เวลานี้ยังไม่ดึกมากนัก อินทุภาเดินหลีกญาติๆ ที่กำลังนั่งล้อมวงดื่มเหล้ากันอยู่ ออกมาทางสวนหลังบ้าน เธออดขำไม่ได้ เมื่อคิดว่าพวกเขาคุยกันรู้เรื่องได้อย่างไร ต่างคนต่างพูด ต่างคนต่างเล่าเรื่อง จนแทบจะจับใจความไม่ได้ คงเพราะไม่ได้เจอหน้ากันมานาน ทำให้เสียงตะโกนคุย ดังโหวกเหวกกระหึ่มไปทั่วทั้งห้องโถง
อินทุภามีปัญหาด้านการนอน ต้องอยู่ในที่เงียบสงบจริงๆ ถึงจะหลับได้ หากมีเสียงอื้ออึงแบบนี้ตลอดทั้งคืน คงหลับตาไม่ลงแน่ๆ เธอกินยาแก้ปวดหัวแล้วเดินลัดเลาะออกมา กะว่าจะนั่งพักสายตารับลมใต้ต้นอวี้หลันนี้สักครู่ รอให้ยาออกฤทธิ์ก่อน แล้วค่อยกลับไปลองพยายามนอนใหม่อีกครั้ง
แกร่บ! แกร่บ! แกร่บ!
เสียงฝีเท้าย่ำลงบนใบไม้แห้งดังกรอบแกรบ ทำลายความเงียบสงบที่ปกคลุมอยู่ อินทุภาลืมตาขึ้นมอง ก่อนจะเห็นชายวัยกลางคนผู้เป็นญาติห่างๆ ซึ่งหากนับลำดับเครือญาติกันดีๆ แล้ว เขากลับมีศักดิ์เป็นรุ่นหลาน แต่ดันมีอายุมากกว่าเธอเกือบสองรอบ พอเดินเข้ามาใกล้ ก็นั่งลงข้างตัวเธออย่างเงียบเชียบ
“ทำไมมานั่งคนเดียวล่ะ?” ขณะที่เขาเปิดปากพูด กลิ่นเหล้าก็ลอยคละคลุ้งวนเวียนอยู่ในอากาศรอบๆ ตัว อินทุภาขยับจะลุก แต่เขากลับคว้าหมับเข้าที่ต้นขา อีกมือจับเอวรั้งไว้ไม่ให้ลุก
“ปล่อย!!” อินทุภาเกร็งตัวตวาดเสียงลั่น
"เดี๋ยวก่อน! อย่าเพิ่งเข้าใจผิด! เฮียแค่อยากมาคุยด้วย" เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน แต่กลิ่นเหล้าที่ฟุ้งออกมารุนแรงจนเธอแทบทนไม่ไหว รู้สึกอยากจะอาเจียน จึงผลักอกเขาอย่างแรง พร้อมกับดันตัวถอยห่างออก
“บอกให้ปล่อย!! ถ้าไม่ปะ.....!?!” พูดยังไม่ทันจบ นายไหเหล้าก็ลอยคว้างไปกลางอากาศ ราวกับมีมือใครสักคนดึง และเหวี่ยงเขาออกไปอย่างแรง
สายตาตกตะลึงของอินทุภามองตามร่างของนายไหเหล้าที่ลอยคว้างไปกองกับพื้น ขณะที่หันกลับมามองชายร่างสูงสวมชุดฮั่นฝู เธอก็ยังปากอ้าตาค้างอยู่อย่างนั้นด้วยความตกใจ เขายืนตระหง่านอยู่ตรงหน้า ดวงตาสีดำคมกริบของเขาเปล่งประกายเย็นชาและดุดัน จ้องเขม็งไปที่นายไหเหล้าด้วยแววตาที่ราวกับอยากจะสังหารให้ตายคาที่
อินทุภาได้สติจากอาการตื่นตะลึง เมื่อเห็นชายร่างใหญ่กำหมัดแน่น ก้าวสามขุมไปหานายไหเหล้าด้วยท่าทีมุ่งร้ายหมายกระทืบ จึงรีบคว้าแขนเขาเอาไว้แล้วดึงรั้งสุดแรง เขาพยายามงอแขนเพื่อให้หลุดจากการเกาะกุม แต่หญิงสาวเขายังยึดแขนเขาไว้แน่นทั้งสองมือ จนเขาต้องลากร่างเธอไปด้วยอย่างงุ่มง่าม
นายไหเหล้าพยายามยันตัวลุกขึ้นจากพื้น พร้อมกับก่นด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย เขาหยุดชะงักไปชั่วครู่ เมื่อเห็นชายชุดโบราณหน้าตาดุดันยืนอยู่ตรงหน้า ราวกับไม่แน่ใจว่าเป็นมนุษย์หรือวิญญาณกันแน่
“เฮ้ย! มึงจะไปเล่นงิ้วที่ไหนวะ! จะไปไหนก็ไปให้พ้น ไอ้ขยะ! อย่ามาเสือก!!”
เจ้าที่! เอ๊ย...เจ้าชายโน้มตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ตวัดแขนขึ้นสูงโดยไม่ทันยั้งคิด ส่งผลให้อินทุภาถูกยกตัวลอยพ้นจากพื้นไปด้วย มือเล็กๆ ที่พยายามยึดเกาะแขนเขาไว้พลันหลุดออก จนร่างของเธอร่วงลงกระแทกพื้นอย่างแรง!
"โอ๊ย!!"
เสียงร้องที่ดังลั่นของเธอทำให้เขาหยุดชะงัก หันกลับมามองด้วยสายตาที่สับสน แต่ทันทีที่ได้ยินเสียงอ้อแอ้ท้าตีท้าต่อยของนายไหเหล้า แววตาของเขาก็ลุกโชนขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยวขึ้นมาอีก เขาหันตัวแรง และพุ่งตรงไปหานายไหเหล้าอย่างรวดเร็ว
พลั่ก!
เสียงหมัดกระแทกอะไรแข็งๆ สักอย่าง บางทีอาจโดนแถวๆ กระดูกขากรรไกร
“ไอ้ชาติหมา!! มึงต่อยกู!!”
นายไหเหล้าร้องอุทาน พร้อมกับชี้หน้า ส่วนอีกมือประคองแถวคางที่มีเลือดกำลังไหลอาบอยู่ด้วยอาการสั่นเทา ขณะที่กำลังจ้องมองฟันที่หักหลายซี่กองอยู่บนมือ แต่แล้วก็ต้องตาเบิกโพลงด้วยความตกใจอีกครั้ง เมื่อหางตาเหลือบมาเห็นชายร่างสูงเตรียมยกเท้าหมายจะเตะที่กกหู เขาดีดตัวลุกขึ้นราวกับมีสปริงค้ำยันอยู่ที่ขา หลบปลายเท้าไปได้อย่างหวุดหวิด แล้วก็รีบกลับตัวหันหลังวิ่งหนีเตลิดไปอย่างไม่คิดชีวิต ทันทีที่เห็นชายคนนั้นย่างสามขุมตามมาอีกอย่างไม่ลดละ
“นี่!! หยุดเดี๋ยวนี้!! มาดูฉันก่อน! ฉันเจ็บนะ!!” อินทุภาตะโกนด้วยความกังวล เกรงว่าเขาจะทำร้ายคนจนบาดเจ็บสาหัส จึงพยายามดึงความสนใจของเขาไว้ก่อน
ชายร่างสูงหยุดชะงัก หันกลับมามองตามเสียง แล้วเห็นหญิงสาวนอนคว่ำแผ่หราบนพื้น ใบหน้าด้านข้างซบอยู่บนท่อนแขนเรียวอย่างอ่อนแรง
“ว๊าย!! เฮ้ย!!” อินทุภาร้องเสียงหลง เบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อชายคนนั้นจู่ๆ ก็โน้มตัวมาจับเอวเธอ แล้วดึงตัวลอยขึ้นจนเท้าพ้นพื้น เขารัดเอวและสองแขนของเธอไว้แน่นด้วยแขนที่แข็งแรง ใบหน้าของทั้งคู่อยู่ในระดับเดียวกัน ปากอยู่ใกล้กันแค่คืบ
“หาเรื่องใส่ตัวนักนะ! ไม่มีใครสอนให้รู้หรือไง ว่าตอนกลางคืนอย่าออกไปไหนมาไหนคนเดียว!” เขาดุเสียงแข็ง นัยน์ตาหม่นมืดลุกโชนด้วยความโกรธเกรี้ยว
อินทุภาชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะตะโกนตอบใส่หน้าเขาเสียงดัง
“ตาผีบ้า! นี่มันบ้านทวดฉันนะ! ใครจะไปคิดว่าจะมีอันตรายในบ้านตัวเอง! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้!”
เธอพยายามดิ้นรนเพื่อให้หลุดจากพันธนาการของเขา แต่ยิ่งดิ้น เขากลับยิ่งรัดแน่นขึ้นไปอีก
“ปากจัดจริงนะ! ยังไม่รู้สำนึกอีก! งั้นฉันจะสอนให้รู้ซักครั้ง!”
เดี๋ยว..!?!
อินทุภาอ้าปากเตรียมจะโวยวายต่อ แต่ก็ต้องชะงักค้าง เพราะเขาบดขยี้ริมฝีปากมาอย่างรวดเร็วและอย่างดุดัน แรงจนใบหน้าเธอเงยแหงนไปด้านหลัง เขาเคี่ยวเข็ญเอาอย่างป่าเถื่อนคล้ายจะลงโทษมากกว่าพิสวาส
เธอมีความรู้สึกปวดไปทั้งปากและคาง ลำแขนแข็งแรงกอดรัดแน่นขึ้นไปอีกจนเจ็บ อินทุภานิ่งงันไปชั่วครู่ สรุปแล้วนี่คงเป็นคนแน่ล่ะ ถ้าเป็นผีคงทำแบบนี้กับเธอไม่ได้!
“อื้อ!! นี่!!” เธอพยายามประท้วง ขณะที่เขาถอนปากเพื่อหายใจ แล้วเขาก็กดจูบลงมาอีกรุนแรงกว่าเก่า อินทุภาเจ็บแต่ร้องไม่ออก เธอพยายามเหวี่ยงขาเตะเท่าที่จะขยับได้ แต่ก็ไม่มีผลอะไรสักนิด ยิ่งดิ้นเขายิ่งทำรุนแรง เธอไม่เคยถูกจูบมาก่อน ไม่เคยมีใครมีโอกาสลวนลามล่วงเกินเธอได้ถึงขนาดนี้
อินทุภาเริ่มหมดแรงที่จะดิ้นรนต่อสู้ เธอยอมหยุดนิ่ง เพราะรู้สึกอ่อนล้าทั้งกายและใจเต็มที แต่ทันใดนั้น จูบของเขาก็เปลี่ยนไป จากที่เคยแข็งกร้าว กลับกลายเป็นนุ่มนวล ริมฝีปากที่เคยบีบบังคับ ตอนนี้ชักนำให้เธอเผยอปากตอบรับจุมพิตอันเร่าร้อนของเขาอย่างเต็มใจ เขาค่อยๆ ลดตัวลงให้เท้าของเธอแตะพื้น ฝ่ามือเลื่อนขึ้นมาประคองหลังศีรษะ นิ้วมือสอดเข้าไปในเส้นผม ดันศีรษะให้เงยแหงนไปทางด้านหลัง เพื่อให้รับจุมพิตลึกซึ้งของเขาได้แนบแน่นยิ่งขึ้น
อินทุภารู้สึกร้อนวูบวาบไปตามผิว เนื้อตัวพลอยอ่อนปวกเปียกไปด้วย จุมพิตของเขาทำให้เธอสะท้อนสะท้านไปหมด เลือดในกายสาวสูบฉีดร้อนรุมด้วยความรู้สึกวาบหวาม แผ่ซ่านไปทั้งตัวเหมือนถูกลนด้วยไฟอย่างอ่อน ไม่ว่าจะเป็นการจูบด้วยสาเหตุอะไร สัมผัสระหว่างหญิงชายก็เหมือนไฟกับฟาง ใกล้ชิดกันเมื่อไหร่ ก็สามารถจุดติดเป็นเปลวไฟแรงร้อนได้เสมอ
เมื่อรู้สึกว่าคนในอ้อมแขนไม่มีปฏิกิริยาขัดขืน ลิ้นอุ่นๆ ของเขาจึงล่วงล้ำเข้ามาสำรวจเนื้อนุ่มชื้นในปากของเธอ ทวีความเร่าร้อนดูดดื่มให้มากยิ่งขึ้นไปอีก
อินทุภาไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน เลยไร้เรี่ยวแรงจะต่อต้าน ขาเปลี้ยแทบไม่มีแรงยืน ต้องเอามือเลื่อนขึ้นไปโอบรอบคอเขาไว้เป็นหลัก ก่อนที่จะจูบตอบเขาเหมือนคนละเมอ
เสียงเขาครางเบาๆ ในคอ แล้วเหนี่ยวเธอเข้ามาชิดอีก จนรู้สึกชัดเจนถึงรูปลักษณะแห่งบุรุษเพศ มือใหญ่ของเขาเคล้าคลึงช้าๆ ไปทั่วหลังไหล่ อกเต่งตูม และเอวคอด กอดจูบลูบไล้ไม่วางมือ กระพือไฟพิศวาสให้โหมแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเธอรู้สึกว่าเขาตั้งใจประทับทั้งรอยจูบ และรอยนิ้วมือทั้งหมดไว้ เพื่อไม่ให้เธอลบหรือขจัดออกไปได้
ชายหนุ่มถอนปากออกช้าๆ เหมือนไม่เต็มใจ เพราะกำลังมัวเมากับรสจูบเต็มอารมณ์หวาม เขาอยากจะเรียกร้อง ให้เธอตอบสนองเขาให้มากกว่านี้ ยิ่งได้กลิ่นหอมละมุนรวยรินจากกายสาว ได้สัมผัสเนื้อนุ่มตัวสั่นเทาเล็กน้อย ยิ่งทำให้เขาแทบจะอดใจไว้ไม่ไหว
ผู้หญิงคนนี้งดงามเหลือเกิน รูปร่างสมส่วน อกอวบตึง เอวคอดเล็ก สะโพกกลมมนได้รูป ผิวพรรณเนียนนุ่มหอมหวานไปทั้งตัว เขาอยากพาเธอไปสู่จุดสุดยอดแห่งความสุข อยากรักเธอให้เต็มที่ ให้สาสมกับที่พลัดพรากจากกันมาแสนนาน แต่เขาต้องฝืนใจหยุดตัวเองไว้ก่อน อดกลั้นความปรารถนาที่แทบจะทนไม่ไหว ยังไม่ใช่เวลานี้ เขาเตือนตัวเองให้ใจเย็น อย่าเพิ่งรีบร้อน
“ฮื้อ!” อินทุภาส่งเสียงขัดใจเบาๆ หลังจากที่เขาถอนริมฝีปาก ตายังปรือปรอยเคลิบเคลิ้มไปกับอารมณ์แปลกใหม่ที่เพิ่งจะได้ลิ้มลอง
ชายหนุ่มมองสีหน้าที่เหมือนเด็กน้อย ที่กำลังถูกขัดใจของเธออย่างเอ็นดู ดวงตาของเขาหรี่ลง แววตาเป็นประกายระยิบ เขาอดใจไม่ไหวที่จะจุมพิตเบาๆ บนริมฝีปากแดงก่ำของเธออีกครั้ง แต่คราวนี้ หญิงสาวรั้งคอเขาไว้ไม่ให้ถอยห่าง แล้วตอบรับจูบของเขาอย่างเต็มอารมณ์ อบอวลไปด้วยความอ่อนหวาน
เขารักผู้หญิงเนื้อตัวนุ่มนิ่มคนนี้เหลือเกิน รักเธอมานานแล้ว รอคอยวันเวลาที่จะได้กลับมาพบกันอีกครั้ง รอจนเกือบจะทั้งชีวิต เธออาจไม่เคยรู้เลยว่าเขารักเธอมากเพียงใด
ชายหนุ่มค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกจากเธออย่างช้าๆ อีกครั้ง
“เป่าเปา” เสียงเขาสั่นนิดๆ ปลายนิ้วหัวแม่มือไล้แก้มนุ่มนิ่มเบาๆ
“พอก่อน ถ้าไปไกลกว่านี้ ข้าหยุดตัวเองไม่ได้แล้ว~..” หางเสียงของเขาดูแหบพร่าปานใจจะขาด
อินทุภาลืมตาจ้องมองเขาเต็มที่ ใบหน้าแดงระเรื่อ ตากลมโตแววหวานแฝงความขัดเขิน สบตาคมกริบของเขาที่เปล่งประกายวับวาว ด้วยเปลวไฟเร้นลับที่เธอยังไม่อาจเข้าใจ ก่อนจะหลุบเปลือกตาลงต่ำ กัดริมฝีปากล่างเบาๆ ทำให้ริมฝีปากที่อิ่มแดงอยู่แล้วยิ่งเด่นชัดขึ้น ชายหนุ่มหลุบตาลงมองอย่างไม่วางตา และนั่นเกือบทำให้เขาควบคุมตัวเองไม่อยู่ จึงรีบปล่อยเธอออกจากอ้อมแขน หันหลังหนีจากภาพที่เย้ายวนใจจนเขาแทบทนไม่ไหว
หญิงสาวเซเล็กน้อย รู้สึกงุนงงกับการกระทำที่กะทันหันของเขา แต่เมื่อเห็นเขาก้มหน้าตัวสั่นแข็งเกร็งอยู่ ก็เหมือนจะพอเข้าใจบ้างนิดหน่อย เพราะเธอเองก็เคลิบเคลิ้มไปกับสัมผัสของเขาเหมือนกัน
อินทุภากระแอมเบาๆ เพื่อเรียกสติตัวเอง ก่อนจะพยายามชวนเขาคุย เพื่อให้พ้นจากบรรยากาศชวนอึดอัดที่กำลังก่อตัวขึ้น
หยางหมิงอวี้นอนรอภรรยาที่พาลูกๆ ไปเข้านอนด้วยความอดทน ผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะกลับมานอนที่ห้องหรือว่าเผลอหลับนะ? เขากำลังจะก้าวเท้าลงจากเตียง ก็พอดีเห็นร่างอวบอิ่มยั่วยวนใจเดินเข้าประตูมาพอดี เขายิ้มอย่างยินดี อ้าแขนออกกว้างรอให้ภรรยาโผเข้าหาอินทุภายิ้มหวานเดินเข้าหาอ้อมแขนแข็งแรง แล้วกัดคางเขาเบาๆ เสียงฟ้าร้องครืนๆ มาแต่ไกลทำให้เธอชะงักเล็กน้อย"มีอะไรรึ?" หยางหมิงอวี้ถามเสียงอู้อี้ เพราะกำลังซุกไซร้ซอกคอหอมกรุ่น"ฟ้าร้องเพคะ เด็กๆ กลัวเสียงฟ้าผ่า""เอาน่า คงยังไม่ใช่ตอนนี้ เสียงยังอยู่อีกไกล มาให้ผัวชื่นใจก่อน รออยู่นานแล้ว" เสียงเขาแตกพร่าฝ่ามือแข็งแรงจับท้ายทอยรั้งริมฝีปากอวบอิ่มเข้าหา ล้วงลิ้นซอกซอนหาความอบอุ่นภายใน เขาอดอยากมาเป็นเดือนแล้ว เพราะต้องออกไปลาดตระเวน ลมปราณแทบจะแตกซ่านอยู่รอมร่อ ฝ่ามืออีกข้างลูบไล้เรือนร่างด้วยความรักใคร่หลงใหล แล้วช้อนบั้นท้ายกลมกลึงยกขึ้น กดแนบชิดกลางลำตัว ริมฝีปากซุกไซร้ซอกคอและไหล่บอบบาง ขบกัดเม้มเบาๆ จนเกิดรอยแดงจางๆ กระจายไปทั่ว"อาา..ฝ่าบาท" เสียงหวานครวญครางเบาๆเปรี้ยงงง!! ครืนนน!!แล้วอยู่ๆ ฟ้าก็ฟาดเปรี้ยงลงมาดังสนั่น เ
ตอนพิเศษ (1) ::: Cut Scene 1 :::คุณอรรพีพาตัวเองมาถึงที่วัดป่าจนได้ เธอฝันมาสองสามคืนแล้วว่า แม่ชีอินทุกรให้เธอเดินทางมาหา ซึ่งเธอก็ตั้งใจจะมาอยู่แล้ว เพื่อจะสอบถามเรื่องลูกสาวที่หายไป เธอมั่นใจว่า เธอต้องได้คำตอบจากคุณแม่อย่างแน่นอน "ไหว้พระเถอะลูก" แม่ชีอินทุกร ยกมือรับไหว้ระดับอก หลังจากคุณอรรพี ผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข ก้มลงกราบแบบเบญจางค์ประดิษฐ์"มาจนได้นะเรา เป็นอย่างไรบ้าง?""สบายแค่กายค่ะคุณแม่ แต่ในใจยังเต็มไปด้วยความวิตกกังวลจนนอนไม่ค่อยหลับ " เธอกล่าวเสียงเรียบแม่ชีอินทุกรถอนใจ แล้วยิ้มน้อยๆ"ทุกข์กับสิ่งที่ยังไม่เกิด ทุกข์กับสิ่งที่ยังไม่มี ทุกข์กับสิ่งที่ยังมองไม่เห็น ในเมื่อคำว่า "ยัง" มีแต่ความว่างเปล่า แล้วจะเก็บไปทุกข์ทำไมล่ะ""ลูกฝันเห็นยัยอินของเราค่ะ ฝันซ้ำๆ เดิมๆ แล้วแกก็มาหายไปแบบนี้ ก็รู้สึกเป็นห่วงมาก ติดต่อก็ไม่ได้""ทางโน้นเขาว่าอย่างไรบ้างล่ะ ที่เจ้าอินหายไป""เขาเล่าให้ฟัง..ถึงเหตุการณ์ก่อนที่หนูอินจะหายตัว พ่อเขาก็คิดว่าอาจจะเป็นไปตามนั้น ตระกูลเขาเชื่อในเรื่องปาฏิหาริย์ ที่บรรพบุรุษเล่าต่อๆ กันมา เลยไม่อยากให้แจ้งความ ให้รอจนกว่าลูกจะกลับมาเอง""เรื
"มีข่าวคืบหน้าทางหยางซื่อหรือไม่?" หวางกุ้ยเฟยถามองค์หญิงหยางมี่ ขณะกำลังปอกสาลี่ใส่จาน"เอ๋อเหนียงรู้ไหมว่า ชาวเมืองหยางซื่อ เขาเล่าลือกันอย่างไรบ้าง เกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันนั้น!""เล่าลืออะไร?" หวางกุ้ยเฟยสงสัย"เขาพูดกันว่า พระชายาใช้พลังเวทย์ แสดงอิทธิฤทธิ์เรียกลมเรียกฝนได้ ทำให้กองทัพเชี่ยแตกกระเจิงเพราะถูกน้ำหลาก แถมยังเรียกสายฟ้า ให้ผ่าลงกลางสนามรบได้อีก! ทหารนับแสนแตกตื่นจนลืมโจมตี ส่วนผู้บัญชาการทัพเชี่ย ที่เข้ามาลอบสังหาร ก็ถูกฟ้าผ่าที่แขนจนไหม้เกรียม ต้องเสียชีวิตในสนามรบ เพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว! แล้วอะไรอีกนะอินชง..""มีข่าวลือจากทหารที่อยู่ในเหตุการณ์ เล่าต่อกันมาถึงชาวเมืองว่า พระชายาทรงสั่งให้ฝังระเบิดรอบสมรภูมิทั้งสามด้าน เพื่อสกัดกั้นทัพเชี่ย ไม่ให้บุกเข้ามาในเมือง ระเบิดเหล่านี้มีจำนวนมากพอที่จะสังหารทหารได้นับหมื่นนับแสนคน และยังไม่รวมถึงกระสุนปืนใหญ่อีกจำนวนมหาศาลที่เตรียมไว้ ก่อนหน้านั้นยังมีการปล่อยโคมลอยเพื่อลอบโจมตี เผาเสบียง และโรยผงหมามุ่ย เพื่อตัดกำลังทัพเชี่ยไปได้มาก" อินชงพูดด้วยน้ำเสียงชื่นชม "ยิ่งไปกว่านั้น พระชายายังทรงนำทัพหน้า บุกตะลุยฝ่าข้าศึก เพื่อเป
สมรภูมิรบด้านนอกเมืองเงียบสงบลงแล้ว เหลือเพียงทหารกลุ่มหนึ่ง ที่กำลังค้นหาผู้รอดชีวิต มูลากำลังทำแผลที่หัวไหล่ให้อินทุภา ขณะที่เธอก็กำลังนั่งรอรับโทษทัณฑ์จากสามีอยู่ที่ห้องโถง "ไม่ต้องห่วงเรื่องแผลที่หัวไหล่ เป็นคนอื่นคงนอนหยอดน้ำข้าวต้มหลายวัน แต่มีพวกเราอยู่อีกสามวันก็ดีขึ้นแล้ว!" มูลาพูดขณะพันแผลเสร็จเรียบร้อย"ตอนต่อสู้กับองค์ชายซุน ฉันน่ะลุ้นสุดตัว! ภาวนาขอให้นายท่านกลับมาเร็วๆ มีเพียงพลังธาตุข่มในตัวเขาเท่านั้น ที่จะสยบองค์ชายซุนได้!" ลูน่ากล่าว"แล้วพลังเวทย์ของพวกเธอช่วยฉันไม่ได้เลยหรือ?" อินทุภาสงสัย"ราชาดาวนิลมีพลังเวทย์ที่แข็งแกร่งมาก แม้แต่พวกเรายังสู้ไม่ได้ แล้วท่านจะไหวได้อย่างไร!" เรกิพูดขึ้นมาบ้าง"นายท่านมาแล้ว!!" เอกิลเตือน ทุกคนหันไปมองประตู แล้วเลือนหายไปประตูถูกเปิดออกอย่างแรง คนที่กำลังเดินผ่านประตูเข้ามามีสีหน้าราวกับพยัพฝน คงทำความสะอาดเนื้อตัวมาแล้ว จึงเหลือแต่เสื้อตัวใน เขาเดินมาหยุดยืนตรงหน้าแล้วนั่งลงข้างๆ แววตาที่เคยสุภาพอบอุ่น ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความคมกล้า จ้องมองเขม็งอย่างเอาเรื่องเต็มที่ จนทำให้เธอไม่กล้าแม้จะสบตาตรงๆ ทางเดียวที่ทำได้ตอนนี้ คงต้องแก
ตอนนี้ยามซื่อแล้ว(09.00-10.59น.) ท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยเมฆดำทะมึน ราวกับธรรมชาติ กำลังสำแดงอำนาจข่มขวัญโลกมนุษย์ ฝนยังคงกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย สลับกับสายลมกระโชกแรง อินทุภายืนอยู่บนกำแพงเมือง สายตาจับจ้องไปยังขอบฟ้า รอคอยสถานการณ์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อย่างสงบ เธอไม่อยากปกป้องตนเอง ด้วยการทำลายชีวิตของผู้อื่น แม้ว่าวิวัฒนาการจากโลกอนาคต จะทำให้เธอโกงความตายได้ ทว่าหลังแนวกำแพงนี้ มีประชาชนหยางซื่อนับหมื่นชีวิต ฝากความหวังไว้กับเธอเพียงผู้เดียว พวกเขาเชื่อมั่นว่า เธอจะปกป้องครอบครัวของพวกเขา จากความโหดร้ายของศัตรูได้ สายตาทุกคู่ จับจ้องไปยังแผ่นหลัง ของหญิงสาวในชุดเกราะ เธอไม่มีปิ่นปักผมล้ำค่า หรืออัญมณีงดงาม เหมือนสตรีทั่วไป แต่กลับใช้เพียงเชือกสีดำ มัดรวบมวยผมไว้อย่างเรียบง่าย แม้ภายนอกจะดูบอบบาง แต่ภายในกลับแข็งแกร่ง ดุจนักรบที่ผ่านสมรภูมิมาแล้วนับร้อยครั้ง"ทัพเชี่ยอยู่ห่างออกไปห้าหลี่แล้วขอรับ!" ทหารรายงานพลางยื่นกล้องส่องทางไกลให้ อินทุภารับมา และเพ่งมองออกไปเบื้องหน้า ความทะเยอทะยานอันเห็นแก่ตัวขององค์ชายซุนจ่งซาน ได้ลากกองทหารที่อ่อนล้า และตรากตรำจากภัยธรรมชาติ ให้มาหยุดยืนอยู
"เสี่ยวจื่อเด็กดี! เจ้าไม่กินไม่นอน ข้าทุกข์ใจยิ่ง!" ฮ่องเต้ดูจะชมชอบการเปลื่ยนชื่อเรียกหญิงสาว ถ้าไม่เสี่ยวจื่อ ก็เป็นเสี่ยวซา"ก็หม่อมฉันเป็นห่วงเสด็จพ่อกับท่านแม่นี่นา แล้วยังมีพี่ชายทั้งสามที่ต้องรบอยู่แนวหน้าอีก!" จือซาทำหน้าเศร้า"เจ้าอย่ากังวลไปเลย มีแม่ทัพหยางอยู่ทั้งคน เขาเก่งกล้าสามารถเพียงใดเจ้าก็รู้ ทุกคนจะปลอดภัยจากสงครามครั้งนี้! ข้ารับรอง!""อืม" หญิงสาวรับคำ พร้อมกับซุกหน้าลงไปที่อกกว้าง"ถ้างั้น! ดื่มซุปไก่นี่สักหน่อย ข้าลงครัวด้วยตัวเองเชียวนะ!" เขาพูดอย่างภาคภูมิใจฮ่องเต้ตักชิ้นไก่ตุ๋นเนื้อนุ่มพอดีคำใส่ไว้ในช้อน ส่งถ้วยให้เธอถือ แล้วเดินไปรินน้ำชา จือซามองถ้วยซุปด้วยความซึ้งใจ ในมุมอ่อนโยนของเขา ซึ่งมักจะทำให้เธอรู้สึกว่า ตัวเองเป็นคนพิเศษอยู่ตลอดเวลา หญิงสาวยิ้มบางๆ พลางยกช้อนขึ้นใส่ปาก"อื๋ออ..เค็ม!!" เธอพูดแล้วชะงักกึก รีบเงยหน้ามองฮ่องเต้กลัวเขาจะน้อยใจ ซึ่งเขาก็หันมาทันที ที่ได้ยินเสียงเธออุทานออกมา"อื้อหือ!..ขะ..เข้ม!..เข้มข้นมาก! นับว่าเปิดหูเปิดตาหม่อมฉันแล้ว!" เสียงพูดจืดเจื่อนเพราะรู้สึกขมไปตลอดช่องคอ พยายามปรับสีหน้าให้อยู่ในระดับปกติ ฮ่องเต้หนุ่มยิ้ม น