ท่านอ๋องเดินตามพระชายามาถึงด้านหลังอาราม นางกำลังคุยกับเจ้าอาวาสที่กำลังแนะนำสถานที่ในวัดให้โดยละเอียดและเจ้าอาวาสก็กำลังเดินกลับเข้าไปในอาราม
แม้ว่ากิริยาที่นางพูดกับเมิ่งลี่ถิงนั้นจะดูไม่ค่อยให้เกียรติอีกฝ่ายเท่าใดแต่นางกลับมีท่าทางนอบน้อมกับเจ้าอาวาส ซึ่งท่านอ๋องพอจะเข้าพระทัยแล้วว่านางคงเลือกปฏิบัติจากท่าทางของอีกฝ่ายเป็นแน่
“พระชายา กลับได้แล้วล่ะ”
“แขกของพระองค์เล่าเพคะ"
“นางกลับไปแล้ว แล้วอีกอย่างหนึ่งข้าก็มิได้เชื้อเชิญนางมา ดังนั้นจะเรียกว่าแขกคงจะไม่ได้”
“เช่นนั้นคงต้องเรียกว่าสตรีในพระทัยมากกว่าสินะเพคะ”
“ฟู่ซิ่วอิง นี่เจ้าไม่พอใจงั้นหรือ”
“พระองค์ตรัสว่าจะกลับแล้วมิใช่หรือเพคะ”
“หากว่าเจ้าแสดงท่าทีเช่นนี้ข้าเองก็คงคิดเป็นอื่นไม่ได้นอกจากเจ้ากำลังแสดงอาการหึงหวงข้าอยู่”
“พูดเหลวไหล!!…..…ทรงตรัสอะไรเพคะหม่อมฉันเพียงแค่รู้สึกเห็นใจอีกฝ่ายเท่านั้น หากว่าคืนนั้นไม่เกิดเรื่อง….ช่างมันเถิดเพคะ”
ฟู่ซิ่วอิงยังคิดถึงเรื่องครั้งก่อนตอนงานเลี้ยงที่ตนเองต้องสูญเสียพรหมจรรย์ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ตัวเลยสักนิดนั่น คืนแห่งความอัปยศนั่นทำให้นางรู้สึกอับอายเป็นที่สุด
หากว่าเขามิใช่ท่านอ๋องนางคงเลือกที่จะปลิดชีพตนเองเสียให้รู้แล้วรู้รอดแต่ผู้เป็นบิดาก็ป้องกันนางทุกทางเพื่อมิให้ทำเรื่องนี้ได้
“นี่เจ้า…ยังคิดถึงเรื่องคืนนั้นอยู่อีกงั้นหรือ”
“หม่อมฉันไม่อยากเอ่ยถึงอีก รีบกลับกันเถิดเพคะตกเย็นทางบนเขามืดและหนาวจะเดินทางลำบาก”
ท่านอ๋องเพียงแค่เดินตามนางไปที่รถม้าอย่างเงียบ ๆ เท่านั้นพร้อมกับคิดตามที่พูดไปเมื่อครู่ เรื่องนี้แม้ว่าจะเกิดขึ้นจากความผิดพลาดซึ่งจำได้ว่าในคืนนั้นเขาโกรธมากจนอยากจะฆ่านางให้ตายคาห้องนั้นเสียตอนนั้นเลยเขาจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรอีก แต่มาในยามนี้เขากลับนึกขอบคุณเหตุการณ์ในคืนนั้นอย่างน่าแปลกใจ
“ข้าช่วยนะ”
เขาจับมือนางเพื่อพาเดินขึ้นรถม้า ซิ่วอิงหันมาและยอมให้เขาจับมือเดินขึ้นไปแต่โดยดี
“ขอบพระทัยเพคะ”
แต่น้ำเสียงยังคงเรียบเฉยราวกับไม่พอใจกับบางสิ่งซึ่งก่อนหน้านี้นางมิได้ใช้น้ำเสียงนี้กับเขา เมื่อขึ้นรถม้าได้ฟู่ซิ่วอิงก็เดินเข้าไปนั่งด้านในและหันหน้าออกไปมองด้านนอกโดยไม่สนใจท่านอ๋อง
“เจ้าอยากจะแวะเดินเที่ยวที่ใดหรือไม่”
“ไม่เพคะ รีบกลับเถิดเพคะหม่อมฉันรู้สึกเหนื่อยแล้วอยากนอนพักแล้ว”
“งั้นหรือ คิดไม่ถึงว่าพระชายาจะเหนื่อยง่ายเช่นนี้ ดูท่าแล้วคงต้องให้หมัวมัวบำรุงเจ้ามากขึ้นเสียแล้ว”
“ไม่ต้องหรอกเพคะหม่อมฉันเพียงแค่รู้สึกเพลียเท่านั้น เพียงแค่ได้นอนพักก็หายดีแล้วเพคะ”
“เหตุใดเจ้าจึงทำท่าทีเช่นนี้ ตอนก่อนที่จะมาที่อารามแห่งนี้ยังดี ๆ อยู่เลยนี่ หรือว่า…”
“หม่อมฉันของีบสักหน่อยนะเพคะ”
“…”
ท่านอ๋องมิอาจเอ่ยสิ่งใดอีกเมื่ออีกฝ่ายหนีโดยการหลับตาและพิงศีรษะไปยังเบาะด้านในรถม้าเพื่อตัดจบบทสนทนาเสียดื้อ ๆ เช่นนี้ รถม้ายังแล่นต่อจนถึงหน้าตำหนักเมื่อเห็นว่านางยังไม่ตื่นเขาก็ไม่รบกวนนาง
“ท่านอ๋อง….”
“ข้าจัดการเองเจ้าเปิดประตู”
ท่านอ๋องเพียงหันไปบอกเสี่ยวหมิงเบา ๆ เพราะเกรงว่านางจะตื่น เขาจับตัวนางให้นั่งพิงไหล่มาเพื่อจะได้ให้นางนอนสบายหน่อยโดยที่นางไม่รู้ตัวเพราะคิดว่านางคงเหนื่อยล้าจริง ๆ ถึงได้หลับไปแทบจะทันทีที่ขึ้นรถม้า
แต่เมื่อหันกลับมาอีกครั้งเพื่อจะช้อนตัวอุ้มนางก็เห็นว่าคนข้าง ๆ ตื่นขึ้นมาและดันตัวเองออกไปจากอกเขาทันที
“ไม่ต้องเพคะ หม่อมฉันเดินลงเองได้เพคะ”
“เอ่อ….ข้าทำให้เจ้าตื่นงั้นหรือ”
นางเดินนำท่านอ๋องลงไปโดยมิได้รอให้เขาลงก่อน เสี่ยวหมิงทำหน้าที่รับนางลงจากรถม้าแทนท่านอ๋อง เมื่อลงไปได้ซิ่วอิงก็ขอบคุณเสี่ยวหมิงและเดินเข้าไปด้านในตำหนักอย่างรวดเร็วโดยมิได้หันกลับมามองพระสวามีที่ทำหน้าฉงนอยู่ที่รถม้ากับองครักษ์ส่วนพระองค์
“นี่นาง….ไม่พอใจอะไรข้าล่ะนี่ ข้าก็มิได้ทำสิ่งใดผิดมิใช่หรือ”
“ท่านอ๋อง…หรือว่าพระชายาจะหึงพ่ะย่ะค่ะ”
“หึง!! แต่ข้าถามนางแล้วนางบอกมิได้หึงและไม่ได้คิดอะไรเช่นนั้น และข้าก็อธิบายไปแล้วว่าข้ามิได้เชิญนางมา ทั้ง ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องพูดด้วยซ้ำแล้ว…ช่างเถอะ เจ้าให้คนไปสืบเรื่องคนร้ายหรือยัง”
“ส่งคนของเรากระจายตามจวนขุนนางใหญ่แล้วพ่ะย่ะค่ะแต่ยังไม่มีข่าวส่งกลับมา อีกเรื่องหนึ่งเมื่อช่วงสายของวันนี้ สาวใช้ของพระชายาส่งบางอย่างกลับไปที่สกุลฟู่พ่ะย่ะค่ะ”
“ส่งของกลับไปงั้นหรือ หรือจะเป็นผ้าแพรผืนนั้น”
“สิ่งของไม่มั่นใจพ่ะย่ะค่ะ แต่ว่าคนของเราติดตามไปจนทราบว่าของนั้นถูกส่งไปที่สกุลฟู่เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่เป็นไรอีกไม่กี่วันก็ต้องไปที่นั่น เอาไว้ค่อยสืบหาต่อจากนั้น สกุลฟู่เป็นตระกูลแม่ทัพการจะส่งคนเข้าไปคงไม่ง่ายนักอย่าทำอะไรบุ่มบ่ามเป็นอันขาด ที่มาที่ไปของพระชายาก็ยังไม่ชัดเจน หากนางมีจุดประสงค์อื่น…ข้าก็จำเป็นต้องกำจัดนางเช่นกัน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เขาเกือบลืมนึกถึงจุดประสงค์ของเรื่องนี้ไปเมื่อเอาอารมณ์ไปจับกับการกระทำของบุตรีแม่ทัพใหญ่สกุลฟู่ผู้นี้ ตั้งแต่เขาก้าวเข้าหลิงโจวได้เพียงสามวันก็เกิดเรื่องในงานเลี้ยงต้อนรับและได้ร่วมเตียงกับนางในตำหนักตนเอง
จนถึงตอนนี้ หากนี่เป็นแผนการควบคุมอำนาจของสกุลฟู่จริง ๆ แล้วล่ะก็… เขาเองก็คงจะปล่อยไปไม่ได้เช่นกันและก็คงไม่พ้นต้องปลดพระชายาผู้นี้จากตำแหน่งทันที
“จัดห้องนี้เอาไว้ก็ดี คืนนี้ข้าจะนอนที่นี่”
“คุณหนูแต่ว่าทำเช่นนั้นหาได้ไม่เจ้าค่ะ หมัวมัวบอกแล้วว่าตามธรรมเนียมปฏิบัติห้ามคู่แต่งงานแยกห้องนอนจนกว่าจะพ้นเจ็ดทิวาราตรีเจ้าค่ะ ดังนั้น…ไม่ได้เจ้าค่ะ”
“น่าเบื่อยิ่งนัก”
“อีกไม่กี่วันก็ได้กลับสกุลฟู่แล้วอย่าพึ่งเบื่อเลยนะเจ้าคะ นี่เจ้าค่ะ”
“อะไรน่ะ”
“หน้าที่ของพระชายาท่านอ๋องอย่างไรเล่าเจ้าคะ ดูแลบัญชี จัดระเบียบบ่าวไพร่และสาวใช้ในตำหนักและบริหารเรื่องการเงินเจ้าค่ะ”
“เฮ้อ…ทำบัญชีอีกแล้วแม้ว่าจะหนีจากสกุลฟู่ออกมาที่นี่ก็ไม่พ้นจะต้องทำสินะ”
“คุณหนู….อยากฝึกอาวุธหรือเจ้าคะ”
“ก็ใช่น่ะสิ หากว่าเสิ่นหลงอยู่ด้วยก็คงจะดี”
“คุณหนูเจ้าคะ อย่าได้เอ่ยถึงชายคนอื่นในตำหนักเช่นนี้สิเจ้าคะ ไม่งามนะเจ้าคะ”
“ชายอื่นงั้นหรือแต่ว่าเสิ่นหลงเป็น....สหายของข้านะ”
“คุณหนูท่านก็ทราบดีว่าในตอนนี้ท่านเป็น…”
“เข้าใจแล้ว ๆ การเป็นพระชายานี่ยุ่งยากชะมัด แต่เพื่อสืบหาคนร้ายข้ายังจำเป็นต้องใช้เขาอยู่ดังนั้นจะปล่อยให้เขาหลุดมือไปให้ดอกบัวขาวเช่นเมิ่งลี่ถิงไม่ได้”
“เมิ่งลี่ถิงหรือเจ้าคะ ท่านหมายถึงสตรีที่ตามพวกเราขึ้นเขาไปในวันนี้ เห็นว่านางเคยเป็นผู้ที่ถูกหมายตาว่าจะเป็นพระชายาท่านอ๋องมาก่อน คิดไม่ถึงว่าจะเป็นดอกบัวขาวเช่นนั้น”
“นอกจากจะต้องหาตัวคนร้ายแล้วยังต้องลงสนามแข่งกับนางเพื่อแย่งผู้ชายอีกด้วย โดยปกติข้าก็คงจะปล่อยแต่ช่วยไม่ได้ ก็นางมิได้เข้ามาแล้วขอข้าดี ๆ นี่ ทำเช่นนี้อย่าหวังว่าข้าจะยอมปล่อยท่านอ๋องให้นางง่าย ๆ เลย”
“คุณหนู แต่ถึงอย่างไรท่านก็เป็นพระชายาแล้ว ถึงอย่างไรก็หนีตำหนักท่านอ๋องกับวังหลิงโจวนี่ไปไม่พ้นนะเจ้าคะ”
“ไม่มีผู้ใดล่วงรู้วันข้างหน้าหรอก ข้าอาจจะเป็นพระชายาอยู่ได้ไม่นานผู้ใดจะรู้ได้”
“คุณหนูเหตุใดท่านจึงได้พูดจาเป็นลางร้ายเช่นนั้นเจ้าคะ ท่าน….”
“เจ้าคิดดูสิขนาดข้ากับท่านอ๋องพึ่งผ่านคืนอภิเษกมาได้เพียงคืนเดียวก็มีสตรีอื่นมาวุ่นวายกับเขาทั้งเช้าค่ำ นี่เพียงแค่วันแรกเท่านั้นนะแล้วหลังจากนี้อีกเล่า ข้าคงไม่เหนื่อยกับเรื่องพวกนี้นานนักหรอก”
“กรี๊ด!!!!!….”แรงเบ่งเฮือกสุดท้ายทำเอาซิ่วอิงแทบหมดแรงเมื่อหัวของเด็กโผล่ออกมาเพียงครึ่งเดียว นางพักหายใจและเบ่งอีกครั้งจนเด็กอีกคนถูกดึงออกมาพร้อมกับเสียงร้องที่ดังกว่าคนแรก“เด็กผู้หญิงเพคะ เป็นท่านหญิงเพคะ”"เร็ว ๆ เข้า รีบไปเตรียมผ้ามาอีกผืน“อิงเอ๋อร์ได้ยินหรือไม่ บุตรแฝด เราได้ลูกแฝด”“หม่อมฉัน…. ท่านพี่….”“คนเก่งของข้า….”การคลอดบุตรแต่ละครั้งล้วนทำให้ฟู่ซิ่วอิงหมดแรงไปนาน อีกทั้งครั้งนี้เป็นบุตรแฝดซึ่งทำเอาตำหนักท่านอ๋องวุ่นวายเป็นการใหญ่เพราะมิได้ตระเตรียมของเอาไว้เผื่อสำหรับเลี้ยงเด็กถึงสองคน แต่นั่นมิใช่เรื่องใหญ่แต่อย่างใดเพราะก่อนหน้านี้ยังมีชุดและเปลของท่านชายหานเยว่และท่านหญิงซีอวิ๋นอยู่“อิงเอ๋อร์…. เป็นอย่างไรบ้าง เจ้าลุกไหวแล้วงั้นหรือ"“หม่อมฉันไม่เป็นไรแล้วเพคะ”“ไม่ได้ ถึงไม่เป็นไรแต่เจ้าจะเดินไปเดินมาเช่นนี้หาได้ไม่ ข้า…”“เสด็จพ่อ…”“เฮ้อ…เจ้าหานเยว่ตัวแสบ ตัวขัดจังหวะ”“ท่านพี่ เหตุใดต้องว่าลูกเช่นนั้นเพคะ”“เขาเอาแต่ให้ข้าฝึกดาบให้ทั้งวัน ข้าไล่ไปฝึกกับเสี่ยวหมิงแล้วก็ยังตามข้ามาอีก”“เสด็จพ่ออยู่นี่เอง เสด็จแม่….”“ชู่ววว…. เบา ๆ หน่อยเยว่เอ๋อร์ เว่ยอิง กับ
“อ๊าา ท่านพี่…”ลิ้นหนาดูดหน้าอกรุนแรง ซิ่วอิงทั้งเจ็บและเสียว นางพึ่งจะเข้าใจเขาในตอนนี้เช่นกัน เรื่องเช่นนี้มิใช่ว่าจะทำกับผู้ใดก็ได้แต่ต้องทำกับคนที่รักกันเท่านั้น นางช่างโง่นักที่ไปดูถูกความรู้สึกของเขา ร่างบางเอนกายเพื่อให้พระสวามีได้ดูดดื่มปทุมหอมหวานได้เต็มอิ่ม ท่านอ๋องพลันรวบกายนางขึ้นมากอดเอาไว้“ซิ่วอิง ข้ารักเจ้ายิ่งกว่าชีวิต อย่าได้ผลักไสข้าไปอีกเลย อย่าไปจากข้าเลยนะ เจ้าเคยบอกว่าหากวันใดเจ้าสืบหาคนร้ายได้เจ้าก็จะจากไป ข้าจดจำคำนี้เอาไว้และรั้งเจ้าทุกวิถีทางจนเจ้าเลิกเอ่ยคำนี้ออกมา ข้าทำให้เจ้าตั้งครรภ์และมั่นใจว่าเจ้าจะไม่หนีข้าไปอีก แต่เหตุใดวันนี้เจ้า…”“หม่อมฉันขอโทษเพคะ หม่อมฉันจะไม่ไปไหนอีกแล้ว รุ่ยหยางหม่อมฉันเพียงแต่รักพระองค์และหวงพระองค์มากเท่านั้นจึงไม่อยากสูญเสียความรู้สึกนี้ไป หม่อมฉันผิดเองเพคะที่ไม่ไว้ใจพระองค์ อย่าโกรธหม่อมฉันเลยนะเพคะ”ท่านอ๋องกระชับอ้อมกอดเข้ามาจนแน่น ซิ่วอิงเองก็กอดเขาแน่นไม่แพ้กัน ต่างก็ไม่ยอมให้ผู้ใดพูดคำว่าหนีหรือจากไป ท่านอ๋องค่อย ๆ หันมาสบตานางอีกครั้ง“ข้าไม่เคยโกรธเจ้าเพียงแค่นึกน้อยใจในบางครั้งเท่านั้น แต่ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว ต้อง
“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”เหล่าขุนนางต้องรีบรับคำตามที่ท่านอ๋องตรัส เพราะจะมีผู้ใดในหลิงโจวบ้างที่ไม่ทราบว่าท่านอ๋องทรงรักและหวงพระชายาฟู่ซิ่วอิงมากเพียงใด ความคลั่งรักของพระองค์ร่ำลือไกลไปถึงเมืองหลวงจนเป็นที่กล่าวขานไปกว่าครึ่งแคว้นหอดูดาว“ดูนั่นสิเพคะ เริ่มจุดดอกไม้ไฟกันแล้ว”“อืม เจ้าชอบดอกไม้ไฟงั้นหรือ”“ชอบสิเพคะ เวลาที่มันกระจายตัวบนท้องฟ้ายามราตรีช่างเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์เกินจะบรรยาย”“แต่เจ้างดงามกว่าบุปผาทั้งหลายในใต้หล้านี้ แม้นดอกไม้ไฟที่แต่งแต้มสีสันบนนภาในราตรีก็มิอาจเทียบความงามของเจ้าได้ อิงเอ๋อร์…เจ้าเป็นบุปผาที่มีค่ายิ่งกว่าสมบัติใดในใต้หล้า สำหรับข้าแล้วนอกจากเจ้าก็ไม่ต้องการสิ่งใดอีก”จุมพิตหวานซึ่งเมื่อตรัสจบถูกส่งไปให้นาง ซิ่วอิงทราบดีอยู่แล้วว่าท่านอ๋องมิอาจรั้งรอได้อีก กลิ่นสุราเลื่องชื่อที่นางเตรียมยังคงระอุเร่าร้อนในปากของรุ่ยหยางก่อนจะร้อนขึ้นเรื่อย ๆ ดุจถูกไฟแผดเผาจนอาภรณ์ของทั้งคู่ถูกสลัดออกจนสิ้นบนหอดูดาวที่ไร้ผู้คน“อ๊ะ อื้อ….ดียิ่งนัก”ระเบียงกว้างพร้อมเตียงนุ่มแบบเปิดโล่งด้านบนสุดของหอดูดาวคือสนามรักในคืนนี้ แม้ว่าจะมีม่านเสาเตียงเพื่อปกปิดด้านในเอาไว้แต่ใน
“เหตุใดพระองค์ช่างหน้าไม่อายเช่นนี้นะ หากรู้เช่นนี้หม่อมฉันไม่บอกก่อนหรอกเพคะ”“เจ้าก็อย่าใจร้ายนักเลย ข้ากับเจ้าจะรักกันได้อีกสักกี่ครั้งกัน ครรภ์เจ้าก็เริ่มโตแล้วหลังจากนี้ก็ทำได้แค่นอนกอดเจ้าอย่างเดียวแล้ว”เพราะซิ่วอิงทราบดีนางถึงได้ยอมตามใจท่านอ๋องเพราะหลังจากที่อายุครรภ์มากขึ้นนางก็จะเริ่มรับศึกรักกับเขาไม่ได้เหมือนเคยอีกแล้ว แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นนางก็ไม่เคยคิดระแวงว่าท่านอ๋องจะหาสตรีอื่นมาทดแทนเพราะหากเขาต้องการคงทำไปนานแล้วงานเทศกาล“ข้ายังไม่เคยเห็นงานเทศกาลที่ยิ่งใหญ่และน่าตื่นเต้นเช่นนี้มาก่อนเลยเพคะ”“เจ้าโชคดีที่มาในช่วงนี้ ทางโน้นเป็นตลาดกลางคืน ส่วนด้านนี้เป็นด้านการละเล่น มีการร่ายรำหาคู่ ร่ายรำกระบองไฟและการละเล่นที่แปลกตาหากเจ้าอยากไปดูก็…ชวนเสิ่นหลงไปได้”“ข้า!! ไปกับท่านมิได้หรือ”“ข้าพาเจ้าไปดูได้นะอินเหมย หากเจ้าอยากจะลอยโคม เจ้าเคยบอกว่าอยากจะไปอธิษฐานให้เสด็จแม่นี่ ข้าจะพาเจ้าไป”“ท่านจำได้ด้วยหรือ”“ข้าย่อมจำทุกสิ่งที่เจ้าพูดได้เป็นอย่างดี”“อะฮึ่ม!! ดูเหมือนว่าข้ากับพระชายาจะเป็นส่วนเกินเสียแล้ว เอาล่ะได้เวลาแล้วเสิ่นหลง เจ้าพาองค์หญิงไปนั่งที่แขกเถอะ”“แต่ว่
"อะไรนะเพคะ เดี๋ยวก่อน อ๊ะ รุ่ยหยางพระองค์คงจะไม่…."“เมื่อครู่นี้พอเห็นหน้าเสิ่นหลงแล้วข้าก็นึกหึงเจ้าขึ้นมา ช่วยไม่ได้ที่เจ้ากับเขาดันมีความหลังด้วยกันโดยที่ไม่มีข้าอยู่......ข้าหึง”“ท่านพี่เพคะ แต่ว่าในตอนนั้นพวกเรายังไม่เคยรู้จักกันเลยนะเพคะ อ๊ะ อย่า…. เดี๋ยวก่อน…เย็นนี้เราต้อง อ๊าา ท่านพี่”ร่างของพระชายาถูกวางลงอย่างแผ่วเบาที่เตียงพักในห้องอักษร ท่านอ๋องจงใจเลือกที่นี่เพราะมีเตียงสำหรับเอนหลังอยู่ ห้องหับที่มิดชิดและยังเป็นเขตหวงห้ามมิให้สาวใช้ที่ต่ำกว่าสาวใช้ของพระชายาหรือองครักษ์เช่นเสี่ยวหมิงเข้ามาได้ทำให้ทุกอย่างสะดวกขึ้นชุดรุงรังของซิ่วอิงถูกท่านอ๋องปลดออกโดยง่าย ในตอนนี้ดูเหมือนว่าท่านอ๋องจะปลดชุดของนางง่ายมากไปเรื่อย ๆ เพราะซิ่วอิงสวมใส่แบบหลวม ๆ กับครรภ์ที่เริ่มโตขึ้น“อื้อ…อ๊าา สะ…เสียวเหลือเกิน อ๊าา”“กางขาออกอีกได้หรือไม่ ข้าทำให้เจ้าเจ็บหรือไม่อิงเอ๋อร์”ปลายลิ้นเพียงสัมผัสกลีบผกาที่แฉะรออยู่ของนางทำให้เขารู้ว่านางเองก็ตื่นเต้นกับสถานที่เช่นนี้ แม้ว่าปากนางจะพร่ำบอกว่าอย่าและห้ามเขาก็ตาม แต่ความต้องการของทั้งคู่ที่มีให้กันดุจน้ำมันใกล้ไฟที่พร้อมจะจุดติดและลุกลามตลอ
“อะไรนะเพคะ!! ไม่จริงหรอกเขาน่ะ!!…เขา….”“เขาตามเจ้ามาอย่างรวดเร็วจนมาพบเจ้าที่ลานพิธี”“นั่นเพราะเขากลัวว่าข้าจะทำร้ายท่านต่างหาก”“ที่เขามาเพราะเป็นห่วงกลัวว่าเจ้าจะถูกท่านอ๋องสั่งลงโทษ”“นั่นเพราะท่านอ๋องรักท่านมากจนไม่ยอมให้ผู้ใดแตะต้องท่าน ช่างน่าอิจฉายิ่งนักเพคะ”“อินเหมย เจ้าไม่เข้าใจที่ข้ากำลังจะบอกเจ้า ข้าหมายความว่าการที่เสิ่นหลงทะยานควบม้าเข้ามาในเขตพระราชพิธีสำคัญเช่นนี้ที่จริงมีโทษหนักแต่เพราะความเป็นห่วงเกรงว่าเจ้าจะต้องโทษร้ายแรง เขาถึงกับยอมคุกเข่ารอท่านอ๋องในห้องทรงอักษรเพื่อขออภัยโทษแก่เจ้าเพราะคิดว่าท่านอ๋องจะสั่งลงโทษเจ้า”“อะไรนะเพคะ แต่ว่า!!”“เจ้าจึงไม่เห็นเขาเดินตามออกมาอย่างไรเล่า เขานั่งคุกเข่าอยู่ในห้อง หากเจ้าไม่เชื่อข้าจะพาเจ้าไปดูให้เห็นกับตา”“ไม่เพคะ!! หม่อมฉัน…พี่ซิ่วอิ่งแล้วเขาทำเช่นนั้นเพื่ออะไร”“เจ้ายังไม่รู้อีกงั้นหรือ เมื่อครู่นี้เจ้าก็บอกเองนี่ว่าพระสวามีของข้ามีนิสัยเช่นไร เสิ่นหลงรู้เรื่องนี้ดีกว่าเจ้าเสียอีก เขาจึงยอมเอาตัวเองเข้าแลกกับโทษที่เจ้าจะได้รับเช่นไรเล่า”“เช่นนั้น...ไม่ได้นะเพคะ ท่านพี่ซิ่วอิงข้าขอร้องข้าจะไปเข้าเฝ้าท่านอ๋อง ข้าจะข