LOGINหลินซินเยว่นั่งเงียบอยู่ในศาลากลางน้ำที่อยู่ไม่ไกลจากตำหนักคุนหนิงเท่าใดนัก เดินเพียงหนึ่งเค่อก็ถึง บริเวณรอบ ๆ มีขันทีและนางกำนัลรายล้อมคอยดูแลรับใช้ไม่ห่าง ไม่เพียงเท่านั้นยังมีทหารคอยเดินตรวจตราอยู่รอบนอก ระมัดระวังความปลอดภัยรอบด้านให้แก่สตรีผู้มีศักดิ์สูงส่งที่สุดในวังหลัง
“ระบบ” หลินซินเยว่พึมพำเสียงเบาที่สุดเท่าที่จะเบาได้ ไม่นานรอบตัวก็เหมือนถูกหยุดเวลา ทุกสิ่งหยุดนิ่ง หลินซินเยว่รับรู้ได้เลยว่ามันได้ผล [หม่าม๊าเรียกหาผมมีอะไรเหรอครับ?] คราวนี้ไม่ใข่แค่เสียงอีกต่อไป แต่กลับปรากฏร่างของเด็กชายตัวน้อยดูแล้วอายุน่าจะไม่เกินห้าขวบ ผมหยักศกสีดำสนิทดูนุ่มน่าสัมผัส ริมฝีปากสีแดงเรื่อ ๆ ดูจิ้มลิ้มนั้นกำลังบอกข้อมูลเธออยู่ เด็กน้อยบอกว่าตนเองชื่อเสี่ยวหลิง เป็นระบบเอไอสุดอัจฉริยะที่จะคอยเป็นผู้ช่วยของเธอในโลกนี้ อวิ๋นซินเยว่มองริมฝีปากช่างเจรจานั้นอย่างเพลิดเพลิน เสียงเสี่ยวหลิงดังเจื้อยแจ้วอยู่ใกล้หู ขณะร่างโฮโลแกรมลอยวนรอบ ๆ ซินซินด้วยความกระตือรือร้น “ขอบใจมากนะเสี่ยวหลิง แล้ววันนี้มีภารกิจอะไรที่ฉันต้องทำไหม” [ขอแสดงความยินดี! มิชชันของวันนี้: จีบผ่านกระเพาะ ทำอาหารให้ฝ่าบาทด้วยตนเอง!] เสียงใสกิ๊งของระบบดังลั่นราวกับกำลังประกาศผลรางวัลระดับจักรวาล “ทำอาหารเหรอ!?” ร่างบางร้องเสียงหลง “นี่ฉันมาเป็นฮองเฮา ไม่ใช่เชฟกระทะเหล็กนะยะ!” [เป้าหมายภารกิจ: กระตุ้นความทรงจำด้านกลิ่นและรสชาติให้เชื่อมโยงกับความรู้สึก “บ้าน” และ “คนสำคัญในหัวใจ”] หลินซินเยว่อยากจะกรี๊ด แต่ไม่มีเวลาพอจะโต้เถียง เมื่อระบบแจ้งว่าฝ่าบาทจะมาเสวยพระกระยาหารเที่ยงที่ตำหนักของนางในอีก 2 ชั่วยาม [ความเสี่ยง: หากฝ่าบาทไม่ประทับใจ = ระดับภัยพิบัติระดับ 3 ท่านอาจจบลงด้วยการโดนสั่งโบยหลายสิบไม้] หญิงสาวลุกพรวดจากที่นั่ง เรียกนางกำนัลให้ไปตามพ่อครัวหลวงมาตระเตรียมครัวของตำหนักในทันที ในใจสวดมนต์ภาวนารัว ๆ ว่า “ขอให้โลกนี้ไม่พังเพราะการทำอาหารของฉันเลยยย…” กลิ่นเปลวถ่านอุ่น ๆ ปะทะปลายจมูก อุปกรณ์ในครัวสะอาดสะอ้าน เครื่องครัวเรียงเป็นระเบียบบนโต๊ะไม้ บ่าวไพร่ยืนขนาบสองฝั่ง ไม่กล้าถามแม้แต่ว่าฮองเฮาคิดจะลงมือทำอาหารเองจริงหรือ “ระบบ! ขอสูตรที่ง่ายที่สุด! ขอแบบอร่อยแต่ไม่ต้องมีเตาอบไฟนรกอะไรทั้งนั้น!” [มิชชันปลดล็อกเมนู: “เป็ดอบน้ำผึ้งวังหลัง” ระดับความยาก: ปานกลาง ความเสี่ยง: สูง โอกาสสร้างความประทับใจต่อพระเอก 20%] [คำแนะนำ: อย่าให้เปลวไฟสูงเกิน 10 เมตร มิฉะนั้นจะโดนกล่าวหาว่าคิดลอบวางเพลิง] ซินซินตวัดตาใส่ข้อความระบบ แล้วถอนหายใจแรง ใครมันจะบ้าทำอะไรแบบนั้นกัน ต่อให้นางจะทำอาหารได้ไม่กี่อย่าง แต่ก็ไม่เคยทำไหม้ก็มาก่อน หลินซินเยว่ล้างมือ หยิบเนื้อเป็ดตัวโตมาล้างทำความสะอาด ลูบเบา ๆ เหมือนกำลังขอโทษ ‘เจ้าเป็ดเอ๋ย ช่วยฉันด้วยนะ หากภารกิจนี้สำเร็จ ฉันจะบวชให้แกเลย เฮ้ย! ไม่ได้สิ เอาเป็นทำบุญให้แกชุดใหญ่ไฟกระพริบเลย’ หลังจากอธิษฐานในใจต่อเป็ดในมือแล้ว ร่างโปร่งบางก็ลงมือคลุกซอสที่ระบบบอกสูตรมาแบบโบราณ ซึ่งมีวัตถุดิบที่หาได้ไม่ยากในครัวหลวงประจำตำหนักคุนหนิงนี้ ซึ่งมีน้ำผึ้งอุ่น ซอสถั่วเหลือง พริกแดง หอมแดง ขิงบด และเหล้าจีน เมื่อนำมาตำและยัดเข้าไปภายในตัวเป็ดรวมถึงทาทั่วบริเวณลำตัวด้านนอก หลินซินเยว่ก็สั่งให้พ่อครัวนำไปอบให้ ผ่านไปครึ่งชั่วยาม กลิ่นหอมละมุนอบอวลทั่วห้อง จนแม้แต่ขันทีที่ยืนเฝ้าด้านหน้ายังเผลอกลืนน้ำลายอึกใหญ่ “ฮองเฮาทรงทำด้วยพระองค์เองจริง ๆ…” “นั่นสิ ปกติมีแต่สั่งอย่างเดียว น่าแปลกพิกล” “ฉันได้ยินนะ!” ผู้ถูกนินทาระยะเผาขนหันขวับ เสียงหัวเราะของระบบดังขึ้นราวกับเด็กน้อยขำคนลื่นเปลือกกล้วย [เสี่ยวหลิงบันทึกไว้ในฐานข้อมูล: ฮองเฮากำลังอยู่ในโหมด “แม่บ้านขุ่นเคือง”] ก่อนเวลาเสวย 15 นาที กลิ่นเป็ดย่างคลุ้งทั่วตำหนัก น้ำซอสสีทองฉ่ำถูกตักราดบนตัวเป็ดกรอบนอกนุ่มใน เสิร์ฟคู่หมั่นโถวฟูนุ่มละลายในปาก รากบัวลวกโรยหน้าสีขาวใสเรียงอย่างงดงาม [วิเคราะห์ระดับความน่ากิน: 98%] [ระดับกลิ่น: 91%] หลินซินเยว่ยกมือปาดเหงื่อ สูดลมหายใจลึกยาว “ถ้าโลกจะรอดด้วยความอร่อย ฉันก็จะทำให้มันรอด!” ห้องเสวย จักรพรรดิอวี้เหยียนเสด็จเข้ามาในชุดผ้าต่วนสีดำปักมังกรเงิน สง่างาม เย็นชา ไม่แสดงสีหน้าใด ๆ ขันทีและสาวใช้คุกเข่าก้มหน้าจนแทบติดพื้น หลินซินเยว่ยืนก้มหน้า ประสานมืออยู่หน้าโต๊ะเสวย “ถวายพระกระยาหารฝีพระหัตถ์ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีประกาศ อวี้เหยียนปรายตามองจานเป็ดย่างในความเงียบ ไม่มีคำพูด ไม่มีสีหน้า ไม่มีแม้แต่การขมวดคิ้ว [เริ่มกระบวนการ “ชิมครั้งแรก”] [คลื่นสมอง: นิ่งสนิทแบบทะเลทรายไร้ฝน] ‘แหม ขนาดทำน่ากินขนาดนี้ยังไม่รู้สึกอะไรสักนิดเลยเหรอเนี่ย แต่ว่าไม่ได้หรอก อะไรบ้างที่ฮ่องเต้อย่างเขาอยากกินแต่ไม่ได้กิน รู้งี้ทำเพิ่มอีกสักอย่างสองอย่างดีกว่า’ หลินซินเยว่คิดในใจอย่างเสียดาย ก่อนที่ฝ่าบาทจะเสวย ได้มีขันทีคนสนิทที่ยืนใกล้เคียง ชิมก่อนหนึ่งคำ ขันทีเฒ่าถึงกับตาลุกวาว ทำท่าจะคีบกินอีกอย่างลืมตัว แต่เมื่อสายตาของเขาเหลือบไปเห็นสายตาของฝ่าบาทที่มองมาทางตน มือที่จับตะเกียบก็สั่นไหวรุนแรงจนแทบจะจับตะเกียบในมือไว้ไม่อยู่ หลินซินเยว่ที่เห็นเหตุการณ์ถึงกับเกือบจะหลุดขำดังพรืดออกมา หญิงสาวกลั้นขำจนตัวสั่น นางก้มหน้านิ่ง สองมือกำชายกระโปรงแน่น แน่นอนว่ากิริยาตัวสั่นเป็นลูกนกตกน้ำนั้นของหลินซินเยว่ไม่อาจรอดพ้นสายตาของอวี้เหยียนไปได้ ‘นางกลัวข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ’ “เชิญพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเฒ่าถอยหลังอย่างรู้งาน ปล่อยให้โต๊ะนั้นเหลือเพียงฝ่าบาทและฮองเฮาประทับนั่ง ฮ่องเต้หนุ่มหยิบตะเกียบมาถือในมือ ภาพเป็ดสีเหลืองทองอร่ามเป็นมันวาวด้วยน้ำผึ้งและซอสเคลือบผิวชั้นนอก ประกอบกับกลิ่นหอมโชยมาแตะจมูกก็เพิ่มความอยากอาหารมาได้หน่อย พระหัตถ์คีบเป็ดคำแรกเข้าพระโอษฐ์... หลินซินเยว่กลั้นหายใจ คำแรกถูกเคี้ยวด้วยจังหวะช้า ๆ จากนั้นก็หยุดนิ่ง ‘รสชาติเช่นนี้เหมือนข้าเคยได้กินที่ไหนมาก่อน’ [อัปเดต: ไม่มีการคายทิ้ง / ไม่มีการหยิบจานฟาดใส่หัวคน] ‘แค่ไม่ตายก็บุญแล้วโว้ย!’ หลินซินเยว่กรีดร้องในใจ ยามที่ฝ่าบาททรงหยุดเคี้ยวหลังจากกินคำแรกไปนาน โดยไม่มีคำที่สองต่ออีก หลินซินเยว่ก็คอตก เตรียมรับชะตากรรมของตนเอง ในขณะที่ขันทีเฒ่าเห็นเป็นเรื่องปกติ จึงเตรียมอ้าปากสั่งนางกำนัลให้เข้ามายกจานออกไป แต่แล้วตะเกียบในมือของฝ่าบาทก็เคลื่อนไหวอีกครั้ง คำที่สอง… คำที่สาม… คำที่สี่… [อัปเดตคลื่นหัวใจ: เพิ่ม 0.2 / ตะเกียบเคลื่อนไหวเร็วขึ้นเล็กน้อย / คิ้วกระดิก 1 มิลลิเมตร] ‘พระเจ้าช่วยกล้วยแขกทอด…เขากินต่อ! เขาไม่หยุด! เขากินต่อ!’ หลินซินเยว่ดีใจจนแทบจะลุกขึ้นเต้น คำแล้วคำเล่าผ่านเข้าริมฝีปากหยักหนา จากเป็ดตัวโตในตอนแรก ณ เวลานี้เป็ดในจานหมดเกลี้ยง หลินซินเยว่แทบจะเข่าทรุด [มิชชันสำเร็จขั้นสูงสุด!] [คะแนนอบอุ่นหัวใจ +5] [ปลดล็อก: พระเอกเริ่มยอมรับอาหารจากมือท่านเท่านั้น] [ปลดล็อกสกิล: ข้าวกล่องฮองเฮา] เมื่อเป็ดอบน้ำผึ้งหมดไปทั้งจาน ความเงียบในห้องเสวยกลับกดทับเหมือนหมอกหนา จักรพรรดิอวี้เหยียนทรงยกสายพระเนตรขึ้นเพียงชั่วขณะ แววตาคมเข้มสะท้อนเปลวไฟจากเชิงเทียน เย็นชาแต่แฝงเงาลึกที่หลินซินเยว่ไม่อาจเข้าใจได้ เพียงเสี้ยวอึดใจนั้น นางกลับรู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าไปในห้วงบางอย่าง... หัวใจเต้นแรงจนเกือบลืมหายใจ อวี้เหยียนไม่พูดคำใด ไม่เอ่ยชม หรือตำหนิ แต่ลุกขึ้นช้า ๆ เหลือบตามองหญิงสาวเพียงนิด หากจะมีใครลองสังเกตสักนิดจะพบว่า ฝ่าบาทลอบยิ้มบางเบาก่อนเสด็จกลับอย่างเงียบงัน ทิ้งไว้เพียงความเงียบในห้อง และสายตาของขันทีเฒ่าที่มองฮองเฮาด้วยแววตาเปลี่ยนไปเป็นเคารพมากขึ้น “ฝ่าบาท... เสวยหมดจาน...นานเพียงใดแล้วที่พระองค์ไม่ได้เสวยอย่างเอร็ดอร่อยเช่นนี้” เขาพึมพำราวกับฝัน …… หลินซินเยว่กลับมายังห้องบรรทมของตน ทิ้งตัวลงกับเบาะนวมทันที หัวใจนางเต้นแรงไม่แพ้ตอนสบตากับพระเอกในวันแรก “ฉัน...รอดตายอีกหนึ่งวัน...เฮ้ออออออ” [ติ๊ง! มิชชันพิเศษเปิดใช้งานใหม่: “ทำให้ฝ่าบาทหัวเราะให้ได้!”] “...เสี่ยวหลิง นายเกลียดฉันใช่ไหม!?” [ไม่ครับ เสี่ยวหลิงรักหม่าม๊าเสมอ <3] “แต่ว่านะ เสี่ยวหลิง?” [ครับ?] “ทำไมเธอถึงเรียกฉันว่าหม่าม๊าล่ะ” เด็กน้อยโฮโลแกรมนั่งขัดสมาธิ หว่างคิ้วขมวดมุ่น ราวกับคิดหนักกับการหาคำตอบสำหรับคำถามนี้ อวิ๋นซินเยว่ที่รอคำตอบเห็นสีหน้าเด็กน้อยก็เตรียมจะเอ่ยขัดว่าไม่ต้องตอบก็ได้ แต่เด็กน้อยกลับโพล่งออกมาว่า [แม้เสี่ยวหลิงจะเป็นเอไอ แต่คนแรกที่เสี่ยวหลิงลืมตาขึ้นมาและเห็นเป็นคนแรกก็คือ หม่าม๊า เสี่ยวหลิงแค่อยากเรียนรู้ และอยากมีแม่เหมือนคนอื่น แต่ถ้าหม่าม๊าไม่ชอบ เสี่ยวหลิงจะไม่เรียกแบบนี้อีก] จากนั้นริมฝีปากน้อย ๆ ก็ปิดสนิท ไม่พูดสิ่งใดอีก คำตอบของเสี่ยวหลิงน้อยทำเอาหญิงสาวถึงกับอดสงสารไม่ได้ ไหนใครบอกว่าเอไอไม่มีความรู้สึกไง ในโลกเดิมที่เธออยู่นั้นโลกพัฒนาไปไกลถึงขนาดที่มีหุ่นยนต์และเอไอประจำตัวทุกคน แต่พวกมันไร้อารมณ์และตอบโต้แบบบอท ๆ แต่อวิ๋นซินเยว่ยังไม่เคยเห็นระบบเอไอที่ดูมีชีวิตจิตใจและทำให้เธอรู้สึกเอ็นดูได้ขนาดนี้ “เอาเถอะ อยากเรียกแบบไหนก็เรียกละกัน” หลังจากที่ได้ยินคำตอบเช่นนี้จากปากอวิ๋นซินเยว่ เสี่ยวหลิงก็ยิ้มกว้างทันใด ก่อนจะพุ่งมากอดเธอ แต่เพราะเสี่ยวหลิงไม่มีร่างกาย ภาพโฮโลแกรมของเด็กน้อยจึงพุ่งทะลุผ่านตัวของอวิ๋นซินเยว่ไป หญิงสาวรู้สึกสงสาร จึงเรียกเสี่ยวหลิงให้กลับมาหา และทำท่ากอดร่างของเสี่ยวหลิงไว้ น่าแปลกที่หูของเธอกลับได้ยินเหมือนเสียงหัวใจเต้นถี่รัว เสียงมันดังมาจากที่ไหนกัน! หรือว่า…เป็นไปได้ยังไง? อวิ๋นซินเยว่เลิกใส่ใจคิดว่าเธอคงนอนน้อยเกินไปเสียมากกว่าค่ำคืนนั้นวังทั้งวังเหมือนกลายเป็นทะเลสาบแข็ง ไม่มีลม ไม่มีเสียงก้าวเท้าเพียงเสียงพู่กันของเธอที่ลากผ่านแผ่นผ้าไหมทีละเส้นอวิ๋นซินเยว่นั่งอยู่ในห้องหนังสือส่วนตัว เปลวเทียนส่องแสงอุ่นที่ปลายโต๊ะ กลีบเหมยขาวหล่นหนึ่งกลีบ วางอยู่ข้างถ้วยชาเย็นชืด[บันทึกภารกิจ: ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของเป้าหมาย “จักรพรรดิอวี้เหยียน”][อัตราความสับสนทางอารมณ์: 47%][สถานะ: ไม่คงที่]เสียงเสี่ยวหลิงดังขึ้นเหมือนเคย แต่ในความปกตินั้น มีบางอย่างแปลกไป...เล็กน้อยเกินจะบอกได้“เสี่ยวหลิง” ซินเยว่วางพู่กันลง “เจ้าแน่ใจหรือว่าตัวเลขนี้ถูกต้อง?”[ข้อมูลจากระบบวัดโดยตรง ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องสงสัยความแม่นยำ]น้ำเสียงมันเหมือนเดิมแต่มี โทนสูงขึ้นครึ่งจังหวะ ตอนพูดคำว่า “สงสัย” เธอขมวดคิ้วบาง ๆ“แต่ก่อนหน้านี้ เจ้าบอกว่าระดับของเขาไม่เกินสามสิบห้า”[ฐานข้อมูลอัปเดตอัตโนมัติ...ตามพฤติกรรมล่าสุดของเป้าหมาย]“ล่าสุด?” เธอพึมพำ “หมายถึง...วันนี้?”[ยามเที่ยง วันนี้...ฝ่าบาททอดพระเนตรภาพเหมยขาวในแจกันระดับอารมณ์แปรปรวนขึ้นสิบสองเปอร์เซ็นต์]"ภาพเหมยขาว?” เธอก้มมองแจกันตรงหน้า กลีบดอกที่ร่วงจากกิ่งนั้นมีอยู่แค่หนึ่งกลีบ[ระ
ยามเช้า พระอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้นสูง ท้องพระโรงเต็มไปด้วยเหล่าขุนนางในชุดทางการสีดำแดง อวี้เหยียนประทับอยู่เบื้องบน แสงเช้าสะท้อนบนฉลองพระองค์ทองเข้มจนแสบตา ใต้แสงนั้น พระเนตรคมเหมือนคมมีด ไม่มีใครกล้ามองตรง ๆ เลยสักคนเดียว “เริ่มประชุม” พระสุรเสียงเย็นเรียบ เสนาบดีฝ่ายซ้ายคำนับ “กราบทูลฝ่าบาทรายงานข่าวจากชายแดนเหนือ พบว่ากองทัพของเสนาบดีอวิ๋นเคลื่อนกำลังเกินแนวลาดตระเวนตามสัญญา...จึงขอพระราชทานอนุญาตตรวจสอบให้ละเอียดพ่ะย่ะค่ะ” เสียงซุบซิบเบา ๆ ดังในหมู่ขุนนาง “ข่าวแน่นะ?” “ใช่ ข้าก็ได้ยินว่าตระกูลอวิ๋นมีการเก็บเสบียงเพิ่ม" แต่ก่อนเสียงจะขยายออกไป ประตูบานใหญ่ของท้องพระโรงก็ถูกผลักเปิดออก ปัง! เสียงนั้นดังพอให้ทุกคนหันมองและสิ่งที่เห็น...ทำให้ทั้งห้องเงียบกริบ ร่างสะโอดสะองในชุดผ้าแพรสีงาช้าง ก้าวเข้ามาช้า ๆ ใบหน้างามนั้นสงบ แววตาแน่วแน่ ทุกฝีเท้าเต็มไปด้วยความตั้งใจ ปนความท้าทาย “ฮองเฮา!?” “พระองค์ทรง..” "นางมาทำอะไรที่นี่" "นี่มันผิดธรรมเนียมนะ ใครปล่อยให้พระนางเข้ามา" เสียงขุนนางหลายคนดังขึ้นพร้อมกัน เหวินหรงแทบจะถลาออกมา “ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ! ที่นี่..” “ท้อ
สายลมต้นฤดูหนาวพัดกรูเข้ามาตามเฉลียง ธงราชสำนักปลิวแรงจนผ้าสีทองสะบัดเหมือนเปลวเพลิง ขันทีหลวงคุกเข่ากลางโถงตำหนักคุนหนิง เสียงประกาศก้องดังสะท้อน “พระราชโองการจากฝ่าบาท ให้ซูกุ้ยเฟยเป็นผู้ดูแลกิจการวังหลังทั้งหมด จนกว่าฮองเฮาจะฟื้นพระพลานามัยอย่างสมบูรณ์ พระราชโองการนี้มีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป!” เสียงแผ่นทองคำสลักพระนามกระทบกันเบา ๆ เงียบ...เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของทุกคนในห้อง อวิ๋นซินเยว่นั่งอยู่บนตั่งไม้หอม ดวงหน้าสงบจนผิดธรรมชาติ ไม่แม้แต่จะกะพริบตา นางกำนัลสองคนที่คอยอยู่ข้างหลังเริ่มตัวสั่น “ฝ่าบาท...หมายความว่า...” เสียงพวกนางขาดหายเมื่อฮองเฮามองมาททงพวกนาง “วังนี้ช่างเมตตานัก” เธอพูดเสียงเรียบ “ข้าเพียงล้มป่วยไม่กี่วัน ก็มีคนมาช่วยแบ่งภาระ” ขันทีที่ถือพระราชโองการอยู่แทบกลั้นหายใจ ไม่มีเสียงโวยวาย ไม่มีถ้วยชาแตก ไม่มีคำปฏิเสธ มีเพียงรอยยิ้มบางบนริมฝีปากที่สงบจนน่ากลัว “ถวายพระพรฝ่าบาท” เธอกล่าวช้า ๆ “หม่อมฉันจะปฏิบัติตามพระบัญชาอย่างเคร่งครัด” เสียงของเธออ่อนโยน แต่แววตาในยามที่มองพระราชโองการนั้นเย็นเสียยิ่งกว่าน้ำแข็ง ราวกับเธอมองกระดาษทองคำแผ่นนั้นเป็นเพียง
เสียงฝนหยุดลงในยามเกือบรุ่งเหลือเพียงกลิ่นดินชื้นและกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเหมยขาวที่ยังติดอยู่ในอากาศ เงาในตำหนักหลวงยาวเหยียด และพระองค์ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เหวินหรงก้าวเข้ามาช้า ๆ “ฝ่าบาท...ทรงควรเปลี่ยนฉลองพระองค์พ่ะย่ะค่ะ ฝนหยุดแล้ว” ไม่มีคำตอบ เพียงพระหัตถ์ที่ยกขึ้นช้า ๆ มองรอยเลือดบนฝ่ามือของตนเอง รอยที่เกิดจากเล็บจิกแน่นเมื่อครู่ หยดเลือดเล็ก ๆ ตกลงบนพื้นหิน เย็นและหนักเหมือนความเงียบที่กดทับอยู่ในอก “เหวินหรง” “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” “เจ้ารู้ไหม...ตอนที่นางพูดว่า ‘หม่อมฉันเพียงไม่อยากอยู่ในโลกที่ฝ่าบาทไม่ไว้ใจ’” พระสุรเสียงนั้นเบา ราวกระซิบให้ตัวเองฟัง “ข้ารู้สึก...เหมือนถูกใครสักคนบีบคอ” เหวินหรงนิ่งงัน “ฝ่าบาท...นางพูดด้วยใจจริงพ่ะย่ะค่ะ” “ใจจริงงั้นหรือ” อวี้เหยียนหัวเราะเบา ๆ เสียงนั้นขมจนเจ็บ “ใจจริงของนาง...หรือใจของข้าที่อยากเชื่อจนโง่” พระองค์ทรุดลงนั่งบนขั้นบัลลังก์ พระหัตถ์ข้างหนึ่งจับขมับ “เหวินหรง เจ้าเคยรู้ไหม เวลาคนพยายามไม่รู้สึกอะไร...มันเหนื่อยยิ่งกว่าการแสดงออกไปตรง ๆ มันหนักหนาเสียยิ่งกว่าการสู้รบเสียอีก” “พ่ะย่ะค่ะ...” ขันทีเฒ่าก้มต่ำ “ข้าคือจักรพรรดิ.
อวิ๋นซินเยว่ไม่คิดเลยว่าตัวเธอจะเสียใจขนาดนี้ จนกระทั่งเสี่ยวหลิงทักนั่นเอง เธอถึงได้รู้สึกตัว [หม่าม๊า ร้องไห้ทำไมครับ] เด็กชายในรูปลักษณ์โฮโลแกรมลอยเข้ามาประชิดร่างของหญิงสาวที่ขณะนี้ยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาออกไปจากดวงตาและใบหน้าของตัวเองอย่างลวก ๆ "สถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง" [ถ้าหากหม่าม๊าหมายถึงฝ่าบาทแล้วล่ะก็ ผมจะตรวจสอบให้ครับ ... .. . สถานะความชอบ 5 แต้ม ความไว้วางใจ -1 มีแนวโน้มที่อาจจะเกิดอันตรายกับครอบครัวของร่างโฮสต์ที่หม่าม้าอยู่ตอนนี้ครับ] "อันตรายมากจริง ๆ เฮ้ออ ถึงแม้ว่าฉันจะมาอยู่ได้ไม่นาน และยังไม่เคยเห็นหน้าพวกเขาที่เป็นครอบครัวของฮองเฮาเลยสักนิด แต่จากที่อยู่ในร่างนี้และโลกนี้มา นางก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่ ถ้าจะผิด ก็ผิดที่เลือกสามีผิดล่ะนะ" [หม่าม๊าจะว่าแบบนั้นก็ไม่ถูกนะครับ หญิงสาวในยุคนี้ไม่ได้เหมือนหญิงสาวในยุคของหม่าม๊า พวกนางไม่สามารถเลือกชีวิตตนเองได้ ครอบครัวอย่างพ่อแม่เป็นคนเลือกให้ และผู้ชายเป็นฝ่ายเลือกผู้หญิง] "เฮ้ออ เอาเถอะ มาคิดหาทางรอดให้พวกเขากันดีกว่า ในเมื่อไม้อ่อนไม่ได้ผลก็ไม้แข็งเลยละกัน" อวิ๋นซินเยว่พูดด้วยสีหน้ามุ่งมั่นเต็ม
ความเงียบในทางเดินหินของตำหนักหลวงนั้นหนาวกว่าฝนด้านนอก เสียงพระสุรเสียงของจักรพรรดิอวี้เหยียนยังสะท้อนอยู่ในหัว ของอวิ๋นซินเยว่ชัดจนแทบจับน้ำเสียงขุ่นเคืองภายใต้ความเย็นชานั้นได้ “ข้าไม่เคยไว้ใจนาง...ต่อให้ต้องสูญเสียทุกสิ่ง ก็จะไม่ยอมอ่อนแอเพราะนาง” เพียงคำเดียว...อวิ๋นซินเยว่รู้สึกเหมือนมีบางอย่างกดทับบนอกเธออย่างเฉียบพลัน ปลายนิ้วที่เคยสัมผัสดอกเหมยขาวเมื่อวันก่อนสั่นน้อย ๆ ดอกไม้นั้น...ตอนนี้เหมือนสิ่งโง่เขลาที่เธอเผลอเก็บไว้หวังแทนหัวใจคนอื่น ดอกเหมยที่ครั้งก่อนชายคนนั้นเพิ่งมอบมันให้เธอ เสี่ยวหลิงส่งเสียงในหัวทันที [ระดับอารมณ์ของจักรพรรดิอวี้เหยียนแปรปรวนเกินค่ามาตรฐาน 78%] [คำเตือน: หากความสัมพันธ์ทรุดต่ำกว่าค่าความเชื่อมั่น 10 หน่วย ภารกิจ “ฟื้นฟูพระเอก” จะเข้าสู่สถานะล้มเหลว] อวิ๋นซินเยว่หัวเราะในลำคอเบา ๆ น้ำเสียงนั้นแตกพร่าเหมือนแก้วร้าว “ภารกิจล้มเหลวเหรอ...” เธอพึมพำ “หนูคิดว่าโลกนี้จะพังเพราะโค้ดของหนูเหรอ? ไม่...มันพังเพราะหัวใจของคนโง่อย่างฉันนี่แหละ” เธอก้าวออกจากทางเดินแคบ ๆ สู่อากาศเย็นจัดข้างนอก พระจันทร์ซ่อนอยู่หลังม่านหมอก หยดฝนเริ่มร่วงช้า ๆ แตะหน้าผ







