“แต่ว่าท่านอ๋องจะทรงยอมให้ท่านจากไปง่าย ๆ หรือเจ้าคะ พวกท่าน…เอ่อ….”
“ช่างเถอะ เรื่องเช่นนั้นในยามนี้เวลานี้ไม่มีความสำคัญสำหรับข้าแล้ว”
ซิ่วอิงจดจำเกี่ยวกับคืนแรกระหว่างนางและเขาไม่ได้เลย พรหมจรรย์สตรีที่สู้อุตส่าห์รักษามาเนิ่นนานเกือบสิบแปดปีแปดเปื้อนไปภายในค่ำคืนเดียวอีกทั้งนางยังไม่มีสติอีกด้วย พอตื่นมาก็พบว่าตนเองถูกทำลายวรยุทธ์จนแทบไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะเอ่ยปากพูด
“อะไรกันนี่ บัญชีนี้ก็ดูเรียบร้อยดีนี่นา แล้วให้ข้ามาตรวจอีกทำไมกัน”
“ก็คงจะให้ตรวจตามหน้าที่เจ้าค่ะ หากว่าท่านตรวจแล้วก็ลงนามด้านหลังแล้วส่งไปที่คลังบัญชีก็จบหน้าที่แล้วเจ้าค่ะ”
“ไม่ได้สิ ในเมื่อรับหน้าที่มาแล้วจะทำแบบขอไปทีหาได้ไม่ หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมาก็เสียชื่อสกุลฟู่ของข้าเสียหมด”
“เจ้าค่ะ”
สมุดบัญชีรายรับรายจ่ายเล่มแล้วเล่มเล่าถูกนางตรวจจนละเอียดเกือบทุกเล่ม แม้ว่าอยากจะทำให้เสร็จแต่ภารกิจเหล่านี้ก็หนักเกินกว่าจะทำเพียงวันเดียวเสร็จ
“พักก่อนเถิดเจ้าค่ะคุณหนู นี่ก็เริ่มดึกแล้วท่านอ๋องคงกลับเข้าห้องบรรทมไปแล้ว”
“ช่างเขาสิข้าขอดูให้จบเล่มนี้เสียก่อน ว่าแต่พรุ่งนี้ต้องทำอะไรบ้าง”
“พรุ่งนี้จะเป็นการตรวจห้องเครื่องและตำหนักต่าง ๆ เจ้าค่ะ แล้วก็ยังมีชิมเครื่องเสวยและเตรียมจัดงานสักการะเมืองในอีกสามเดือนข้างหน้าด้วยเจ้าค่ะ”
“สักการะเมือง เจ้าหมายถึงงานสักการะเทพเจ้าประจำปีของหลิงโจวงั้นหรือ”
“เจ้าค่ะ”
“เฮ้อ…ครบอีกปีหนึ่งแล้วงั้นหรือ รวดเร็วเสียจริง”
“คุณหนู ท่านยังคิดถึงรองแม่ทัพเสิ่นอยู่หรือเจ้าคะ”
“ช่างเถอะเรื่องมันก็ผ่านมาเนิ่นนานแล้วนี่ ข้าไม่จำเป็นต้องจดจำอะไรแล้ว ที่สำคัญข้าในวันนั้นกับในวันนี้ ไม่มีสิ่งใดเหมือนกันเลยสักนิด”
“คุณหนู”
“เจ้ารีบไปพักเถอะเดี๋ยวข้าก็จะไปเช่นกัน”
“เจ้าค่ะ”
จินฝูเดินออกไปแล้วซิ่วอิงจึงได้วางพู่กันในมือเบา ๆ และค่อย ๆ นั่งทบทวนเรื่องราวในหนหลังเมื่อสองปีก่อนหลังจากนางผ่านพิธีปักปิ่นมาได้ไม่นาน นางชื่นชอบเสิ่นหลงรองแม่ทัพของบิดาและตัดสินใจที่จะบอกกับเขาในงานบวงสรวงเทพเจ้าแต่ถูกเขาปฏิเสธ
เสิ่นหลงในเวลานั้นยังรั้งเพียงตำแหน่งนายกององครักษ์ในกองทัพสกุลฟู่เท่านั้น จากนั้นนางก็ได้แต่ร้องไห้เสียใจที่ด่วนตัดสินใจเผยความในใจ
“เสิ่นหลง ข้าในเวลานั้นช่างไร้เดียงสายิ่งนัก”
ฟู่ซิ่วอิงในเวลานั้นอายุเพียงแค่สิบหกปีเท่านั้นตอนที่บอกรักเขา นางในเวลานั้นทั้งอ่อนแอ เป็นเพียงสตรีที่พึ่งโตได้ไม่นาน หลังจากถูกปฏิเสธครั้งนั้นนางก็เข้าเรียนฝึกอาวุธในกองทัพสกุลฟู่จนสามารถก้าวขึ้นมาเป็นสตรีที่เก่งทั้งบุ๋นบู๊แต่ก็มิวายถูกวางยาพิษในคืนงานเลี้ยงต้อนรับท่านอ๋องในคืนนั้น เดิมทีคิดว่าจะต้องตายเสียแล้ว นึกไม่ถึงว่าในตอนนี้…
“แม้แต่กำลังภายในที่สูญเสียไปก็กลับคืนมาเท่าทวีคูณ หรือว่าท่านปู่จะมอบพลังให้ข้าจริง ๆ”
เรื่องนี้นางยังมิได้บอกผู้ใดแม้แต่บิดา ซิ่วอิงตั้งใจเก็บเป็นความลับเพื่อปกป้องตัวเอง นางเดินออกมาจากห้องทรงงานที่ตำหนักและกลับไปยังห้องบรรทม ท่านอ๋องยังมิได้กลับเข้ามานางจึงรีบเข้านอนก่อนเขาเพราะวันนี้นางรู้สึกเหนื่อยมากจริง ๆ
เช้าตรู่วันถัดมา
ร่างของซิ่วอิงราวกับถูกมัดเอาไว้เพราะไม่สามารถขยับได้ตามใจ เมื่อหันไปมองจึงได้พบสาเหตุเพราะคนที่นอนอยู่ข้าง ๆ นางที่มือไม้ไม่อยู่สุข แขนที่เกี่ยวตัวนางเข้าไปกอดและขาที่พาดอยู่ที่ขาของนางนี่เองที่ทำให้ขยับไม่ได้ อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้นางตกใจมากกว่าเดิมนั้นก็คือ มือของเขาที่ล้วงเข้าไปถึงด้านในและจับหน้าอกนางอยู่ นางหันมาและขอให้เขาปล่อยนาง
“อื้อ…ปล่อยก่อนเถิดเพคะ”
“เจ้าตื่นแล้วงั้นหรือ เมื่อคืนเจ้าแอบนอนไปก่อนที่ข้าจะกลับเข้ามา”
“หม่อมฉันเพลียเพคะ”
“เช่นนั้นตอนนี้เจ้าพักเต็มที่แล้วสินะ”
“พระองค์หมายถึง อื้อ…ท่านอ๋องเพคะ วันนี้…พระองค์มิต้องไปประชุม….หรือเพคะ”
“ข้ายังอยู่ในช่วงพักเนื่องจากวันอภิเษกนะ วันนี้จะพาเจ้าไปเที่ยวในเมืองตามหน้าที่เสียหน่อยถือว่าเป็นการทำความรู้จักเมืองหลิงโจวไปด้วย”
“เช่นนั้น อ๊ะ อย่านะเพคะนี่มันเช้าแล้ว…”
“แต่เสียงเจ้าสั่นและร่างกายเจ้า…ก็ตอบรับข้านี่ซิ่วอิง”
“อ๊ะ อย่านะเพคะท่านอ๋อง!!”
นิ้วสากหนาล้วงลงไปจนถึงร่องกลีบบุปผาที่เริ่มมีน้ำไหลออกมาเพราะสัมผัสที่ถูกเขากระตุ้น จมูกของท่านอ๋องเริ่มฝังไปตามซอกคอและลิ้นเริ่มไล้ไปทั่ว ๆ จนมาหยุดที่ยอดปทุม
ซิ่วอิงยอมแพ้ไปในที่สุดเพราะเขาดึงสายชุดนอนของนางออกจนหมดและเริ่มเล้าโลมหนักขึ้นจนนางเผลอตอบรับโดยไม่รู้ตัว
“อ๊าา อย่านะเพคะ อื้อ…อ๊าา!!”
ท่านอ๋องที่มิได้ฟังคำทัดทานของคนในอ้อมกอดเร่งกระแทกเข้าไปจากด้านหลังจนเกิดเสียงกระทบกันของกล้ามเนื้อดังถี่ เขาค่อย ๆ ยกขานางขึ้นเพื่อให้สอดเข้าไปได้ง่ายยิ่งขึ้น
“อ๊าา รอเดี๋ยวเพคะหม่อมฉันยัง…ไม่ได้เตรียมตัว อ๊าา ท่านอ๋อง!!”
“ซิ่วอิง เมื่อคืนนี้ข้าปล่อยให้เจ้าพักเต็มที่แล้วนี่ตอนนี้ได้เวลาทำหน้าที่ของเจ้าแล้ว”
“อื้อ…อ๊าา”
แม้ว่าจะพึ่งตื่นนอนแต่เมื่อถูกปลุกด้วยสัมผัสที่เร่งเร้าและรุ่มร้อนดุจไฟของท่านอ๋องเข้าไป ซิ่วอิงก็เผลอตอบรับและเริ่มตั้งหลักได้จึงเร่งเอาคืนทันที ชุดนอนของท่านอ๋องถูกนางกระชากออกและส่งลิ้นไปลาดลิ้มที่ยอดอกตันที่ดันสูงขึ้นมางดงาม
นางเผลอตัวกัดเข้าไปด้วยความมันเขี้ยวกับกล้ามหน้าอกและลอนหน้าท้องที่งดงามตรงหน้าจนเรียกเสียงครางของอีกฝ่ายมาได้
“อาา!! ซิ่วอิง เจ้า!!”
“เพียงพระองค์ตรัสว่ายอมแล้ว อ๊ะ!! ไม่นะ เดี๋ยวก่อน….”
นางตัวเล็กกว่าเขามากจึงเป็นเรื่องง่ายที่เขาจะยกตัวนางขึ้นมาและสอดกายเข้าก่อนที่นางจะมีโอกาสได้แกล้งเขาต่อ เขาไม่มีทางพูดว่า “ยอมแล้ว” หรือ “ยอมแพ้” ในสมรภูมิบนเตียงกับนางแน่นอน
“อ๊าา ทนไม่ไหวแล้ว อ๊าา…”
“พระชายา เจ้ายอมแล้วงั้นหรือ”
“ไม่!! พระองค์…ขี้โกง…อ๊าาา”
นางไม่มีโอกาสที่จะทันได้บีบรัดมังกรยักษ์เขาเลยด้วยซ้ำเมื่อเขาพยายามเร่งความถี่ให้เร็วมากขึ้นและจับนางเปลี่ยนท่าเมื่อรู้ว่านางกำลังคิดจะเอาคืน
“ซิ่วอิง อีกรอบเดียวข้าจะยอมให้เจ้าไปอาบน้ำล้างตัวแต่โดยดี แต่หากเจ้าไม่ยอมพูดเราคงต้องเลื่อนเวลาออกไปเดินชมเมืองแล้วล่ะ”
“อ๊าา!!! อื้อ….”
“ว่าอย่างไรพระชายา”
“หม่อมฉันไม่ยอม!! ผู้ที่แพ้ครั้งนี้ต้องเป็นพระองค์!!”
นางผลักเขาลงไปที่เตียงและกระโดดขึ้นคร่อมกายหนาของท่านอ๋องพร้อมกับดึงสายรัดชุดนอนออกมาและจับแขนเขามัดเอาไว้กับหัวเตียง ท่านอ๋องปล่อยให้นางทำตามใจเขาเองก็อยากรู้ว่าพระชายาตัวเล็กของเขาคิดอยากจะทำอะไรกันแน่
“พระชายาเจ้ากำลังคิดที่จะทรมานข้างั้นหรือ”
“ในเมื่อพระองค์ท้าทายหม่อมฉันก่อน ครั้งนี้ก็มาดูกันว่าผู้ใดจะกำชัยในศึกนี้ไปได้”
“เจ้าคิดว่า อาา!! ซิ่วอิง!! นี่เจ้า…อาาา!!”
นางจับมังกรยักษ์ของเขาสอดเข้ามาอีกครั้งและเริ่มบีบรัดเขาจนท่านอ๋องขยับกายไม่ได้ มือทั้งสองข้างของนางบดขยี้หัวนมสีเข้มตรงหน้าและบิดไปมาจนท่านอ๋องเริ่มดึงแขนที่ถูกพันธนาการเอาไว้อย่างบ้าคลั่ง เขากำลังจะแพ้นางแล้วในที่สุด
“ขอเพียงพระองค์ยอมแพ้…หม่อมฉันก็จะยอมปล่อยพระองค์ มิเช่นนั้นเจ้ามังกรยักษ์คงได้พ่นน้ำก่อนเป็นแน่เพคะ”
“ฟู่ซิ่วอิง….เจ้า….ช่างร้ายกาจนัก!!…..อาา!!!…อย่ารัดเช่นนี้ จะทนไม่ไหวแล้ว…ซิ่วอิง!!”
“กรี๊ด!!!!!….”แรงเบ่งเฮือกสุดท้ายทำเอาซิ่วอิงแทบหมดแรงเมื่อหัวของเด็กโผล่ออกมาเพียงครึ่งเดียว นางพักหายใจและเบ่งอีกครั้งจนเด็กอีกคนถูกดึงออกมาพร้อมกับเสียงร้องที่ดังกว่าคนแรก“เด็กผู้หญิงเพคะ เป็นท่านหญิงเพคะ”"เร็ว ๆ เข้า รีบไปเตรียมผ้ามาอีกผืน“อิงเอ๋อร์ได้ยินหรือไม่ บุตรแฝด เราได้ลูกแฝด”“หม่อมฉัน…. ท่านพี่….”“คนเก่งของข้า….”การคลอดบุตรแต่ละครั้งล้วนทำให้ฟู่ซิ่วอิงหมดแรงไปนาน อีกทั้งครั้งนี้เป็นบุตรแฝดซึ่งทำเอาตำหนักท่านอ๋องวุ่นวายเป็นการใหญ่เพราะมิได้ตระเตรียมของเอาไว้เผื่อสำหรับเลี้ยงเด็กถึงสองคน แต่นั่นมิใช่เรื่องใหญ่แต่อย่างใดเพราะก่อนหน้านี้ยังมีชุดและเปลของท่านชายหานเยว่และท่านหญิงซีอวิ๋นอยู่“อิงเอ๋อร์…. เป็นอย่างไรบ้าง เจ้าลุกไหวแล้วงั้นหรือ"“หม่อมฉันไม่เป็นไรแล้วเพคะ”“ไม่ได้ ถึงไม่เป็นไรแต่เจ้าจะเดินไปเดินมาเช่นนี้หาได้ไม่ ข้า…”“เสด็จพ่อ…”“เฮ้อ…เจ้าหานเยว่ตัวแสบ ตัวขัดจังหวะ”“ท่านพี่ เหตุใดต้องว่าลูกเช่นนั้นเพคะ”“เขาเอาแต่ให้ข้าฝึกดาบให้ทั้งวัน ข้าไล่ไปฝึกกับเสี่ยวหมิงแล้วก็ยังตามข้ามาอีก”“เสด็จพ่ออยู่นี่เอง เสด็จแม่….”“ชู่ววว…. เบา ๆ หน่อยเยว่เอ๋อร์ เว่ยอิง กับ
“อ๊าา ท่านพี่…”ลิ้นหนาดูดหน้าอกรุนแรง ซิ่วอิงทั้งเจ็บและเสียว นางพึ่งจะเข้าใจเขาในตอนนี้เช่นกัน เรื่องเช่นนี้มิใช่ว่าจะทำกับผู้ใดก็ได้แต่ต้องทำกับคนที่รักกันเท่านั้น นางช่างโง่นักที่ไปดูถูกความรู้สึกของเขา ร่างบางเอนกายเพื่อให้พระสวามีได้ดูดดื่มปทุมหอมหวานได้เต็มอิ่ม ท่านอ๋องพลันรวบกายนางขึ้นมากอดเอาไว้“ซิ่วอิง ข้ารักเจ้ายิ่งกว่าชีวิต อย่าได้ผลักไสข้าไปอีกเลย อย่าไปจากข้าเลยนะ เจ้าเคยบอกว่าหากวันใดเจ้าสืบหาคนร้ายได้เจ้าก็จะจากไป ข้าจดจำคำนี้เอาไว้และรั้งเจ้าทุกวิถีทางจนเจ้าเลิกเอ่ยคำนี้ออกมา ข้าทำให้เจ้าตั้งครรภ์และมั่นใจว่าเจ้าจะไม่หนีข้าไปอีก แต่เหตุใดวันนี้เจ้า…”“หม่อมฉันขอโทษเพคะ หม่อมฉันจะไม่ไปไหนอีกแล้ว รุ่ยหยางหม่อมฉันเพียงแต่รักพระองค์และหวงพระองค์มากเท่านั้นจึงไม่อยากสูญเสียความรู้สึกนี้ไป หม่อมฉันผิดเองเพคะที่ไม่ไว้ใจพระองค์ อย่าโกรธหม่อมฉันเลยนะเพคะ”ท่านอ๋องกระชับอ้อมกอดเข้ามาจนแน่น ซิ่วอิงเองก็กอดเขาแน่นไม่แพ้กัน ต่างก็ไม่ยอมให้ผู้ใดพูดคำว่าหนีหรือจากไป ท่านอ๋องค่อย ๆ หันมาสบตานางอีกครั้ง“ข้าไม่เคยโกรธเจ้าเพียงแค่นึกน้อยใจในบางครั้งเท่านั้น แต่ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว ต้อง
“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”เหล่าขุนนางต้องรีบรับคำตามที่ท่านอ๋องตรัส เพราะจะมีผู้ใดในหลิงโจวบ้างที่ไม่ทราบว่าท่านอ๋องทรงรักและหวงพระชายาฟู่ซิ่วอิงมากเพียงใด ความคลั่งรักของพระองค์ร่ำลือไกลไปถึงเมืองหลวงจนเป็นที่กล่าวขานไปกว่าครึ่งแคว้นหอดูดาว“ดูนั่นสิเพคะ เริ่มจุดดอกไม้ไฟกันแล้ว”“อืม เจ้าชอบดอกไม้ไฟงั้นหรือ”“ชอบสิเพคะ เวลาที่มันกระจายตัวบนท้องฟ้ายามราตรีช่างเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์เกินจะบรรยาย”“แต่เจ้างดงามกว่าบุปผาทั้งหลายในใต้หล้านี้ แม้นดอกไม้ไฟที่แต่งแต้มสีสันบนนภาในราตรีก็มิอาจเทียบความงามของเจ้าได้ อิงเอ๋อร์…เจ้าเป็นบุปผาที่มีค่ายิ่งกว่าสมบัติใดในใต้หล้า สำหรับข้าแล้วนอกจากเจ้าก็ไม่ต้องการสิ่งใดอีก”จุมพิตหวานซึ่งเมื่อตรัสจบถูกส่งไปให้นาง ซิ่วอิงทราบดีอยู่แล้วว่าท่านอ๋องมิอาจรั้งรอได้อีก กลิ่นสุราเลื่องชื่อที่นางเตรียมยังคงระอุเร่าร้อนในปากของรุ่ยหยางก่อนจะร้อนขึ้นเรื่อย ๆ ดุจถูกไฟแผดเผาจนอาภรณ์ของทั้งคู่ถูกสลัดออกจนสิ้นบนหอดูดาวที่ไร้ผู้คน“อ๊ะ อื้อ….ดียิ่งนัก”ระเบียงกว้างพร้อมเตียงนุ่มแบบเปิดโล่งด้านบนสุดของหอดูดาวคือสนามรักในคืนนี้ แม้ว่าจะมีม่านเสาเตียงเพื่อปกปิดด้านในเอาไว้แต่ใน
“เหตุใดพระองค์ช่างหน้าไม่อายเช่นนี้นะ หากรู้เช่นนี้หม่อมฉันไม่บอกก่อนหรอกเพคะ”“เจ้าก็อย่าใจร้ายนักเลย ข้ากับเจ้าจะรักกันได้อีกสักกี่ครั้งกัน ครรภ์เจ้าก็เริ่มโตแล้วหลังจากนี้ก็ทำได้แค่นอนกอดเจ้าอย่างเดียวแล้ว”เพราะซิ่วอิงทราบดีนางถึงได้ยอมตามใจท่านอ๋องเพราะหลังจากที่อายุครรภ์มากขึ้นนางก็จะเริ่มรับศึกรักกับเขาไม่ได้เหมือนเคยอีกแล้ว แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นนางก็ไม่เคยคิดระแวงว่าท่านอ๋องจะหาสตรีอื่นมาทดแทนเพราะหากเขาต้องการคงทำไปนานแล้วงานเทศกาล“ข้ายังไม่เคยเห็นงานเทศกาลที่ยิ่งใหญ่และน่าตื่นเต้นเช่นนี้มาก่อนเลยเพคะ”“เจ้าโชคดีที่มาในช่วงนี้ ทางโน้นเป็นตลาดกลางคืน ส่วนด้านนี้เป็นด้านการละเล่น มีการร่ายรำหาคู่ ร่ายรำกระบองไฟและการละเล่นที่แปลกตาหากเจ้าอยากไปดูก็…ชวนเสิ่นหลงไปได้”“ข้า!! ไปกับท่านมิได้หรือ”“ข้าพาเจ้าไปดูได้นะอินเหมย หากเจ้าอยากจะลอยโคม เจ้าเคยบอกว่าอยากจะไปอธิษฐานให้เสด็จแม่นี่ ข้าจะพาเจ้าไป”“ท่านจำได้ด้วยหรือ”“ข้าย่อมจำทุกสิ่งที่เจ้าพูดได้เป็นอย่างดี”“อะฮึ่ม!! ดูเหมือนว่าข้ากับพระชายาจะเป็นส่วนเกินเสียแล้ว เอาล่ะได้เวลาแล้วเสิ่นหลง เจ้าพาองค์หญิงไปนั่งที่แขกเถอะ”“แต่ว่
"อะไรนะเพคะ เดี๋ยวก่อน อ๊ะ รุ่ยหยางพระองค์คงจะไม่…."“เมื่อครู่นี้พอเห็นหน้าเสิ่นหลงแล้วข้าก็นึกหึงเจ้าขึ้นมา ช่วยไม่ได้ที่เจ้ากับเขาดันมีความหลังด้วยกันโดยที่ไม่มีข้าอยู่......ข้าหึง”“ท่านพี่เพคะ แต่ว่าในตอนนั้นพวกเรายังไม่เคยรู้จักกันเลยนะเพคะ อ๊ะ อย่า…. เดี๋ยวก่อน…เย็นนี้เราต้อง อ๊าา ท่านพี่”ร่างของพระชายาถูกวางลงอย่างแผ่วเบาที่เตียงพักในห้องอักษร ท่านอ๋องจงใจเลือกที่นี่เพราะมีเตียงสำหรับเอนหลังอยู่ ห้องหับที่มิดชิดและยังเป็นเขตหวงห้ามมิให้สาวใช้ที่ต่ำกว่าสาวใช้ของพระชายาหรือองครักษ์เช่นเสี่ยวหมิงเข้ามาได้ทำให้ทุกอย่างสะดวกขึ้นชุดรุงรังของซิ่วอิงถูกท่านอ๋องปลดออกโดยง่าย ในตอนนี้ดูเหมือนว่าท่านอ๋องจะปลดชุดของนางง่ายมากไปเรื่อย ๆ เพราะซิ่วอิงสวมใส่แบบหลวม ๆ กับครรภ์ที่เริ่มโตขึ้น“อื้อ…อ๊าา สะ…เสียวเหลือเกิน อ๊าา”“กางขาออกอีกได้หรือไม่ ข้าทำให้เจ้าเจ็บหรือไม่อิงเอ๋อร์”ปลายลิ้นเพียงสัมผัสกลีบผกาที่แฉะรออยู่ของนางทำให้เขารู้ว่านางเองก็ตื่นเต้นกับสถานที่เช่นนี้ แม้ว่าปากนางจะพร่ำบอกว่าอย่าและห้ามเขาก็ตาม แต่ความต้องการของทั้งคู่ที่มีให้กันดุจน้ำมันใกล้ไฟที่พร้อมจะจุดติดและลุกลามตลอ
“อะไรนะเพคะ!! ไม่จริงหรอกเขาน่ะ!!…เขา….”“เขาตามเจ้ามาอย่างรวดเร็วจนมาพบเจ้าที่ลานพิธี”“นั่นเพราะเขากลัวว่าข้าจะทำร้ายท่านต่างหาก”“ที่เขามาเพราะเป็นห่วงกลัวว่าเจ้าจะถูกท่านอ๋องสั่งลงโทษ”“นั่นเพราะท่านอ๋องรักท่านมากจนไม่ยอมให้ผู้ใดแตะต้องท่าน ช่างน่าอิจฉายิ่งนักเพคะ”“อินเหมย เจ้าไม่เข้าใจที่ข้ากำลังจะบอกเจ้า ข้าหมายความว่าการที่เสิ่นหลงทะยานควบม้าเข้ามาในเขตพระราชพิธีสำคัญเช่นนี้ที่จริงมีโทษหนักแต่เพราะความเป็นห่วงเกรงว่าเจ้าจะต้องโทษร้ายแรง เขาถึงกับยอมคุกเข่ารอท่านอ๋องในห้องทรงอักษรเพื่อขออภัยโทษแก่เจ้าเพราะคิดว่าท่านอ๋องจะสั่งลงโทษเจ้า”“อะไรนะเพคะ แต่ว่า!!”“เจ้าจึงไม่เห็นเขาเดินตามออกมาอย่างไรเล่า เขานั่งคุกเข่าอยู่ในห้อง หากเจ้าไม่เชื่อข้าจะพาเจ้าไปดูให้เห็นกับตา”“ไม่เพคะ!! หม่อมฉัน…พี่ซิ่วอิ่งแล้วเขาทำเช่นนั้นเพื่ออะไร”“เจ้ายังไม่รู้อีกงั้นหรือ เมื่อครู่นี้เจ้าก็บอกเองนี่ว่าพระสวามีของข้ามีนิสัยเช่นไร เสิ่นหลงรู้เรื่องนี้ดีกว่าเจ้าเสียอีก เขาจึงยอมเอาตัวเองเข้าแลกกับโทษที่เจ้าจะได้รับเช่นไรเล่า”“เช่นนั้น...ไม่ได้นะเพคะ ท่านพี่ซิ่วอิงข้าขอร้องข้าจะไปเข้าเฝ้าท่านอ๋อง ข้าจะข