พอวันรุ่งขึ้นพิสูจน์แล้วว่าหลีหนิงหนิงยังไม่ตายถึงแม้ ตามบทแล้วตัวละครจะดำเนินไปเช่นนั้น แต่ความร้ายกาจของพระรองผู้ร้ายกายก็ทำให้นางอดหวั่นใจหวาดกลัวไม่ได้
ทว่าที่ย้ำแย่ไม่กว่านั้นคือการที่ต้องตื่นเช้าตรู่เพื่อยกจอกน้ำชาให้แม่สามีหากว่ากันตามตรงแล้ว สตรีผู้นั้นคือแม่เลี้ยงใจร้ายผู้หนึ่งก็ว่าได้ หลีหนิงหนิงยังคงจดจำบทหนึ่งในนิยายได้อย่างดี ซ่งเสวี่ยนในวัยสามขวบ ตอนนี้เขายังเป็เด็กน้อยที่น่ารัก น่าชังผู้หนึ่งแต่กับทอดถูกทิ้งไว้นอกเรือนท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายไม่หยุด นางถอนหายใจเฮือกใหญ่จนซ่งเสวี่ยนที่นั่งอยู่ข้างกายปรายตามองครู่หนึ่ง เหตุใดถึงน่าเห็นใจนัก “อย่าทำตัวให้วุ่นวาย” ซ่งเสวี่ยนเอ่ยขึ้นอย่างน่ารำคาญ จังหวะเดียวกันนั้นเองภายในห้องโถงพลันเกิดความเงียบ “ไปพบเจ้าค่ะฮูหยินใหญ่” ก่อนที่ชั่วพริบตาจะพลันเกิดเสียงซุบซิบนินทาว่าร้ายพร้อมกับสายตาดูเคลนมองมาที่นาง หลีหนิงหนิงพลันเบิกตาด้วยความตกใจ แย่แล้ว! ในนิยายไม่ได้กล่าวรายละเอียดถึงบทตัวประกอบเช่น นางมากนัก ทว่าวันนี้พอตกค่ำนางก็พลันนอนอิดโรยเจ็บปวดอยู่บนเตียงเป็นเพราะถูกทำโทษจากแม่เลี้ยงใจร้าย ทว่าเรื่องอันใดหลีหนิงหนิงไม่อาจคาดเดาได้ หลังจากแม่นมเอ่ยกระซิบกระซาบรายงานบ้างอย่าง ข้างกายประมุขของจวน เซินฮูหยินพลันมีสีหน้ามึนตึง มุมปากเหยียดยิ้มด้วยความสมเพช เป็นเพียงลูกบ่าวไพร่แต่ริอาจมาเกิดก่อนบุตรชายของนาง เรื่องเช่นนี้สมควรแล้ว “ไม่ได้เข้าหอกันหรือ” เซินฮูหยินเอ่ยด้วยท่าทางสบายพร้อมทั้งยกชาขึ้นมาจิบอึกหนึ่งอย่างผ่อนใจ ซ่งเสวี่ยนไม่ว่ากำจัดทิ้งอย่างไรก็ไม่ตาย! หลีหนิงหนิงพลาดจุดนี้ไม่ได้อย่างไร นางสมควรจะป้ายเลือดบนผ้าปูเตียงให้เสมือนกับเลือดพรรจรรย์….นี่คือสาเหตุที่ทำให้นางถูกทำโทษใช่หรือไม่ ซ่งเสวี่ยนมีสีหน้าเขร่งขรึม “ข้าจะเข้าหอกับนางหรือไม่ ล้วนเป็นเรื่องส่วนตัวหาใช่เซินฮูหยินที่ต้องสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยว” “วาจาสามห้าว” เพียงพริบตาต่อมาหลีหนิงหนิงพลันเห็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง ลุกขึ้นยืนชี้หน้าซ่งเสวี่ยนอย่างไร้ความเกรงกลัว หากจำไม่ผิดเกรงว่าคนผู้นั้นคงเป็นคุณชายเล็กของจวนเป็นแน่ ลี่เฉี่ยววัยสิบห้าหนาวบุตรชายของเซินฮูหยิน ทั้งปากร้ายชอบยกตนข่มเหงผู้อื่นที่ด้อยกว่าตนไม่เว้นแม้แต่ซ่งเสวี่ยนที่ เป็นพี่ชาย “ไร้มารยาท” หลีหนิงหนิงพลันหลุดปากแผ่วเบา บรรดาเหล่ารับใช้ทั้งหลายต่างได้แต่อ้าปากค้าง ไม่คิดว่าสตรีผู้ตบแต่งมาเป็นภรรยาของคุณชายซ่งนั้นจะฝีปากกล้าไม่เกรงกลัวแม่สามี ประโยคด่าทอพลันเช้าโสตประสาทของเซินฮูหยิน “กล้าดีอย่างไร” ตั้งแต่ลี่เฉี่ยวเกิดมานางยังไม่เคยดุด่าหรือต่อว่าเขาเลยแม้แต่น้อย ทว่าสตรีผู้นี้พึงตบแต่งเข้ามาเพียงหนึ่งวันกลับใจกล้าดุด่าบุตรชายของนางเช่นนี้สมควรจะสั่งสอน “จับนางไปโบนยี่สิบไม้” ลี่เฉี่ยวพยักหน้าเห็นด้วยกับมารดา “นางสมควรถูกท่านแม่สั่งสอน” หลีหนิงหนิงได้ยินแล้วไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี บุตรชายนั้นของเขาบุบสลายหรือแตกหัก นางถึงต้องได้ถูกทำโทษเช่นนี้กัน ทั้งแม่นมและสาวใช้ต่างมีสีหน้าเบิกบานชมละครฉากนี้ด้วยความสนุก คุณชายซ่งนะหรือจะกล้าปกป้องสตรีผู้นั้นเพราะเขานั้นเห็นแก่ตัวยิ่งนักซ้ำยังไม่กล้ายุ่งกับเซินฮูหยิน กระทั่งบ่าวรับใช้ชายเดินมาหมายจะจับกุมตัวหลีหนิงหนิง ซ่งเสวี่ยนยามนี้เขามีความโกรธเต็มท้อง ใบหน้าฉายแววความรำคาญเต็มส่วน แค่ต้องตื่นแต่เช้าตรู่ทำเรื่องไร้สาระก็พอแล้ว ไหนเลยจะคาดคิดได้ว่าภรรยาหมาด ๆ ของตนฝีปากกล้าเช่นนี้ “ตัววุ่นวาย” ซ่งเสวี่ยนสถบคำหนึ่งออกจากปากก่อนจะลุกขึ้นเตรียมจากไป ว่าอย่างไรนะ! หลีหนิงหนิงเหลียวมองทันควัน หนทางที่นางจะหลุดพ้นจากสถานที่นี้มีเพียงซ่งเสวี่ยนเท่านั้น ดังนั้นหลีหนิงหนิงจึงพลันคว้ามือของเขาโดยไร้ความหวาดกลัว นัยน์ตาของนางฉายแววออดวอน ช่วยภรรยาตนเองเร็วเข้า! เซินฮูหยินจึงยิ่งย้ำออกคำสั่ง “จับมันเร็วเข้า” หลีหนิงหนิงส่ายหน้า “พาข้าไปด้วย ข้าไม่อยากถูกตี” ลี่เฉี่ยวยืนกอดอกมองอยู่ไม่ไกลมองสถานการณ์เบื้องหน้าด้วยความสะใจ “หึ! ผู้นั้นเห็นแก่ตัวจะตายไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องช่วยเหลือเจ้า” “…..” ลี่เฉี่ยวยังคงได้ใจ “เขากลัวมารดาข้าจนจะตายอยู่แล้ว” อย่าได้เอ่ยวาจาสามห้าวเชียวนะ อย่าหาว่าหลีหนิงหนิงไม่เตือนว่าพระรองร้ายกาจผู้นี้จะทำอันใดกับเจ้า ในนิยายคงกล่าวถึงซ่งเสวี่ยนรังเกียจน้องชายต่างมารดาจนอยากจะฆ่าทิ้งแต่ทว่าความตายมันง่ายนัก เขาจึงเริ่มต้นทรมานด้วยการผลักเด็กหนุ่มให้ล้มใส่โขกหินจนด้วยแต่ท่ามการเหมันต์ฤดู อากาศที่เย็นเยือกพร้อมกับบาดแผลที่โดนหิมะกัดกินบาดแผลนั้นทรมานเกินกลัวจะมีชีวิตรอดได้ ส่วนเซินฮูหยินนั่น…นางไม่รู้เช่นกัน เพียงแค่นึกถึงตอนนั้นหลีหนิงหนิงพลันขนลุกซู่ “หุบปากของเจ้าซะไอ้ลูกเต่า!” นางแวดด่า “หึ!” ซ่งเสวี่ยนแค่นเสียง “ลูกเต่าเช่นเจ้าหากไม่มีมารดาให้ท้ายจะเป็นเช่นไรกัน” นัยน์ตาดุดันเพ่งมองเด็กหนุ่มตรงหน้าพร้อมกับไอสังหารที่แทบกระอักเลือด “หากไม่อยากตายก็หลบไป” ซ่งเสวี่ยนพูดขึ้นก่อนเดินลากหลีหนิงหนิงออกมาจากความวุ่นวาย หลีหนิงหนิงค้นพบแล้วว่าซ่งเสวี่ยนไม่ใช่คนใจดำอย่างที่คิด “ขอบคุณซ่งเสวี่ยน” “……” แต่กลับเงียบ อย่าน้อยก็ขานรับได้หรือไม่ว่ารับรู้แล้ว หลีหนิงหนิงพลันขมวดคิ้วมองด้วยความไม่เข้าใจ “อย่าได้ริอาจด่าข้าในใจ” หลีหนิงหนิงอดถามออกไปไม่ได้ “ท่านเป็นสุนัขหรือ” เหตุใดบุรุษผู้นี้ถึงเอาแต่ข่มขู่อยู่ได้ “คิดว่าข้ากลัวหรือไร” ไม่รู้ว่าเพราะทำไมจู่ ๆ นางถึงมีความใจกล้าขึ้นมา หรือนางสมควรจะตายให้รู้แล้วรู้รอดจะได้หลุดพ้นเสียที “คิดว่าข้าจะไว้ชีวิตเจ้าหรือไร” รอยยิ้มบนใบหน้าของหลีหนิงหนิงหายไปในพริบตา มือหนาที่จับลำคออยู่ก่อนจะออกแรงบีบแทบทำเอานางขาดอากาศ เมื่อเฉียดเข้าใกล้ความตายอีกครั้ง แน่นอนว่าหลีหนิงหนิงเองก็เป็นมนุษย์ นางจึงดิ้นทุรนทุรายอย่างนางสมเพช มุมปากของซ่งเสวี่ยนยกขึ้นด้วยความเหี้ยมโหด นัยน์ตาสีดำขลับดุดันดั่งมัจจุราชที่พร้อมจะพรากวิญญาณ “ซ่ง ซ่ง..เสวี่ยน” หลีหนิงหนิงกำลังร้องขอชีวิต นางจะต้องตายอย่างเวทนาอีกหรือเพราะนางเป็นเพียงตัวประกอบที่เท่านั้น ซ่งเสวี่ยนกดเสียงต่ำ “อย่าได้คิดจะต่อรองกับข้า” จังหวะเดียวกันเขาจึงปล่อยมือออกจากลำคอขาว มองดูนางที่หายใจหอบอากาศอย่างอ่อนแอ…ช่างน่าสมเพช นี่นับเป็นเรื่องสนุกของวันนี้ได้หรือไม่ อารมณ์ขุ่นมัวที่มีอยู่ในใจของซ่งเสวี่ยนพลันคลายลงชั่วพริบตาเพียงเพราะได้เห็นคนผู้หนึ่งกำลังวินวอนขอความเมฆตา จากเขา ร่างอรชนสั่นกระท้านด้วยความหวาดกลัว เขาเห็นชีวิตนางเป็นเรื่องตลกหรือ ทรมานเช่นนี้มิต่างกับกำลังฆ่านางทั้งเป็น หลีหนิงหนิงช้อนตามองซ่งเสวี่ยนที่ยืนยิ้มอารมณ์ก่อนจะเดินออกไปโดยไม่เหลียวมองนางที่เฉียดความตายมาแม้แต่น้อย หรือนางควรจะเป็นฝ่ายลงมือฆ่าก่อนวสันต์ฤดูพานพบมาอีกครา สายลมเย็นโชยมาพัดพากลิ่นหอมของเหล่าดอกไม้พรรณาส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วจวน ท้องฟ้าปลอดโปร่งแสงแดดส่องจ้ากระทบลำธารจำลองจนน้ำระยิบระยับชวนให้งดงามในอ้อมแขนของซ่งเสวี่ยนโอบอุ้มห่อผ้าสีแดงไว้แนบอก เพียงพริบตาก็ผ่านพ้นครบร้อยวันแล้วเมื่อหลายเดือนก่อนหลีหนิงหนิงผู้เป็นภรรยารักทั้งครรภ์อีกหน เขาคาดไว้ว่างอย่างไรก็ต้องเป็นบุตรสาวอย่างแน่นอนและทันทีที่หมอหญิงชราโอบอุ้มห่อผ้าออกมานั้นพลันบอกกล่าวว่าได้คุณหนูผู้หนึ่ง เขาในตอนนั้นมีความสุขสมดั่งใจหวังแม้ทารกจะตัวแดงผิวเหี่ยวย่นแต่ซ่งเสวี่ยนไม่เคยวางมือโอบอุ้มบุตรสาวไว้ตลอดช่างต่างจากบุตรชายคนแรกเหลือเกินอาจเป็นเพราะเขาเป็นบิดาอีกคนแล้ว“เหตุใดท่านไม่เคยอุ้มข้าบ้าง” ซ่งเหว่ยหยางเงยหน้าทักทวงบิดาแฝงความน้อยใจ ทว่าแท้จริงแล้วเขาเพียงแค่อยากโอบอุ้มน้องสาวบ้างซ่งเสวี่ยนหลุมตาต่ำมองบุตรชายที่บัดนี้จวนจะเจ็ดขวบแล้วแต่ยังสูงเพียงแค่ช่วงระหว่างขาเท่านั้น“หากเจ้าโตเมื่อไหร่ค่อยมาอุ้มบุตรสาวข้า”!!ซ่งเหว่ยฟังแล้วขมวดคิ้วงุนงงไม่เข้าใจ “สัญญากับข้า!”ในทุกปีล้วนมีเหตุการณ์พลิกผันเสมอและการเป็นตัวประกอบที่กลายเป็นมารดาทั้งยังมีสามีเ
ตอนแรกที่ซ่งเสวี่ยนพบเจอบุรุษที่คล้ายคลึงตนเองก็พลันไม่ชอบใจอยู่แล้ว ยิ่งเป็นเด็กทารกที่คล้ายตามติดภรรยาของเขาอยู่ไม่ห่างเขายิ่งมีสีหน้าไม่สู้ดีทุกครั้งพอลอบสังเกตสีหน้าของบุรุษข้างกลายที่บึ้งตึงแล้ว หลีหนิงหนิงพลันหัวเราะชอบใจ“บอกแล้วอย่างไรบุตรในครรภ์ข้าต้องเป็นเด็กชาย”ในความคิดของหลีหนิงหนิงบุตรชายคนแรกสมควรเป็นผู้ชายหากถามหาเหตุผลนั้นไม่มี นางเพียงแค่อยากชื่อชมซ่งเสวี่ยนในวัยเด็กจนเติบโตเท่านั้นคำพูดหยอกเย้าของนางเช่นนี้ ซ่งเสวี่ยนไม่ชอบเลยยิ่งพอเวลาพอไปนานเข้าเด็กทารกน่าเกียจนั้นก็เติบโตจึ้นแต่ไฉนยังต้องคล้ายตามติดภรรยาข้าทุกฝีก้าว“พรุ่งนี้ให้เขาไปเรียนหนังสือได้แล้ว” ซ่งเสวี่ยนเอ่ย นัยน์ดุดันจ้องมางเด็กชายตรงหน้าด้วยความจริงจังเจ้าเด็กนี้สมควรออกไปพบเจอผู้นเสียบ้างมิใช่วัน ๆ อยู่แต่กลับภรรยาเขาไม่ห่าง“ท่านพ่อ!” น้ำเสียงของเด็กน้อยร้องตกใจ “ข้าไม่ไป!”หลีหนิงหนิงหรี่ตามองอย่างขุนเคือง “เขาพึงจะสี่ขวบเท่านั้นอาเสวี่ยน”ไฉนเลยนางจะไม่รู้เหตุผลของซ่งเสวี่ยนคราแรกที่ซ่งเหว่ยหยางถือกำเนิดออกมาเป็นทารกตัวแรกนั้นซ่งเสวี่ยนแทบจะไม่เข้าใจหรือโอบอุ้ม เพียงแค่มองเห็นเห็นผิวหนังที่เห
หากไม่ได้ต้องอยู่ร่วมเรียงเคียงหมอนกันทุกวันเช่นนี้ จื่อรุ่ยหยางก็ยังคงไม่กระจ่างแจ้งว่าแท้จริงแล้วหลีหลินว่านมีนิสัยเช่นไรตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิปีปีที่แล้วจนกระทั่งวนเวียนพบใหม่ อีกครา ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหลีหลินว่านพังพินาศตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้จื่อรุ่ยหยางทุกข์ใจไม่รู้จะหันหน้าไม่พึงผู้ใดได้“ข้าเซ็นหนังสือหย่าได้แล้ว”“บอกแล้วอย่างไรข้าไม่หย่า!”พอได้ยินประโยคนี้อีกครั้ง หลีหลินว่านพลันโมโหไม่มีที่สิ้นสุด “เพื่อให้ได้แต่งงานกับข้าที่ผ่านมาท่านล้วนกีดกันบุรุษอื่นออกไป…” นางยกยิ้ม “พอได้แล้วจึงอยากจะทิ้งข้าหรือ!”เรื่องไปกันใหญ่แล้ว จื่อรุ่ยหยางขมวดคิ้ว “ไม่ใช่หลินว่าน มันเพราะที่ผ่านมาเจ้าไม่เคยดีต่อข้าเลย”ในในยามนี้เข้าใจแล้วมีบุพเพ…มีวาสนา..แต่ไร้รัก“เหอะ!” หลีหลินว่านยืนกอดอกมองด้วยความสายตาแข็งกร้าว “ท่านไม่มีหากหนีไปจากข้าพ้น!” นางกระแทกเสียงหากจื่อรุ่ยหยางยังไม่ตายก็ไม่มีทางแยกจากนางไปได้ หลีหลินว่านไม่ยอมตกเป็นขี้ปากของพวกคนนางรังเกียจเหล่า นั่นแน่ ชีวิตที่ผ่านมาของนางล้วนเป็นไปดั่งใจหวังแล้วเหตุใดครั้งรี้มันถึงกลับเป็นไปไม่ได้กันซ่งเสวี่ยน!พอนึกถึงบุรุษชื่อของบ
สำหรับซ่งเสวี่ยนแล้วพอเข้าสู่ฤดูเหมันต์เขามักจะปลีกตัวออกไปหลบซ้อนตัวอยู่เพียงผู้เดียวบรรยากาศที่หนาวเย็นจนสั่นสะท้าน หิมะที่โปรยปรายตลอดเวลาโดยไม่มีทีท่าจะหยุดจนทั่วบริเวณโพลนขาว เพียงแวบหนึ่งซ่งเสวี่ยนพลันเห็นเหตุการณ์ในตอนที่ตนเองสามขวบอีกครั้ง“ข้าเกลียดฤดูหนาว” น้ำเสียงทุ้มสถบออกไปหลีหนิงหนิงเอี่ยงใบหน้ามองบุรุษข้างกาย ใบหน้าที่โผล่พ้นออกมานอกเสื้ออุ่นที่ทำจากขนสัตว์และแก้มนวลที่ขึ้นสีระเรื่อทำให้มองดูน่าเอ็นดูไม่น้อย“ข้าอยากโอบกอดอาเสวี่ยนคลายหนาว พอฤดูใบไม้ผลิข้าอยากดูดอกไม้บานพร้อมกัน” ดวงตาเมล็ดซิ่งวูบไหว“แต่ข้าชอบ” ก่อนที่สายตาจะปรายไปมองหิมะที่ยังคงตกอยู่นอกหน้าต่างมุมปากหนาพลันยกยิ้ม “นับวันยิ่งเกียจคร้าน”ความจริงแล้วนางไม่ได้ชมชอบความหนาวสักนิด เพียงแต่พออากาศหนาวเหน็บเช่นนี้ที่ไม่ต้องทำอันใด นอกจากนั่งขดตัวอยู่ใต้ผ้านวมหรืออาภรณ์ขนสักอุ่น ๆ สักผืน“ให้ข้าปิดโรงเตี๊ยมดีหรือไม่” ซ่งเสวี่ยนเสนอ ใบหน้าหล่อเหล่าเต็มไปด้วยความยียวนทั้งสิ้น “พอเห็นเจ้าเป็นเช่นนี้ข้าว่าพวกเราอยู่จวนตลอดไปคงไม่น่าเบื่อนัก”“ไม่” หลีหนิงหนิงปฏิเสธ “ ท่านจะเอาเงินที่มาให้ข้าใช้”นางยอมไม่ได้เ
ในขบวนแห่เกี้ยวเจ้าสาวเต็มไปด้วยความยิ่งใหญ่เอิกเกริก โดยมีเจ้าบ่าวควบนั่งม้านำหน้าไป ผู้คนมากมายต่างมาชื่นชมมุ่งดูด้วยความรื่นเริงและยินดีให้กับคู่บ่าวสาวที่จัดว่ามีขมวบสินเดิมที่ยาวเหยียดสมศักดิ์คุณหนูหลีจากภรรยาเอกและบุตรชายผู้เดียวของสกุลจื่อมีสมรสมงคลก่อนที่ขบวนจะสิ้นสุดลงเมื่อถึงหน้าประตูจวนสกุลจื่อที่ถูกตกแต่งประณีตด้วยสีแดงที่สื่อถึงความมงคลจื่อรุ่ยหยางสวมชุดอาภรณ์สีแดงลวดลายมังกรจากนั้นจึงกระโดดลงจากหลังมาด้วยท่าทางทะมัดทะแมง ทั้งที่วันมงลงเช่นนี้สมควรจะยิ้มแย้มเบิกบานแต่ใบหน้ากับหมองคล้ำไม่เป็นมงคลเสียเลย“จับมือข้า” เขาพูดขึ้นแผ่วเบาหลีหนิงหนิงสวมใส่อาภรณ์สีแดงเช่นกันเย็บปักด้วยความประณีต เรือนผมถูกมวยขึ้นเป็นทรงอย่างงดงามถูกประดับความมงกุฎหงษ์ที่แสดงถึงสัญญาณเคียงข้างมังกรแม่สื่อตะโกนร้องก้องบอกพิธีการทั่วจวนหนึ่งคำนับฟ้าดินสองคำนับบิดามารดาสามคำนับกันและกันทว่าช่างเป็นงานมงคลที่ไม่รับรู้ถึงบรรยากาศของความมงคลเลยแม้น้อย นี่เป็นเคราะห์กรรมของพระเอกผู้นี้หรือไร บนใบหน้าของจื่อรุ่ยหยางไม่หลงเหลือความสุขเลยเป็นงานมงคลที่บรรยากาศหดูจริง ๆช่างไม่มีที่สิ้นสุดจริง ๆ หลีห
พอเข้าสู่ช่วงฤดูชิวเทียนหรือฤดูใบไม้ร่วง โรงเตี๊ยมและบริเวณโดยรอบที่เป็นร้านอาหารพลันครึกครื้นไปด้วยผู้คนที่ออกมาท่องเที่ยวหรือจับจ่ายใช้สอยในช่วงวันเทศกาลไหว้พระจันทร์ที่ใกล้จะมาถึงนี้ในห้อง ๆ หนึ่งยังชั้นสองของร้านมีสตรีผู้หนึ่งนั่งเท้าคางทอดสายตาลงไปมองชั้นหนึ่งเดียวใบหน้าเบิกบานหากโรงเตี๊ยมมีผู้คนครึกครื้นตลอดทั้งปีเช่นนี้ นางคงได้ร่ำรวยเป็นแน่!หลีหนิงหนิงแอบลอบยิ้มในใจ พลางพลิกสมุดรายการของกิจการไปเรื่อยเปื่อยทั้งที่แท้จริงแล้วเรื่องนี้เป็นหน้าที่ของซ่งเสวี่ยนที่ต้องตรวจสอบนางเพียงอยากทำตัวเป็นภรรยาที่ดีเท่านั้นซ่งเสวี่ยนที่เห็นการกระทำของภรรยาจึงอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “เถ้าเนี้ยว่าอย่างไรกิจการของข้าขาดทุนหรือไม่”หลีหนิงหนิงได้ยินแล้วจึงหันไปถลึงตาใส่เขา บุรุษผู้นี้รู้ทั้งรู้ว่านางไม่เข้าใจแต่กลับเยาะเย้ยกันหรอกหรือ “ไปให้ไกล” นางเอ่ยปากไล่พอวันเวลาผ่านไปนานเข้า พระรองผู้นี้ก็เปบี่ยนไปราวกันคนละคน“เจ้านี่ฉลาดจริง ๆ” เมื่อเห็นเป็นภรรยาหน้างอไม่พอใจ ผู้เป็นสามีอย่างซ่งเสวี่ยนนั้นก็ต้องสมควรเข้าใจใช่หรือไม่ ว่ากันตามตรงเขาเป็นสามีผู้อื่นคราแรกซ้ำยังดีต่อผู้อื่นไม่เป็นแม้ว่าจะ