หลังพุ่มไม้ริมลำธาร ซึ่งห่างออกมาไกลพอควรจากตัวบ้านไม้ไผ่ที่มีรอยถูกไฟไหม้เสียหายไปหลายส่วน
สายน้ำเย็นใสไหลเอื่อยเฉื่อยสะท้อนแสงตะวันแผดกล้า บุรุษหนุ่มหลังค่อมสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบทั้งเก่าทั้งขาด นั่งตกปลาอย่างเงียบงัน ท่าทางเคร่งขรึมเย็นชา แผ่กลิ่นอายแห่งราชันย์ออกมา
เยื้องไปทางข้างกายด้านซ้ายของเขา คือชายชุดดำกำลังค้อมศีรษะ ประสานมือ คุกเข่าหนึ่งข้างอยู่อย่างเงียบเชียบ
ภายใต้หนวดเครารุงรังเต็มไปด้วยริ้วรอยแผลเป็นอันปิดบังรูปโฉมหล่อเหลาจนเผยเพียงความน่าเกลียดน่ากลัวออกมา กำลังมีแววตาเย็นเยียบทวีความหงุดหงิดอย่างรุนแรง สืบเนื่องจากเรื่องราวอันแสนจะอัปยศเมื่อคืนวาน
ถังจ้าวเหว่ย คือนามที่แท้จริงของเขา
น้ำเสียงแหบพร่าฟังดูแปล่งหูทว่ากลับแฝงความทรงอำนาจเอาไว้ เริ่มเอ่ยคำออกมาจากริมฝีปากได้รูปที่ถูกหนวดสากระคายปกคลุมจนมิด
“เมื่อคืนข้าถูกวางยาปลุกกำหนัด หาไม่คงมิทำเรื่องหยาบช้าเช่นนั้นกับนางเป็นแน่!”
บุรุษชุดดำสะดุ้งสุดตัว นึกตระหนกกับความผิดของตน ที่เจ้านายถูกวางยาแต่ไม่อาจช่วยเหลือ เขาเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า
“เพื่อความแนบเนียนในการซ่อนเร้นตัวตนที่แท้จริงของพระองค์ กระหม่อมจึงไม่อาจขัดขวางแผนการบ้านหานพ่ะย่ะค่ะ”
จ้าวเหว่ยปรายตามองอย่างเยือกเย็น แม้ว่ารูปร่างยามนี้จักมีกระดูกโค้งงอผิดรูปจนอัปลักษณ์ หากแต่สายตาคมกล้าภายใต้เรียวคิ้วกระบี่เข้มหนากลับแผ่บารมีกดข่มรุนแรงออกมา
ชายชุดดำข่มกลั้นอาการไหล่สั่นหนาวสะท้าน ค่อยๆ เหลือบตามองเจ้านายหนุ่ม เอ่ยอย่างระมัดระวังอีกว่า
“ยามนี้พระองค์จำต้องเป็นกงหนิว ชายอัปลักษณ์พิการหลังค่อมแสนโง่เขลาที่ผู้คนคุ้นชินไปก่อน ใช้ชีวิตสามัญมิอาจแตกต่างจากคนทั้งหมู่บ้าน ทั้งไม่อาจให้เรื่องราวไร้สาระลุกลามใหญ่โตไปถึงทางการ อันอาจจะนำพาให้คนร้ายล่วงรู้ตัวตนพระองค์ งานแต่งนี้ยังมีพยานเป็นชาวบ้านมากมาย ทั้งยังไม่แน่ว่าอาจมีสายลับแฝงตัวมาด้วย หลายคนยังยืนอยู่รอบห้องหอตามประเพณี การหยุดยั้งมิอาจกระทำ”
เขากลืนน้ำลายลงคอหนึ่งอึก กลั้นใจเอ่ยต่อ
“อีกอย่าง...หากกล่าวกันตามจริง แค่รับสตรีอุ่นเตียงสักคนมิใช่เรื่องใหญ่ ได้แต่งงานด้วยซ้ำนับเป็นเรื่องดี สตรีนางนั้นก็เป็นคนของพระองค์แล้ว แค่หญิงชาวบ้านผู้หนึ่ง ไม่นับว่าเป็นอะไร การปรนนิบัติรับใช้ยิ่งสมควร ได้ปลดปล่อยตัวตนไม่ต่างจากครั้งอยู่ในวังบูรพา พระองค์จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเข้าหอคณิกา นางเองก็งดงามมิใช่น้อยนะพ่ะย่ะค่ะ”
จบคำก็ยกยิ้มเอาใจนายเหนือหัว คิดว่าตนเองคงได้รางวัลที่รู้ใจเป็นแน่แท้
ทว่านอกจากมิได้คำชมจากปากบุรุษตรงหน้า ยังได้เห็นเพียงสายตาเย็นชา สีหน้าเย็นเยียบ และปราณอันตรายแผ่ซ่าน องครักษ์อู๋เจี๋ยคนสนิทรีบก้มหน้าหยุดวาจาทันที
อันที่จริง ...เขาพยายามปลอบใจองค์รัชทายาทผู้สูงส่งหยิ่งทะนงอย่างสุดความสามารถ หาใช่ดูแคลนหญิงชาวบ้านไม่
เพราะสายตารังเกียจของสตรีนางนั้นต่างหากที่เป็นปัญหา มิใช่ศึกบนเตียงนอนยามเข้าหอเพราะถูกวางยา
ชายชุดดำกำลังร่ำไห้อยู่ในอก คล้ายมีนรกอยู่ในใจ ผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงเอ่ยเสียงเบาอย่างไม่ค่อยมั่นใจว่า
“แม่นางชิงหลินก็ไม่เลวนะพ่ะย่ะค่ะ ผ่านไปซักพักนางคงทำใจได้ กิริยาเยี่ยงนั้นย่อมไม่เกิดขึ้นอีก นางต้องชอบพระองค์แน่นอน” ยิ่งพูดเสียงยิ่งเบา หากเขาเงียบไปน่าจะดีกว่านี้
จ้าวเหว่ยเอ่ยเสียงเย็น “ข้ามิได้ชอบนาง และการที่นางรังเกียจข้าย่อมสมควรแล้ว”
ครานี้องครักษ์อู๋เจี๋ยเผยสีหน้าเจ็บปวด ดั่งถูกคมมีดกรีดเฉือนไปทั่วหัวใจ
เขาอยู่ข้างกายองค์ชายมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ พระองค์รูปงามสมบูรแบบดั่งเทพสวรรค์ลงมาจุติยากหาใครเทียม รัศมีแห่งเอกบุรุษแผ่กำจายไปทั่วไม่ว่าจะเยื้องกรายไปทางใด ใบหน้ายิ่งงดงามราวเทพเซียนจำแลง ทุกสารทิศที่องค์ชายปรากฏกายล้วนเป็นที่หมายปองของอิสตรี ใครเห็นต่างชมชอบพร้อมพลีกายทั้งสิ้น หากแต่ยามนี้กลับต้องถูกสายตาดูแคลนถึงเพียงนั้น ถูกสตรีสามัญนางหนึ่งแสดงท่าทีขยะแขยงกันถึงเพียงนี้ เขาทำใจมิได้จริงๆ
อู๋เจี๋ยยิ่งคิดยิ่งรวดร้าว ใบหน้าบิดเบี้ยวจนยับย่น
ทว่าสีหน้าจ้าวเหว่ยยังคงเย็นชา เขาเอ่ยเสียงเนิบช้า
“จงไปเสีย ข้าอยากอยู่เงียบๆ”
องครักษ์ได้แต่ก้มหน้าล่าถอย พริบตาก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
เมื่ออยู่คนเดียว จ้าวเหว่ยจึงค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงอย่างเชื่องช้านึกระอาในโชคชะตาของตนไม่น้อย
ริมลำธารห่างจากบ้านไม้ไผ่ ท่ามกลางแสงแดดแผดเผา ยอดหญ้าโอนเอน มีบุรุษอัปลักษณ์นั่งตกปลาอยู่อย่างเดียวดาย
แท้จริงชายร่างใหญ่หลังค่อมผู้นี้มิได้พิการกระดูกส่วนใด ทั้งยังมิได้เป็นใบ้ และที่สำคัญยังเป็นถึงองค์รัชทายาทแห่งต้าถัง ผู้เร้นกายจากศึกภายในราชวงศ์ ตามรับสั่งพระบิดา
จ้าวเหว่ยนับเป็นเอกบุรุษผู้หล่อเหลาสง่างามและสูงส่ง ยามเยื้องย่างปรากฏโฉมไปทางใด ล้วนแล้วแต่ทำให้ผู้คนทั้งหลายต้องใจเต้นระส่ำ ทว่ายามนี้กลับไม่เหลือเค้าโครงของหนุ่มเจ้าเสน่ห์แม้แต่น้อย ทั้งยังถูกสายตาเหยียดหยันดูแคลนอย่างเหลือร้ายส่งให้
เดิมทีเขามีรูปร่างสูงใหญ่ตามเชื้อสายแห่งองค์ราชันย์ รูปลักษณ์สมบูรณ์พร้อมตามแบบฉบับเชื้อสายพระวงศ์ผู้เป็นว่าที่โอรสแห่งสวรรค์ ยามนี้แม้ว่าเขาอายุเพียงสิบแปดปีเท่านั้น แต่กลับโดดเด่นสะดุดตานับเป็นยอดบุรุษแล้ว
เพียงแต่ต่อมาตัวเขากลับถูกลอบทำร้ายอย่างแสนสาหัส วรยุทธ์ถูกทำลายจนสิ้น ความทรงพลังที่มีจึงอันตรธานหายไป ความงามสง่าไม่มีเหลือ กระทั่งกระดูกโก่งโค้งงอข้อเคลื่อนเสียรูปดูไม่ได้ ยามเดินเหินจึงงุ้มไหล่งอตัวก้มหน้าด้วยท่วงท่าทึ่มทื่อไปเช่นนั้น
ส่วนเรื่องอาการเบื้อใบ้เป็นเพราะถูกยาพิษทำลายลำคอจนเสียหาย แม้ยังคงพูดได้แต่ทว่าน้ำเสียงกลับแหบพร่าน่าเกลียด เขาจึงคล้ายกับกลายเป็นคนใบ้ไป และด้วยไม่จำเป็นต้องเสวนากับใครจึงปล่อยไปเช่นนี้ ไม่คิดแก้ต่าง
ทุกสิ่งทั่วร่าง มีเพียงริ้วรอยแผลเป็นเท่านั้นที่จ้าวเหว่ยจงใจทำขึ้น เพื่ออำพรางรูปโฉมงดงาม หนวดเคราก็เช่นกันล้วนต้องการบดบังใบหน้าที่แท้จริงจนสิ้น
ส่วนนามกงหนิวก็เป็นชาวบ้านที่ตั้งชื่อให้ตามอำเภอใจ
ทั้งหมดล้วนเกิดจากการลอบสังหารครั้งล่าสุดจนต้องระหกระเหินมาเร้นกายแถบนี้ นานร่วมปีแล้ว
จากเหตุการณ์ครั้งนั้น จ้าวเหว่ยจึงกลายเป็นคนที่ไม่ต่างจากชายพิการอย่างแท้จริง จำต้องหลบซ่อนอย่างน่าละอาย
หนึ่งปีมาแล้วที่ราชวังต้าถังตกอยู่ในภาวะเลวร้าย
หลังจากจ้าวเหว่ยได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทเพียงไม่นานก็ถูกลอบสังหารจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ต้องเสียท่าอย่างไม่น่าให้อภัย
ฮ่องเต้ต้าถังผู้รับรู้เรื่องราวของโอรสเป็นอย่างดี จึงออกคำสั่งผ่านองครักษ์เงาว่าให้เขาเร้นกายรั้งอยู่ในสถานที่ปลอดภัยไปก่อน จนกว่าเรื่องวุ่นวายจะคลี่คลาย
ตำแหน่งผู้ครองตำหนักบูรพาของจ้าวเหว่ยคล้ายราบรื่น ทว่าเรื่องกลับไม่ง่ายนัก เส้นทางแห่งบัลลังก์ทองของตัวเขาที่เป็นองค์รัชทายาทโดยสมบูรณ์ในยามนี้ยิ่งไม่ง่ายดายเช่นกัน
การคงอยู่ด้วยตัวตนอันอัปลักษณ์นามว่ากงหนิวจึงจำต้องดำเนินต่อไป อย่างไร้ทางเลือก
แท้จริงซานซานมิได้ต้องการแข่งขันอันใดและไม่คิดปรามาสใคร นางแค่รู้สึกไม่พอใจเรื่องที่อาหนิงถูกทำให้อับอาย กอปรกับได้ลับฝีปากกับอันธพาลแซ่หวังจนอารมณ์เตลิดเลยเถิดไปเท่านั้น ทว่าถูกท้าประลองเช่นนี้ย่อมดีไม่น้อยจะได้ถือโอกาสยืดเส้นยืดสายและสอนสั่งทหารใหม่ไปในตัวท่ามกลางสายตาของเหล่าทหารทั้งหลายที่ลุ้นระทึกไปกับซานซาน ได้ยินนางรับคำเสียงหนึ่ง“ย่อมได้...เชิญท่านรองแม่ทัพก่อนเถิด”หยางเฉิงพยักหน้าให้ เป็นอันตกลงทุกสายตามองทั้งสองอย่างเงียบงัน ไม่มีใครกล้าออกความคิดเห็นอันใดทั้งนั้นชั่วจังหวะที่สายลมคล้ายหยุดนิ่ง ได้ยินหวังมู่สั่งการอีก“ไปนำม้ามา”หัวหน้าทหารที่ยืนอยู่ใกล้เขารับคำสั่งเสียงหนักก่อนวิ่งตะบึงออกไปทหารใหม่ให้นึกตกใจ มิใช่ยืนยิงเป้าแบบปกติหรือ? ทุกวันที่ฝึกหนัก พวกเขายังไม่เคยมีโอกาสได้ขี่ม้าเลยสักครั้ง กระทั่งครูฝึกซานก็ไม่เคยได้ม้ามาร่วมฝึกเลยสักหนทุกคนมองซานซานอย่างเป็นกังวล ไม่นาน...หัวหน้าคนเดิมก็กลับมาพร้อมม้าพ่วงพีตัวใหญ่ และทันทีที่เจ้าม้าเดินเหยาะๆ มาแล้วเห็นหยางเฉิงยืนอยู่มันก็ส่งสายตาดีใจมาทางเขาทันที ท่าทางสนิทสนมคุ้นเคยกับอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก วิ่งปรี่มาทาง
จ้าวเหว่ยกับจ้าวหมิงจึงเป็นพี่น้องที่สนิทสนมกันมาก หากแต่ภายนอกกลับไม่มีใครล่วงรู้จ้าวหมิงไม่มีตระกูลฝั่งมารดาคอยสนับสนุนจึงใช้ฐานะสูงส่งของเชื้อพระวงศ์รับสตรีมาเป็นฐานอำนาจจนเต็มวังของตน ในสายตาผู้คนเขาเป็นองค์ชายเจ้าสำราญที่คิดคานอำนาจกับรัชทายาทเหมือนพี่น้องคนอื่นๆ จึงทำให้ไม่ถูกจับตามองสักเท่าใด ซึ่งแท้ที่จริงสิ่งที่จ้าวหมิงทำไปก็เพื่อคอยเป็นทัพเสริมให้จ้าวเหว่ยในที่ลับ การศึกแต่ละครั้งยังเป็นกุนซือให้อีกด้วยหากกล่าวว่าจ้าวเหว่ยที่ไม่ยอมแต่งงานนั้นเป็นบุรุษไร้ใจ ก็คงเปรียบจ้าวหมิงเป็นบุรุษมากรักเพราะแต่งงานนับครั้งไม่ถ้วนเพื่อรับสตรีมาอุ่นเตียงมากมายและแน่นอนว่าความจริงมิได้เป็นเช่นนั้น เพราะจ้าวเหว่ยมีรักปักใจต่อภรรยาอย่างซานซานจึงไม่ยอมแต่งงานกับใครอีกส่วนจ้าวหมิงคือบุรุษไร้ใจโดยสมบูรณ์ เขาไม่เคยรักสตรีใดเลยสักคน หลังจากหยอกเย้าพี่ชายพอหอมปากหอมคอ จ้าวหมิงจึงนั่งจิบชาต่อเพื่อรอชมฉากสนุก จ้าวเหว่ยหมุนกายมานั่งลงด้วยท่าทางเคร่งขรึม แล้วเอ่ยถาม“เหตุใดเจ้าไม่อยู่ที่วัง มาโผล่ที่นี่ทำไม?”จ้าวหมิงหัวเราะเสียงนุ่ม “ไม่มีที่ใดในวังที่เราจะได้นั่งคุยกันเช่นนี้ พี่ใหญ่ก็รู้” เขาร
ค่ายทหารทุกค่ายจะมีสถานที่รับรองผู้บัญชาการจอมทัพเป็นเรือนพักหลังใหญ่เรือนพักนี้สร้างไว้สำหรับรัชทายาทเข้ามาพำนักยามตรวจตรากองทัพ มีเพียงองครักษ์คนสนิท บ่าวรับใช้ติดตามและแม่ทัพคนสำคัญที่ถูกเรียกตัวมาเป็นการเฉพาะกิจเท่านั้นถึงจะเข้ามาได้ นอกนั้นห้ามผู้ไม่ได้รับอนุญาตเข้าใกล้เด็ดขาดเพราะหลายครั้งที่ชาวบ้านได้ข่าวว่ารัชทายาททรงมาตรวจตราเยี่ยมเยือนค่ายทหาร พวกเขามักจะพากันมารวมตัวตั้งขบวนขอเข้าเฝ้าแถวยาวตั้งแต่ประตูค่ายจนถึงทางเข้าหมู่บ้านนอกจากชาวบ้านยังมีทหารใหม่ที่พากันมาจับจองที่ยืนใกล้เรือนพักส่วนพระองค์ตั้งแต่รุ่งสางยิ่งเป็นทหารหญิงยังแต่งหน้าทาชาดอีกด้าย ทว่าน่าเสียดายที่รัชทายาทมิใคร่ชอบการกระทำเช่นนั้นเท่าใด จึงไม่เคยอนุญาตให้ใครเข้าเฝ้าทั้งสิ้น และยิ่งไม่เคยเปิดเผยการเดินทางให้ค่ายใดทราบล่วงหน้าเรือนสองชั้นห่างออกมาจากลานฝึกเล็กน้อยบุรุษหนุ่มยืนนิ่งเอามือไพล่หลังดังผู้สูงศักดิ์ ทอดสายตาคมสีดำรัตติกาลมองไปยังความวุ่นวายที่ลานฝึกอย่างเงียบงัน จ้าวเหว่ยใช้เวลาเดินทางตรวจตรากองทัพทั้งสี่ทิศรอบเมืองพบเห็นความวุ่นวายระหว่างทหารเก่ากับทหารใหม่จนชินตา ไม่นับว่าตื่นเต้นอันใด เพ
เมื่อรู้ตัวอีกทีก็ปล่อยให้นางพูดไม่หยุดเสียแล้วเส้นเสียงของซานซานยังคงดังเนิบช้า “ทุกคนในที่นี้ล้วนมีความหวังที่จะร่วมเป็นร่วมตายยามภัยมาเยือน สงครามไม่เคยปรานีผู้ใด พวกเราไยมิใช่ปรานีใส่กันให้มากเข้าไว้ แม้สตรีมิได้มีพละกำลังมากนัก แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธว่าหลายครั้งยังต้องอาศัยพวกนางทำศึกหนัก ไม่ว่าจะแผนนารีพิฆาต วสันต์ลวงสังหาร ร่านราคะอำมหิต เสน่หาคร่าชีวิต”แผนสาวงามที่กล่าวมาล้วนมีจริงในหมู่นักฆ่า บรรดาทหารหญิงก็คงมีไม่ต่างกันดวงตาแวววาวของซานซานแข็งกร้าวยามกวาดมองไปทางฝั่งบุรุษ นางชี้นิ้วไปทางสตรีพลางส่งเสียงดังกังวานท้าทาย “จงบอกแก่ข้า ว่าหากพวกท่านที่เป็นบุรุษปลดชุดเกราะถอดหมวกเหล็กแล้วใส่เพียงผ้าเนื้อบางแนบกาย ไม่มีคันธนูแบกอยู่บนแผ่นหลัง ในมือไม่มีหอกหรือดาบทวนกระบี่ทั้งนั้น ร่างกายยังไร้ซึ่งพลังปราณร้ายกาจ เช่นนั้นยังสามารถสังหารศัตรูบนเตียงอย่างเฉียบขาดเยี่ยงพวกนางได้หรือไม่”เงียบกริบ เงียบประดุจสุสาน ได้ยินกระทั่งสายลมแผ่วพัดผ่านใบหูท่ามกลางสายตาตะลึงอึ้งและนิ่งฟังแข็งค้างของผู้คน ซานซานเอ่ยปากอีกหน “คนเหมือนกัน แคว้นเดียวกัน ยิ่งเป็นทหารของกองกำลังเดียวกัน จะเหยียดหยันดูแ
ภายใต้สายตามองประเมินอย่างเย็นชาของซานซาน แม่ทัพหวังแค่นเสียงเฮอะแล้วกล่าวเสียงห้วน“นึกว่าแน่ ที่แท้ก็แค่สุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ เป็นคนของสนมวังหลังยังกล้ามาเป็นครูฝึกของที่นี่ช่างไม่เจียมตัว”ช่างเป็นการข่มขวัญกันชัดเจนเป็นไปได้ว่า การเข้ามาอยู่ในฐานะครูฝึกของซานซาน ยังค่ายทหารแห่งนี้ คงทำให้พวกบุรุษตรงหน้าหมั่นไส้มานานแล้วแต่นางต้องกลัวกระนั้นหรือ?คำตอบคือเดินขึ้นหน้าด้วยกิริยาเนิบช้า แผ่นหลังเหยียดตรงสง่า สีหน้าของนางเฉยชา เปล่งเสียงเย็นเยียบว่า“บุรุษเปรียบดั่งท้องฟ้า สตรีไม่ต่างจากพสุธา พวกท่านจึงคิดว่าเหยียบย่ำอย่างไรก็ได้” นางแค่นเสียงหัวเราะคราหนึ่งแล้วกล่าวต่อ “แต่อย่าลืม ...หากไม่มีแผ่นดินผู้ให้กำเนิด บุรุษอย่างพวกท่านไหนเลยจักมีที่ยืน!”ชายฉกรรจ์ทั้งหลายต่างนิ่งอึ้ง พวกเขาล้วนเข้าใจ ความหมายคือ หากไม่มีสตรี พวกเจ้าทุกคนย่อมมิได้เกิดมา!ทว่าแม่ทัพหวังแค่นเสียงฮึอย่างไม่สะทกสะท้านหรือไม่เข้าใจความนัยก็สุดรู้ แววตาของเขาพราวระยับแต่ปากกลับเอ่ยคำหยามหยัน“พวกผู้หญิงก็เท่านี้ ดีแต่ปากกันทั้งนั้น โดยเฉพาะยามอยู่ใต้ร่างผู้ชายย่อมเหมือนกันหมด ครางกระเส่าปา
ซานซานพิจารณาเงียบงัน เห็นหัวหน้าผู้หนึ่งเอ่ยปากแนะนำชายสองคนในชุดสีแดงเปลือกไม้ด้วยสีหน้าบึ้งตึง“ท่านนี้คือแม่ทัพหวัง ท่านนี้คือรองแม่ทัพหยาง พวกเจ้ายังไม่รีบทำความเคารพอีก!”สิ้นเสียงตะเบ็ง ทหารใหม่จึงรีบประสานหมัดค้อมศีรษะทำความเคารพอย่างพร้อมเพรียง ซานซานก็เช่นกันแม่ทัพมีนามว่าหวังมู่ ส่วนรองแม่ทัพมีนามว่าหยางเฉิงซานซานพอรู้ชื่อแซ่ของทั้งสองอยู่บ้าง เพียงแต่ยังไม่มีโอกาสได้เจอ ยามนี้นางจึงลอบวิเคราะห์พวกเขาโดยละเอียดคนเป็นแม่ทัพหวังอะไรนั่น อายุราวสี่สิบกว่าปี มีหนวดเหนือริมฝีปากเล็กน้อยเสริมความเคร่งขรึมบนใบหน้า ทว่าท่าทางเหมือนตาแก่ธรรมดาคนหนึ่งเพราะผิวพรรณที่พ้นสาบเสื้อช่างละเอียดเสียเหลือเกิน ดวงตายังพร่างพราวราวกับหนุ่มน้อยเจ้าสำราญ ท่าทางคล้ายทหารที่ชอบหลบมุมยามเจอศึกหนักกระนั้นมิรู้ได้ว่าตำแหน่งท่านแม่ทัพได้มาอย่างไร บางทีอาจครองตำแหน่งเพราะเส้นสายวงศ์ตระกูลช่วยผลักดันหรือเลวร้ายยิ่งกว่านั้น คือสวมรอยความดีความชอบของผู้อื่น อาจเคยเป็นแค่รองแม่ทัพมาก่อน ได้สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับขุนพลเกรียงไกร หลังจากแม่ทัพใหญ่เด็ดหัวศัตรูแล้วตายไป เจ้าแซ่หวังผู้นี้ก็ชุบมือเปิบนำหัวศั