ภายในตลาดกลางหมู่บ้านผิงเหยียน
ซานซานนำสัตว์ป่ามาขายกับเถ้าแก่ขายเนื้อรายหนึ่ง ได้เงินมาเล็กน้อยแค่พอซื้อกระดาษไม่กี่แผ่น กับหมึกและพู่กันเท่านั้น สร้างความไม่พอใจให้นางอย่างยิ่ง
หญิงสาวจึงเดินกลับบ้านด้วยอารมณ์หงุดหงิดตลอดทาง ในใจยังคิดว่าควรหาวิธีชั่วๆ ทำเงินดีกว่า น่าจะได้มากกว่านี้
ระหว่างทางกลับบ้านไม้ไผ่ริมธารซึ่งอยู่ห่างไกลจากบ้านเรือนอื่นๆ สองข้างถนนยามนี้คือชายป่า มีดอกไม้ประดับประดากับต้นไม้ต้นหญ้าทั้งสองฝั่ง เบื้องหลังของซานซานพลันมีเสียงเรียกขาน
“พี่ใหญ่”
เสียงนั้นฟังดูสดใสร่าเริง นางคือชิงลี่
ซานซานในร่างชิงหลินเพียงหันมองอย่างเฉยชา
นางเห็นน้องสาวผู้น่ารักของชิงหลินกำลังเดินเคียงข้างมากับบุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง เขาเป็นเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาโดดเด่น ผิวพรรณดั่งหยก สวมชุดสีขาวสะอาดราวกับบัณฑิตผู้ทรงภูมิ องคาพยพทั้งห้ารวมกันอย่างลงตัว ดวงตาดอกท้อสะกดใจสตรี
เขาคืออดีตคู่หมั้นของชิงหลิน และปัจจุบันก็คือคู่หมั้นของน้องสาว
จางฉวน...
ทั้งสองแสดงออกชัดเจนเปิดเผยโดยไม่ปิดบังอีกต่อไปแล้วว่าสถานะของทั้งคู่คืออะไร
ในเมื่อพี่สาวเป็นฝ่ายออกเรือนไปก่อนกับชายอื่นเช่นนั้น อดีตคู่หมั้นกับน้องสาวจะเกี่ยวดองกันย่อมไม่ผิดอยู่แล้ว
ซานซานมองคู่ยวนยางตรงหน้านิ่งๆ แววตาไร้อารมณ์
หากคิดไม่ผิด น้องสาวแพศยาผู้นี้ ไม่จำเป็นต้องทักทายนางที่เดินหันหลังให้ก็ย่อมได้ แต่กลับเรียกเพื่อรั้งเอาไว้ก็เพราะต้องการตอกย้ำถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา
คงอยากเห็นชิงหลินเจ็บปวด...
ซานซานยิ่งหรี่ตามอง สีหน้าเย็นเยียบ สายตาเยือกเย็น กิริยาสงบนิ่ง รอบกายยังเผยความเย่อหยิ่งจองหองออกมาด้วย
ชิงลี่สังเกตเห็นท่าทางของพี่สาวที่มองดูแล้วให้รู้สึกถึงความยโสโอหังผิดไปจากเดิม มุมปากบางพลันกระตุก รอยยิ้มแข็งค้างทันควัน ทว่าชั่ววูบเดียวเท่านั้น นางก็กลับมายิ้มได้น่ารักไร้เดียงสาเช่นเดิม กิริยายังคงน่าเอ็นดู เพราะข้างกายมีจางฉวนมาด้วยหนึ่งคน จึงมิอาจหลุดจริตได้
“พี่หลินไปตลาดซื้อกระดาษมาหรือ?”
ชิงลี่เอ่ยถามพี่สาวด้วยน้ำเสียงแว่วหวานเปี่ยมมิตรไมตรีฉันพี่น้องที่รักใคร่กลมเกลียว นางยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะเล็กน้อยเอ่ยอีกว่า “ไม่น่าเชื่อ ปกติพี่หลินมิใคร่ชอบคัดอักษรนี่”
นางมองกระดาษในอ้อมแขนของชิงหลินด้วยสายตาเหยียดหยาม สื่อความนัยว่าชิงหลินโง่เง่าจะเอากระดาษไปทำไม เพราะที่ผ่านมาพี่สาวของนางร่ำเรียนเขียนอ่านไม่ได้เรื่องสักอย่าง ประโยคทักทายนี้จึงเป็นการตอกย้ำอีกฝ่ายว่าไร้ฝีมือในการเขียนแต่กลับซื้อกระดาษมากมาย ช่างน่าขัน...
แต่แล้วชิงลี่ถึงกับชะงักงันเมื่อได้ยินพี่สาวตอบกลับว่า
“ในเมื่อใจคนยังเปลี่ยนได้ เหตุใดข้าที่ไม่ชอบเรียนจะเปลี่ยนมาชอบเขียนหนังสือมิได้เล่า?”
ความหมายชัดเจนว่าชายหญิงตรงหน้าเองก็เปลี่ยนไป
จบคำก็ปรายตามองชิงลี่แล้วตวัดสายตามองจางฉวน ความหมายล้วนชัดเจนถึงแววเดียดฉันท์ ถามอีกว่า
“ข้าแค่เปลี่ยนมาชอบเขียนแล้วพวกเจ้าเล่าเปลี่ยนอันใด”
หนังหน้าชิงลี่พลันกระตุก
ส่วนจางฉวนกำลังมองประเมินชิงหลินอย่างเงียบเชียบ
ท่ามกลางทางเดินที่เป็นชายป่า รอบด้านเป็นธรรมชาติอันร่มรื่น จางฉวนมองใบหน้าและท่าทางของชิงหลินอย่างพินิจพิจารณา หลายวันที่มิได้เจอหน้า ชายหนุ่มพบว่าอดีตคู่หมั้นคล้ายเปลี่ยนไป
มิรู้ได้ว่าเขาคิดไปเองหรือไม่? ว่านางในวันนี้ดูไม่เหมือนเช่นวันวาน เหตุใดจึงดูสวยสง่ายิ่งกว่าเดิม
สายลมเย็นพัดมาวูบหนึ่ง พาอาภรณ์สีฟ้าสะบัดพลิ้วแนบกายระหงที่เคยอ่อนแอแม้แต่ท่ายืนยังไม่มั่นใจ ทว่าชิงหลินในวันนี้กลับยืนอย่างมั่นคง ลำตัวที่ตั้งตรงแลดูสง่างาม ท่าทางยังสุขุมนุ่มลึกสงบนิ่งเยือกเย็น แตกต่างจากวันวานอย่างสิ้นเชิง สายตาที่มองมาทั้งเฉยชาและห่างเหิน ไม่หลบหลีกไม่วอกแวก ไม่แม้แต่จะก้มหน้าอย่างเอียงอายหรือขลาดเขลาอย่างที่เคย
และที่สำคัญในแววตานางไม่มีเยื่อใยใดๆ ต่อเขาเลย ความหลงใหลอย่างโง่งมยิ่งไม่มีให้เห็นแม้แต่น้อย
จางฉวนพบว่า หัวใจของเขาคล้ายกับเต้นผิดจังหวะ
เมื่ออดีตคู่หมั้นไม่เหมือนเดิมอย่างที่ควรเป็น
นางเปลี่ยนไป...
แววตาลึกล้ำ สีหน้าเย่อหยิ่ง ท่วงท่างดงามผ่าเผยเช่นนั้น ไม่เคยปรากฏมาก่อนเช่นนี้
เดิมทีจะต้องมีอาการตกประหม่า เผยสีหน้าหวาดกลัว ไม่มั่นใจในตนเองตลอดเวลา ทว่ายามนี้ กิริยาล้วนเด็ดเดี่ยว มีท่าทีมุ่งมั่น เข้มแข็งทรงพลัง มั่นคงเฉียบขาด
เรียวตาคมวูบไหว บุรุษหนุ่มรู้สึกเสมือนได้เจอรักแรกพบกับอดีตคู่หมั้นอย่างไรอย่างนั้น
เขานึกแปลกใจไม่เบาที่เห็นชิงหลินแปลกตาไปจากเดิม
เส้นเสียงของนางยังคงอ่อนหวานเช่นเดิม ทว่ากลับกังวานใสอย่างประหลาด แววตาของนางที่เคยมองเขาอย่างหยาดเยิ้มหลงใหลล้วนเปลี่ยนไป ไม่มีแม้ริ้วรอยแห่งความรักใคร่อยู่ในนั้นเลยแม้แต่น้อย มีแต่ความเฉลียวฉลาดอันน่าประทับใจ นางคล้ายมีเสน่ห์ดึงดูดผิดไปจากเดิมมากโข
ชายหนุ่มให้รู้สึกว่าสิ่งของจืดชืดไร้ราคาที่เคยเป็นของตนเองกำลังมีสีสันจนแสบตาและหลุดมือเขาไปอย่างน่าเสียดาย
ท่ามกลางภาวะตกตะลึงของพวกเขา หยางเฉิงขี่ม้ากลับมาที่กลุ่มคน เขาลงจากหลังม้า จูงมันมาตรงหน้าซานซาน“ข้าให้เจ้ายืมม้าพร้อมคันธนู”ชายหนุ่มเอ่ยอย่างใจดี ทว่านั่นคือประสงค์ร้ายชัดเจนม้าคู่ใจผู้อื่น ธนูยังเป็นอื่น ใครรับไว้ย่อมฆ่าตัวเองหากมิใช่เจ้าของ ม้าดีย่อมพยศ มิใช่อาวุธประจำกายย่อมถือไม่ถนัดมือ ไม่ต้องถึงขั้นยิงธนูหรอก แค่ขึ้นหลังม้าเกรงว่าคงถูกดีดจนร่วงลงมาแขนขาหักหลายท่อนไหนยังจะเป็นเรื่องของเวลาที่ไม่ทันกะพริบตาอีกเล่าทุกผู้คนล้วนคิดเห็นในใจได้อย่างนั้น ในขณะที่ซานซานยังคงยืนนิ่ง สีหน้าราบเรียบหวังมู่ยิ้มเยาะ “รองแม่ทัพหยางของข้าช่างใจกว้างยิ่งนัก สมกับสตรีจิตใจคับแคบแล้วหรือ?”ทหารหลายนายลอบยกยิ้มเย้ยหยัน สายตามองซานซานว่าไม่เจียมตน เก่งแต่ปากทหารหญิงยิ่งมองอย่างอับอายระคนเห็นใจ พวกนางไม่รู้จะช่วยครูฝึกอย่างไรดี จึงทำได้แค่ส่งกำลังใจทางสายตานายทหารแซ่ซ่งยังคงเอาหน้า เขาเดินเข้าหาซานซานแล้วยื่นแส้ในมือให้“ในเมื่อท่านรองแม่ทัพให้ม้า ข้ามอบแส้ให้แล้วกัน”แม้เป็นคำพูดน่าฟัง ทว่าแววตากลับเยาะเย้ยเต็มที่ เขาเอ่ยอีกทีด้วยสุ้มเสียงเหยียดหยัน “แต่ท่านรองแม่ทัพหยางไม่จำเป็นต้องตีม
แท้จริงซานซานมิได้ต้องการแข่งขันอันใดและไม่คิดปรามาสใคร นางแค่รู้สึกไม่พอใจเรื่องที่อาหนิงถูกทำให้อับอาย กอปรกับได้ลับฝีปากกับอันธพาลแซ่หวังจนอารมณ์เตลิดเลยเถิดไปเท่านั้น ทว่าถูกท้าประลองเช่นนี้ย่อมดีไม่น้อยจะได้ถือโอกาสยืดเส้นยืดสายและสอนสั่งทหารใหม่ไปในตัวท่ามกลางสายตาของเหล่าทหารทั้งหลายที่ลุ้นระทึกไปกับซานซาน ได้ยินนางรับคำเสียงหนึ่ง“ย่อมได้...เชิญท่านรองแม่ทัพก่อนเถิด”หยางเฉิงพยักหน้าให้ เป็นอันตกลงทุกสายตามองทั้งสองอย่างเงียบงัน ไม่มีใครกล้าออกความคิดเห็นอันใดทั้งนั้นชั่วจังหวะที่สายลมคล้ายหยุดนิ่ง ได้ยินหวังมู่สั่งการอีก“ไปนำม้ามา”หัวหน้าทหารที่ยืนอยู่ใกล้เขารับคำสั่งเสียงหนักก่อนวิ่งตะบึงออกไปทหารใหม่ให้นึกตกใจ มิใช่ยืนยิงเป้าแบบปกติหรือ? ทุกวันที่ฝึกหนัก พวกเขายังไม่เคยมีโอกาสได้ขี่ม้าเลยสักครั้ง กระทั่งครูฝึกซานก็ไม่เคยได้ม้ามาร่วมฝึกเลยสักหนทุกคนมองซานซานอย่างเป็นกังวล ไม่นาน...หัวหน้าคนเดิมก็กลับมาพร้อมม้าพ่วงพีตัวใหญ่ และทันทีที่เจ้าม้าเดินเหยาะๆ มาแล้วเห็นหยางเฉิงยืนอยู่มันก็ส่งสายตาดีใจมาทางเขาทันที ท่าทางสนิทสนมคุ้นเคยกับอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก วิ่งปรี่มาทาง
จ้าวเหว่ยกับจ้าวหมิงจึงเป็นพี่น้องที่สนิทสนมกันมาก หากแต่ภายนอกกลับไม่มีใครล่วงรู้จ้าวหมิงไม่มีตระกูลฝั่งมารดาคอยสนับสนุนจึงใช้ฐานะสูงส่งของเชื้อพระวงศ์รับสตรีมาเป็นฐานอำนาจจนเต็มวังของตน ในสายตาผู้คนเขาเป็นองค์ชายเจ้าสำราญที่คิดคานอำนาจกับรัชทายาทเหมือนพี่น้องคนอื่นๆ จึงทำให้ไม่ถูกจับตามองสักเท่าใด ซึ่งแท้ที่จริงสิ่งที่จ้าวหมิงทำไปก็เพื่อคอยเป็นทัพเสริมให้จ้าวเหว่ยในที่ลับ การศึกแต่ละครั้งยังเป็นกุนซือให้อีกด้วยหากกล่าวว่าจ้าวเหว่ยที่ไม่ยอมแต่งงานนั้นเป็นบุรุษไร้ใจ ก็คงเปรียบจ้าวหมิงเป็นบุรุษมากรักเพราะแต่งงานนับครั้งไม่ถ้วนเพื่อรับสตรีมาอุ่นเตียงมากมายและแน่นอนว่าความจริงมิได้เป็นเช่นนั้น เพราะจ้าวเหว่ยมีรักปักใจต่อภรรยาอย่างซานซานจึงไม่ยอมแต่งงานกับใครอีกส่วนจ้าวหมิงคือบุรุษไร้ใจโดยสมบูรณ์ เขาไม่เคยรักสตรีใดเลยสักคน หลังจากหยอกเย้าพี่ชายพอหอมปากหอมคอ จ้าวหมิงจึงนั่งจิบชาต่อเพื่อรอชมฉากสนุก จ้าวเหว่ยหมุนกายมานั่งลงด้วยท่าทางเคร่งขรึม แล้วเอ่ยถาม“เหตุใดเจ้าไม่อยู่ที่วัง มาโผล่ที่นี่ทำไม?”จ้าวหมิงหัวเราะเสียงนุ่ม “ไม่มีที่ใดในวังที่เราจะได้นั่งคุยกันเช่นนี้ พี่ใหญ่ก็รู้” เขาร
ค่ายทหารทุกค่ายจะมีสถานที่รับรองผู้บัญชาการจอมทัพเป็นเรือนพักหลังใหญ่เรือนพักนี้สร้างไว้สำหรับรัชทายาทเข้ามาพำนักยามตรวจตรากองทัพ มีเพียงองครักษ์คนสนิท บ่าวรับใช้ติดตามและแม่ทัพคนสำคัญที่ถูกเรียกตัวมาเป็นการเฉพาะกิจเท่านั้นถึงจะเข้ามาได้ นอกนั้นห้ามผู้ไม่ได้รับอนุญาตเข้าใกล้เด็ดขาดเพราะหลายครั้งที่ชาวบ้านได้ข่าวว่ารัชทายาททรงมาตรวจตราเยี่ยมเยือนค่ายทหาร พวกเขามักจะพากันมารวมตัวตั้งขบวนขอเข้าเฝ้าแถวยาวตั้งแต่ประตูค่ายจนถึงทางเข้าหมู่บ้านนอกจากชาวบ้านยังมีทหารใหม่ที่พากันมาจับจองที่ยืนใกล้เรือนพักส่วนพระองค์ตั้งแต่รุ่งสางยิ่งเป็นทหารหญิงยังแต่งหน้าทาชาดอีกด้าย ทว่าน่าเสียดายที่รัชทายาทมิใคร่ชอบการกระทำเช่นนั้นเท่าใด จึงไม่เคยอนุญาตให้ใครเข้าเฝ้าทั้งสิ้น และยิ่งไม่เคยเปิดเผยการเดินทางให้ค่ายใดทราบล่วงหน้าเรือนสองชั้นห่างออกมาจากลานฝึกเล็กน้อยบุรุษหนุ่มยืนนิ่งเอามือไพล่หลังดังผู้สูงศักดิ์ ทอดสายตาคมสีดำรัตติกาลมองไปยังความวุ่นวายที่ลานฝึกอย่างเงียบงัน จ้าวเหว่ยใช้เวลาเดินทางตรวจตรากองทัพทั้งสี่ทิศรอบเมืองพบเห็นความวุ่นวายระหว่างทหารเก่ากับทหารใหม่จนชินตา ไม่นับว่าตื่นเต้นอันใด เพ
เมื่อรู้ตัวอีกทีก็ปล่อยให้นางพูดไม่หยุดเสียแล้วเส้นเสียงของซานซานยังคงดังเนิบช้า “ทุกคนในที่นี้ล้วนมีความหวังที่จะร่วมเป็นร่วมตายยามภัยมาเยือน สงครามไม่เคยปรานีผู้ใด พวกเราไยมิใช่ปรานีใส่กันให้มากเข้าไว้ แม้สตรีมิได้มีพละกำลังมากนัก แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธว่าหลายครั้งยังต้องอาศัยพวกนางทำศึกหนัก ไม่ว่าจะแผนนารีพิฆาต วสันต์ลวงสังหาร ร่านราคะอำมหิต เสน่หาคร่าชีวิต”แผนสาวงามที่กล่าวมาล้วนมีจริงในหมู่นักฆ่า บรรดาทหารหญิงก็คงมีไม่ต่างกันดวงตาแวววาวของซานซานแข็งกร้าวยามกวาดมองไปทางฝั่งบุรุษ นางชี้นิ้วไปทางสตรีพลางส่งเสียงดังกังวานท้าทาย “จงบอกแก่ข้า ว่าหากพวกท่านที่เป็นบุรุษปลดชุดเกราะถอดหมวกเหล็กแล้วใส่เพียงผ้าเนื้อบางแนบกาย ไม่มีคันธนูแบกอยู่บนแผ่นหลัง ในมือไม่มีหอกหรือดาบทวนกระบี่ทั้งนั้น ร่างกายยังไร้ซึ่งพลังปราณร้ายกาจ เช่นนั้นยังสามารถสังหารศัตรูบนเตียงอย่างเฉียบขาดเยี่ยงพวกนางได้หรือไม่”เงียบกริบ เงียบประดุจสุสาน ได้ยินกระทั่งสายลมแผ่วพัดผ่านใบหูท่ามกลางสายตาตะลึงอึ้งและนิ่งฟังแข็งค้างของผู้คน ซานซานเอ่ยปากอีกหน “คนเหมือนกัน แคว้นเดียวกัน ยิ่งเป็นทหารของกองกำลังเดียวกัน จะเหยียดหยันดูแ
ภายใต้สายตามองประเมินอย่างเย็นชาของซานซาน แม่ทัพหวังแค่นเสียงเฮอะแล้วกล่าวเสียงห้วน“นึกว่าแน่ ที่แท้ก็แค่สุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ เป็นคนของสนมวังหลังยังกล้ามาเป็นครูฝึกของที่นี่ช่างไม่เจียมตัว”ช่างเป็นการข่มขวัญกันชัดเจนเป็นไปได้ว่า การเข้ามาอยู่ในฐานะครูฝึกของซานซาน ยังค่ายทหารแห่งนี้ คงทำให้พวกบุรุษตรงหน้าหมั่นไส้มานานแล้วแต่นางต้องกลัวกระนั้นหรือ?คำตอบคือเดินขึ้นหน้าด้วยกิริยาเนิบช้า แผ่นหลังเหยียดตรงสง่า สีหน้าของนางเฉยชา เปล่งเสียงเย็นเยียบว่า“บุรุษเปรียบดั่งท้องฟ้า สตรีไม่ต่างจากพสุธา พวกท่านจึงคิดว่าเหยียบย่ำอย่างไรก็ได้” นางแค่นเสียงหัวเราะคราหนึ่งแล้วกล่าวต่อ “แต่อย่าลืม ...หากไม่มีแผ่นดินผู้ให้กำเนิด บุรุษอย่างพวกท่านไหนเลยจักมีที่ยืน!”ชายฉกรรจ์ทั้งหลายต่างนิ่งอึ้ง พวกเขาล้วนเข้าใจ ความหมายคือ หากไม่มีสตรี พวกเจ้าทุกคนย่อมมิได้เกิดมา!ทว่าแม่ทัพหวังแค่นเสียงฮึอย่างไม่สะทกสะท้านหรือไม่เข้าใจความนัยก็สุดรู้ แววตาของเขาพราวระยับแต่ปากกลับเอ่ยคำหยามหยัน“พวกผู้หญิงก็เท่านี้ ดีแต่ปากกันทั้งนั้น โดยเฉพาะยามอยู่ใต้ร่างผู้ชายย่อมเหมือนกันหมด ครางกระเส่าปา