หลังพุ่มไม้ริมลำธาร ซึ่งห่างออกมาไกลพอควรจากตัวบ้านไม้ไผ่ที่มีรอยถูกไฟไหม้เสียหายไปหลายส่วน
สายน้ำเย็นใสไหลเอื่อยเฉื่อยสะท้อนแสงตะวันแผดกล้า บุรุษหนุ่มหลังค่อมสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบทั้งเก่าทั้งขาด นั่งตกปลาอย่างเงียบงัน ท่าทางเคร่งขรึมเย็นชา แผ่กลิ่นอายแห่งราชันย์ออกมา
เยื้องไปทางข้างกายด้านซ้ายของเขา คือชายชุดดำกำลังค้อมศีรษะ ประสานมือ คุกเข่าหนึ่งข้างอยู่อย่างเงียบเชียบ
ภายใต้หนวดเครารุงรังเต็มไปด้วยริ้วรอยแผลเป็นอันปิดบังรูปโฉมหล่อเหลาจนเผยเพียงความน่าเกลียดน่ากลัวออกมา กำลังมีแววตาเย็นเยียบทวีความหงุดหงิดอย่างรุนแรง สืบเนื่องจากเรื่องราวอันแสนจะอัปยศเมื่อคืนวาน
ถังจ้าวเหว่ย คือนามที่แท้จริงของเขา
น้ำเสียงแหบพร่าฟังดูแปล่งหูทว่ากลับแฝงความทรงอำนาจเอาไว้ เริ่มเอ่ยคำออกมาจากริมฝีปากได้รูปที่ถูกหนวดสากระคายปกคลุมจนมิด
“เมื่อคืนข้าถูกวางยาปลุกกำหนัด หาไม่คงมิทำเรื่องหยาบช้าเช่นนั้นกับนางเป็นแน่!”
บุรุษชุดดำสะดุ้งสุดตัว นึกตระหนกกับความผิดของตน ที่เจ้านายถูกวางยาแต่ไม่อาจช่วยเหลือ เขาเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า
“เพื่อความแนบเนียนในการซ่อนเร้นตัวตนที่แท้จริงของพระองค์ กระหม่อมจึงไม่อาจขัดขวางแผนการบ้านหานพ่ะย่ะค่ะ”
จ้าวเหว่ยปรายตามองอย่างเยือกเย็น แม้ว่ารูปร่างยามนี้จักมีกระดูกโค้งงอผิดรูปจนอัปลักษณ์ หากแต่สายตาคมกล้าภายใต้เรียวคิ้วกระบี่เข้มหนากลับแผ่บารมีกดข่มรุนแรงออกมา
ชายชุดดำข่มกลั้นอาการไหล่สั่นหนาวสะท้าน ค่อยๆ เหลือบตามองเจ้านายหนุ่ม เอ่ยอย่างระมัดระวังอีกว่า
“ยามนี้พระองค์จำต้องเป็นกงหนิว ชายอัปลักษณ์พิการหลังค่อมแสนโง่เขลาที่ผู้คนคุ้นชินไปก่อน ใช้ชีวิตสามัญมิอาจแตกต่างจากคนทั้งหมู่บ้าน ทั้งไม่อาจให้เรื่องราวไร้สาระลุกลามใหญ่โตไปถึงทางการ อันอาจจะนำพาให้คนร้ายล่วงรู้ตัวตนพระองค์ งานแต่งนี้ยังมีพยานเป็นชาวบ้านมากมาย ทั้งยังไม่แน่ว่าอาจมีสายลับแฝงตัวมาด้วย หลายคนยังยืนอยู่รอบห้องหอตามประเพณี การหยุดยั้งมิอาจกระทำ”
เขากลืนน้ำลายลงคอหนึ่งอึก กลั้นใจเอ่ยต่อ
“อีกอย่าง...หากกล่าวกันตามจริง แค่รับสตรีอุ่นเตียงสักคนมิใช่เรื่องใหญ่ ได้แต่งงานด้วยซ้ำนับเป็นเรื่องดี สตรีนางนั้นก็เป็นคนของพระองค์แล้ว แค่หญิงชาวบ้านผู้หนึ่ง ไม่นับว่าเป็นอะไร การปรนนิบัติรับใช้ยิ่งสมควร ได้ปลดปล่อยตัวตนไม่ต่างจากครั้งอยู่ในวังบูรพา พระองค์จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเข้าหอคณิกา นางเองก็งดงามมิใช่น้อยนะพ่ะย่ะค่ะ”
จบคำก็ยกยิ้มเอาใจนายเหนือหัว คิดว่าตนเองคงได้รางวัลที่รู้ใจเป็นแน่แท้
ทว่านอกจากมิได้คำชมจากปากบุรุษตรงหน้า ยังได้เห็นเพียงสายตาเย็นชา สีหน้าเย็นเยียบ และปราณอันตรายแผ่ซ่าน องครักษ์อู๋เจี๋ยคนสนิทรีบก้มหน้าหยุดวาจาทันที
อันที่จริง ...เขาพยายามปลอบใจองค์รัชทายาทผู้สูงส่งหยิ่งทะนงอย่างสุดความสามารถ หาใช่ดูแคลนหญิงชาวบ้านไม่
เพราะสายตารังเกียจของสตรีนางนั้นต่างหากที่เป็นปัญหา มิใช่ศึกบนเตียงนอนยามเข้าหอเพราะถูกวางยา
ชายชุดดำกำลังร่ำไห้อยู่ในอก คล้ายมีนรกอยู่ในใจ ผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงเอ่ยเสียงเบาอย่างไม่ค่อยมั่นใจว่า
“แม่นางชิงหลินก็ไม่เลวนะพ่ะย่ะค่ะ ผ่านไปซักพักนางคงทำใจได้ กิริยาเยี่ยงนั้นย่อมไม่เกิดขึ้นอีก นางต้องชอบพระองค์แน่นอน” ยิ่งพูดเสียงยิ่งเบา หากเขาเงียบไปน่าจะดีกว่านี้
จ้าวเหว่ยเอ่ยเสียงเย็น “ข้ามิได้ชอบนาง และการที่นางรังเกียจข้าย่อมสมควรแล้ว”
ครานี้องครักษ์อู๋เจี๋ยเผยสีหน้าเจ็บปวด ดั่งถูกคมมีดกรีดเฉือนไปทั่วหัวใจ
เขาอยู่ข้างกายองค์ชายมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ พระองค์รูปงามสมบูรแบบดั่งเทพสวรรค์ลงมาจุติยากหาใครเทียม รัศมีแห่งเอกบุรุษแผ่กำจายไปทั่วไม่ว่าจะเยื้องกรายไปทางใด ใบหน้ายิ่งงดงามราวเทพเซียนจำแลง ทุกสารทิศที่องค์ชายปรากฏกายล้วนเป็นที่หมายปองของอิสตรี ใครเห็นต่างชมชอบพร้อมพลีกายทั้งสิ้น หากแต่ยามนี้กลับต้องถูกสายตาดูแคลนถึงเพียงนั้น ถูกสตรีสามัญนางหนึ่งแสดงท่าทีขยะแขยงกันถึงเพียงนี้ เขาทำใจมิได้จริงๆ
อู๋เจี๋ยยิ่งคิดยิ่งรวดร้าว ใบหน้าบิดเบี้ยวจนยับย่น
ทว่าสีหน้าจ้าวเหว่ยยังคงเย็นชา เขาเอ่ยเสียงเนิบช้า
“จงไปเสีย ข้าอยากอยู่เงียบๆ”
องครักษ์ได้แต่ก้มหน้าล่าถอย พริบตาก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
เมื่ออยู่คนเดียว จ้าวเหว่ยจึงค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงอย่างเชื่องช้านึกระอาในโชคชะตาของตนไม่น้อย
ริมลำธารห่างจากบ้านไม้ไผ่ ท่ามกลางแสงแดดแผดเผา ยอดหญ้าโอนเอน มีบุรุษอัปลักษณ์นั่งตกปลาอยู่อย่างเดียวดาย
แท้จริงชายร่างใหญ่หลังค่อมผู้นี้มิได้พิการกระดูกส่วนใด ทั้งยังมิได้เป็นใบ้ และที่สำคัญยังเป็นถึงองค์รัชทายาทแห่งต้าถัง ผู้เร้นกายจากศึกภายในราชวงศ์ ตามรับสั่งพระบิดา
จ้าวเหว่ยนับเป็นเอกบุรุษผู้หล่อเหลาสง่างามและสูงส่ง ยามเยื้องย่างปรากฏโฉมไปทางใด ล้วนแล้วแต่ทำให้ผู้คนทั้งหลายต้องใจเต้นระส่ำ ทว่ายามนี้กลับไม่เหลือเค้าโครงของหนุ่มเจ้าเสน่ห์แม้แต่น้อย ทั้งยังถูกสายตาเหยียดหยันดูแคลนอย่างเหลือร้ายส่งให้
เดิมทีเขามีรูปร่างสูงใหญ่ตามเชื้อสายแห่งองค์ราชันย์ รูปลักษณ์สมบูรณ์พร้อมตามแบบฉบับเชื้อสายพระวงศ์ผู้เป็นว่าที่โอรสแห่งสวรรค์ ยามนี้แม้ว่าเขาอายุเพียงสิบแปดปีเท่านั้น แต่กลับโดดเด่นสะดุดตานับเป็นยอดบุรุษแล้ว
เพียงแต่ต่อมาตัวเขากลับถูกลอบทำร้ายอย่างแสนสาหัส วรยุทธ์ถูกทำลายจนสิ้น ความทรงพลังที่มีจึงอันตรธานหายไป ความงามสง่าไม่มีเหลือ กระทั่งกระดูกโก่งโค้งงอข้อเคลื่อนเสียรูปดูไม่ได้ ยามเดินเหินจึงงุ้มไหล่งอตัวก้มหน้าด้วยท่วงท่าทึ่มทื่อไปเช่นนั้น
ส่วนเรื่องอาการเบื้อใบ้เป็นเพราะถูกยาพิษทำลายลำคอจนเสียหาย แม้ยังคงพูดได้แต่ทว่าน้ำเสียงกลับแหบพร่าน่าเกลียด เขาจึงคล้ายกับกลายเป็นคนใบ้ไป และด้วยไม่จำเป็นต้องเสวนากับใครจึงปล่อยไปเช่นนี้ ไม่คิดแก้ต่าง
ทุกสิ่งทั่วร่าง มีเพียงริ้วรอยแผลเป็นเท่านั้นที่จ้าวเหว่ยจงใจทำขึ้น เพื่ออำพรางรูปโฉมงดงาม หนวดเคราก็เช่นกันล้วนต้องการบดบังใบหน้าที่แท้จริงจนสิ้น
ส่วนนามกงหนิวก็เป็นชาวบ้านที่ตั้งชื่อให้ตามอำเภอใจ
ทั้งหมดล้วนเกิดจากการลอบสังหารครั้งล่าสุดจนต้องระหกระเหินมาเร้นกายแถบนี้ นานร่วมปีแล้ว
จากเหตุการณ์ครั้งนั้น จ้าวเหว่ยจึงกลายเป็นคนที่ไม่ต่างจากชายพิการอย่างแท้จริง จำต้องหลบซ่อนอย่างน่าละอาย
หนึ่งปีมาแล้วที่ราชวังต้าถังตกอยู่ในภาวะเลวร้าย
หลังจากจ้าวเหว่ยได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทเพียงไม่นานก็ถูกลอบสังหารจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ต้องเสียท่าอย่างไม่น่าให้อภัย
ฮ่องเต้ต้าถังผู้รับรู้เรื่องราวของโอรสเป็นอย่างดี จึงออกคำสั่งผ่านองครักษ์เงาว่าให้เขาเร้นกายรั้งอยู่ในสถานที่ปลอดภัยไปก่อน จนกว่าเรื่องวุ่นวายจะคลี่คลาย
ตำแหน่งผู้ครองตำหนักบูรพาของจ้าวเหว่ยคล้ายราบรื่น ทว่าเรื่องกลับไม่ง่ายนัก เส้นทางแห่งบัลลังก์ทองของตัวเขาที่เป็นองค์รัชทายาทโดยสมบูรณ์ในยามนี้ยิ่งไม่ง่ายดายเช่นกัน
การคงอยู่ด้วยตัวตนอันอัปลักษณ์นามว่ากงหนิวจึงจำต้องดำเนินต่อไป อย่างไร้ทางเลือก
เซียงซิ่นร่ายเวทเสกผลไม้รสเลิศหลายชนิดวางลงบนจานหยกขาวส่งให้ถังไห่เฉิงแล้วกล่าวต่อ “แต่สิ่งที่เหนือคาดการณ์คือครั้งที่ปรมาจารย์เซียนหย่งสือดึงวิญญาณของศิษย์พี่ซานซาน ยามนั้นกลับมีวิญญาณของสตรีนางน้อยติดร่างแหถูกดึงไปด้วย นางจึงต้องถูกขังอยู่ในกำไลหยกลายครามนานหลายร้อยปี ท้ายที่สุดยามนี้นางได้กลายเป็นเหรินเซียนผู้สูงส่งบนแดนมนุษย์ และพรหมจรรย์ของนางยังเป็นที่ต้องการของนักพรตนอกรีต”ถ้อยวาจาช่วงท้ายของชายชราชุดขาวทำถังไห่เฉิงรู้สึกร้อนรุ่มอย่างมิอาจควบคุม หัวใจดิ่งวูบทันใดเขาชะงักเล็กน้อยก่อนพยายามสงบสติอารมณ์ของตนลงแล้วเลื่อนป้านชาไปรินน้ำชาส่งให้ท่านผู้เฒ่าอีกครั้ง ก่อนนั่งฟังด้วยท่าทางนิ่งสงบดุจเดิม หากแต่แววตากลับสั่นไหวไม่หยุดแล้วเซียงซิ่นกล่าวต่อ “ใต้หล้าทั่วแดนย่อมมีคนดีคนชั่วปะปน นักพรตก็คน ยามฝึกฝนย่อมมีเลวร้ายแอบแฝงมิอาจข้ามผ่านได้ เช่นนั้นเพื่อความปลอดภัยแห่งเหรินเซียน ข้าจึงมีหน้าที่มารับนางกลับไปยังที่ที่นางจากมา”ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววดุดัน ถังไห่เฉิงขบกรามกรอด ริมฝีปากบางเม้มแน่นเป็นเส้นตรงนี่ล่ะ! ลางสังหรณ์ที่เขากำลังกลัวเซียงซิ่นยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มด้วยท่าทางสำรวมเยือก
ถังไห่เฉิงไม่อยากเสียเวลาจึงคิดเอ่ยคำโดยไม่อ้อมค้อม ทว่ายังไม่ทันเปิดปาก กลับได้ยินถ้อยวาจาทุ้มนุ่มประดุจเสียงสวดมนต์ที่แฝงความปราณีดังขึ้นก่อน“ข้ารอเจ้าอยู่เป็นนาน”อ๋องหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อย นึกแปลกใจนัก “ท่านรอข้า?” เขาหรี่ตา “คงมิใช่รอจับข้าไปเป็นนักบวชเพื่อล้างบาปชำระจิตใจ”บางคราบุตรชายมักพลั้งเผลอแสดงนิสัยเฉกเช่นมารดา ถังไห่เฉิงไม่เคยมีความคิดละทางโลกทิ้งครอบครัว“แน่นอนว่ามิใช่เช่นนั้น” ภายใต้กิริยาสำรวมเยือกเย็น เซียงซิ่นค่อยๆ ลืมตาช้าๆ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งแต่กังวานนุ่มนวล “ข้าแค่ทำตามคำสั่งของอาจารย์เซียนหย่งสือ”การได้พบผู้สูงส่งเหนือเมฆเป็นเรื่องยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร หากแต่การได้พบโดยง่ายย่อมมีนัยลึกลับซับซ้อนถังไห่เฉิงขมวดคิ้วงุนงง ยังไม่เข้าใจ ได้ยินชายชราชุดขาวกล่าวต่อด้วยกระแสเสียงดุจเดิม“เจ้ามีหน้าที่ของเจ้า ส่วนข้าย่อมมีหน้าที่ของข้า”เรียวคิ้วยิ่งผูกปม อ๋องหนุ่มยังคงคาใจอยู่ดี“หน้าที่เราสอง มิน่าเกี่ยวข้องกันกระมัง”ชายชราไม่ตอบ เพียงขยับนิ้วเบาๆ หนึ่งคราชั่ววูบต่อมาพลันเกิดลำแสงสีขาวสบายตาโอบล้อมรอบกายแกร่งของอ๋องหนุ่ม ลี่เซียนค่อยๆ ลอยขึ้นสูงออกจ
เจ้าม้าศึกมีกำลังวังชาเพิ่มขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะไอเซียนที่สัตว์เดรัจฉานสัมผัสได้โดยแท้ถังไห่เฉิงจึงควบม้าคู่ใจพุ่งทะยานปราดเปรียวยิ่งกว่าเดิม ทั้งรวดเร็วราวฟ้าผ่าไม่มีเสียเวลาแม้พักผ่อนเส้นทางแม้คดเคี้ยวและยาวไกลจึงมิใช่อุปสรรคอันใดส่วนปรมาจารย์เซียงซิ่นก็มิใช่ว่าคนเช่นรุ่ยอ๋องจะไม่รู้จักท่านผู้นี้มุ่งบำเพ็ญเพียรสูงส่ง ละทางโลก ใฝ่ทางธรรม ไม่ประสงค์วุ่นวายกับมนุษย์คนใดทั้งนั้น ผู้คนใต้หล้าล้วนรู้กันดีถังไห่เฉิงไม่คิดไม่ฝันว่าตัวเขาที่ฝักใฝ่ด้านมืดใช้ชีวิตกับการเข่นฆ่าล่าสังหารจักต้องเดินทางไปหาปรมาจารย์เซียงซิ่น ผู้ที่มีฉายาเทพโอสถสูงส่งเหนือเมฆาเช่นนี้คนผู้นั้นเปรียบประดุจสีขาวพิสุทธิ์ไร้มลทินอย่างสิ้นเชิง ส่วนตัวเขาคือสีดำอย่างแท้จริง ทั้งแปดเปื้อนความชั่วร้ายขั้นสุด อีกอย่าง...ปรมาจารย์ผู้สูงส่งใช่ว่าอยากพบก็ได้พบเสียเมื่อไหร่อ๋องหนุ่มครุ่นคิดพลางก้มลงมองร่างนุ่มซีดขาวตรงหน้า เรือนกายของนางทอดนิ่งอยู่ในอ้อมแขนเพื่อลี่เซียนแล้ว ไม่ว่าสิ่งใดเขาย่อมพร้อมเสี่ยง ขอเพียงนางฟื้นขึ้นมา มิใช่หลับใหลคล้ายตายจากไปเช่นนี้หลายวันที่เร่งรุดเดินทางไกลทำให้เหนื่อยล้าเป็นธรรมดา ทั้
ชั่วครู่ต่อมา...ศิษย์พี่ใหญ่ของกลุ่มจึงถูกศิษย์น้องรองและศิษย์น้องเล็กส่งสายตากดดันประหนึ่งเอามีดมาจ่อลำคอว่าเชิญท่านพูดก่อน...ศิษย์พี่ใหญ่จึงกลืนน้ำลายลงคอดังเอื้อกแล้วเริ่มเอ่ยคำ“ทูลท่านอ๋อง สถานที่แห่งนี้นับว่าศักดิ์สิทธิ์อย่างที่สุด เหมาะแก่การฝึกฌานเร่งพลังวัตรเสริมการโคจรลมปราณเพื่อบำเพ็ญตบะ เพียงแต่ยังต้องใช้ระยะเวลาเนิ่นนาน เป็นไปได้ว่าอาจารย์ซุนยวี่ หวังฝึกทางลัดโดยใช้วิชาต้องห้าม”อ๋องหนุ่มแค่นถามเสียงเย็น “วิชาอะไร?”เห็นศิษย์พี่ใหญ่ตัวสั่นปานนั้น ศิษย์น้องเล็กจึงลอบหยิกแขนศิษย์พี่รองพร้อมส่งสายตาสื่อความนัยว่าเชิญท่านพูดต่อศิษย์คนรองผู้นี้ย่อมไม่ทำให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องต้องผิดหวัง เขานึกถึงภาพบัดสีก่อนหน้านี้ จึงรีบตอบความจริงโดยพลัน“หนึ่งในวิชาต้องห้ามคือวิชาในคัมภีร์เสพสังวาสพ่ะย่ะค่ะ เพราะต้องใช้หญิงสาวบริสุทธิ์เท่านั้น พรหมจรรย์ช่วยทำให้นักพรตมีอายุยืนนาน ทั้งรูปโฉมหล่อเหลางดงามตลอดกาล หากว่าเป็นหญิงสาวทั่วไปจักเสพสมที่ใดก็ได้ ทว่าอาจารย์กลับเลือกที่นี่กับหญิงงามผู้นี้...”เขากวาดสายตามองไปทางเปลวเพลิงแล้วรีบกล่าวต่อ “ทั้งยังใช้ศาสตราวุธเหนือชั้น มนตราม่านพลัง ค
ปราณบริสุทธิ์ที่แผ่ซ่านทั่วกายแกร่งของถังไห่เฉิงเพราะลี่เซียนถ่ายทอดให้เพื่อใช้ปกป้องภยันตรายจากบรรดาภูตผีปีศาจนั้นไม่ผิด ทว่าท้ายที่สุดกลับเป็นการช่วยลี่เซียนให้พ้นภัยในเสี้ยวเวลาเพราะไอเซียนกับปราณบริสุทธิ์ย่อมสื่อถึงกัน ถังไห่เฉิงที่อยู่นอกถ้ำจึงรับรู้ได้ทันทีว่าลี่เซียนกำลังปรากฏกายอยู่ใกล้ๆเสียงกรีดร้องของนางเพียงชั่ววูบเดียวทำเขาเหลียวหลังวิ่งกลับเข้าถ้ำอย่างไม่ต้องคิดอะไร กลไกใดๆ ล้วนมิอาจสกัดกั้นความห่วงหาที่กำลังปะทุเดือดพล่านสัญชาตญาณเป็นสิ่งที่ถังไห่เฉิงเชื่อมั่นเสมอ แม้ไม่เข้าใจว่าเกิดสิ่งใด แต่ทันทีที่เห็นนางผลักเจ้าซุนยวี่จนกระเด็นเช่นนั้น เขาย่อมต้องฆ่ามันก่อนค่อยสอบถามทีหลังเปลวเพลิงยังคงลุกโหม มองเห็นเศษชิ้นส่วนร่างกายของซุนยวี่กำลังถูกไฟเผาผลาญจนมอดไหม้ไม่เหลือซากกลิ่นสาบสางคาวคลุ้ง บรรยากาศรอบกายรู้สึกถึงความวังเวงอย่างประหลาด เมื่อหลับตานิ่งฟังยังได้ยินเสียงร่ำร้องโหยหวนดังเล็ดลอดออกมาจากมีดสั้นสีดำอักขระโบราณมีดสั้นเล่มนี้ผ่านการร่ายคาถาอาคมเหนือชั้นมาอย่างดีโดยปรมาจารย์สูงส่งเหนือเมฆผู้หนึ่ง ซึ่งมารดาของอ๋องหนุ่มเป็นผู้มอบให้อีกที อาวุธร้ายทำลายล้างที่ติดกา
ทุกคนเบิกตาถลน ถามดังลั่น “อาจารย์ ท่านทำอะไร?”ซุนยวี่ชะงักงันทันใด เสกม่านพลิ้วไหวปกปิดทันที“ออกไป!”คำสั่งนั้นคล้ายสายลมโชยวูบไม่เข้าหูแม้แต่น้อยแม้นม่านคลี่คลุมปิดกั้นจนมิด ทว่าภาพบัดสีที่เห็นเมื่อครู่ทำให้บัดนี้นักพรตน้อยทุกคนขาแข็งไปแล้วก้าวออกไปมิได้สักคน“อาจารย์! ท่าน...”สุ้มเสียงวุ่นวายทำมือที่กำลังปลดกางเกงชะงักงันอีกคราและนั่นคือเสี้ยวเวลาแห่งเหรินเซียนโดยแท้ สตรีผู้มีสติเหลือเพียงน้อยนิดได้มีโอกาสฮึดสู้สุดชีวิตทันทีลี่เซียนปล่อยพลังปราณสายหนึ่งกระแทกซุนยวี่อย่างแรง จนร่างแกร่งของเขาลอยไปกระแทกกับผนังถ้ำดังอั่กนางรู้สึกรังเกียจชายผู้นี้ วงแขนของเขาน่าขยะแขยงสิ้นดีหญิงสาวยกมือสะบัดอีกครา ก่อเกิดม่านพลังพุ่งใส่ซุนยวี่ จนร่างของเขาลอยตัวขึ้นแล้วตกกระแทกพื้นดังอึกหากแต่แค่นี้ไหนเลยจะคณามือนักพรตวิชาแก่กล้าปลายเท้าซุนยวี่ยังคงยืนหยัดมั่นคง สองตาหลุบลงมองพื้นหินที่ถูกพลังปราณครูดเป็นทางยาว เขาเหยียดยิ้มมุมปากอย่างไม่อนาทรร้อนใจ ค่อยๆ เดินกลับไปหาคนงามที่ปล่อยพลังเฮือกสุดท้ายก่อนนอนทอดกายระหงอ่อนนุ่มรอเขาอยู่บนแท่นหินยามนี้ลี่เซียนหมดแรงแล้วจริงๆ เนื่องจากแสงเรืองรองของ