ในขณะที่เซียวชิงเฟิงกำลังนึกสงสัยในคำพูดของฉินเจียวเยี่ยน เขาก็รู้สึกถึงความอ่อนนุ่มที่สัมผัสกับจุดอ่อนไหวของเขา
“หยุดนะ” เฟิงอ๋องพยายามยันกายลุกขึ้นห้าม ก่อนจะจับมือเล็กที่ลูบไล้แท่งทองของเขาไม่หยุด
แต่เชื่อหรือไม่ว่า มือเล็กนั้น เอื้อมมาสะบัดตีมือของเขา แล้วใช้อีกมือรูดขึ้นลงราวกับเป็นการลงโทษที่เขาขัดขืนนาง
“อึก นี่ เจ้า อา”
เซียวชิงเฟิงแทบไม่อยากจะเชื่อว่า แม่นางน้อยในห้องหออย่างฉินเจียวเยี่ยนจะมีฝีมือร้ายกาจถึงเพียงนี้
ฉินเจียวเยี่ยนใช้เวลาไม่นานก็สามารถจับจุดอ่อนของเขา ลูบไล้ หยอกล้อจนอยู่มือ ทำเอาร่างกำยำเกร็งกระตุก ไม่มีแรงจะต่อต้านความอ่อนนุ่มที่โอบล้อมได้เลย
“ไส้กรอกของท่านอ๋องนี่ น่ากินจริง ๆ เลย” เสียงหวานพึมพำแผ่วเบา หากแต่เซียวชิงเฟิงกลับได้ยินคำพูดนั้นอย่างชัดเจน “จะกินล่ะนะ”
สิ้นเสียงพูด ดวงหน้าเล็กก็โน้มลงต่ำ ริมฝีปากบางอ้าออกกว้าง ก่อนจะรูดแกนกายของชายหนุ่มหายเข้าไปในโพรงปากจนสุดโคน
“อื้อ” เซียวชิงเฟิงได้แต่ครางด้วยใบหน้าแดงก่ำ
เขาออกรบมานักต่อนัก ไม่เคยพ่ายแพ้หมดท่าอย่างครานี้เลย
เสียงดูดกลืน รูดขึ้นลงดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ผสานไปกับความเปียกชื้นและสัมผัสอ่อนนุ่มที่ลูบไล้ไปทั่วลำกาย
เซียวชิงเฟิงได้แต่นอนครางกำผ้าปูเตียงแน่น
กลายเป็นเหยื่อในริมฝีปากของนางอย่างสมบูรณ์...
ไส้กรอกใหญ่แบบนี้ เต็มปากเต็มคำดีจัง
เสียงของฉินเจียวเยี่ยนดังขึ้นอีกครั้ง ทั้ง ๆ นี้ นางไม่ได้เปิดปากพูด
เซียวชิงเฟิงจึงเริ่มจับทางได้
นี่ หมายความว่า เขาสามารถได้ยินเสียงความในใจของฉินเจียวเยี่ยนอย่างนั้นหรือ?
เซียวชิงเฟิงสามารถยอมรับความอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าได้อย่างรวดเร็ว เพราะเขาจำเป็นต้องออกรบอยู่แนวหน้า เพื่อปกป้องแคว้นอยู่ตลอดเวลา
ศัตรูของแคว้นต้าเซี่ย ไม่ได้มีเพียงแคว้นใกล้เคียงที่มีวัฒนธรรมและความเชื่อที่เหมือนกัน แต่ยังต้องสู้รบกับชนเผ่าต่าง ๆ ที่ใช้ศาสตร์ลี้ลับเป็นกลอุบาย จึงทำให้เขาได้เรียนรู้ถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นมากกว่าสิ่งที่เห็น
ดังนั้น ความอัศจรรย์ตรงหน้า ยากที่จะยอมรับ หากแต่ใช่ว่า เขาจะไม่สามารถยอมรับได้เลยเสียทีเดียว
ไส้กรอกท่านอ๋องนี้อร่อยดีจริง...
นางเรียกสิ่งนี้ว่า ไส้กรอก แทนน่ะหรือ?
เซียวชิงเฟิงเริ่มเข้าใจคำเรียกแปลก ๆ ของฉินเจียวเยี่ยนบ้างแล้ว ก่อนจะพยายามยันกายขึ้น กลั้นลมหายใจ กดเสียงเข้มเอ่ยสั่ง “ฉินเจียวเยี่ยน พะ พอแล้ว”
ลมหายใจร้อนขาดห้วงไป เมื่อดวงตาดอกท้อได้เห็นภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า
ดวงหน้าเล็กที่กำลังตั้งอกตั้งใจใช้ริมฝีปากและลิ้นลากเลียไปตามโคนกาย ตั้งแต่ปลายยอดลงต่ำไปจนสุดโคน ก่อนจะลากลิ้นวกกลับขึ้นมาอีกครั้ง
“เอาอีก อึก ไม่สิ พะ พอแล้ว”
ปลายลิ้นนั้น ร้ายกาจจนทำเอาท่านอ๋องอย่างเขามึนเมา ลุ่มหลงในรสสัมผัสนั้นตามไปด้วย
พออะไรกัน ข้ายังไม่อิ่มเลยนะ
ว่าแล้ว ฉินเจียวเยี่ยนก็ก้มหน้าลงต่ำ รูดลำกายหายเข้าไปในปากทั้งแท่ง ตวัดลิ้นเลียไล้ไปมาอย่างเอร็ดอร่อยอีกครั้ง
เซียวชิงเฟิงกัดฟันเรียกชื่ออีกฝ่าย “อึก ฉิน-เจียว-เยี่ยน” หวังเรียกสติให้นางรู้ตัวว่า กำลังทำอะไรอยู่
ไม่ไหว ต้องหยุดเดี๋ยวนี้
เซียวชิงเฟิงตั้งสติยันกายครั้งสุดท้าย รั้งไหล่บางให้เงยหน้าขึ้น เพื่อหยุดฉินเจียวเยี่ยนที่กำลังลิ้มรสไส้กรอกในมืออย่างเพลิดเพลิน
ภาพหญิงสาวที่ถูกบังคับให้เงยหน้าอย่างกะทันหัน ทำให้ริมฝีปากบางยังคงค้างอยู่ในท่าเดิมเป็นวงกลม
เซียวชิงเฟิงมองเห็นใยน้ำลายจากปากของฉินเจียวเยี่ยนกับไส้กรอกในความคิดของนางได้อย่างชัดเจน
ลมหายใจของเขาขาดห้วงอีกครั้ง
การหยุดชะงักของเขา เปิดโอกาสให้ฉินเจียวเยี่ยนสะบัดตัวหลุดจากการจับกุม
“เด็กดื้อ ต้องถูกลงโทษ”
ฉินเจียวเยี่ยนขู่เสียงใส ก่อนจะโน้มตัวกดไหล่หนาลงกับเตียง แล้วพลิกตัวขึ้นคร่อมร่างเขาไว้
“นี่ เจ้า!” เซียวชิงเฟิงเอ่ยได้เพียงเท่านั้น
ดวงตาดอกท้อเบิกกว้าง เมื่อเห็นว่า ฉินเจียวเยี่ยนกำลังจดจ่ออยู่ที่ใจกลางร่างของทั้งสองฝ่าย
สะโพกของนางลอยเด่นอยู่เหนือแท่งกายของเขาพอดิบพอดี เอวบางร่อนต่ำลงมาเรื่อย ๆ ทำให้เซียวชิงเฟิงเผลอกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ เมื่อจินตนาการถึงฉากถัดไปที่กำลังจะเกิดขึ้นในเสี้ยววินาที
แต่ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ใด เสียงของชุนเถาได้ร้องขึ้นอย่างตกใจที่หน้าเรือน
“ท่านโหว!! ฮูหยิน!!”
เสียงนั้น ทำให้กิจกรรมในเรือนจึงต้องหยุดชะงักเซียวชิงเฟิงถลึงตามอง เขาไม่น่าเชื่อคารมคนตรงหน้าเลย “ไหนเจ้าบอกว่า...”ฉินเจียวเยี่ยนตัดบทอย่างรวดเร็ว ก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดมากไปกว่านี้ “หม่อมฉันก็ไม่รู้ ท่านก็ได้ยินที่หม่อมฉันสั่งสาวใช้แล้วนี่เพคะ ว่า ยกเลิกแผนน่ะ”ฉินเจียวเยี่ยนรีบก้าวลงจากเตียง แล้วหยิบเสื้อคลุมสีขาวตัวบนสุดโยนใส่ชายหนุ่มบนเตียง “ท่านก็รีบสวมซะ”ส่วนตัวเองก็คว้าเสื้อคลุมอีกผืนบนพื้นมาสวมใส่อย่างลวก ๆ แล้วเอาเสื้อชั้นในผืนใหญ่มาห่อกองผ้าที่เหลือ กอดไว้กับตัว ใช้ปลายเท้าเตะรองเท้าสองคู่เข้าไปซ่อนลึกที่ใต้เตียง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนบนเตียงที่ยังคงนั่งนิ่ง ทำหน้าไม่สบอารมณ์ฉินเจียวเยี่ยนขมวดคิ้วพลางส่งเสียงดุ “รีบแต่งตัวสิ ท่านจะนั่งรอให้ท่านพ่อท่านแม่หม่อมฉันมาเจอรึ?”“เจ้าโยนเสื้อของเจ้ามาให้ข้า!!”ว้าย โยนผิด!! ฉินเจียวเยี่ยนตื่นตระหนกในใจ หากแต่แสร้งทำหน้านิ่ง ข่มเสียงเข้มตอบ “ก็เสื้อเหมือน ๆ กัน ท่านอย่าเพิ่งมาเรื่องมากน่า” เอ่ยเสร็จ นางก็กระชับเสื้อคลุมสีดำตัวหนาที่ตัวเองสวมใส่อยู่อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ก่อนจะรีบสาวเท้าไปทางหน้าต่างด้านหลังของเรือน ราวกับตัดบท ไม่
บานประตูเรือนชุยจูถูกฉีอ๋องผลักเล็กน้อย ก็เปิดกว้างอย่างง่ายดาย เมื่อลองกวาดสายตาเพียงครั้งเดียวก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ไม่มีผู้ใดอยู่ในเรือน มีเพียงผ้าปูเตียงที่ยับยู่ยี่ บ่งบอกว่า เคยมีคนนอนบนนี้มาก่อนก่อนที่ฉีอ๋องและคนอื่น ๆ จะได้ก้าวเข้าไปตรวจสอบภายในเรือนตงไฮ่ องครักษ์คนสนิทของเฟิงอ๋องก็เดินออกมาจากทางด้านข้างเรือน ยืนทำความเคารพอยู่ที่หน้าประตู“กระหม่อมขอคารวะฉีอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”“อ้าว ตงไฮ่นี่เอง แล้วเสด็จพี่เล่า?” ฉีอ๋องเลิกคิ้วถาม“เฟิงอ๋องพักที่นี่อยู่ชั่วครู่ก็รู้สึกดีขึ้น จึงเสด็จกลับไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ตงไฮ่หันไปทำความเคารพซ่านเต๋อโหวพลางเอ่ย “ท่านอ๋องฝากขอบคุณท่านโหวที่ให้ยืมเรือนพักผ่อน และจะเข้ามาขอบคุณด้วยตนเองในโอกาสหน้าขอรับ”“อ่อ ไม่เป็นไร ๆ แค่ท่านอ๋องมาแสดงความยินดีในวันเกิดของข้า ข้าก็ยินดีมากแล้ว” ซ่านเต๋อโหวยิ้มแย้ม ก่อนจะเอ่ยชวนทุกคนให้กลับไปร่ำสุราที่งานเลี้ยงกันต่อ “เชิญฉีอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”ฉีอ๋องยกยิ้มเล็กน้อย “เชิญท่านโหว&rdquo
สองปลายลิ้นเกี่ยวกระหวัดกันอยู่ภายใน ลิ้นสากสอดแทรกบุกรุกเข้าไปยึดครองอย่างเป็นเจ้าของ สลับกันรุกสลับกันรับจนเกิดเสียงสัมผัสดังก้องภายในหูฉินเจียวเยี่ยนยกแขนเรียวขึ้นโอบ รั้งอีกฝ่ายให้ลงมาแนบชิดมากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับฝ่ามือสากที่ลูบไล้ไปตามเนื้อนวลเนียนใต้ร่างอาภรณ์สีขาวถูกสะบัดโยนลงจากเตียงอย่างไม่ไยดี ในขณะที่ชุดคลุมสีดำถูกกางออกกลายเป็นผ้าปูเตียงอีกชั้นหนึ่งเซียวชิงเฟิงแยกสองขาเรียวออกกว้าง เพื่อแทรกตัวเข้าไปตรงกลางหว่างขา หน้าท้องของเขาสัมผัสได้ถึงความเปียกแฉะที่เจิ่งนองเซียวชิงเฟิงหอบหายใจหนัก ก่อนจะผละริมฝีปาก กดจูบไปตามซอกคอชื้นเหงื่อ “นี่ เจ้ายังไม่เคยจริงหรือ?”“อ๊ะ อา อ่า” เสียงครางกระเส่าดังขึ้นเป็นจังหวะ โดยเฉพาะยามที่ปลายลิ้นร้อนแตะลงบนจุดอ่อนไหวทีละจุดยิ่งออกแรงมากเท่าใด หยาดเหงื่อที่เจือกลิ่นดอกเหมยประจำตัวนางก็ยิ่งลอยอบอวล ชวนให้เขาสูดดมเข้าเต็มปอดปลายเล็บจิกลงบนบ่าหนา ร่างบางแอ่นตัวไปด้านหน้าตามการเล้าโลมของชายหนุ่มฉินเจียวเยี่ยนตอบเสียงกระเส่า “ยะ ยังไม่เคย”“แต่เจ้าดูไม่เหมือนแม่นางในห้องหอเลยน
ฉินเจียวเยี่ยนนอนแผ่หลาหอบหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน ในขณะที่เซียวชิงเฟิงยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง กลิ่นอายบุรุษเพศลอยอบอวลไปทั่วห้องหญิงสาวมองร่างกำยำที่ลุกขึ้นจากเตียง อวดโฉมแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยร่องรอยการสู้รบ ทั้งจากสนามรบและบนเตียงเมื่อครู่ รอยเล็บทั้งจิกและข่วนปรากฏไปทั่ว ทำให้ฉินเจียวเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะเม้มริมฝีปากด้วยความเขินอาย ก่อนจะดึงผ้าห่มมาปิดหน้าทำไปได้นะเรา...มุมปากเซียวชิงเฟิงวาดโค้งขึ้นน้อย ๆ เมื่อได้ยินเสียงความคิดของแม่นางน้อยบนเตียงที่มีต่อเขา พลางสวมเสื้อผ้าสีดำของเขาที่กองอยู่ที่พื้น“ฉินเจียวเยี่ยน”“เพคะ?” ฉินเจียวเยี่ยนโผล่หน้าออกจากผ้าห่ม ให้เห็นเพียงแค่ดวงตาจิ้งจอกที่กำลังวาววับเป็นประกายด้วยความอิ่มเอมระคนเขินอาย“เจ้ากำลังนอนทับเสื้อคลุมข้า”นอนทับเสื้อคลุม?ฉินเจียวเยี่ยนรีบยันกายลุกขึ้น ก่อนจะเหลือบเห็นว่า เสื้อคลุมสีดำขลิบทองของเขาถูกใช้เป็นผ้าปูเตียงยับยู่ยี่เรียบร้อยแล้ว “ขออภัยเพคะ”นางรีบลุกไปอีกด้าน แล้วหยิบเสื้อคลุมส่งให้ เช่นเดียวกับเซียวชิงเฟิงที่หยิบเสื้อชั
“อึก อื้อ” เสียงครางในลำคออย่างอ่อนแรงดังขึ้น ทั่วร่างกายมีแต่ความเมื่อยล้าเข้าจู่โจมในทุกครั้งที่ฉินเจียวเยี่ยนขยับตัวดวงตาจิ้งจอกกะพริบถี่ขึ้น ก่อนจะมองเห็นเพดานห้องที่คุ้นตานางหลับตาลงอีกครั้ง พลางนึกถึงเหตุการณ์น่าอภิรมย์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนมาถึง ก็ได้กินพระเอกของเรื่องเลยรึ...เฮ้อ... แต่ก็เป็นเนื้อที่อร่อยมากจริง ๆฉินเจียวเยี่ยนถอนหายใจอย่างอิ่มเอม แล้วจึงลุกขึ้นนั่งบนเตียง ก่อนจะส่งเสียงเรียกสาวใช้คนสนิทที่ยืนรออยู่หน้าเรือน“ชุนเถา ชุนหลิ่ว”“เจ้าคะ คุณหนู” ชุนเถารีบประตูเรือน เดินเข้ามาทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกสาวใช้คนสนิทมาคุกเข่าที่ข้างเตียง ถามขึ้นด้วยเป็นความเป็นห่วง “คุณหนูเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?”เมื่อคืน พวกนางกลัวกันแทบตาย ไม่ว่าจะเป็นเฟิงอ๋องที่อยู่ในเรือนกับคุณหนู หรือองครักษ์ลับหน้าตายสองคนของเฟิงอ๋องที่ยืนขวางอยู่หน้าประตูชุนหลิ่วยกเท้าข้ามธรณีประตู ก้าวตามเข้ามาในห้องรีบถามต่อ “คุณหนูหิวแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ?”ฉินเจียวเยี่ยนไม่ตอบ หากแต่ถามทั้งสองคนกลับไป “ยามใดแล้ว?”ชุนเถา “
“...” ฉินเจียวเยี่ยนเลิกคิ้วบางดั่งกิ่งหลิวขึ้นอย่างแปลกใจเกิดอะไรขึ้น?ตามเนื้อเรื่องเดิม ชุนเถา คือ ผู้ที่ไปตามทุกคนในโถงด้านหน้า ให้มาที่เรือนชุยจูหากแต่เมื่อคืน นางก็ได้สั่งห้ามชุนเถาไปแล้ว แล้วใครกันที่จะรู้เรื่องราวลับ ๆ ในเรือนชุยจูระหว่างนางกับเฟิงอ๋อง?“แล้วเมื่อคืน เสียงของข้ากับท่านอ๋อง มันดังออกมานอกเรือนเลยรึ?”ชุนเถาส่ายหน้าราวกับกลองป๋องแป๋งด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ “ข้ายืนเฝ้าอยู่หน้าเรือน แทบจะไม่ได้ยินเสียงใดเล็ดลอดออกมาเลยเจ้าค่ะ”“ถ้าเช่นนั้น จะมาอ้างว่า ได้ยินเสียงก็คงไม่ได้สินะ”แสดงว่า ต้องมีคนเห็นนางลอบเข้าเรือนท่านอ๋อง หรือว่า รู้อยู่แล้วว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นที่เรือนชุยจู...ฉินเจียวเยี่ยนหรี่ตาลงอย่างใช้ความคิด พลางกดมือนวดเอวเบา ๆชุนเถาถามขึ้น “คุณหนูปวดเมื่อยส่วนใดหรือเจ้าคะ?”“ก็เมื่อยเอวอยู่นะ เมื่อคืน เฟิงอ๋องไม่รักหยกถนอมบุปผาแล้วเสียเลย” ฉินเจียวเยี่ยนบ่นอุบอิบ วาจาที่ใช้ทำให้สองสาวใช้มีใบหน้าแดงก่ำยิ่งขึ้นค
แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดี...หลินซูเยียน บุตรสาวจากตระกูลพ่อค้าผู้ร่ำรวยในเมืองหลวงเกิดอุบัติเหตุ และได้ซ่านเต๋อโหวบังเอิญช่วยไว้ จึงเกิดตกหลุมรักและอยากตบแต่งเข้าจวนโหวบิดาของหลินซูเยียนดีดลูกคิดรางแก้วในใจ แม้จวนซ่านเต๋อโหวจะว่างเปล่า แต่ก็ถือว่า เป็นตระกูลขุนนางคำว่า โหว คงจะช่วยเกื้อกูลการค้าของตนได้ไม่มากก็น้อย จึงได้ยินยอมตบปากรับคำบุตรสาว ยอมให้หลินซูเยียนออกเรือนสมความปรารถนาเมื่อหลินซูเยียนแต่งเข้ามาในจวน ซ่านเต๋อโหวมีคำขอเพียงข้ออย่างเดียว คือ ห้ามไม่ให้หลินซื่อรังแกฉินเยี่ยนฟาง ซึ่งหลินซื่อก็รับคำ มอบความรักและดูแลฉินเยี่ยนฟางประหนึ่งลูกแท้ ๆ ของตนเองจนกระทั่งหลินซื่อตั้งครรภ์ และได้คลอดบุตรสาวอย่าง ฉินเจียวเยี่ยน ให้แก่จวนโหว ความรักความทุ่มเททุกอย่างของนางจึงมามอบให้ฉินเจียวเยี่ยนทั้งหมดฉินเยี่ยนฟางในวัยห้าขวบที่ผ่านช่วงมรสุมของจวน จนต้องกัดก้อนเกลือกิน สวมใส่เสื้อผ้าบาง ๆ ในเหมันต์ฤดู จวบจนมีหลินซื่อเข้ามาในจวน ความเป็นอยู่โดยรวมของนางจึงได้ดีขึ้น และกลับมาเพียบพร้อมสมบูรณ์อีกครั้งประกอบกับความรักในช่วงแรกขอ
ส่วนเรื่องราวที่ต่อเนื่องจากเมื่อคืน...หลังจากที่ฉินเจียวเยี่ยนได้สร้างความอับอายให้กับจวนโหวด้วยการมีความสัมพันธ์กับขอทานที่เฟิงอ๋องสั่งให้องครักษ์จับโยนเข้ามาในเรือนบรรดาแขกเหรื่อที่ตามมานั้น ก็นำเรื่องอื้อฉาวของฉินเจียวเยี่ยนไปเล่ากันสนุกปาก จนเป็นที่รู้กันในเมืองหลวง ยิ่งสร้างภาพลักษณ์ตุ๊กตากระเบื้องของนางให้แย่ลงไปอีกทำให้ฉินเจียวเยี่ยนต้องหลบซ่อนตัวอยู่แต่ในจวน ไม่กล้าออกไปไหน จนกว่าเรื่องจะเงียบลงสวนทางกับฉินเยี่ยนฟางที่ได้ออกไปเที่ยวงานเทศกาลโคมไฟ บังเอิญเจอเฟิงอ๋องและฉีอ๋อง ซึ่งกำลังกลุ้มใจกับคดีทุจริตของขุนนาง แม้ว่า จะมีพยานและหลักฐานครบถ้วนแล้ว แต่ก็จับได้เพียงขุนนางตัวเล็ก ไม่สามารถสืบไปถึงตัวการเบื้องหลังฉินเยี่ยนฟาง ด้วยฉายาไข่มุกแห่งเมืองหลวงที่พรั่งพร้อมด้วยรูปโฉม ฐานะ และความสามารถทั้ง 4 ด้าน คือ พิณ หมากล้อม อักษรศิลป์ และจิตรกรรม จึงได้ช่วยแนะนำ จนเห็นเบาะแสและเจอหลักฐานชิ้นสุดท้ายในที่สุดฉีอ๋องตอบแทนความช่วยเหลือนี้ ด้วยการขอพระราชทานตำแหน่งท่านหญิงให้แก่ฉินเยี่ยนฟาง ถือเป็นการลบล้างความอับอายจากฉินเจียวเยี่ยนให้แก
ชุนเถาและชุนหลิ่วสบสายตากันอย่างสงสัยนี่ ยังเป็นคุณหนูของพวกตนอยู่หรือไม่?ปกติคุณหนูรองเกียจคร้านในการลงมือทำสิ่งต่าง ๆ แต่เหตุใดวันนี้จึงลุกขึ้นมาทำนั่นทำนี่ได้เล่า?ชุนหลิ่ว “แล้วน้ำมันนวดนี่ ต้องทำอย่างไรเจ้าคะ?”“ยามนี้เป็นหน้าหนาว ดอกไม้มีน้อย ทำน้ำมันนวดกลิ่นดอกเหมยก็แล้วกัน”ชุนเถา “ดอกเหมยหรือเจ้าคะ? เมื่อยามเหม่า ข้าเก็บดอกเหมยมาประดับเรือนคุณหนูมากมายเลยเจ้าค่ะ”เพราะฉินเจียวเยี่ยนชอบดอกเหมยมาตั้งแต่เด็ก ๆ ซ่านเต๋อโหวและหลินซื่อจึงได้ปลูกดอกเหมยล้อมรอบเรือนให้นาง และเปลี่ยนชื่อเรือนเป็นเรือนเหมยฮวาตั้งแต่นั้นมาชุนเถาเองก็มักจะตัดดอกเหมยมาปักแจกันประดับไว้ในเรือนเหมยฮวาให้เจ้านายเป็นประจำ“เช่นนั้น ชุนหลิ่วไปนำน้ำมันหมูมาให้ข้าที”“เจ้าค่ะ”ตลอดบ่ายวันนั้น ฉินเจียวเยี่ยนพาสองสาวใช้คัดแยกดอกเหมยที่สมบูรณ์สวยงาม นำมาล้างทำความสะอาด ก่อนจะผึ่งให้แห้ง แล้วจึงนำดอกเหมยใส่ลงในหม้อดินเผา เทน้ำมันหมูที่ใช้เป็นน้ำมันพื้นฐานลงจนท่วมดอกเหมยชุนหลิ่วถามอย่างสงสัยในขณะที่มองหม้อ “แล้วทำอย่างไรต่อเจ้าคะ? คุณห
เพื่อให้ตัวนางที่ตอนนี้เป็นฉินเจียวเยี่ยนจะต้องไม่โดนปักธงตาย มีชีวิตยืนยาวถึงช่วงแก่ชรา สามารถเกษียณอายุในบั้นปลายชีวิต ท่ามกลางความรักของลูกหลานให้จงได้!นอกจากฉินเจียวเยี่ยนจะเป็นคนใหม่ เป็นคนดีของครอบครัวและสังคมแล้ว ก็น่าจะช่วยส่งเสริมให้พระนางได้ลงเอยกันโดยไวอีกด้วย...อืม แต่พระเอกนางเอกย่อมคู่กันอยู่แล้ว นางคงไม่จำเป็นต้องสอดมือเข้าไปช่วยกระมัง?คิดไปคิดมา การที่มีพี่เขยเป็นถึงองค์ชาย เป็นท่านอ๋องเจ้าสำราญก็นับว่าดีไม่น้อยจะทำสิ่งใดก็ได้ จะเดินกร่าง อวดอ้างบารมีพี่เขยไปทั่วเมืองหลวงก็ยังได้...พูดถึงพี่เขยอย่างเฟิงอ๋องแล้ว ก็นึกถึงหุ่นล่ำ ๆ แซ่บ ๆ ที่ได้กินไปเมื่อคืนไม่รู้ว่า ใครกันแน่ที่โดนกิน เริ่มแรกนางก็ได้กินเขา แต่ไม่นาน บทบาทพวกเขากลับสลับกันเสียอย่างนั้นเซียวชิงเฟิงพลิกบทบาทกลับมาเป็นฝ่ายรุก ยึดครองพื้นที่ด้านบนตัวนางตลอดค่ำคืน เอวสอบขยับเคลื่อนไหวราวกับอาชาหนุ่มจากต่างแดน โยกกระแทกเข้าใส่ตัวนางอย่างบ้าคลั่ง จนช่วงล่างของนางร้าวระบมไปหมดไม่รู้ว่าเป็นเพราะตัวของเขาเองหรือเพราะฤทธิ์ยาที่นางบังคับให้เขากินเข้าไ
ส่วนเรื่องราวที่ต่อเนื่องจากเมื่อคืน...หลังจากที่ฉินเจียวเยี่ยนได้สร้างความอับอายให้กับจวนโหวด้วยการมีความสัมพันธ์กับขอทานที่เฟิงอ๋องสั่งให้องครักษ์จับโยนเข้ามาในเรือนบรรดาแขกเหรื่อที่ตามมานั้น ก็นำเรื่องอื้อฉาวของฉินเจียวเยี่ยนไปเล่ากันสนุกปาก จนเป็นที่รู้กันในเมืองหลวง ยิ่งสร้างภาพลักษณ์ตุ๊กตากระเบื้องของนางให้แย่ลงไปอีกทำให้ฉินเจียวเยี่ยนต้องหลบซ่อนตัวอยู่แต่ในจวน ไม่กล้าออกไปไหน จนกว่าเรื่องจะเงียบลงสวนทางกับฉินเยี่ยนฟางที่ได้ออกไปเที่ยวงานเทศกาลโคมไฟ บังเอิญเจอเฟิงอ๋องและฉีอ๋อง ซึ่งกำลังกลุ้มใจกับคดีทุจริตของขุนนาง แม้ว่า จะมีพยานและหลักฐานครบถ้วนแล้ว แต่ก็จับได้เพียงขุนนางตัวเล็ก ไม่สามารถสืบไปถึงตัวการเบื้องหลังฉินเยี่ยนฟาง ด้วยฉายาไข่มุกแห่งเมืองหลวงที่พรั่งพร้อมด้วยรูปโฉม ฐานะ และความสามารถทั้ง 4 ด้าน คือ พิณ หมากล้อม อักษรศิลป์ และจิตรกรรม จึงได้ช่วยแนะนำ จนเห็นเบาะแสและเจอหลักฐานชิ้นสุดท้ายในที่สุดฉีอ๋องตอบแทนความช่วยเหลือนี้ ด้วยการขอพระราชทานตำแหน่งท่านหญิงให้แก่ฉินเยี่ยนฟาง ถือเป็นการลบล้างความอับอายจากฉินเจียวเยี่ยนให้แก
แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดี...หลินซูเยียน บุตรสาวจากตระกูลพ่อค้าผู้ร่ำรวยในเมืองหลวงเกิดอุบัติเหตุ และได้ซ่านเต๋อโหวบังเอิญช่วยไว้ จึงเกิดตกหลุมรักและอยากตบแต่งเข้าจวนโหวบิดาของหลินซูเยียนดีดลูกคิดรางแก้วในใจ แม้จวนซ่านเต๋อโหวจะว่างเปล่า แต่ก็ถือว่า เป็นตระกูลขุนนางคำว่า โหว คงจะช่วยเกื้อกูลการค้าของตนได้ไม่มากก็น้อย จึงได้ยินยอมตบปากรับคำบุตรสาว ยอมให้หลินซูเยียนออกเรือนสมความปรารถนาเมื่อหลินซูเยียนแต่งเข้ามาในจวน ซ่านเต๋อโหวมีคำขอเพียงข้ออย่างเดียว คือ ห้ามไม่ให้หลินซื่อรังแกฉินเยี่ยนฟาง ซึ่งหลินซื่อก็รับคำ มอบความรักและดูแลฉินเยี่ยนฟางประหนึ่งลูกแท้ ๆ ของตนเองจนกระทั่งหลินซื่อตั้งครรภ์ และได้คลอดบุตรสาวอย่าง ฉินเจียวเยี่ยน ให้แก่จวนโหว ความรักความทุ่มเททุกอย่างของนางจึงมามอบให้ฉินเจียวเยี่ยนทั้งหมดฉินเยี่ยนฟางในวัยห้าขวบที่ผ่านช่วงมรสุมของจวน จนต้องกัดก้อนเกลือกิน สวมใส่เสื้อผ้าบาง ๆ ในเหมันต์ฤดู จวบจนมีหลินซื่อเข้ามาในจวน ความเป็นอยู่โดยรวมของนางจึงได้ดีขึ้น และกลับมาเพียบพร้อมสมบูรณ์อีกครั้งประกอบกับความรักในช่วงแรกขอ
“...” ฉินเจียวเยี่ยนเลิกคิ้วบางดั่งกิ่งหลิวขึ้นอย่างแปลกใจเกิดอะไรขึ้น?ตามเนื้อเรื่องเดิม ชุนเถา คือ ผู้ที่ไปตามทุกคนในโถงด้านหน้า ให้มาที่เรือนชุยจูหากแต่เมื่อคืน นางก็ได้สั่งห้ามชุนเถาไปแล้ว แล้วใครกันที่จะรู้เรื่องราวลับ ๆ ในเรือนชุยจูระหว่างนางกับเฟิงอ๋อง?“แล้วเมื่อคืน เสียงของข้ากับท่านอ๋อง มันดังออกมานอกเรือนเลยรึ?”ชุนเถาส่ายหน้าราวกับกลองป๋องแป๋งด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ “ข้ายืนเฝ้าอยู่หน้าเรือน แทบจะไม่ได้ยินเสียงใดเล็ดลอดออกมาเลยเจ้าค่ะ”“ถ้าเช่นนั้น จะมาอ้างว่า ได้ยินเสียงก็คงไม่ได้สินะ”แสดงว่า ต้องมีคนเห็นนางลอบเข้าเรือนท่านอ๋อง หรือว่า รู้อยู่แล้วว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นที่เรือนชุยจู...ฉินเจียวเยี่ยนหรี่ตาลงอย่างใช้ความคิด พลางกดมือนวดเอวเบา ๆชุนเถาถามขึ้น “คุณหนูปวดเมื่อยส่วนใดหรือเจ้าคะ?”“ก็เมื่อยเอวอยู่นะ เมื่อคืน เฟิงอ๋องไม่รักหยกถนอมบุปผาแล้วเสียเลย” ฉินเจียวเยี่ยนบ่นอุบอิบ วาจาที่ใช้ทำให้สองสาวใช้มีใบหน้าแดงก่ำยิ่งขึ้นค
“อึก อื้อ” เสียงครางในลำคออย่างอ่อนแรงดังขึ้น ทั่วร่างกายมีแต่ความเมื่อยล้าเข้าจู่โจมในทุกครั้งที่ฉินเจียวเยี่ยนขยับตัวดวงตาจิ้งจอกกะพริบถี่ขึ้น ก่อนจะมองเห็นเพดานห้องที่คุ้นตานางหลับตาลงอีกครั้ง พลางนึกถึงเหตุการณ์น่าอภิรมย์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนมาถึง ก็ได้กินพระเอกของเรื่องเลยรึ...เฮ้อ... แต่ก็เป็นเนื้อที่อร่อยมากจริง ๆฉินเจียวเยี่ยนถอนหายใจอย่างอิ่มเอม แล้วจึงลุกขึ้นนั่งบนเตียง ก่อนจะส่งเสียงเรียกสาวใช้คนสนิทที่ยืนรออยู่หน้าเรือน“ชุนเถา ชุนหลิ่ว”“เจ้าคะ คุณหนู” ชุนเถารีบประตูเรือน เดินเข้ามาทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกสาวใช้คนสนิทมาคุกเข่าที่ข้างเตียง ถามขึ้นด้วยเป็นความเป็นห่วง “คุณหนูเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?”เมื่อคืน พวกนางกลัวกันแทบตาย ไม่ว่าจะเป็นเฟิงอ๋องที่อยู่ในเรือนกับคุณหนู หรือองครักษ์ลับหน้าตายสองคนของเฟิงอ๋องที่ยืนขวางอยู่หน้าประตูชุนหลิ่วยกเท้าข้ามธรณีประตู ก้าวตามเข้ามาในห้องรีบถามต่อ “คุณหนูหิวแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ?”ฉินเจียวเยี่ยนไม่ตอบ หากแต่ถามทั้งสองคนกลับไป “ยามใดแล้ว?”ชุนเถา “
ฉินเจียวเยี่ยนนอนแผ่หลาหอบหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน ในขณะที่เซียวชิงเฟิงยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง กลิ่นอายบุรุษเพศลอยอบอวลไปทั่วห้องหญิงสาวมองร่างกำยำที่ลุกขึ้นจากเตียง อวดโฉมแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยร่องรอยการสู้รบ ทั้งจากสนามรบและบนเตียงเมื่อครู่ รอยเล็บทั้งจิกและข่วนปรากฏไปทั่ว ทำให้ฉินเจียวเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะเม้มริมฝีปากด้วยความเขินอาย ก่อนจะดึงผ้าห่มมาปิดหน้าทำไปได้นะเรา...มุมปากเซียวชิงเฟิงวาดโค้งขึ้นน้อย ๆ เมื่อได้ยินเสียงความคิดของแม่นางน้อยบนเตียงที่มีต่อเขา พลางสวมเสื้อผ้าสีดำของเขาที่กองอยู่ที่พื้น“ฉินเจียวเยี่ยน”“เพคะ?” ฉินเจียวเยี่ยนโผล่หน้าออกจากผ้าห่ม ให้เห็นเพียงแค่ดวงตาจิ้งจอกที่กำลังวาววับเป็นประกายด้วยความอิ่มเอมระคนเขินอาย“เจ้ากำลังนอนทับเสื้อคลุมข้า”นอนทับเสื้อคลุม?ฉินเจียวเยี่ยนรีบยันกายลุกขึ้น ก่อนจะเหลือบเห็นว่า เสื้อคลุมสีดำขลิบทองของเขาถูกใช้เป็นผ้าปูเตียงยับยู่ยี่เรียบร้อยแล้ว “ขออภัยเพคะ”นางรีบลุกไปอีกด้าน แล้วหยิบเสื้อคลุมส่งให้ เช่นเดียวกับเซียวชิงเฟิงที่หยิบเสื้อชั
สองปลายลิ้นเกี่ยวกระหวัดกันอยู่ภายใน ลิ้นสากสอดแทรกบุกรุกเข้าไปยึดครองอย่างเป็นเจ้าของ สลับกันรุกสลับกันรับจนเกิดเสียงสัมผัสดังก้องภายในหูฉินเจียวเยี่ยนยกแขนเรียวขึ้นโอบ รั้งอีกฝ่ายให้ลงมาแนบชิดมากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับฝ่ามือสากที่ลูบไล้ไปตามเนื้อนวลเนียนใต้ร่างอาภรณ์สีขาวถูกสะบัดโยนลงจากเตียงอย่างไม่ไยดี ในขณะที่ชุดคลุมสีดำถูกกางออกกลายเป็นผ้าปูเตียงอีกชั้นหนึ่งเซียวชิงเฟิงแยกสองขาเรียวออกกว้าง เพื่อแทรกตัวเข้าไปตรงกลางหว่างขา หน้าท้องของเขาสัมผัสได้ถึงความเปียกแฉะที่เจิ่งนองเซียวชิงเฟิงหอบหายใจหนัก ก่อนจะผละริมฝีปาก กดจูบไปตามซอกคอชื้นเหงื่อ “นี่ เจ้ายังไม่เคยจริงหรือ?”“อ๊ะ อา อ่า” เสียงครางกระเส่าดังขึ้นเป็นจังหวะ โดยเฉพาะยามที่ปลายลิ้นร้อนแตะลงบนจุดอ่อนไหวทีละจุดยิ่งออกแรงมากเท่าใด หยาดเหงื่อที่เจือกลิ่นดอกเหมยประจำตัวนางก็ยิ่งลอยอบอวล ชวนให้เขาสูดดมเข้าเต็มปอดปลายเล็บจิกลงบนบ่าหนา ร่างบางแอ่นตัวไปด้านหน้าตามการเล้าโลมของชายหนุ่มฉินเจียวเยี่ยนตอบเสียงกระเส่า “ยะ ยังไม่เคย”“แต่เจ้าดูไม่เหมือนแม่นางในห้องหอเลยน
บานประตูเรือนชุยจูถูกฉีอ๋องผลักเล็กน้อย ก็เปิดกว้างอย่างง่ายดาย เมื่อลองกวาดสายตาเพียงครั้งเดียวก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ไม่มีผู้ใดอยู่ในเรือน มีเพียงผ้าปูเตียงที่ยับยู่ยี่ บ่งบอกว่า เคยมีคนนอนบนนี้มาก่อนก่อนที่ฉีอ๋องและคนอื่น ๆ จะได้ก้าวเข้าไปตรวจสอบภายในเรือนตงไฮ่ องครักษ์คนสนิทของเฟิงอ๋องก็เดินออกมาจากทางด้านข้างเรือน ยืนทำความเคารพอยู่ที่หน้าประตู“กระหม่อมขอคารวะฉีอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”“อ้าว ตงไฮ่นี่เอง แล้วเสด็จพี่เล่า?” ฉีอ๋องเลิกคิ้วถาม“เฟิงอ๋องพักที่นี่อยู่ชั่วครู่ก็รู้สึกดีขึ้น จึงเสด็จกลับไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ตงไฮ่หันไปทำความเคารพซ่านเต๋อโหวพลางเอ่ย “ท่านอ๋องฝากขอบคุณท่านโหวที่ให้ยืมเรือนพักผ่อน และจะเข้ามาขอบคุณด้วยตนเองในโอกาสหน้าขอรับ”“อ่อ ไม่เป็นไร ๆ แค่ท่านอ๋องมาแสดงความยินดีในวันเกิดของข้า ข้าก็ยินดีมากแล้ว” ซ่านเต๋อโหวยิ้มแย้ม ก่อนจะเอ่ยชวนทุกคนให้กลับไปร่ำสุราที่งานเลี้ยงกันต่อ “เชิญฉีอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”ฉีอ๋องยกยิ้มเล็กน้อย “เชิญท่านโหว&rdquo