LOGINเซียวชิงฉีเดินหน้าถมึงทึงเข้ามาหาหลี่ชิงหงอย่างฉุนเฉียว พลางบ่นเสียงไม่ดังนัก “พวกนางช่างไม่รักนวลสงวนตัวเลย แม้แต่น้อย กล้าดีอย่างไรมาบังคับให้ข้าคีบเนื้อให้นาง...”หลี่ชิงหงเลิกคิ้วขึ้นสูง แต่เมื่อครู่ท่านก็คีบเนื้อใส่ถ้วยข้านะ...“อีกทั้งยังให้ข้าป้อนชาให้นางอีกด้วย มือพิการ อ่อนแรงหรืออย่างไร ข้าไม่เข้าไปแล้วนะ เจ้าให้เสี่ยวเอ้อร์คนอื่นนำน้ำซุปเข้าไปให้พวกนางด้วย”หลี่ชิงหงพยักหน้าอย่างเข้าใจ อ่อ... ท่านอ้างว่าน้ำซุปหมดสินะ จึงได้ออกมาได้...“ไม่เห็นจะได้ความอย่างไรเลย พวกนางเอาแต่เรียกว่าพี่ใหญ่ พี่สาม น้องสาม น้องเล็กอยู่เช่นนั้น ผู้ใดจะไปรู้เล่าว่าพวกนางคือใคร?”หลี่ชิงหงเลิกคิ้วสูงขึ้นไปอีกนี่ระวังกันจนไม่เรียกชื่อจริง หรือแม้แต่หลุดตำแหน่งของสามีมาบ้างเชียวหรือ?“แล้วพวกนางสนทนาสิ่งใดกันบ้างหรือเพคะ?” หลี่ชิงหงตัดบทขี้บ่นของอ๋องสูงศักดิ์ตรงหน้า แท้จริงแล้วนางก็พอได้ยินบทสนทนาของพวกนางดังลอดมาบ้างเซียวชิงฉีส่ายหน้า “พวกนางสนทนาแต่เรื่องเรือนหลังของฮูหยินท่านนั้น คุ
หลี่ชิงหง เซียวชิงฉี และเสี่ยวเอ้อร์คนอื่น ๆ ช่วยกันยกอุปกรณ์ต่าง ๆ เข้าไปในห้องรับรองเซียวชิงฉีจึงได้เห็นหน้าฮูหยินทั้งสามที่นั่งคนละฟากโต๊ะ คิ้วหนาขมวดมุ่น นึกทบทวนความทรงจำว่าเขาเคยเจอพวกนางมาก่อนหรือไม่? หากแต่เขากลับไม่คุ้นหน้าพวกนางเลยแม้แต่น้อยหรือพวกนางจะไม่ใช่แม้แต่ภรรยาเอกของเหล่าขุนนางใหญ่...ในราชสำนักของแคว้นต้าเซี่ย มีขุนนางที่ทำงานอยู่มากมาย แต่มีขุนนางเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้นที่ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าและร่วมประชุมในการออกราชการร่วมกับฮ่องเต้ ซึ่งล้วนแต่เป็นขุนนางใหญ่ที่มีตำแหน่งและอำนาจมากขุนนางชั้นผู้น้อยจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ที่กรม ยิ่งมิต้องกล่าวถึงบรรดาฮูหยินของขุนนางเหล่านี้เลย ยิ่งไม่มีโอกาสที่จะได้เข้าเฝ้าราชวงศ์ หรือเข้าวังหลังเลยแม้แต่น้อยเซียวชิงฉีลอบส่ายหน้าเล็กน้อยบอกแก่หลี่ชิงหงว่าเขาเองก็ไม่รู้จัก นางพยักหน้าเล็กน้อยเหลาชิวและเสี่ยวเอ้อร์ต่างจัดชุดถ้วยและตะเกียบให้แต่ละฮูหยิน วางหม้อทองแดงที่น้ำซุปกำลังเดือดปุด ๆ ส่งกลิ่นหอมของเนื้อและผักหวาน ๆ ไปทั่วห้องหลี่ชิงหงตรวจสอบความเรียบร้อยอีกครั้ง ก่อ
หลี่ชิงหงสะบัดแปรงเพียงไม่กี่ลมหายใจก็สามารถเนรมิตแปลงโฉมบุรุษหล่อเหลาดุจหยกให้กลายเป็นชาวบ้านหน้าตาธรรมดาค่อนดีได้อย่างง่ายดายกลบจุดเด่นง่ายยิ่งกว่าเสริมจุดด้อยมากนัก...นางส่งคันฉ่องให้เซียวชิงฉีพิจารณาผลงาน เมื่อเห็นเขาเบิกตากว้างกับใบหน้าของตนเอง หลี่ชิงหงก็ยิ่งภูมิใจ ใบหน้าเล็กเชิดขึ้นอย่างผยอง แผ่นหลังเหยียดตรง “เป็นอย่างไรบ้างเพคะ?”เซียวชิงฉีหันซ้ายหันขวา รู้สึกราวกับว่าบุรุษในคันฉ่องนั้นมิใช่ตนเองก็มิปาน “ฝีมือเจ้าช่างเก่งนัก...”“เอาล่ะ ทีนี้ท่านอ๋องก็พร้อมจะเข้าห้องของพวกนางแล้วนะเพคะ” หลี่ชิงหงดึงร่างสูงให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะเอ่ยเรียกเครียด “แต่ว่ามีสิ่งหนึ่งที่หม่อมฉันต้องบอกท่านอ๋องให้ชัดเจนเสียก่อน”คิ้วหนาเลิกขึ้นสูง ตั้งอกตั้งใจฟังคำพูดของนาง “โรงน้ำชาเชิ่งเยี่ยนเกอยึดคติที่ว่าลูกค้าคือคนสำคัญ ห้ามขัดใจลูกค้าอย่างเด็ดขาด หากพวกนางสั่งสิ่งใดก็ต้องทำตาม ห้ามขัดขืน ห้ามโต้แย้งโดยเด็ดขาดนะเพคะ”เซียวชิงฉีพยักหน้าคิดตาม ก็พอเหตุสมผลสำหรับกิจการค้าขายที่ถือลูกค้าเป็นหลัก“ดังนั้น ไม่ว่านางจะสั่งให้ท่านเทน้ำชา ป้อนขนม หรือแม้
ความคิดของเซียวชิงฉีต้องหยุดลง เมื่อประตูห้องรับรองนั้นเปิดขึ้น หลี่ชิงหงเดินออกมาด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหุบลงพร้อมบานประตูที่ปิดสนิท นางเดินตรงมาที่พวกเขา ก่อนจะหันไปสั่งความกับเสี่ยวเอ้อร์ที่ยืนอยู่“เหลาชิว จัดชุดชาบูให้แก่ฮูหยินสามท่านในห้องนั้นด้วยนะ” หลี่ชิงหงสั่งเสียงเรียบ “พวกนางขอเสี่ยวเอ้อร์ดูแลทั้งสามคนด้วย”เหลาชิว ผู้จัดการอีกคนของโรงน้ำชาเชิ่งเยี่ยนเกอพยักหน้าเข้าใจในคำสั่งทันที “ขอรับ เถ้าแก่เนี้ย”เมื่อเห็นว่าเหลาชิวเดินลงบันไดไปแล้ว เซียวชิงฉีจึงรีบถามหลี่ชิงหงทันที “เป็นอย่างไรบ้าง? แม่นางหลี่ เจ้ารู้จักฮูหยินทั้งสามนางหรือไม่?”หลี่ชิงหงส่ายหน้าอย่างจนปัญหา “หม่อมฉันไม่คุ้นหน้าพวกนางเลยเพคะ”เมื่อเห็นสีหน้าผิดหวังของอีกฝ่าย หลี่ชิงหงจึงต้องรีบอธิบาย “แต่เดิมที่นี่ก็มักจะมีฮูหยินและคุณหนูสวมหมวกมาร่วมจิบชากันอยู่แล้ว จึงมักเปิดหน้าตาเฉพาะยามที่อยู่ในห้องเพคะ แล้วเสี่ยวเอ้อร์แต่ละคนก็มักจะสลับสับเปลี่ยนกันมาต้อนรับ ดังนั้นจึงเป็นการยากที่เราจะสามารถระบุตัวตนของพวกนางได้เพคะ”“เช่นนั้น เราจะทำอย่างไรกันดีเล่า?” เซียวชิงฉีถามอย่างส
ตึ่ง!! เสียงแผ่นหลังของฉีอ๋องกระแทกบันไดปัง!! เสียงที่พี่รองเปิดบานประตูออกมาพอดี“อุ๊บ!!” ฉีอ๋องร้องโอดโอย หากแต่ถูกหลี่ชิงหงเลื่อนมือมากดปิดปากเขาพอดี ปล่อยให้ศีรษะของเซียวชิงฉีกระแทกบันไดอีกครั้งอย่างไม่แรงนักโอ๊ย... เห็นร่างบอบบางเช่นนี้ เหตุใดจึงตัวหนักมือหนักนักเล่า?พี่รองก้าวออกมาจากห้องรับรองกวาดสายตามองไปทั่วชั้นสี่อย่างระมัดระวัง ครั้นไม่พบเจอผู้ใดจึงได้หมุนตัวก้าวลงบันไดไป เมื่อหลี่ชิงหงได้ยินเสียงฝีเท้าเงียบลงแล้ว นางจึงรีบลุกขึ้นไปดูที่บันไดกลาง เพื่อเก็บรายละเอียดของพี่รองนางนั้นให้มากที่สุดหากแต่หลี่ชิงหงก็ต้องผิดหวัง เพราะนางนั้นสวมหมวกเช่นชาวยุทธ์สีขาวปิดบังใบหน้ามิดชิด สวมชุดชาวบ้านทั่วไป จนอยากจะกล่าวได้ว่านางคือผู้ใด มีฐานะเช่นไรโธ่เว้ย! คลาดตัวการไปจนได้...เสียงโอดครวญแผ่วเบาดังขึ้น หลี่ชิงหงจึงได้สติกลับไปดูใครอีกคนที่นอนเป็นฟูกให้นางล้มทับเมื่อครู่หลี่ชิงหงรีบปราดเข้าไปดึงร่างสูงให้ลุกขึ้นจากบันได พลางขอโทษขอโพย “ขออภัยด้วยเพคะ หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจ”“ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจ...” เซียวชิงฉีไม่ใช่ส
“เพราะคราวที่แล้ว ปล่อยให้หนิงกุ้ยเฟยโผล่ออกมา แสร้งร้องไห้เสียใจกับการจากไปของชุยเสียนเฟยได้อย่างน่าเวทนานัก หากข้ายังดึงดันโยนความผิดให้นาง เกรงว่าข้าจะตกเป็นฝ่ายที่น่าสงสัยแทน”“แต่จริงอย่างที่พี่รองกล่าว หากคราวที่แล้วสามารถกำจัดหนิงกุ้ยเฟยและชุยเสียนเฟยได้พร้อมกัน บุตรชายของท่านก็อาจจะได้เป็นไท่จื่อเสียแล้ว”“แต่บัดนี้ เฟิงอ๋องได้กลายเป็นไท่จื่อแล้ว อีกทั้งยังมีอำนาจของแม่ทัพหน้ากากเหล็กและกองทัพเงาพยัคฆ์ให้การสนับสนุนอีก อย่างไรก็คงเป็นการยากที่จะโค่นเขาลงมา” เสียงของพี่ใหญ่ครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง “น้องรอง เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าแผนการในครั้งนี้จะได้ผล”“โธ่ พี่ใหญ่ ก็เมื่อคราวของชุยเสียนเฟย ยังมิมีผู้ใดจับได้เลยว่าเป็นแผนการของพี่รอง แล้วครั้งนี้พี่รองเตรียมการได้พร้อมกว่าเมื่อหลายสิบปีก่อนนัก พี่รองจะพลาดได้อย่างไร?”“น้องเล็กกล่าวได้ถูกแล้ว” พี่รองเอ่ยขึ้น “พี่ใหญ่สบายใจเถิด แผนการครั้งนี้ ข้าวางแผนไว้อย่างดีแล้ว อย่างไรก็ไม่มีทางจับได้ อีกทั้งข้ายังตั้งใจจะโยนความผิดให้หนิงกุ้ยเฟยอีกด้วย”“เอาเถิด หากเจ้ามั่นใจ พวกข้าก็พลอยสบายใจไปด้วย” พี่ใ







