ปลายยามซื่อ[1] แล้ว ร่างสูงใหญ่จึงได้ขยับตัวอย่างเกียจคร้าน คืนที่ผ่านมาเขาแวะทำธุระสำคัญระหว่างเดินทางกลับไปยังค่ายทหาร นึกไม่ถึงว่าจะเกิดพายุใหญ่จนเดินทางต่อไปได้ลำบาก ความจริงก็อยากจะแวะเข้าไปในเมือง หาที่พักสะอาดสะอ้านนอนพักจนกว่าพายุจะสงบ นึกไม่ถึงว่าจะอากาศจะย่ำแย่จนม้าตื่นกลัว รู้ตัวอีกทีก็ถูกทิ้งไว้หน้าตำหนักเยว่ฉีเสียแล้ว
เฉินฟาหยาง ลืมเสียสนิทว่ามีใครอยู่ที่นี่ จนกระทั่งได้เห็นดวงหน้าคุ้นตาที่คล้ายบิดาของนางอยู่หลายส่วน ความโกรธแค้นในใจก็พลันพลุ่งพล่าน อยากกลั่นแกล้งเลือดเนื้อเชื้อไขของบุรุษที่ทำให้เขาต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงขึ้นมาทันที
ยากจะเดาได้ว่าปีศาจตนใดยุยงให้เฉินฟาหยางกล่าวความเท็จ ว่า ตวนอ๋องยกทุกอย่างที่นี่รวมถึงตัวนางให้เขาแล้ว แต่จะว่าเป็นความเท็จทั้งสิบส่วนก็คงไม่ถูกต้องนัก เพราะตัวเขาและตวนอ๋องผู้สูงศักดิ์คือคนคนเดียวกัน ทว่าเสวียนซือชิงหาได้ทราบเรื่องนั้นแต่อย่างใดไม่
ในวันที่แต่งนางเข้าตำหนักร้างเมื่อสามปีก่อน เขาสำเริงสำราญอยู่กับอนุภรรยาในจวน หลับนอนกับพวกนางอย่างบ้าคลั่ง ถึงเสวียนซือชิงจะไม่ทราบเรื่อง แต่เขาก็สาแก่ใจอย่างมาก ยิ่งได้ข่าวจากคนรู้จักว่านางรออยู่ในรถม้านานเกือบสองชั่วยาม เฉินฟาหยางก็ยิ่งมีความสุขจนแทบกระอักออกมาเป็นเลือด
ความจริงอยากจะกลั่นแกล้งให้มากกว่านี้สักหลายเท่า แต่พอเห็นนางอีกครั้งภายใต้แสงตะเกียงที่ส่องสว่าง เฉินฟาหยางก็จำต้องแสร้งทำสีหน้าดุดันกว่าปกติ ทั้งยังไม่ยอมสบตา ด้วยเกรงว่าจะใจอ่อนให้กับความงามของนาง
ดวงตากลมโตหวานซึ้งมีหยาดน้ำสีใสคลออยู่ มองดูแล้วน่าสงสารจนอยากจะเข้าไปกอดปลอบ เดิมทีเขาก็ไม่ใช่คนรักหยกถนอมบุปผา[2] แต่พอเห็นความตื่นกลัวบนใบหน้านางกลับไม่รู้สึกอยากขู่ตะคอกให้เสียน้ำใจ จากที่ตวาดแทบทุกคำจึงยอมลดเสียงลงบ้าง ยิ่งนึกไม่ถึงว่านางจะหวงของ ปกป้องทุกอย่างที่เป็นของตวนอ๋องทั้ง ๆ ที่กลัวจนตัวสั่นไปหมดแล้ว
เฉินฟาหยางเห็นว่านางปกป้องผลประโยชน์ให้ตนเช่นนั้นก็ลดความเกลียดชังลงสองส่วน ตั้งใจว่าอาบน้ำแล้วจะเข้านอน เมตตากอดนางให้ความอบอุ่นสักหน่อย นึกไม่ถึงว่านางรั้งรอให้เขาเปลือยเปล่า เพื่อที่จะหนีออกจากตำหนักท่ามกลางพายุใหญ่ โชคยังดีที่เขาคว้าเรือนร่างนุ่มนิ่มนั้นไว้ได้ทัน
แต่กระนั้นนางก็ยังขู่กันด้วยมีด...
แววตาเด็ดเดี่ยวของนางเหมือนกับบิดาไม่ผิดเพี้ยน มองดูแล้วเป็นคนพูดจริงทำจริง ดื้อด้านเป็นที่สุด หากเขาข่มขู่หรือกดดันนางมากไป ตำหนักเยว่ฉีคงได้กลายเป็นตำหนักร้างจริง ๆ แล้ว
“เหตุใดจึงเงียบเหงายิ่งนัก”
เฉินฟาหยางลุกออกจากเตียงอย่างเกียจคร้าน พลางเดินสำรวจทั่วตำหนักที่เขาไม่ได้มานานเกือบยี่สิบปี มันเล็กเสียจนไม่ควรถูกเรียกว่าตำหนัก เรียกว่าบ้านคงจะเหมาะสมกว่า
แต่ในเมื่อสถานที่แห่งนี้คือที่ประทับชั่วคราวของเสด็จพ่อเมื่อครั้งแวะเวียนมายังค่ายทหารนอกเมือง พบท่านแม่ของเขาเป็นครั้งแรก จากบ้านธรรมดาจึงถูกเปลี่ยนชื่อให้ดูหรูหราสมกับเป็นเรือนหอ ก่อนพานางกลับเข้าวังหลวงในภายหลัง
มารดาของเขามิได้เต็มใจแต่งกับฮ่องเต้ นางจึงไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใดนัก กระทั่งเลือดเนื้อเชื้อไขอย่างเฉินฟาหยางลืมตาดูโลกยังถูกละเลย เรียกได้ว่าเติบโตมาโดยสาวใช้ก็มิผิด หลังจากการศึกทุกอย่างจบสิ้นลงแล้ว องค์ฮ่องเต้จึงออกคำสั่งให้พาตัวพระสนมและองค์ชายน้อยกลับเข้าวังหลวงไป
ตำหนักที่ถูกใช้เป็นเรือนหอจึงถูกปล่อยร้างนับจากนั้นเป็นต้นมา
เฉินฟาหยางใช้สกุลของมารดา เพราะนางไม่มั่นใจว่าบุรุษรูปงามผู้นั้นจะกลับมาหรือไม่ แต่พอเข้าไปอยู่ในวังหลวงแล้ว นางกลับเบื่อหน่ายการแก่งแย่งชิงดี ทนรั้งตำแหน่งพระสนมกุ้ยเฟยได้เพียงสิบปีก็สิ้นลมหายใจ ทิ้งไว้เพียงคำเล่าลือว่าอ้ายเฟย[3]ของฮ่องเต้เย็นชาอย่างมาก และความเย็นชาได้ส่งต่อผ่านทางสายเลือดให้กับตวนอ๋องเฉินฟาหยางอย่างสมบูรณ์ที่สุดแล้ว
หลังจากเดินจนทั่วแล้ว เขาก็อ้อมมายังด้านหลังตำหนัก อันเป็นบริเวณห้องครัวและพื้นที่สำหรับซักล้างทำความสะอาด พบร่างเล็กคุ้นตาสวมเสื้อผ้าเก่าแทบขาดกำลังนั่งทำอะไรบางอย่าง เฉินฟาหยางขยับเข้าไปใกล้ ก่อนจะอุทานอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น
“นั่นเจ้าทำอะไร!”
เขาทราบดีว่าเสวียนซือชิงกำลังความสะอาดผ้าสกปรก เพียงแต่นึกไม่ถึงว่านางต้องทำทุกอย่างด้วยตนเอง แล้วสาวใช้ในบ้านไปอยู่ที่ใดกันหมดเล่า
“คุณชายโปรดเข้าไปรอด้านในสักครู่ ข้าทำความสะอาดเสร็จแล้วจะรีบนำน้ำชาไปให้เจ้าค่ะ”
“เหตุใดจึงต้องทำเรื่องพวกนี้เอง สาวใช้ของเจ้าไปอยู่ที่ใดกัน”
“ที่นี่ไม่มีสาวใช้เจ้าค่ะ มีข้าเพียงแค่คนเดียว” นางก้มหน้าขณะตอบ ทว่าใบหูแดงจัดทำให้เฉินฟาหยางทราบได้ว่านางกำลังอับอาย
ที่แท้เมื่อคืนยามนางปฏิเสธว่าไม่มีใครอยู่ช่วยเขาอาบน้ำได้ โดยอ้างว่าที่นี่ไม่มีสาวใช้ เสวียนซือชิงไม่ได้คิดท้าทายกัน นางอยู่ที่ตำหนักร้างตามลำพังจริง ๆ แต่ในเมื่อนางเป็นถึงบุตรสาวคนโปรดของรองแม่ทัพเสวียนซือเหยา นางก็ควรจะมีสาวใช้ หรือทรัพย์สินเงินทองติดตัวมาบ้างมิใช่หรือ
‘ละเว้นโทษประหารคนสกุลเสวียน ทว่ายึดทรัพย์ให้หมดสิ้น’
เฉินฟาหยางตระหนักได้ในทันทีว่าที่ผ่านมา เสวียนซือชิงมีชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก มิได้สมตำแหน่งฐานะพระชายาของตวนอ๋องเลยแม้แต่น้อย
แต่บิดาของนางชั่วร้าย เขาจะต้องนึกสงสารนางไปเพื่ออะไรกัน
[1] เวลา ๐๙.๐๐ – ๑๐.๕๙ น.
[2] อ่อนโยนต่อสตรี
[3] สนมรัก