“นี่ เจ้า!!”
สตรีนางนี้เสียสติไปแล้ว!?
ฉินเจียวเยี่ยนยิ้มเย็นยักไหล่ พลางสะกดความร้อนรุ่มภายในตัวที่ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง “ว่าอย่างไรเล่า? ท่านอ๋อง เวลาไม่คอยท่านะเพคะ”
เซียวชิงเฟิงกัดฟันอย่างไร้ทางเลือก “หยางเซิง เตรียมยา!!”
“พ่ะย่ะค่ะ” เสียงทุ้มต่ำตอบรับดังขึ้นที่นอกเรือน ก่อนที่จะเงียบหายไปอีกครั้ง
“ถ้าเช่นนั้น เราก็มาเริ่มถอนยากันเลยนะเพคะ”
เซียวชิงเฟิงสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง “ข้าไม่ทำหรอกนะ หากเจ้าอยากทำ ก็จงทำเอง”
ฉินเจียวเยี่ยนถอนหายใจ แล้วกลอกตาอีกหน “เพคะ เพคะ ขอท่านอ๋องคนดี โปรดนอนเฉย ๆ ให้หม่อมฉันได้เชยชมพระองค์ก็พอเพคะ เพียงเท่านี้ ก็นับว่า เป็นวาสนาสิบชาติที่หม่อมฉันได้สะสมมาแล้วเพคะ”
เซียวชิงเฟิงพ่นลมหายใจอย่างรำคาญกับวาจาประชดประชันของอีกฝ่าย เมื่อมองเห็นฉินเจียวเยี่ยนที่กำลังก้าวขาขึ้นคร่อมร่างเขาอีกหน “นี่ เจ้า...”
ให้ตายเถอะ!
เขาไม่เคยเจอแม่นางในห้องหอนางใด อาจหาญในเรื่องเช่นนี้มาก่อนเลย
ดูเชี่ยวชาญยิ่งกว่านางคณิกาในหอนางโลมเสียอีก…
“อย่าเสียเวลาอีกเลยเพคะ หม่อมฉันอยากถอนยาแล้ว”
ฉินเจียวเยี่ยนรีบใช้สองมือถอดเข็มขัด รั้งเสื้อคลุมตัวนอกและตัวในของชายหนุ่มออก จับโยนทิ้งลงจากเตียงอย่างไม่ไยดี จนกระทั่งนางได้เห็นเรือนร่างกำยำที่ปรากฏร่องรอยบาดแผลจากการออกรบนับครั้งไม่ถ้วนของเขา
มือขาวเนียนราวกับไร้กระดูกลูบคลำไปมาบนแผงอก ไล้ต่ำมาจนถึงกล้ามเนื้อหน้าท้องเป็นลอน ชวนให้นางรู้สึกเสียวท้องน้อย ช่วงล่างของลำตัวเปียกแฉะอย่างห้ามไม่อยู่
ฉินเจียวเยี่ยนถอดเสื้อผ้าของตนเอง แล้วโยนลงไปกองที่พื้นด้วยเช่นกัน ทำให้บนเตียงกว้างเหลือเพียงสองร่างเปลือยเปล่าที่สบตากันอยู่อย่างนั้น
'จะได้กินเนื้อแล้วสินะ...'
เซียวชิงเฟิงเลิกคิ้วคมขึ้นในทันใด “หืม?”
“มีสิ่งใดหรือเพคะ?”
“เมื่อครู่ เจ้าพูดสิ่งใด?”
ฉินเจียวเยี่ยนส่ายหน้าแดงก่ำอย่างน่าเอ็นดู “หม่อมฉันไม่ได้พูดสิ่งใดนะเพคะ”
เซียวชิงเฟิงเอ่ยปัดอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าคงหูฝาดไป”
ฉินเจียวเยี่ยนโน้มตัว ก้มหน้าลงประกบริมฝีปากบางเรียวนั้นอีกครา หากแต่คราวนี้ มีเพียงปลายลิ้นเล็กที่สอดแทรกเข้าไปควานหาความดิบเถื่อนของฝ่ายชาย
สองมือลูบไล้ไปทั่วลำตัว หวังปลุกเร้าความปรารถนาของคนข้างล่างให้ลุกโชนด้วยเช่นเดียวกัน
ในตอนแรก เซียวชิงเฟิงมีความตั้งใจแรงกล้าที่จะนอนเฉย ๆ ไม่ให้ความร่วมมือใด ๆ แต่เมื่อถูกเล้าโลมไปทั่วตัวอย่างช่ำชองเพียงนี้ ก็ไม่สามารถกลั้นใจนอนสงบนิ่งเป็นเหยื่อตายได้อีกต่อไป
ลิ้นสากเริ่มตวัดหยอกล้อลิ้นเล็กที่อาจหาญเข้ามาท้าทาย สองมือลูบไล้ร่างอรชรบนตัวอย่างพึงพอใจในผิวขาวเนียนนุ่ม
'จูบเก่งกว่าที่คิดนะเนี่ย...'
เซียวชิงเฟิงหรี่ดวงตาดอกท้อขึ้นมอง
เขาได้ยินเสียงนางอีกครั้ง หากแต่ตอนนี้ ริมฝีปากนางกำลังประกบอยู่กับเรียวปากของเขาอย่างแนบแน่นถึงเพียงนั้น
นางจะพูดได้อย่างไร?
ฉินเจียวเยี่ยนผละริมฝีปากออกมา “อา หม่อมฉันจะทำให้ท่านไม่คิดเสียใจที่ร่วมมือถอนยากับหม่อมฉันเลย”
เซียวชิงเฟิงนิ่งไป เพื่อพินิจถึงสองโทนเสียงของฉินเจียวเยี่ยน แม้ฟังเพียงผิวเผินอาจจะดูคล้ายกัน แต่ด้วยผู้มีวิทยายุทธ์อย่างเขา ย่อมจับความแตกต่างของเสียงเหล่านี้ได้อยู่แล้ว
หญิงสาวยันตัวขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะก้มลงจูบตามซอกคอของเขา เรื่อยต่ำลงมาที่แผงอกหนา กล้ามหน้าท้องแน่นเป็นลอนแปดลูก จนมาถึงจุดกลางตัวของเขาที่ชูชันสะกดสายตา
เซียวชิงเฟิงกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ กดเสียงต่ำถาม “เจ้าจะทำอะไร?”
เมื่อเห็นฉินเจียวเยี่ยนจดจ่อใบหน้าอยู่ที่ลำกายของเขา พลางแลบลิ้นเลียริมฝีปากอย่างกระหาย
“ข้าอยากกินไส้กรอก”
ไส้กรอก? กุนเชียงน่ะหรือ?
นางกำลังหิวหรือ?
แม่นางน้อยนางนี้ มาหิวสิ่งใดในยามนี้
“ไหนจะสามีอีก การที่ได้ไท่จื่อหรือกู้ซื่อจื่อมาเป็นคู่ครองก็นับว่าเป็นวาสนาของพวกเจ้าที่หลายคนอิจฉาแล้ว ข้าไม่คิดว่า ตนเองจะโชคดีอย่างพวกเจ้าหรอก” หลี่ชิงหงผงกศีรษะไปทางประตู “ในสมัยโบราณเช่นนี้ บุรุษที่ดีมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย มิเช่นนั้น ลูกค้าของโรงน้ำชาเชิ่งเยี่ยนเกอจะมากมายป่านนี้รึ?”“ข้ามีโอกาสได้นั่งคุยกับฮูหยินหลายคน มีไม่น้อยที่สามีหลงอนุจนละเลยภรรยา รับอนุเข้ามาจนเต็มจวน ไปแอบมีอนุที่นอกเรือน ซ้ำร้าย หากภรรยาและอนุทะเลาะกัน เขายังเข้าข้างอนุ ตบตีภรรยาเอกเสียด้วยซ้ำ”“หากสามีไม่หลงอนุก็ตั้งใจทำงานจนละเลยภรรยา มองภรรยาเป็นเพียงไม้ประดับเรือนที่ต้องมีไว้ เพื่อเป็นหน้าเป็นตาของจวน หากแต่ลับหลังแล้ว พวกนางจะเป็นอยู่อย่างไรก็ไม่สนใจ”“ยิ่งบรรดาฮูหยินที่ไม่อาจมีบุตรชายให้แก่จวนของสามีได้อีก กลายเป็นแม่ไก่ที่ไม่สามารถออกไข่ได้ ก็เป็นที่รังเกียจของตระกูลสามีอีก โอ๊ย! สารพัดปัญหาหากคิดจะแต่งงานมีคู่ครอง”ฉินเจียวเยี่ยน “...”ข้าถามเจ้าเพียงประโยคเดียว ไยเจ้าจึงสรุปปัญหาชีวิตคู่ของคนทั้งเมืองมาให้ข้าฟังเล่า?“เช่นนั้น เจ้าจึงเลือกที่จะสนุกกับ
“...” ฉินเจียวเยี่ยนขมวดคิ้ว “เจ้าเพิ่มชาบูเข้าไปเช่นนั้น ลูกค้าจะไม่มึนงงสับสนหรือ?”หลี่ชิงหงเลิกคิ้วแปลกใจ “มึนงงสิ่งใด? ข้าว่า ดีมิดี ลูกค้าบางส่วนก็ตั้งใจมากินชาบูเสียด้วยซ้ำ”ฉินเจียวเยี่ยนถามอย่างสงสัย ในขณะที่คีบเห็ดขึ้นมาจากหม้อทองแดง “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”“เฮ้อ... ข้าเป็นเจ้าของโรงน้ำชาเชิ่งเยี่ยนเกอนะ” หลี่ชิงหงเชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “ข้าดูแลที่นี่มาตั้งแต่ยามตั้งไข่ แรกเริ่มเดิมทีมีลูกค้าเสียที่ใด น้ำชาเจ้ารสเลิศมากหรือ? ขนมที่เจ้าขายแปลกประหลาดจนมีแต่ที่นี่ที่เดียวหรือ?”เมื่อเห็นฉินเจียวเยี่ยนส่ายหน้าปฏิเสธ นางจึงเอ่ยต่อ “เพราะที่นี่ไม่ได้มีสิ่งใดที่พิเศษกว่าที่อื่นเลยอย่างไรเล่า? ข้าจึงต้องมองหาจุดขายอย่างอื่นมากเพิ่มเติม”“เจ้าจึงเลือกชาบู?” ฉินเจียวเยี่ยนเลิกคิ้วบางถาม ในขณะที่แอบคีบเนื้อแพะที่หลี่ชิงหงเป็นผู้คีบลงไปต้ม“ก็ใช่น่ะสิ” หลี่ชิงหงพยักหน้าหงึกหงักกับความคิดของตน “โชคดีว่าได้อาลี่คอยช่วยเหลือด้วย นับว่านางเป็นลูกค้าคนแรกของโรงน้ำชาเชิ่งเยี่ยนเกอก็ว่าได้ นางชวนกู้ฮูหยินให้มาลิ้มลองชาบูที่นี่ก่อนเป็นรายแรก”
นับวัน กิจการของร้านเยว่หรงก็เจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก เครื่องประทินโฉมนานาชนิดขายดิบขายดี จนฉินเจียวเยี่ยนและหลี่ชิงหงตัดสินใจซื้ออาคารเพิ่มอีกหลายหลัง เพื่อทำการขยายสาขา ไม่ต้องให้ลูกค้าที่ตั้งใจมาซื้อของแออัดอยู่ที่สาขาหลักเพียงสาขาเดียวนอกจากนี้ ยังได้เพิ่มแรงงานจ้างชาวบ้านมาช่วยงานภายในร้านเยว่หรงมากขึ้น จัดสรรสวัสดิการจนชาวบ้านหลายคนแห่กันมาสมัครเป็นจำนวนมาก ซึ่งหลี่ชิงหงก็รับคนจำนวนตามอัตราที่ขาดแคลนและจัดหางานให้ตามความเหมาะสมกับความสามารถที่แต่ละคนมีร้านเยว่หรงสาขาหลักและสาขาย่อยอีกสองแห่งได้มีการจ้างผู้จัดการมาดูแลร้านเรียบร้อย หลี่ชิงหงเพียงแต่ควบคุมการผลิตและตรวจบัญชีให้ถูกต้องเพียงเท่านั้นส่วนเวลาว่างที่เหลือ หลี่ชิงหงได้ย้ายตัวเองมาประจำการอยู่ที่โรงน้ำชาเชิ่งเยี่ยนเกอที่เพิ่งเปิดกิจการได้ไม่นานโรงน้ำชาเชิ่งเยี่ยนเกอ หากมองจากภายนอกก็เป็นโรงน้ำชาธรรมดา แต่มีการจัดตกแต่งเรียบหรู เชิญชวนให้บรรดาฮูหยินและคุณหนูทั้งหลายมานั่งสนทนา จิบน้ำชา กินขนมว่าง แลกเปลี่ยนข่าวสารกันและกันสำคัญที่เสี่ยวเอ้อร์ทุกคนจะต้องเป็นหนุ่มน้อยวัยละอ่อนที่ม
เซียวชิงเฟิงพลิกกายลงจากเตียง ช้อนวงแขนอุ้มร่างไท่จื่อเฟยขึ้นมาในอ้อมกอด ฉินเจียวเยี่ยนเห็นทีว่าไม่น่าจะห้ามสวามีได้ จึงเอื้อมมือปลดม่านมุ้งลงครอบรอบเตียง‘อย่างน้อย ถ้าเจ๋อเอ๋อร์ตื่นขึ้นมา จะได้ไม่เห็นภาพไม่ดีไม่งามเข้า...’เซียวชิงเฟิงยิ้มกว้าง ในขณะที่ตรงดิ่งไปยังเก้าอี้ตัวใหญ่บริเวณมุมห้อง เขาทรุดตัวลงนั่ง บังคับให้ร่างแน่งน้อยนั่งคร่อมอยู่ด้านบน สองมือเริ่มเปลื้องผ้าของนางอย่างคุ้นเคย จนฉินเจียวเยี่ยนนึกฉุนแบบขำ ๆ“หม่อมฉันรู้นะเพคะ ว่าท่านพี่ชอบแกล้งเจ๋อเอ๋อร์”“หื้ม?” เซียวชิงเฟิงลากเสียงสงสัยราวกับถูกปรักปรำ แต่เมื่อสบตาแวววาวของฮูหยินที่จ้องมองมาอย่างรู้ทัน เขาจึงเลิกตีหน้าใสซื่อแล้วฟ้องอย่างตรงไปตรงมา “ก็เขามาแย่งเวลาของเจ้าไปจากข้า”ฉินเจียวเยี่ยนถอนหายใจ ยกสองแขนขึ้นคล้องคออีกฝ่าย “เจ๋อเอ๋อร์ใช้เวลาคลุกคลีใกล้ชิดอยู่กับเราไม่นานหรอกเพคะ เพียงไม่กี่ปี เมื่อเขาเติบโตขึ้น เขาก็จะติดสหาย ติดอาจารย์ แล้วก็จะห่างจากเราไปเรื่อย ๆ เองเพคะ”“...” เซียวชิงเฟิงนิ่งเงียบ “เช่นนั้น เมื่อเขาโตขึ้น ข้าจะพาเขาไปหอนางโลม”เพียะ!!
นับตั้งแต่วันที่เขาได้ค้นพบความสามารถที่ได้ยินเสียงของบุตรชาย เซียวชิงเฟิงก็สนุกกับการเย้าแหย่เซียวชิงเจ๋อเป็นอย่างมากชายหนุ่มมิได้คิดแปลกใจอันใดให้มากความกับความคิดที่เป็นเหตุเป็นผลของบุตรชายแม้แต่น้อย เพราะอย่างไรเสียก็ยังเป็นเพียงความคิดความรู้สึกที่เรียบง่าย ไม่ว่าจะโกรธ โมโห หิว แค้นเคือง หวงแหน หรือดีใจ ซึ่งเซียวชิงเจ๋อยังไม่มีความคิดเชิงซับซ้อนที่สามารถวางแผนร้ายกับเขาได้เซียวชิงเฟิงจึงยังคงชวนฉินเจียวเยี่ยนร่วมอภิรมย์ทุกค่ำคืน ยึดครองเวลายามราตรีของนาง จนทำให้นางตื่นสายขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้เซียวชิงเจ๋อได้เห็นหน้ามารดาของเขาน้อยลงทุกวันแต่สิ่งที่ทำให้เซียวชิงเจ๋อโมโหเซียวชิงเฟิงมากขึ้นไปอีกคือทุกเช้าบิดาของเขาจะไม่เหลือน้ำนมให้เด็กน้อยเลยสักหยดเดียว!!‘พ่อยิสัยไม่ดี!!’แม้ว่า ฉินเจียวเยี่ยนจะพยายามห้ามปรามพระสวามีเพียงใดก็ตาม แต่สุดท้ายก็กลายเป็นภาวะจำยอมให้เซียวชิงเฟิงทำตามใจไปเสียทุกคืนแต่ยังโชคดีที่ช่วงเวลากลางวัน ฉินเจียวเยี่ยนกลับมามีน้ำนมให้เซียวชิงเจ๋อได้ดื่มกิน ช่วยให้เด็กน้อยได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์จากมารดาอย่
ประกายแสงสีทองทอดผ่านบานหน้าต่างทะลุเข้ามาในห้องนอนของเรือนอี้หง เสื้อผ้าอาภรณ์ของบุรุษและสตรีกระจัดกระจายอยู่บนพื้น ร่างเล็กที่ตกอยู่ในอ้อมกอดของสวามีค่อย ๆ บิดตัวอย่างเมื่อยล้าเปลือกตาขยับถี่ขึ้น ก่อนจะเห็นเพดานเรือนที่คุ้นตา ฉินเจียวเยี่ยนตื่นขึ้นมาตามเวลาของร่างกาย แม้ว่านางจะยังคงรู้สึกเมื่อยล้าจากกิจกรรมโลดโผนในยามค่ำคืนราวกับถูกฉีกทึ้งไปทั่วร่างมิรู้ว่าสวามีของนางอดอยาก กล้ำกลืนอดทนมานานเพียงใด ครั้นได้รับอนุญาตให้กิน เขาจึงได้ตะกละตะกลาม กลืนกินนางจนไม่เหลือกระดูก ช่วยนางร่วมชมลมวสันต์จนรุ่งเช้าเสียงเคาะประตูเรือนอี้หงดังขึ้นแผ่วเบา เมื่อฉินเจียวเยี่ยนรู้ดีว่า นี่เป็นเวลาที่นางจะต้องให้นมบุตรแล้ว แม้ว่า ตำหนักบูรพาจะได้เตรียมแม่นมไว้มากมาย แต่ฉินเจียวเยี่ยนก็ยังคงอยากจะให้นมบุตรด้วยตนเองมากกว่า“เข้ามาเถิด...” เสียงหวานแหบพร่า ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบผ้าห่มผืนหนาขึ้นมาคลุมร่างเปลือยเปล่าของใครอีกคนที่นอนเบียดซุกซบอยู่กับเอวของนาง สองแขนของเขาโอบกอดนางไว้หลวม ๆสงสัยท่านพี่คงจะเหนื่อย มิเช่นนั้น ป่านนี้คงจะลุกขึ้นแล้ว…ฉินเจียวเยี่ยนร