไอที่ดูมีชีวิตจิตใจและทำให้เธอรู้สึกเอ็นดูได้ขนาดนี้ “เอาเถอะ อยากเรียกแบบไหนก็เรียกละกัน” หลังจากที่ได้ยินคำตอบเช่นนี้จากปากอวิ๋นซินเยว่ เสี่ยวหลิงก็ยิ้มกว้างทันใด ก่อนจะพุ่งมากอดเธอ แต่เพราะเสี่ยวหลิงไม่มีร่างกาย ภาพโฮโลแกรมของเด็กน้อยจึงพุ่งทะลุผ่านตัวของอวิ๋นซินเยว่ไป หญิงสาวรู้สึกสงสาร จึงเรียกเสี่ยวหลิงให้กลับมาหา และทำท่ากอดร่างของเสี่ยวหลิงไว้ น่าแปลกที่หูของเธอกลับได้ยินเหมือนเสียงหัวใจเต้นถี่รัว เสียงมันดังมาจากที่ไหนกัน! หรือว่า…เป็นไปได้ยังไง? อวิ๋นซินเยว่เลิกใส่ใจคิดว่าเธอคงนอนน้อยเกินไปเสียมากกว่าหลินซินเยว่นั่งเงียบอยู่ในศาลากลางน้ำที่อยู่ไม่ไกลจากตำหนักคุนหนิงเท่าใดนัก เดินเพียงหนึ่งเค่อก็ถึง บริเวณรอบ ๆ มีขันทีและนางกำนัลรายล้อมคอยดูแลรับใช้ไม่ห่าง ไม่เพียงเท่านั้นยังมีทหารคอยเดินตรวจตราอยู่รอบนอก ระมัดระวังความปลอดภัยรอบด้านให้แก่สตรีผู้มีศักดิ์สูงส่งที่สุดในวังหลัง“ระบบ” หลินซินเยว่พึมพำเสียงเบาที่สุดเท่าที่จะเบาได้ ไม่นานรอบตัวก็เหมือนถูกหยุดเวลา ทุกสิ่งหยุดนิ่ง หลินซินเยว่รับรู้ได้เลยว่ามันได้ผล[หม่าม๊าเรียกหาผมมีอะไรเหรอครับ?]คราวนี้ไม่ใข่แค่เสียงอีกต่อไป แต่กลับปรากฏร่างของเด็กชายตัวน้อยดูแล้วอายุน่าจะไม่เกินห้าขวบ ผมหยักศกสีดำสนิทดูนุ่มน่าสัมผัส ริมฝีปากสีแดงเรื่อ ๆ ดูจิ้มลิ้มนั้นกำลังบอกข้อมูลเธออยู่ เด็กน้อยบอกว่าตนเองชื่อเสี่ยวหลิง เป็นระบบเอไอสุดอัจฉริยะที่จะคอยเป็นผู้ช่วยของเธอในโลกนี้ อวิ๋นซินเยว่มองริมฝีปากช่างเจรจานั้นอย่างเพลิดเพลิน เสียงเสี่ยวหลิงดังเจื้อยแจ้วอยู่ใกล้หู ขณะร่างโฮโลแกรมลอยวนรอบ ๆ ซินซินด้วยความกระตือรือร้น“ขอบใจมากนะเสี่ยวหลิง แล้ววันนี้มีภารกิจอะไรที่ฉันต้องทำไหม”[ขอแสดงความยินดี! มิชชันของวันนี้: จีบผ่านกระเพาะ ทำอาหารให้ฝ่าบาทด้ว
แคว้นอวี้…ดินแดนที่ตั้งตระหง่านเหนือคาบสมุทรตะวันออก แผ่นดินนี้กว้างใหญ่จนแสงอาทิตย์ต้องใช้เวลาสองวันเต็มจึงจะไล้แสงผ่านสุดขอบผืนดิน ผู้คนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าที่นี่คือดินแดนแห่งวรรณศิลป์และกลยุทธ์การศึก ขุนนางฝ่ายบุ๋นล้วนเชี่ยวชาญกลอนและพิชัยสงคราม ส่วนฝ่ายบู๊ก็ถือดาบดั่งเป็นส่วนหนึ่งของวิญญาณ ทิศเหนือสุดคือ ป้อมหิมะขาว อันหนาวเยือก คุมเส้นทางสู่แดนเถื่อน ทิศตะวันตกเป็นเทือกเขาตระหง่านที่คั่นแคว้นอวี้กับแคว้นเว่ย ทางทิศใต้ลงไปคือเมืองท่าที่การค้ารุ่งเรือง น้ำทะเลสีนิลและเรือสำเภานับพัน ส่วนทิศตะวันออกนั้นคือวังหลวงหัวใจของแคว้น ที่มีทั้งความงามสง่าและเต็มไปด้วยกลิ่นอายของเกมการเมือง และแน่นอนว่าผู้ครองบัลลังก์สูงสุดในวังนั้น…คือเขา…อวี้เหยียน พระองค์ไม่ได้เกิดมาเพื่อครองบัลลังก์ หากแต่เป็นโอรสลำดับสุดท้ายของฮ่องเต้องค์ก่อน เกิดจากสนมขั้นต่ำจนไม่มีใครเหลียวแล เด็กชายในชุดผ้าฝ้ายเก่า ๆ ที่ยืนอยู่ท้ายขบวนพี่น้อง ยามเสวยก็มักได้เพียงเศษอาหารที่เหลือ แต่ดวงตาคมเรียวคู่นั้น…กลับเฝ้าสังเกตทุกสิ่งเงียบ ๆ พระมารดาของเขานั้นหาได้รักใคร่เขาไม่ เพื่อปกป้องชีวิตของเขานางจึงต้องเสียขาท
[เสียงระบบกระซิบในความมืด]“เมื่อเขาหยุดเชื่อในความรัก และสูญเสียจิตใจอันดีงาม เมื่อนั้นโลกก็เริ่มพังทลาย”เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว...ดังสะท้านสะเทือนดั่งฟ้าลั่น สายลมพัดแรงส่งเสียงหวีดหวิว ช่วยส่งเสริมเปลวเพลิงให้ลุกโหม เสียงกรีดร้องโหยหวนของผู้คนที่เจ็บปวดทุรนทุรายก่อนตาย ความวุ่นวายกระจายไปทั่วทุกหนแห่ง เสียงเปลวเพลิงโลมเลียกลืนกินวังหลวงที่เคยยิ่งใหญ่จนเหลือเพียงเถ้าธุลีกองหนึ่งแต่มีอยู่เพียงที่เดียวที่ยังคงสงบนิ่ง ไร้ซึ่งสรรพเสียงใด บนบัลลังก์มังกร... ร่างของจักรพรรดิหนุ่มผู้เย็นชานั่งนิ่งราวรูปสลัก กำลังถูกเปลวเพลิงกลืนกินทีละน้อย ความร้อนแผ่กระจายไปทั่ว ไฟเริ่มลุกไหม้โลมเลียแผ่นหลังกว้าง ส่งผลให้ผิวเนื้อบริเวณนั้นเริ่มบวมแดงคล้ายจะปริแตกออกมา กลิ่นเนื้อไหม้ปะปนกับกลิ่นคาวเลือด รวมถึงควันคละคลุ้งและเศษซากสิ่งของในตำหนักสิ่งเหล่านั้นไม่อาจทำให้ชายผู้นั่งบนบัลลังก์มังกรสั่นไหวได้แม่แต่องคาพยพเดียว เขายังคงนั่งอยู่อย่างนั้นโดยสีหน้าไร้ซึ่งความเจ็บปวดใด ๆ คล้ายกับว่าไม่ว่าความเจ็บปวดใดจะกล้ำกราย ก็มิอาจทำให้เขาเจ็บช้ำได้แม้เพียงน้อย เพราะเขาได้ผ่านสิ่งที่ทรมานเสียยิ่งกว่าความตาย