วันนี้เขาไม่ได้ควบม้าให้วิ่งเร็วจนเกินไป ด้วยเกรงว่าหากไม่ระวัง อาจพลาดพลั้งตกจากหลังม้าได้อีกทั้งยามนี้ยังรู้สึกปวดศีรษะยิ่ง จนแทบอยากฟุบหลับที่หลังม้าสักครู่หนึ่งเจี่ยนอันอันเห็นถังหมิงเซวียนควบม้ามา จึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาถังหมิงเซวียนให้ม้าหยุดลง ก้มหน้ามองดูเจี่ยนอันอัน“แม่นางเจี่ยน เจ้าขำเรื่องอันใด เมื่อเช้านี้ข้าได้ล้างหน้าแล้ว”ถังหมิงเซวียนกล่าว พลางลูบใบหน้าตนเอง ทั้งยังเขี่ยขี้ตาเล็กน้อยดีที่เมื่อเช้าเขาล้างหน้าล้างตาออกมาเรียบร้อย หาไม่เจี่ยนอันอันคงได้ขำขันมากกว่านี้เป็นแน่เจี่ยนอันอันกล่าวพลางหัวเราะ “ถังหมิงเซวียน เมื่อคืนเจ้าดีใจจนนอนไม่หลับใช่หรือไม่? ดูขอบตาดำ ถุงใต้ตาห้อยจนเกือบถึงคางแล้ว”เจี่ยนอันอันกล่าวจบ พร้อมหัวเราะชอบใจขึ้นมาอีกจนแม้แต่ฉู่จวินสิงซึ่งอยู่ด้านข้าง ก็พลอยเม้มปากอมยิ้มไปด้วยแต่เพราะในโรงเตี๊ยมไม่มีคันฉ่อง ถังหมิงเซวียนจึงไม่อาจเห็นสภาพหน้าตาของตนเองแต่หากเขาไปหาเหยียนซวงในสภาพนี้ คงจะถูกนางรังเกียจเป็นแน่เมื่อนึกถึงตรงนี้ ถังหมิงเซวียนก้มหน้าลงด้วยความอับอายเจี่ยนอันอันหยิบคันฉ่องบานเล็กออกมาหนึ่งบาน พร้อมยื่นให้ถังหม
เมื่อคิดได้ดังนี้ ถังหมิงเซวียนจึงนั่งกับพื้นด้วยอาการยิ้มปริ่ม พร้อมรอคอยให้ผักที่ปลูกไว้รีบขึ้นมาเร็วไวมีชาวบ้านเดินผ่านไปมา เมื่อเห็นเจี่ยนอันอันและฉู่จวินสิงเข้าต่างก็ทักทายทั้งคู่ด้วยความสนิทสนมซึ่งทั้งคู่ก็ตอบรับเช่นกันแต่พอชาวบ้านหันไปมองถังหมิงเซวียน จึงแอบคิดในใจว่าหนุ่มผู้นี้เป็นใครกัน ไฉนพวกเขาไม่เคยพบเจอมาก่อนอวี๋ว่านก็เดินมาเช่นกัน เขาเคยพบถังหมิงเซวียนมาก่อน รู้ดีว่าเขาสนิทกับเจี่ยนอันอันมากหลังจากทักทายคนทั้งสามแล้ว จึงชักชวนชาวบ้านพากันไปดูแปลงผักสองวันนี้ชาวบ้านต้องหมั่นมาดูผักเป็นระยะ ด้วยเกรงว่าเมื่อปลูกขึ้นมาแล้ว จะถูกตัวหนอนกัดกินเสียหมดยิ่งยามนี้ผักที่ปลูกไว้ ต่างโผล่พ้นดินขึ้นมา พวกเขายิ่งไม่กล้าปล่อยให้คลาดสายตามีชาวบ้านผู้หนึ่งถามอวี๋ว่าน “คุณชายผู้นั้นเป็นใครกัน? ท่านรู้จักด้วยรึ?”อวี๋ว่านมองไปทางถังหมิงเซวียน พลางกล่าวตอบ “เป็นเพื่อนของแม่นางเจี่ยน รู้วิชาแพทย์ด้วยก่อนหน้านี้ผู้คนในตัวเมืองล้วนป่วยเป็นวัณโรค เพราะได้คุณชายถังผู้นี้ไปกับแม่นางเจี่ยน จึงช่วยรักษาพวกเขาได้”เมื่อฟังคำอธิบายจากอวี๋ว่าน สายตาที่ชาวบ้านมองดูถังหมิงเซวียน ต่าง
ขณะที่เจี่ยนอันอันนึกข้องใจอยู่นั้น ฉู่จวินสิงได้เดินมาใกล้เขากลับถึงบ้านได้สั่งให้พ่อบ้านหลิวและบ่าวไพร่หลายคน ช่วยกันลำเลียงผักจากรถม้าไปเก็บไว้ในห้องเก็บของแต่ด้วยความเป็นห่วงเจี่ยนอันอัน จึงเดินมายังบ้านอวี๋ว่านอีกฉู่จวินสิงเห็นน้ำในบ่อมีแววลดต่ำลงไปเรื่อยๆ จึงได้ถาม“ในละแวกหมู่บ้านชิงสุ่ยแห่งนี้ มีตาน้ำอยู่ที่ใด?”คำถามของฉู่จวินสิง ทำให้อวี๋ว่านและหลิวซื่อต่างชะงักงันอวี๋ว่านเป็นผู้ตั้งสติกลับมาก่อน จึงรีบกล่าวตอบ “เมื่อเจ็ดปีก่อนแถวหมู่บ้านมีตาน้ำแห่งหนึ่งจริงๆ แต่เนื่องจากเผชิญภัยแล้งต่อเนื่องมาหลายปี จึงทำให้ตาน้ำนั้นแห้งขอดไปด้วย”เจี่ยนอันอันยังมิวายหายข้องใจ “ท่านพี่ แล้วตาน้ำนั้นเกี่ยวข้องอย่างไรกับบ่อในบ้านพี่อวี๋ด้วย?”อวี๋ว่านกับหลิวซื่อก็มองหน้าฉู่จวินสิงด้วยความสงสัยเช่นกัน“นั่นสิคุณชายฉู่ เรื่องนี้เป็นมาอย่างไร วานท่านช่วยบอกได้หรือไม่?”ฉู่จวินสิงกล่าวตอบ “เท่าที่ข้าดู ด้านล่างของตาน้ำน่าจะเชื่อมโยงไปถึงบ่อของแต่ละบ้าน”“เพียงแต่เมื่อตาน้ำเริ่มแห้ง น้ำในบ่อทุกครัวเรือนก็ย่อมน้อยลงเช่นกัน”“และเนื่องจากอันอันทำให้น้ำในบ่อทุกบ้านกลายเป็นน้ำพุใส น้ำใต
“ถ้ายังลดลงไปอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ อีกไม่นานบ่อของพวกเราคงกลายเป็นบ่อแห้งหมด”ขณะที่ชาวบ้านกำลังวิจารณ์อยู่นั้น ฉู่จวินสิงได้ยกมือสื่อให้พวกเขาหยุดพูดก่อน“ทุกคนจงฟังข้า น้ำในบ่อของพวกท่านจะไม่ไหลมาทางนี้แน่นอน”ชาวบ้านได้ยินฉู่จวินสิงพูดดังนี้ จึงต้องการฟังความเห็นจากเขาฉู่จวินสิงเคยนำทัพออกศึกมาหลายปี และเคยสั่งให้ทหารหาแหล่งน้ำขุดตาน้ำขึ้นมา เพื่อบรรเทาความขาดน้ำของกองทัพจึงมีความรู้ด้านนี้มากกว่าเหล่าชาวบ้านเขากล่าวเสียงก้อง “ทุกท่านวางใจได้ ตาน้ำที่นี่แม้จะเชื่อมโยงไปถึงบ่อน้ำในบ้านพวกท่าน แต่จะไม่ทำให้น้ำในบ่อ ไหลย้อนกลับมาที่นี่แทน”ฉู่จวินสิงกล่าวพลาง สายตามองไปยังทุ่งนาแวบหนึ่งจึงได้ถามอวี๋ว่าน “พี่อวี๋ ก่อนหน้าที่หมู่บ้านชิงสุ่ยจะประสบภาวะภัยแล้ง บริเวณทุ่งนาเคยมีบ่อเลี้ยงปลามาก่อนหรือไม่?”อวี๋ว่านและหลิวซื่อต่างสบตากัน รีบร้อนกล่าวตอบ “เมื่อก่อนแถวนี้เคยมีบ่อเลี้ยงปลาจริง แต่น้ำไม่ลึกมาก ภายในเลี้ยงปลาตัวเล็ก จำนวนไม่มากนัก”ฉู่จวินสิงพยักหน้า และให้อวี๋ว่านพาไปดูที่ที่เคยเป็นบ่อเลี้ยงปลาผู้อื่นได้ติดตามไปด้วยเช่นกันอวี๋ว่านชี้ลงพื้นดินที่เหยียบอยู่ พลางกล
จวบจนเวลานี้ พวกเขาจึงได้รู้ว่า ที่แท้ในหมู่บ้านชิงสุ่ยมิได้มีตาน้ำเพียงแห่งเดียวเท่านั้นที่นี่ก็มีตาน้ำเช่นกันเพียงแต่ภัยแล้งที่มีมาหลายปี ทำให้ตาน้ำถูกฝังอยู่ในใต้ดินลึกน้ำจึงไม่อาจผุดขึ้นมาเหนือดินเท่านั้นหากไม่เพราะฉู่จวินสิงบอกให้พวกเขาขุดหลุม เกรงว่าชาตินี้คงไม่มีผู้ใดได้รู้ ว่าบริเวณนี้มีตาน้ำที่ผุดจากใต้ดินขึ้นมาทุกคนต้องจ้องมองไปที่หลุมแทบไม่กะพริบตา แต่เนื่องจากหลุมที่ชาวบ้านขุดมาค่อนข้างใหญ่ หลังจากน้ำผุดขึ้นมาแล้ว จึงถูกดินในหลุมนั้นกลบทับซ้ำอีกแต่พวกเขาก็ไม่เป็นกังวล เพราะขอเพียงขุดพบตาน้ำ น้ำในหลุมนี้ก็จะผุดขึ้นมาเรื่อยๆ ไม่หยุดหย่อนใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งเค่อเท่านั้น น้ำใต้ดินก็ได้ผุดขึ้นมาสะสมจนเกือบครึ่งหลุมแล้วชาวบ้านต่างพากันโห่ร้องดีใจ และสายตาที่มองฉู่จวินสิงก็เต็มไปด้วยความซาบซึ้งยิ่งอวี๋ว่านเป็นคนแรกที่ตั้งสติได้ เขารีบหันไปคารวะต่อฉู่จวินสิง“ขอบคุณคุณชายฉู่ที่ช่วยเหลือ ทำให้หมู่บ้านชิงสุ่ยมีแหล่งน้ำเพิ่มขึ้นอีกแห่งหนึ่ง”“เช่นนี้นับว่าดีมาก ต่อไปไม่ว่าเราจะปลูกผักหรือทำอาหาร จะได้มาใช้น้ำที่นี่อย่างสะดวก”ชาวบ้านต่างพากันโค้งคำนับขอบคุณฉู่จวิน
เหวยป๋อจื่อริมฝีปากเชิดขึ้น “ในเมื่อแม่นางเจี่ยนมีน้ำใจเชื้อเชิญ เช่นนั้นข้าก็ไม่ขอปฏิเสธ”กล่าวพลางนั่งลงตรงข้ามเจี่ยนหลิงเยว่ในถาดนั้นได้วางชามสองใบและตะเกียบสองคู่มาอยู่แล้ว ความคิดของเจี่ยนป๋อจื่อ มีหรือเจี่ยนหลิงเยว่จะดูไม่ออกนางจึงยินดีที่จะไปตามน้ำ เชื้อเชิญเขาให้มาร่วมกินข้าวด้วยเมื่อเห็นเหวยป๋อจื่อนั่งอยู่ตรงข้ามตน แต่มิได้หยิบชามและตะเกียบขึ้นกินข้าวก่อน กลับจ้องมองนางไม่ละสายตาอยู่เช่นเดิมเจี่ยนหลิงเยว่ถูกสายตาอีกฝ่ายจ้องมองจนเขินอาย ต้องก้มหน้าลง“ท่านหมอดูเหวยเชิญกินก่อนเถิด อย่าได้มองข้าเช่นนี้เลย ข้าเขินจะแย่แล้ว”น้ำเสียงเจี่ยนหลิงเยว่ยิ่งพูดก็ยิ่งแผ่วเบา จนคำสุดท้ายคงมีแต่นางได้ยินเพียงผู้เดียวเหวยป๋อจื่อหัวเราะเบาๆ “แม่นางเจี่ยนอย่าได้เรียกข้าว่าหมอดูเหวยอีก ให้เรียกว่าพี่เหวยก็พอ”เจี่ยนหลิงเยว่พยักหน้าเล็กน้อยด้วยความขวยเขิน ในขณะที่เสียงหัวใจเต้น ‘โครมคราม’ ดังลั่น“ได้เจ้าค่ะ พี่เหวย”“มา อย่ามัวแต่พูดเลย รีบกินข้าวเถิด”เหวยป๋อจื่อกล่าว พร้อมคีบเนื้อชิ้นหนึ่งใส่ในชามเจี่ยนหลิงเยว่เจี่ยนหลิงเยว่ตื่นเต้นจนลนลาน เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่มีบุรุษมาคีบ
แต่เนื่องจากเมื่อคืนเหวยป๋อจื่อจากไปอย่างเร่งรีบ จึงทำให้นางไม่มีโอกาสได้เอ่ยปากแต่บัดนี้เมื่อเขามาถามอีก นางจึงคิดบอกกล่าวความในใจให้เขารู้เสียนางมองหน้าเขาด้วยดวงตาหวานซึ้ง หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึก ในที่สุดจึงรวบรวมความกล้าแล้วกล่าวออกมา“พี่เหวย เมื่อคืนข้าได้คิดดูแล้ว ข้ายินดีใช้ชีวิตอยู่กับท่าน”“ขอเพียงท่านไม่รังเกียจข้า ข้าพร้อมจะอยู่กับท่านตลอดไป”“แล้ววันหน้าข้าจะมีทายาทให้ท่าน เชื่อว่าอาจเพิ่มความสุขให้ชีวิตเรามากขึ้นอีก”เหวยป๋อจื่อได้ยินดังนี้ จึงหลุดปากหัวเราะลั่นออกมาเจี่ยนหลิงเยว่เพิ่งตระหนักว่าตนคงพูดสิ่งใดผิดไป จึงเขินอายจนก้มหน้าลงงุด จนคางแทบจะมุดเข้าหน้าอกอยู่แล้วสองมือยังบิดชายเสื้อเป็นพัลวัน หัวใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆยามนี้นางนึกอยากกัดลิ้นตนเองตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด เหตุใดกระทั่งการมีลูกยังพูดออกจากปากได้นะพี่เหวยคงเห็นว่านางเป็นหญิงใจง่ายใฝ่ต่ำเป็นแน่แท้“พี่เหวย ท่านอย่าหัวเราะได้หรือไม่? ข้าจะถอนคำพูดโง่ๆ เมื่อครู่นี้ก็ได้”เจี่ยนหลิงเยว่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้น เสียงพูดยิ่งเบาราวกับยุงบินนางนึกว่าคงจะถูกเหวยป๋อจื่อตำหนิด้วยคำพูดรุนแรง ที่ไหนได้เขากลั
“ที่ใด?” เจี่ยนหลิงเยว่กะพริบดวงตากลมโตรูปเมล็ดซิ่งพลางมองเหวยป๋อจื่อเหวยป๋อจื่อพูด “เจ้าไม่สามารถไปห้องที่ลึกที่สุดของเรือนตะวันออก ยามนี้คุณชายกู้กำลังพักรักษาตัวอยู่ที่นั่น”ครั้นได้ยินว่ากู้มั่วหลีพักรักษาตัวอยู่ที่นั่น เจี่ยนหลิงเยว่ก็รีบพยักหน้าหงึกหงักทันที“ข้าเข้าใจแล้ว พี่เหวยวางใจได้ ข้าจะไม่ไปทางนั้นแน่นอน”พูดเป็นเล่น ตอนนี้นางหลบกู้มั่วหลียังแทบไม่ทัน แล้วจะเป็นฝ่ายไปหาเขาที่นั่นได้อย่างไรเล่าถ้าเกิดเหวยป๋อจื่อรู้เรื่องระหว่างนางกับกู้มั่วหลีขึ้นมา เขาจะต้องรังเกียจนางเดียดฉันท์นางอย่างมากเป็นแน่ดังนั้น นางจะปล่อยให้เหวยป๋อจื่อรู้เรื่องนั้นไม่ได้เด็ดขาดหวังว่ากู้มั่วหลีจะไม่พูดถึงเรื่องนั้นด้วยเหมือนกันเหวยป๋อจื่อหัวเราะเบาๆ แล้วเปิดประตูก้าวยาวๆ จากไปเจี่ยนหลิงเยว่ก็ออกไปเช่นกัน นางไม่ได้เดินตามเหวยป๋อจื่อ แต่เดินไปอีกทิศทางหนึ่งนางต้องทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมของที่นี่เสียก่อน อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นสถานที่ที่นางจะพักอยู่ต่อไปในวันหน้าเหวยป๋อจื่อประคองถาดเข้าไปในครัวแล้วก็เทสิ่งของในถาดลงในกองไฟจนมอดไหม้กลายเป็นเถ้าธุลีในไม่ช้า เขาก็ไปที่เรือนตะวั
และไม่นานเขาก็รู้สึกถึงความผิดปกติ ร่างกายเริ่มมีอาการสะบัดร้อนสะบัดหนาว กระดูกและข้อต่อค่อยทวีความเจ็บปวดรุนแรงขึ้นเสียงร้องของเขาดังยิ่งกว่าเมื่อครู่หลายเท่าตัว แต่หัวหน้าผู้คุมและลูกน้องต่างไม่เห็นยาพิษที่เจี่ยนอันอันโยนออกไป จึงเห็นการกู่ร้องของเฝิงซานกวงเป็นเพียงการขัดขืนครั้งสุดท้ายเท่านั้นแม้พวกเราจะรู้ดีว่า เฝิงซานกวงเป็นญาติกับเจ้าเมืองตานแต่เมื่อท่านเจ้าเมืองออกคำสั่งมาแล้ว พวกเขาก็ย่อมต้องปฏิบัติตามพวกเขาคุมตัวเฝิงซานกวงไปยังห้องลงทัณฑ์ พร้อมจับมัดไว้กับม้านั่งตัวหนึ่งผู้คุมสองคนยกไม้พลองขึ้น พร้อมฟาดลงที่สะโพกเฝิงซานกวงอย่างแรง“อ๊าก โอ๊ย โอ๊ย!”เดิมทีร่างกายก็เจ็บปวดอยู่แล้ว ยังมาถูกโบยซ้ำอีกเฝิงซานกวงเจ็บเสียจนเสียงร้องโหยหวนราวกับหมูโดนเชือดไม่นานก็โบยครบยี่สิบไม้ พร้อมกับสะโพกเฝินซานกวงซึ่งยับเยินไม่เป็นชิ้นดีเลือดไหลซึมออกมาจนเปื้อนเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นเจี่ยนอันอันตามมายังห้องลงทัณฑ์ มองลอดหน้าต่างเห็นทุกอย่างอยู่ในสายตาและบัดนี้เฝิงซานกวงได้หมดสติไปแล้ว เสื้อผ้ายังเปื้อนด้วยเหงื่อเย็นที่โซมกายนางพอใจเป็นอย่างมากที่ผลออกมาเช่นนี้ จึงได้กล่าวต่อเจ้
เฝิงซานกวงถลึงตาใส่เจี่ยนอันอัน พลางกล่าวแก้ตัว “ท่านอารอง ข้าไม่เห็นว่าแร่หินจะมีปัญหาอันใด”“หากแร่เหล่านี้มีพิษจริง แล้วข้าจะอยู่รอดปลอดภัยมาได้อย่างไร?”คำกล่าวนี้ย่อมทำให้เจ้าเมืองตานเกิดความกังขาเช่นกัน จึงมองไปยังฉู่จวินสิงและเจี่ยนอันอัน รู้สึกว่าคำพูดของสองคนนี้ ดูจะไม่ชอบมาพากลนักเจี่ยนอันอันยิ้มหยันพลางกล่าว “ท่านย่อมจะปลอดภัยแน่นอน เพราะรู้แต่แรกแล้วว่าแร่หินมีพิษ จึงกินยาป้องกันไว้ก่อนล่วงหน้า”เฝินซานกวงแอบสะดุ้งในใจ แต่ยังไม่คิดยอมรับว่าแร่หินมีพิษจริงจึงได้กล่าวแก้ตัวอีกครั้ง “เจ้าอย่าได้กล่าวเหลวไหล ข้าเคยกินยาถอนพิษเมื่อไหร่กัน”นี่ล้วนเป็นสิ่งที่เจ้าคิดเองเออเองทั้งเพ หวังนำมาซ้ำเติมให้ข้ามีโทษหนักมากขึ้น”เจี่ยนอันอันพอดูออกว่า เจ้าเมืองตานเริ่มคล้อยตามคำพูดเฝิงซานกวงบ้างแล้วนางจึงกล่าวต่อเจ้าเมืองตานว่า “หากท่านเจ้าเมืองไม่เชื่อคำพูดของข้า ก็ให้ส่งคนไปตรวจสอบที่เหมืองแร่ได้ เพื่อดูว่าข้าพูดถูก หรือเฝิงซานกวงพูดถูกกันแน่”เจ้าเมืองตานจึงรีบเรียกทหารในจวนมา พร้อมสั่งให้ไปตรวจสอบที่เหมืองแร่ไม่นานทหารผู้นั้นก็ได้กลับมา พร้อมรายงานว่าคนงานที่อยู่ในเหมือง ล
ครั้นเจ้าเมืองตานได้ยินว่าฉู่จวินสิงมา หัวใจก็พลันหนักอึ้งเขาสาวเท้าออกไปจากคุกในทันที “รีบเชิญพวกเขาเข้ามา”องครักษ์ได้ยินเจ้าเมืองตานใช้คำว่าเชิญ ในใจก็คิดว่าฉู่จวินสิงจะต้องเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งเป็นแน่เขาไม่กล้าชักช้าจึงย้อนกลับไปโดยพลันเขากล่าวกับฉู่จวินสิงและเจี่ยนอันอันอย่างนอบน้อม “ใต้เท้าของข้าเชิญพวกท่านเข้าไปข้างใน”ฉู่จวินสิงและเจี่ยนอันอันสาวเท้าเข้าไปในจวน โดยมีองครักษ์นำทางไปยังโถงใหญ่คนทั้งสองมาถึงบริเวณนอกโถงใหญ่ก็เห็นว่าเจ้าเมืองตานรออยู่ข้างในแล้วเจ้าเมืองตานรีบออกมาต้อนรับ เขาประสานมือกล่าว “ทั้งสองท่านมาที่จวนข้าได้อย่างไร เหมืองนั่นเกิดเรื่องอันใดขึ้นอีกอย่างนั้นรึ?”“เจ้าเมืองตานกล่าวไม่ผิด เหมืองนั่นเกิดเรื่องขึ้นแล้วจริงๆ”คำพูดของเจี่ยนอันอันทำให้สองมือของเจ้าเมืองตานกำแน่นเขานึกแล้วเชียวว่าจะต้องเป็นเรื่องดีๆ ที่เฝิงซานกวงทำอีกแล้วเป็นแน่เจี่ยนอันอันบอกเรื่องที่แร่ในเหมืองมีพิษออกมาเจ้าเมืองตานได้ยินแล้วก็ยิ่งโมโหอย่างหนักเขามีหลานแบบนี้ได้อย่างไรกันนะ ถึงกับให้คนเหล่านั้นขุดแร่มีพิษเลยหรือนี่ถ้าไม่ใช่เพราะเฝิงซานกวงเป็นหลานของเขา เขาคงส
พวกลูกน้องต่างมองหน้ากัน ความงุนงงฉายเกลื่อนใบหน้าพวกเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดตนเองจึงไม่ถูกพิษหากไม่ใช่เพราะเจี่ยนอันอันเพิ่งพูดออกมาว่าแร่ของที่นี่มีพิษ พวกเขาก็คงยังไม่รู้เรื่องนี้ด้วยซ้ำลูกน้องคนหนึ่งในจำนวนนั้นเอ่ยขึ้น “พวกข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ แต่ตอนแรกที่พวกข้ามาที่นี่เคยได้กินน้ำแกงปลาจี้ที่เจ้าเหมืองเฝิงทำ”“หรือจะเป็นเพราะน้ำแกงนั่น พวกข้าถึงได้ไม่ถูกพิษ?”ลูกน้องคนอื่นๆ ก็รีบร้อนพยักหน้าด้วยเช่นกัน“ใช่แล้ว วันแรกที่พวกข้ามาที่นี่ล้วนแต่ได้ดื่มน้ำแกงปลาจี้ไปหนึ่งถ้วย”“ข้าคิดออกแล้วเหมือนกัน ตอนที่ข้าซดน้ำแกงปลาจี้นั่นยังคิดอยู่เลยว่าเจ้าเหมืองเฝิงช่างใจกว้างนัก เพิ่งมาถึงก็ให้พวกข้าดื่มน้ำแกงปลาจี้ที่สดใหม่เช่นนี้ อาศัยน้ำแกงปลาจี้นี้ ข้าก็จะตั้งใจทำงานให้เขา”เจี่ยนอันอันมุ่นคิ้ว เมื่อครู่นางดมดูแล้ว พิษในแร่นั่นไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถถอนพิษได้ด้วยน้ำแกงปลาจี้ถ้วยเดียวเห็นทีเรื่องนี้คงต้องไปถามเฝิงซานกวงถึงจะรู้เรื่องในเมื่อแร่มีพิษ แต่เฝิงซานกวงและพวกลูกน้องล้วนแต่ปลอดภัยไม่ได้รับผลกระทบ แสดงว่าเขาจะต้องมีวิธีแก้พิษอยู่อย่างแน่นอนนา
เจี่ยนอันอันขมวดคิ้วมุ่น นางมองไปทางซ่งไหล “ท่านเล่า จำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร บ้านอยู่ที่ไหนด้วยเหมือนกันรึ?”ซ่งไหลส่ายหน้าเบาๆ “จำไม่ได้”เจี่ยนอันอันคว้าข้อมือซ่งไหลขึ้นมาจับชีพจรให้เขาในไม่ช้านางก็ได้ข้อสรุปคนเหล่านี้ทุกคนล้วนถูกพิษ ขณะที่พิษประเภทนี้จะทำให้คนที่ถูกพิษสูญเสียความทรงจำไปในชั่วพริบตาหลังจากที่นางปล่อยมือซ่งไหลก็สุ่มหยิบแร่ก้อนหนึ่งบนพื้นขึ้นมานางนำมาจ่อใต้จมูกดมดูก็ได้กลิ่นสกปรกจางๆ ที่แผ่ซ่านออกมาจากก้อนแร่ได้ในทันทีนางกล่าวกับฉู่จวินสิง “ถ้าข้าเดาไม่ผิด แร่ในเหมืองนี้ล้วนแต่มีพิษ”คำพูดของเจี่ยนอันอันทำให้ทุกคนบริเวณนั้นล้วนสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวจากก้นบึ้งหัวใจที่พวกเขาจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร เป็นเพราะต้องพิษจากแร่พวกนี้อย่างนั้นหรือ?“พวกข้าควรทำอย่างไรดี ข้าไม่อยากตาย!”“ข้าก็ไม่อยากตายเหมือนกัน ข้าอยากไปจากที่นี่”“แม่นางได้โปรดปล่อยพวกข้าไปเถอะ ให้พวกข้าไปจากที่นี่เถอะนะ”คนงานเหมืองเหล่านั้นขอร้องเจี่ยนอันอันเสียงระงม หวังว่านางจะสามารถปล่อยพวกเขาไปซ่งไหลก็หวาดกลัวมากเช่นกัน เขาอยากไปจากที่นี่ ไม่อยากตายอยู่ในสถานที่แห่งนี้เจี่ยนอันอัน
ฉู่จวินสิงและซ่งไหลที่รออยู่ด้านนอกล้วนร้อนใจอย่างยิ่งโชคดีที่เจี่ยนอันอันออกมาอย่างรวดเร็ว ทั้งยังพาเด็กชายหนึ่งคนออกมาด้วยซ่งไหลรีบอุ้มเด็กชายออกมาข้างนอกเขากระซิบเรียกชื่อเด็กชายเบาๆ “หวายหมิง เจ้าฟื้นเร็วเข้า”เจี่ยนอันอันเห็นว่าซ่งไหลมีท่าทางเป็นกังวลอย่างมาก นางจึงบอกเสียงเบาว่า “เขาแค่สลบไปเท่านั้น ไม่ได้เป็นอันใดมาก”หลังจากที่นางพูดจบก็มุดเข้าไปในถ้ำอีกครั้งรอจนถึงตอนที่นางพาเด็กชายคนที่สองออกมาก็ถอดแว่นสายตากลางคืนออกแล้วนางกล่าวกับฉู่จวินสิงว่า “พวกเราออกไปจากที่นี่ก่อนค่อยคุยกัน”ฉู่จวินสิงพยักหน้าน้อยๆ แล้วอุ้มเด็กชายอีกคนขึ้นมาซ่งไหลอุ้มหวายหมิงตามเจี่ยนอันอันออกไปจากในเหมืองด้วยเช่นกันคนที่รออยู่ด้านนอกล้วนแต่ร้อนใจเป็นที่ยิ่งไม่รู้ว่าข้างในเป็นอย่างไรบ้างแล้วเมื่อพวกเขาเห็นพวกเจี่ยนอันอันออกมาก็พากันถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเจี่ยนอันอันให้พวกเขาวางเด็กชายทั้งสองลงบนพื้นที่ว่าง นางหยิบถุงเข็มเงินออกมาจากในมิติแล้วฝังเข็มให้เด็กชายสองคนนั้นผ่านไปไม่นาน ในที่สุดเด็กชายทั้งสองก็ค่อยๆ ฟื้นขึ้นมาซ่งไหลเห็นว่าน้องชายทั้งสองของตนเองฟื้นแล้วก็คุกเข่าล
แต่ไม่ว่าเขาออกแรงมากเท่าไรก็ไม่อาจผลักหินยักษ์ออกไปได้ก่อนหน้านี้ที่นี่ก็เคยเกิดการถล่มมาก่อน แต่ไม่ได้หนักหนาเท่าครั้งนี้หากยังไม่ช่วยคนข้างในออกมา เกรงว่าเด็กสองคนนั้นคงต้องจบชีวิตลงที่นี่จริงๆ แล้วเจี่ยนอันอันขมวดคิ้วมุ่น นางพลันก้าวออกมาบริเวณหน้าถ้ำแล้วออกแรงผลักหินยักษ์ก้อนนั้นแต่หินยักษ์หนักเกินไป นางผลักอยู่หลายทีแต่ก็ไม่สามารถทำให้หินยักษ์นั้นขยับเขยื้อนได้เลยฉู่จวินสิงก็รีบเดินเข้ามาหา เขาให้เจี่ยนอันอันถอยออกไปแล้วรวบรวมกำลังภายในฟาดฝ่ามือใส่หินยักษ์ก้อนนั้นอย่างหนักหน่วงครั้นฝ่ามือนั้นฟาดลงไป หินยักษ์ก้อนนั้นเพียงสั่นคลอนไม่กี่ที แต่ก็ไม่ได้ถูกกำลังภายในทะลวงไปได้ขณะที่ทุกคนไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดีนั่นเอง เจี่ยนอันอันพลันกวาดตามองคลังอาวุธในมิติครุ่นคิดว่าสามารถหยิบระเบิดออกมาจากในนั้นสักลูกได้หรือไม่โชคดีที่ตอนที่นางช่วยสองแม่ลูกสกุลเฉียวต่อกรกับเฝิงซานกวงก่อนหน้านี้ คลังอาวุธได้เลื่อนขั้นอย่างเงียบๆคำประกาศปรากฏขึ้นในมิติ : [ระดับคลังอาวุธ 50 สามารถหยิบอาวุธได้สองชนิด]เจี่ยนอันอันนึกยินดี นางรีบบอกให้ทุกคนหลบไปนอกเหมือง แม้แต่ฉู่จวินสิงก็ให้ออกไปจากตร
เจ้าเมืองตานประสานมือต่อเจี่ยนอันอันและฉู่จวินสิง “เรื่องราวได้จบลงแล้ว ข้าน้อยคงต้องขอกลับจวนไปไต่สวนเรื่องนี้ต่อ ขอลาแต่เพียงเท่านี้”เจี่ยนอันอันประสานมือตอบเช่นกัน “ท่านค่อยๆ เดิน ไม่ส่งแล้ว อย่างไรคงต้องรบกวนท่านให้ความเป็นธรรมแก่เรื่องนี้”“ข้าน้อยทราบดี” เจ้าเมืองตานกล่าวพลางขึ้นรถม้าไปพร้อมกับถอนหายใจหนักหน่วงอีกครั้งเหตุใดเขาจึงมีหลานชายที่ชอบก่อเรื่องนี้เช่นนี้หนอ? ช่างไม่ยอมปล่อยให้เขาได้อยู่สบายบ้างเลยรอจนเจ้าเมืองตานจากไปแล้ว เจี่ยนอันอันจึงหันมามองเหล่าบริวารของเฝิงซานกวงอีกครั้งซึ่งทุกคนต่างก็รู้ว่า ยามนี้ในเหมืองได้เปลี่ยนเจ้าของใหม่แล้วพวกเขาจึงไม่กล้าทำส่งเดชอีก ได้แต่ก้มหน้าก้มตายืนนิ่งอยู่เจี่ยนอันอันกล่าวเสียงเย็นชา “พวกเจ้ามัวยืนเซ่อหาอันใดอีก ที่นี่ไม่ใช่ถิ่นของเฝิงซานกวงอีกแล้ว แต่ละคนจงรีบไสหัวไปให้พ้น”“หากวันหน้าข้าได้รู้ว่า พวกเจ้ากลับมาก่อเรื่องที่นี่อีก ข้าจะให้มีจุดจบเช่นเดียวกับเฝิงซานกวง”บรรดาลูกน้องเฝิงซานกวงเห็นว่าบัดนี้คงได้ตกงานเป็นแน่แท้ต่อไปจะรับเงินใต้โต๊ะคงไม่มี ยิ่งอย่าหมายว่าคิดลักขโมยแร่หินในเหมืองออกไปขายบ้างจึงต่างพากัน
แต่เรื่องนี้หากจะว่าไป ก็ล้วนเป็นความผิดของเฝิงซานกวงหากเขามิได้แอบใช้แรงงานเด็ก เจี่ยนอันอันก็ไม่อาจใช้เพียงหนึ่งร้อยตำลึง มาซื้อเหมืองแร่แห่งนี้ได้ไม่ทันรอให้เจ้าเมืองตานได้กล่าวตอบ เฝิงซานกวงกลับโมโหขึ้นก่อน “นังตัวดี อย่าถือว่าเคยเป็นอดีตชายาเยียนอ๋องมาก่อน ก็จะใช้เงินเพียงหนึ่งร้อยตำลึงมาซื้อเหมืองของข้าได้”“ขอบอกให้รู้ เหมืองแห่งนี้ข้าเป็นคนขุดขึ้นเอง จะไม่มีวันยอมขายให้เจ้าเด็ดขาด”เจี่ยนอันอันมองหน้าเฝิงซานกวงด้วยแววตาดูหมิ่น สีหน้าเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน“ฟังนะเฝิงซานกวง บัดนี้เจ้ากลายเป็นนักโทษแล้ว มีสิทธิ์อันใดมาเพ้อเจ้อไร้สาระกับข้าอีก”เฝิงซานกวงโกรธจนสุดจะทนไหว พลันกระอักโลหิตออกจากปากทันทีพร้อมพาเอาฟันหน้าสองซี่ที่ถูกต่อยร่วงเมื่อครู่นี้ออกมาด้วยเจ้าเมืองตานรู้ดีว่าไม่อาจสู้เจี่ยนอันอันกับฉู่จวินสิงได้ อีกทั้งเรื่องนี้ก็เป็นความผิดของเฝิงซานกวงจริงว่าตามกฎหมายแล้ว เมื่อเฝิงซานกวงทำผิดเช่นนี้ เหมืองของเขาก็ควรจะถูกทางการยึดคืนดังนั้นเจี่ยนอันอันจึงได้มาพูดกับเขา ว่าจะขอซื้อเหมืองแห่งนี้ไว้เองอีกทั้งเฝิงซานกวงก็ไม่มีสิทธิ์ชอบธรรม ที่จะยับยั้งการซื้อขายของ