ログイン[ติ๊ง! มิชชันใหม่เปิดใช้งาน: ทำให้ฝ่าบาทหัวเราะครั้งแรก!]
[รางวัล: +10 คะแนนความอบอุ่น / ปลดล็อกฉากหลังวัยเยาว์ของพระเอก] เช้าวันรุ่งขึ้นในตำหนัก หลินซินเยว่ยังไม่หายจากอาการมึนงงจากภารกิจเมื่อวาน เธอนั่งพิงหน้าต่างมองสวนหิมะโปรยบาง ๆ ด้านนอก พร้อมชาร้อนในมือ “...นายแน่ใจนะว่าเขาหัวเราะเป็น?” [ระบบ: ตามบันทึกในคลังจักรวรรดิ ไม่พบข้อมูลว่าฝ่าบาทเคยหัวเราะ แม้ในวัยเด็ก] [เพิ่มเติม: ขันทีคนหนึ่งเคยลองเล่นกลลิงควงดาบหน้าตำหนัก ผลคือถูกส่งไปชายแดนทันที] “...พระเจ้าช่วยกล้วยทอด” หลินซินฟุบหน้าลงบนโต๊ะ ลูบแก้มตัวเองอย่างปลง ๆ ก่อนจะลุกขึ้นพลางพูดเสียงฮึดฮัด “ก็ได้! ถ้าเขาจะไม่เคยหัวเราะกับใครเลย ฉันจะเป็นคนแรกของเขาเอง!” ประโยคที่ออกมาจากปากของหลินซินเยว่นี้ ทำเอาระบบอย่างเสี่ยวหลิงถึงกับหลุดเสียงขลุกขลักคล้ายคนสำลักอะไรบางอย่าง ……. ซินซินให้ระบบช่วยสร้างรายการ “มุกตลกยุคใหม่” พร้อมภาพประกอบแบบ hologram (แน่นอนว่าเธอเป็นคนเดียวที่มองเห็น) เธอฝึกมุกตลก 3 มิติ, เลียนเสียงสัตว์, แสดงละครใบ้กลางห้องบรรทมจนสาวใช้เริ่มมองแปลก ๆ “ฮองเฮา...พระองค์กำลังฝึก...ท่าเต้นเทพธิดาหรือเพคะ?” “เอ่อ...อา...ก็...ประมาณนั้นแหละ” ซินซินยิ้มเกร็ง [เสี่ยวหลิง: หม่าม๊าอย่าลืม ห้ามล้ม ห้ามปล่อยมุกลามก ห้ามใช้คำหยาบนะครับ! ฝ่าบาทมีโหมด ‘ตัดคออย่างรวดเร็ว’ เปิดอยู่ตลอดเวลา] จักรพรรดิอวี้เหยียนนั่งอยู่หลังโต๊ะชาขนาดเล็กในศาลาริมน้ำ นิ้วเรียวคีบใบชาหย่อนลงในกาน้ำร้อน กลิ่นหอมจาง ๆ ของชาขาวลอยอบอวลในอากาศ พระพักตร์ยังคงไร้รอยยิ้ม ราวกับสลักจากหยกน้ำแข็งที่ไม่มีวันละลาย ขันทีเฒ่าเอ่ยรายงานด้วยเสียงนอบน้อม “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ฮองเฮา…ประสงค์จะเข้าเฝ้า” ดวงตาสีดำสนิทตวัดมองเพียงนิด ก่อนเสียงทุ้มเย็นเอื้อนเอ่ย “ให้เข้ามา” หลินซินเยว่ใจเต้นตึกตัก เมื่อโอกาส “แสดงตลกต่อหน้าเขา” มาถึงแบบไม่ได้ตั้งตัว เธอเตรียมไม้ไผ่ 1 ท่อน / ก้อนหิน / และเสื้อคลุมของขันทีที่แอบยืมมาแสดงละครสั้นเรื่อง “ขันทีน้อยกับเต่าโบราณ” แบบด้นสด เมื่อฝ่าบาททรงนั่งลงและรับชาจากนางกำนัล หลินซินเยว่ก็ปรากฏตัวด้วยสีหน้าเรียบเฉยเกินจริง มือข้างหนึ่งถือไม้ไผ่ ข้างหนึ่งถือลูกมะพร้าววาดหน้าเต่า “ฝ่าบาท หม่อมฉัน...ขอแสดงมุทิตาจิตแด่วันพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว ด้วยการแสดง...เต่ากระโดดน้ำ!” เสียงในลานเงียบกริบ... จักรพรรดิอวี้เหยียนวางถ้วยชาอย่างแผ่วเบา ดวงตาคมกริบจ้องนางเหมือนกำลังประเมิน “สติสัมปชัญญะ” ของฮองเฮา หลินซินเยว่กลืนน้ำลายดังเอื๊อก แต่เธอไม่ถอย! หญิงสาวแสดงละครใบ้ เต่ายืนสองขา เดินชนต้นไม้ พลัดตกน้ำ แล้วสรุปด้วยเสียงใสว่า “รักแท้...ทำให้เต่าว่ายน้ำได้!” เงียบ... เงียบสนิทจนได้ยินเสียงใบไม้ตกใส่ผิวน้ำ ขันทีข้างพระวรกายตัวแข็งราวรูปสลัก และแล้ว... เสียงเบาราวกระซิบหลุดออกจากริมฝีปากชายหนุ่มผู้ไม่เคยยิ้ม “...เต่าโง่” เฮือก! เสียงกระแอมเบา ๆ ตามมาพร้อมกับ... มุมปากที่กระตุกขึ้นเล็กน้อย! [ระบบ: ตรวจพบ! มุมปากพระเอกกระตุกขึ้น 7 องศา!] [ประกาศ: หัวเราะเบาสุดในรอบสิบปี มิชชันสำเร็จ!] [คะแนนอบอุ่นหัวใจ +12 / ความสนใจ: เพิ่มระดับ “น่ารำคาญน้อยลง”] หลินซินเยว่แทบทรุด ดีใจจนน้ำตาคลอ “ฉันทำให้เขาหัวเราะได้จริง ๆ เหรอ…” หลินซินเยว่นั่งกอดเข่าที่ระเบียง หัวใจเต้นแรงอย่างประหลาด ระบบเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเสียงใส ๆ ของเสี่ยวหลิงจะดังขึ้นช้า ๆ [ครับ… และท่านคือคนแรกในชีวิตเขาที่ทำได้] หญิงสาวหลุบตาลง เห็นภาพมุมปากของอวี้เหยียนที่ขยับเพียงเล็กน้อย แต่กลับตราตรึงใจอย่างน่าประหลาด “เวลาที่เขายิ้มเนี่ย ก็ดูดีเหมือนกันนะ ดีกว่าตอนทำหน้าเก๊กขรึม ตึงอย่างกับเพิ่งฉีดโบท็อกซ์มา” ติ๊ง! [รางวัลภารกิจสำเร็จ: ปลดล็อก “ความลับลำดับที่ 1” ฉากลับแรก – ความทรงจำในวัยเยาว์ของอวี้เหยียน] [โหมด: การมองเห็นความทรงจำ] แสงรอบกายหลินซินเยว่พร่ามัว ร่างเธอเหมือนถูกดูดลงไปในเงามืด ก่อนภาพใหม่จะค่อย ๆ ปรากฏ เธอกำลังยืนอยู่บนลานหินกรวดเย็นเยียบของเรือนเก่า ๆ แห่งหนึ่ง เสียงฝนซัดสาดกระทบหลังคากระเบื้องดัง “เปาะแปะ” ราวกับค้อนนับพันทุบลงมาพร้อมกัน กลิ่นฝนชื้นปนกลิ่นดินโคลนลอยตีจมูก เด็กชายตัวเล็กอายุราวเจ็ดหรือแปดขวบ นั่งกอดเข่าอยู่ตรงมุมระเบียง ผ้าฝ้ายสีซีดบนร่างเปียกชุ่มจนแนบกับผิวกาย น้ำฝนที่ซัดมากับลมเย็นจัดตีกระทบผิวหน้าและต้นคอ ทำให้ไหล่เล็ก ๆ นั้นสั่นไหว เส้นผมดำขลับเปียกจนเกาะติดแก้ม ใบหน้าเรียวเล็กซีดเซียว แต่ยังคงมีเค้าความสง่างาม ใช่แล้ว…เด็กคนนั้นคืออวี้เหยียนตอนยังเยาว์วัย ฝ่ามือเล็กโอบบางสิ่งเอาไว้แนบอก พอหลินซินเยว่เพ่งมองจึงเห็นชัดว่าเป็นตุ๊กตาผ้าขนาดฝ่ามือ รูปร่างคล้ายมังกรน้อยเย็บด้วยด้ายสีทอง แม้ฝีเข็มจะไม่เรียบร้อย แต่ก็มองออกว่าทำด้วยความตั้งใจสุดหัวใจ สองมือน้อย ๆ นั้นถูกผ้าสีขาวพันไว้รอบนิ้ว บางนิ้วมีจุดสีแดงซึมออกมาหลายแห่ง ทว่า…ตุ๊กตาผ้าบางส่วนถูกฉีกขาด ด้ายหลุดลุ่ย และตรงลำตัวของมันมีรอยเปื้อนโคลนกับรอยเหยียบแบนราบ เหมือนถูกกระทืบซ้ำหลายครั้ง “องค์ชายสิบสี่! ทำไมพระองค์ยังนั่งอยู่นี่เล่าเพคะ” เสียงหญิงวัยกลางคนในชุดข้ารับใช้รีบเข้ามา ใช้ผ้าคลุมบาง ๆ โอบไหล่เขา เด็กชายเพียงเหลือบตามองเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “แม่นม ท่านแม่…ไม่ให้ข้าเข้าไปในตำหนักนาง” แม่นมหลี่นั้นชะงักเล็กน้อย สายตาเต็มไปด้วยความสงสารแต่ไม่กล้าแสดงออกมากนัก “องค์ชายเพคะ คืนนี้อากาศเย็น ทรงเสวยข้าวต้มสักหน่อยก่อนเถอะเพคะ เดี๋ยวหม่อมฉันจะพาพระองค์ไปกินที่เรือนเล็กด้านหลัง” เขาส่ายหน้าเบา ๆ แล้วมองไปยังตำหนักใหญ่ที่อยู่ไกลออกไป แสงโคมสีทองส่องวับวาว เสียงหัวเราะคิกคักของเด็ก ๆ ลอยมาตามลม เด็กเหล่านั้นคือองค์ชายองค์หญิงที่เกิดจากฮองเฮาและพระสนมชั้นสูง อวี้เหยียนไม่พูดไม่จา ดวงตาดำสนิทนิ่งคู่นั้นเพียงมองไปยังภาพไกล ๆ ราวกับกำลังจดจำทุกอย่างเอาไว้ในหัวใจ เสียงหัวเราะสดใสของเด็กเหล่านั้นดังลอยมาตามลม เสียงที่ควรจะมีเขาร่วมอยู่ด้วย…แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น เด็กชายเพียงกอดตุ๊กตาผ้าไว้แน่นขึ้น น้ำฝนไหลจากปลายคางลงบนหัวมังกรผ้าที่ถูกย่ำยี หัวใจเด็กชายเจ็บแปลบจนต้องเอามือเล็กนั้นนวดวนไปมาตรงอกข้างซ้าย เขารู้สึกถึงน้ำอุ่น ๆ ที่หลั่งรินออกมาจากสองตา ‘ดีเหลือเกินที่ฝนตกพอดี’ ภาพฝนที่ซัดลงมาอย่างไม่ปรานีซึมลึกเข้าไปในใจหลินซินเยว่ เธออยากจะก้าวไปคว้าตัวเด็กคนนั้นเข้ามาในอ้อมกอดเสียเดี๋ยวนั้น ปลอบประโลมเขาด้วยถ้อยคำอ่อนโยน แต่ก็ทำได้เพียงแค่มอง เสียงฝนเลือนหาย กลายเป็นเสียงน้ำชาหยดลงถ้วย เธอสบตากับอวี้เหยียนในปัจจุบันที่ยังคงจิบชาเงียบ ๆ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทว่าหัวใจของเธอกลับหนักอึ้ง…พร้อมความตั้งใจใหม่ ว่าเธอจะไม่มีวันยอมให้เขากลับไปอยู่ในความหนาวเหน็บนั้นอีก [ข้อมูลลับที่ 1 ได้ถูกบันทึก] [เคล็ดลับ: หากใช้ความทรงจำนี้ในจังหวะที่เหมาะสม จะเพิ่มค่าความใกล้ชิดอย่างมาก])[ติ๊ง! มิชชันใหม่เปิดใช้งาน: ทำให้ฝ่าบาทหัวเราะครั้งแรก!][รางวัล: +10 คะแนนความอบอุ่น / ปลดล็อกฉากหลังวัยเยาว์ของพระเอก]เช้าวันรุ่งขึ้นในตำหนัก หลินซินเยว่ยังไม่หายจากอาการมึนงงจากภารกิจเมื่อวาน เธอนั่งพิงหน้าต่างมองสวนหิมะโปรยบาง ๆ ด้านนอก พร้อมชาร้อนในมือ“...นายแน่ใจนะว่าเขาหัวเราะเป็น?”[ระบบ: ตามบันทึกในคลังจักรวรรดิ ไม่พบข้อมูลว่าฝ่าบาทเคยหัวเราะ แม้ในวัยเด็ก][เพิ่มเติม: ขันทีคนหนึ่งเคยลองเล่นกลลิงควงดาบหน้าตำหนัก ผลคือถูกส่งไปชายแดนทันที]“...พระเจ้าช่วยกล้วยทอด”หลินซินฟุบหน้าลงบนโต๊ะ ลูบแก้มตัวเองอย่างปลง ๆ ก่อนจะลุกขึ้นพลางพูดเสียงฮึดฮัด“ก็ได้! ถ้าเขาจะไม่เคยหัวเราะกับใครเลย ฉันจะเป็นคนแรกของเขาเอง!” ประโยคที่ออกมาจากปากของหลินซินเยว่นี้ ทำเอาระบบอย่างเสี่ยวหลิงถึงกับหลุดเสียงขลุกขลักคล้ายคนสำลักอะไรบางอย่าง…….ซินซินให้ระบบช่วยสร้างรายการ “มุกตลกยุคใหม่” พร้อมภาพประกอบแบบ hologram (แน่นอนว่าเธอเป็นคนเดียวที่มองเห็น) เธอฝึกมุกตลก 3 มิติ, เลียนเสียงสัตว์, แสดงละครใบ้กลางห้องบรรทมจนสาวใช้เริ่มมองแปลก ๆ“ฮองเฮา...พระองค์กำลังฝึก...ท่าเต้นเทพธิดาหรือเพคะ?”“เอ่อ...อา...ก็..
หลินซินเยว่นั่งเงียบอยู่ในศาลากลางน้ำที่อยู่ไม่ไกลจากตำหนักคุนหนิงเท่าใดนัก เดินเพียงหนึ่งเค่อก็ถึง บริเวณรอบ ๆ มีขันทีและนางกำนัลรายล้อมคอยดูแลรับใช้ไม่ห่าง ไม่เพียงเท่านั้นยังมีทหารคอยเดินตรวจตราอยู่รอบนอก ระมัดระวังความปลอดภัยรอบด้านให้แก่สตรีผู้มีศักดิ์สูงส่งที่สุดในวังหลัง “ระบบ” หลินซินเยว่พึมพำเสียงเบาที่สุดเท่าที่จะเบาได้ ไม่นานรอบตัวก็เหมือนถูกหยุดเวลา ทุกสิ่งหยุดนิ่ง หลินซินเยว่รับรู้ได้เลยว่ามันได้ผล [หม่าม๊าเรียกหาผมมีอะไรเหรอครับ?] คราวนี้ไม่ใข่แค่เสียงอีกต่อไป แต่กลับปรากฏร่างของเด็กชายตัวน้อยดูแล้วอายุน่าจะไม่เกินห้าขวบ ผมหยักศกสีดำสนิทดูนุ่มน่าสัมผัส ริมฝีปากสีแดงเรื่อ ๆ ดูจิ้มลิ้มนั้นกำลังบอกข้อมูลเธออยู่ เด็กน้อยบอกว่าตนเองชื่อเสี่ยวหลิง เป็นระบบเอไอสุดอัจฉริยะที่จะคอยเป็นผู้ช่วยของเธอในโลกนี้ อวิ๋นซินเยว่มองริมฝีปากช่างเจรจานั้นอย่างเพลิดเพลิน เสียงเสี่ยวหลิงดังเจื้อยแจ้วอยู่ใกล้หู ขณะร่างโฮโลแกรมลอยวนรอบ ๆ ซินซินด้วยความกระตือรือร้น “ขอบใจมากนะเสี่ยวหลิง แล้ววันนี้มีภารกิจอะไรที่ฉันต้องทำไหม” [ขอแสดงความยินดี! มิชชันของวันนี้: จีบผ่านกระเพาะ ทำอาหารให้ฝ่าบ
แคว้นอวี้…ดินแดนที่ตั้งตระหง่านเหนือคาบสมุทรตะวันออก แผ่นดินนี้กว้างใหญ่จนแสงอาทิตย์ต้องใช้เวลาสองวันเต็มจึงจะไล้แสงผ่านสุดขอบผืนดิน ผู้คนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าที่นี่คือดินแดนแห่งวรรณศิลป์และกลยุทธ์การศึก ขุนนางฝ่ายบุ๋นล้วนเชี่ยวชาญกลอนและพิชัยสงคราม ส่วนฝ่ายบู๊ก็ถือดาบดั่งเป็นส่วนหนึ่งของวิญญาณ ทิศเหนือสุดคือ ป้อมหิมะขาว อันหนาวเยือก คุมเส้นทางสู่แดนเถื่อน ทิศตะวันตกเป็นเทือกเขาตระหง่านที่คั่นแคว้นอวี้กับแคว้นเว่ย ทางทิศใต้ลงไปคือเมืองท่าที่การค้ารุ่งเรือง น้ำทะเลสีนิลและเรือสำเภานับพัน ส่วนทิศตะวันออกนั้นคือวังหลวงหัวใจของแคว้น ที่มีทั้งความงามสง่าและเต็มไปด้วยกลิ่นอายของเกมการเมือง และแน่นอนว่าผู้ครองบัลลังก์สูงสุดในวังนั้น…คือเขา…อวี้เหยียน พระองค์ไม่ได้เกิดมาเพื่อครองบัลลังก์ หากแต่เป็นโอรสลำดับสุดท้ายของฮ่องเต้องค์ก่อน เกิดจากสนมขั้นต่ำจนไม่มีใครเหลียวแล เด็กชายในชุดผ้าฝ้ายเก่า ๆ ที่ยืนอยู่ท้ายขบวนพี่น้อง ยามเสวยก็มักได้เพียงเศษอาหารที่เหลือ แต่ดวงตาคมเรียวคู่นั้น…กลับเฝ้าสังเกตทุกสิ่งเงียบ ๆ พระมารดาของเขานั้นหาได้รักใคร่เขาไม่ เพื่อปกป้องชีวิตของเขานางจึงต้องเสียข
เสียงโลหะเสียดสีกันดัง แกร๊ก... ก้องสะท้อนในความเงียบ หลินซินเยว่เบิกตากว้าง หัวใจเต้นถี่รัวราวกลองศึก จากเงามืดเบื้องหลังม่านผ้าแพรแดง สายตาคมดุราวสัตว์ป่าก็ปรากฏขึ้น ร่างชายชุดดำพุ่งออกมาอย่างรวดเร็วราวปีศาจร้าย เงาของดาบคมวาววับสะท้อนกับแสงตะเกียง เป้าหมายนั้นชัดเจน: คอของเธอ! “กรี๊ดดดดด!!” เสียงกรีดร้องของนางกำนัลดังสนั่นไปทั่วตำหนัก ร่างเล็ก ๆ พากันวิ่งหนีตายจนล้มลุกคลุกคลาน ต่างพากันหนีเอาตัวรอดด้วยความตกใจกลัวสุดขีด [ระบบ: แจ้งเตือนอันตราย! อัตรารอดชีวิตใน 3 นาทีข้างหน้า = 12%] “12% บ้าอะไร๊! นี่มันน้อยกว่าคะแนนสอบคณิตของฉันอีกนะ!!” มือสังหารก้าวย่างเข้ามาอีก กลิ่นเหล็กจากดาบแผ่ความเย็นยะเยือกจนซึมเข้ากระดูก หลินซินเยว่ถอยกรูดหลังแทบติดผนัง มองซ้ายมองขวา...สิ่งเดียวที่อยู่ใกล้มือคือ หมอนอิงปักดิ้นทอง “ตายแน่ ๆ นี่มันไม่ใช่ Hunger Games แต่เป็น Final Destination ต่างหาก!” นางคว้าหมอนขึ้นมาฟาดใส่หน้าคนชุดดำสุดแรง หมอนนั้นกระแทกดาบดัง เคร้ง! พอให้คมมีดเฉียดปลายเส้นผมของเธอไป [ระบบ: คะแนนเอาตัวรอด +1 แต่ความน่าขันพุ่งถึงขีดสุด] “นี่มันเวลามาล้อเล่นเรอะ!”
[เสียงระบบกระซิบในความมืด] “เมื่อเขาหยุดเชื่อในความรัก และสูญเสียจิตใจอันดีงาม เมื่อนั้นโลกก็เริ่มพังทลาย” เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว...ดังสะท้านสะเทือนดั่งฟ้าลั่น สายลมพัดแรงส่งเสียงหวีดหวิว ช่วยส่งเสริมเปลวเพลิงให้ลุกโหม เสียงกรีดร้องโหยหวนของผู้คนที่เจ็บปวดทุรนทุรายก่อนตาย ความวุ่นวายกระจายไปทั่วทุกหนแห่ง เสียงเปลวเพลิงโลมเลียกลืนกินวังหลวงที่เคยยิ่งใหญ่จนเหลือเพียงเถ้าธุลีกองหนึ่ง แต่มีอยู่เพียงที่เดียวที่ยังคงสงบนิ่ง ไร้ซึ่งสรรพเสียงใด บนบัลลังก์มังกร... ร่างของจักรพรรดิหนุ่มผู้เย็นชานั่งนิ่งราวรูปสลัก กำลังถูกเปลวเพลิงกลืนกินทีละน้อย ความร้อนแผ่กระจายไปทั่ว ไฟเริ่มลุกไหม้โลมเลียแผ่นหลังกว้าง ส่งผลให้ผิวเนื้อบริเวณนั้นเริ่มบวมแดงคล้ายจะปริแตกออกมา กลิ่นเนื้อไหม้ปะปนกับกลิ่นคาวเลือด รวมถึงควันคละคลุ้งและเศษซากสิ่งของในตำหนักสิ่งเหล่านั้นไม่อาจทำให้ชายผู้นั่งบนบัลลังก์มังกรสั่นไหวได้แม่แต่องคาพยพเดียว เขายังคงนั่งอยู่อย่างนั้นโดยสีหน้าไร้ซึ่งความเจ็บปวดใด ๆ คล้ายกับว่าไม่ว่าความเจ็บปวดใดจะกล้ำกราย ก็มิอาจทำให้เขาเจ็บช้ำได้แม้เพียงน้อย เพราะเขาได้ผ่านสิ่งที่ทรมานเสียยิ่งกว่าคว







