บทที่ 3
อาณาจักรไม่รู้ร้อน
เถาวัลย์พาดตามไม้สูงระโยงระยาง พืชมากสี พรรณไม้ต่างพันธ์ุมองดูชวนรู้สึกแปลกตา ทั่วทั้งผืนป่าถูกปกคลุมไปด้วยหิมะหนา
ภูมิอากาศหนาวเหน็บจนทั่วตัวสั่นไหว แม้กระทั่งน้ำจากทะเลหากได้ไหลผ่านที่นี่แล้วต่างก็กลายเป็นทะเลน้ำแข็งไปเสียหมด สภาพแวดล้อมช่างดูปั่นป่วนน่าประหลาด
นี่คือป่าแถวล่างเขา อันเป็นจุดหมายหลังวาร์ปจากดาเลียมายังอัชลิง
อัชลิงถูกเล่าขานกันโดยทั่วถึงเรื่องความเย็นยะเยือก ครั้นเมื่อสมัยราชินีวิโอล่ายังคงอยู่ สภาพอากาศสามารถแปรเปลี่ยนไปตามการควบคุมด้วยพลังของพระองค์เอง แต่หลังสิ้นพระชนม์ ชาวอัชลิงก็ไม่เคยได้สัมผัสถึงความอบอุ่นอีกเลย
กระทั่งถนนหนทางบางสายก็ยังมีน้ำแข็งประดับ หรือถูกใช้แทนไม้กั้นเนื่องด้วยความพิเศษบางประการ หากน้ำแข็งถูกปั้นแต่งโดยนักเวทของทางราชวงศ์ ก็จะไม่มีทางละลายได้โดยง่าย และสะพานของที่นี่เองก็ยังถูกปั้นแต่งโดยนักเวท
‘มันจะแตกไหมเนี่ย?’ โนเอลหวาดหวั่นในใจ ขบวนรถม้ามีน้ำหนักไม่น้อย เกรงว่าผ่านไปไม่ถึงครึ่ง มันจะแตกเอาเสียก่อน
ขบวนรถม้าขนาดเล็กค่อย ๆ ข้ามผ่านสะพานเคลือบเงากลางป่าใหญ่ เสียงล้อรถดังเอี๊ยดอ๊าดทำเอาสัตว์น้อยใหญ่ต่างพากันคอยเฝ้ามองผู้มาเยือนในครานี้
ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอัลมอนด์ เอื้อมมือไปเปิดหน้าต่างในห้องโดยสารแต่ลมหนาวกลับทำให้เขาต้องปิดมันในทันที ถึงในตอนนี้จะไม่ได้ทรมานตัวเท่าก่อนหน้า แต่อุณหภูมิของทั้งสองอาณาจักรก็ต่างกันมากอยู่ดี
‘ก็ดีใจที่มันไม่แตกนะ... แต่หนาวชะมัด’
ประตูวาร์ประหว่างเมืองอัชลิงและดาเลีย ถูกตั้งตระหง่านไว้ตรงหน้าปากทางขึ้นภูเขาน้ำแข็งสูงชันนามว่าเลซา ซึ่งต่อให้เงยหน้าขึ้นมองก็ไม่มีทางรู้เลยว่าแท้จริงแล้วมันสูงถึงเท่าไหร่กันแน่
สาเหตุหลักคือเขาทุกลูกต่างถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนาพร้อมทั้งไอเย็น ทำให้มองไม่เห็นยอดเขา และไม่มีใครใจกล้าขึ้นไปพิสูจน์
เพราะนอกจากจะเป็นเขตมานาเจือจาง ส่งผลให้ควบคุมพลังเวทได้ยากแล้ว บนนั้นก็ยังเต็มไปด้วยมอนสเตอร์และสัตว์ร้ายปริศนาที่ทรงพลังมากพอจะทำลายเมืองใหญ่ได้ทั้งเมือง
โนเอลมีความสงสัยถึงเทือกเขานั้นเป็นอย่างมาก แต่เดวิกลับพูดมาเพียงว่า ไม่รู้เสียจะดีกว่า
แม้ว่าจะมีนักผจญภัยและกิลด์นักเวทบางส่วน อยากท้าทายและพิชิตยอดเขา แต่ท้ายที่สุดมันก็ยากเกินกว่าจะสำเร็จ
เรื่องน่าแปลกอีกอย่างหนึ่งคือ ทั้งที่เป็นพื้นที่ใกล้เคียง แต่อัชลิงกับดาเลียกลับมีอุณหภูมิต่างกันโดยสิ้นเชิง
เดินทางมาได้สักพักใหญ่ โนเอลที่พิงหัวไว้ข้างหน้าต่าง ก็ได้ยินเสียงจอแจออกมาจากด้านนอก ทำให้รู้ว่ากำลังเข้าสู่เขตตัวเมือง
“ดูนั่นสิ รถม้าของทางราชวงศ์!”
“ราชวงศ์งั้นเหรอ? ทำไมถึงมาแถวนี้ได้ล่ะ”
“เจ้านี่ไม่รู้อะไรเลย ได้อ่านประกาศที่ติดอยู่บนแผ่นไม้บ้างไหมนั่น”
“ก็เห็นมีแต่รับสมัครคนเข้ากิลด์นี่หว่า”
เสียงของชาวเมืองรอบข้างดังขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อรถม้าเริ่มเหยียบย่ำถนนคอนกรีต
หมู่บ้านแห่งนี้เป็นสถานที่แรกที่จะพบเจอเมื่อผ่านทางสะพานน้ำแข็งมา
คนธรรมดาทั่วไปไม่สามารถใช้พลังเวทได้ หากไม่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างลำบาก หรือเป็นพวกดัชนีทองคำ โดยเฉพาะเวทน้ำแข็งที่เป็นสัญลักษณ์ประจำอาณาจักร
ซึ่งส่วนมากคนในราชวงศ์ล้วนมีพลังสายน้ำแข็งกันเสียหมด ข้อแตกต่างเพียงอย่างคือ ความเข้มข้นและแข็งแกร่งของเวทจะขึ้นอยู่กับผู้ฝึกทักษะและสายเลือด
หากพูดให้เข้าใจโดยง่ายคือ มีคนประเภทที่เก่งโดยสายเลือด และเก่งเพราะพยายามอย่างหนัก ซึ่งสถานที่ที่รวมคนสองประเภทนั้นไว้ในที่เดียวกันคือกิลด์นักเวท หากได้กวาดสายตามองไปรอบเมือง ไม่ว่าจะจุดไหนก็ล้วนแต่มีป้ายกิลด์ติดเอาไว้
สรุปแล้ว เมืองเอเลลันซึ่งเป็นประตูด่านหน้าของอัชลิงคือเมืองศูนย์รวมนักเวทนั่นเอง
“ท่านซีโน่!!” เสียงร้องตะโกนของใครบางคนดังออกมาจากนอกคันรถ ทันใดนั้นเจ้าของชื่อก็เปิดประตูออกไป
โนเอลที่ยังไม่แน่ใจสถานการณ์จึงชะโงกหน้าออกไปมอง
จู่ ๆ เขาก็เริ่มทำสีหน้าเหยเกอีกครั้ง เมื่อพบว่าชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ส่วนสูงโดดเด่น ทั้งสามคนกำลังยืนล้อมวงพูดคุย หารือกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
นอกจากสองในสามที่เขารู้จักก็มีใครอื่นเพิ่มมาอีกคน ผมสีไวน์แดง ดูเด่นดึงดูดสายตาและยิ้มสดใสดูคล้ายลูกหมาไร้พิษสง ภายหลังโนเอลได้รู้ คนผู้นั้นมีนามว่าลูคัสด้วยคำบอกเล่าของเดวิ
องค์รัชทายาทซีโน่มีองรักษ์ส่วนตัวที่สนิทสนมด้วยถึงสองคน หากเปรียบเปรยก็คงจะเหมือนดาบและโล่
แม้ในสายตาของโนเอลแล้ว เดวิจะมีทักษะดาบอันยอดเยี่ยมเหนือผู้อื่น แต่ความจริงกลับเทียบไม่ได้เลยเมื่อพูดถึงลูคัส ลาเมล
สงครามใหญ่เมื่อครั้งก่อน หากกล่าวถึงรายชื่อของผู้เข้าร่วมการรบ และทำประโยชน์ได้มากที่สุด ชื่อของเขาก็คงอยู่ในลำดับต้น ๆ รองลงมาจากองค์รัชทายาท ส่วนเดวิเองก็มีเรื่องที่ตนเก่งแต่ลูคัสไม่เก่งอยู่เช่นกัน
ในสงครามส่วนมากนอกจากซีโน่จะเป็นผู้สั่งการและนำทัพด้วยตัวเองแล้ว แผนการรบทั้งหมดล้วนเป็นความเห็นที่ถูกเสนอและจำลองโดยเดวิ เมื่อทั้งสามอยู่รวมกันย่อมไม่มีอะไรต้องหวั่นเกรง
หลังจากที่ซีโน่ออกไปข้างนอก คุยกันได้ไม่นานก็เดินกลับมานั่งที่ห้องโดยสารเหมือนเดิม ก่อนที่โนเอลจะรู้สึกวูบวาบในอก พื้นไม้รอบด้านเริ่มสั่นไหวโคลงเคลงจนอยากอาเจียน เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเริ่มผ่อนคลายไม่ให้ตื่นตระหนก
ใช้เวลาพักหนึ่งม้าที่หยุดนิ่งไปก็กลับมาเดินไปตามทางเหมือนดั่งเดิม บรรยากาศที่หนาวเหน็บเริ่มเบาบางลงเมื่ออยู่ที่นี่ บ้านเรือนอาคารก่อนหน้าหายจนลับตาทั้งยังเต็มไปด้วยพรรณไม้ดูแปลกตากว่าป่าที่เคยผ่านมาก่อนหน้านี้
สายธารไหลลงมาจากภูผาน้ำแข็งยักษ์ รุกข์ลำต้นหนาทั้งยังสูงลิ่ว บุปผาเหมันต์งามหยดราวกับถูกแกะสลักประดับประดาอยู่มากมายตามพุ่มไม้
กลิ่นหอมอ่อนละมุนล่องลอยอยู่คละคลุ้ง หิ่งห้อยส่องแสงสว่างแม้จะมีแสงอรุณสาดส่อง บรรยากาศภายนอกตอนนี้ช่างแตกต่างกับป่าทางเข้าโดยสิ้นเชิง
โนเอลเผลอหลับไปครู่หนึ่งเพราะกลิ่นหอมที่ชวนเคลิ้มหลับ เมื่อรู้สึกตัวก็ถึงจุดหมายพอดี เขาสะลึมสะลือแล้วยีตาตัวเอง ก่อนจะรู้สึกตัวว่าเผลอซบแขนคนข้างกายไป ซีโน่เงียบงันไม่กล่าวคำใดแล้วลงจากรถม้าไปก่อน
ถึงก่อนหน้านี้ซีโน่จะไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา เขาพอจะรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายคงจะรู้สึกรังเกียจไม่มากก็น้อย ถึงขนาดรีบก้าวเดินแบบไม่รีรอ ไม่ทันที่เขาจะเดินออกมาจากห้องโดยสาร เจ้าตัวก็ไปถึงยังหน้าประตูเสียแล้ว
เบื้องหน้ามีปราสาทสูงตระหง่านถูกเปิดประตูเอาไว้กว้าง รอต้อนรับผู้ที่จะกลายเป็นราชินีในอนาคต
ภายในถูกปูด้วยพรมแดงเป็นทางเดินลาดยาวสุดสายตาและเมื่อเปิดประตูอีกชั้นเข้าไปก็พบกับหญิงสูงศักดิ์ใส่อาภรณ์สีน้ำเงินโคบอลต์ดูสะดุดตา
ส่วนล่างของชุดถูกปักเลื่อมบางส่วน เครื่องประดับสีม่วงคละฟ้า ถูกจัดวางอย่างประณีตลงบนผมสีเงินเฉกเช่นเดียวกับซีโน่ และพี่สาวของนางผู้เป็นราชินีองค์ก่อน
ข้างบัลลังก์มีหญิงสาววัยราว ๆ สิบหกยืนคู่เคียง เธอดูท่าทางสง่าผ่าเผยและเฉยชา อีกทั้งรูปร่างหน้าตาล้วนเหมือนผู้เป็นคู่หมั้นของเขาไม่มีผิดเพี้ยน คงเป็นน้องสาวหรือใครในครอบครัวที่เดวิไม่เคยกล่าวถึง
เหล่าผู้คนซึ่งหากได้ปราดตามองเพียงครั้งเดียว ก็รับรู้ได้ถึงความสูงส่ง ทั้งชายและหญิงต่างยืนแยกกันเป็นสองฝั่ง
แต่ละคนต่างแสดงสีหน้าดูถูกเหยียดหยามและเย่อหยิ่งอย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงกระนั้นบางคนก็ยังคงเก็บสีหน้า แสร้งทำเป็นนิ่งเฉย
เจ้าหน้าที่พิเศษและพวกรัฐบาลต่างก็มีคนประเภทนี้อยู่เช่นกัน เขาถึงได้รู้สึกนิ่งเฉย ไม่ได้ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย
“โนเอล เฟอแนล ข้ายินดีมากที่พบเจ้า ชายหนุ่มผู้มาจากอาณาจักรอันแสนห่างไกล เพื่อมาเป็นคู่หมั้นขององค์รัชทายาท ซีโน่ ลัวร์” เธอแสยะยิ้มอย่างมีเลศนัย ดวงตาเฉี่ยวคมที่แม้ว่าจะกำลังยิ้มอยู่แต่กลับทำให้คนทั่วไปรู้สึกหวาดหวั่นอยู่ไม่น้อย
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ องค์ราชินีไวโอเล็ตต้าผู้สูงส่ง” เขาแสดงความเคารพเหมือนดั่งที่โนเอลในอดีตเคยทำ เมื่อครั้งพบคนของราชวงศ์ตามโอกาส
“หึหึ ตายจริง ไม่คาดคิดว่าจะได้พบเจ้าพร้อมกับองค์รัชทายาท เหตุใดองค์รัชทายาทจึงปรากฏตัวพร้อมองครักษ์ทั้งสองเลยล่ะ?”
“ระหว่างทางได้รับข่าวแจ้งมาว่ามีเหตุร้ายเกิดกับคู่หมั้น ข้าและลูคัสจึงไปรับตัวและคอยดูแลให้แคล้วคลาดปลอดภัย องค์ราชินีคงไม่สงสัยว่าข้าจะกระทำการใดที่ผิดต่อราชวงศ์หรอกกระมั้ง?” ซีโน่ตอบเสียงเรียบ
“เหตุใดเจ้าจึงคิดเยี่ยงนั้น ข้าไม่สงสัยเจ้าหรอก ในเมื่อเจ้าเป็นลูกของข้า ไยต้องแคลงใจในตัวเจ้าด้วยเล่า?” นางส่งเสียงหัวเราะด้วยความชอบใจ ยากจะคาดเดาเจตนา
“เลวี่ พาพระคู่หมั้นไปยังห้อง ส่วนองค์รัชทายาท เดวิ เรวาเลียและลูคัส ลาเมล พวกเจ้าอยู่นี่ก่อน เรามีเรื่องต้องหารือกันเล็กน้อย”
สาวใช้ผู้ถูกเรียกว่าเลวี่ รับคำสั่งราชินีก่อนจะพาตัวโนเอลไปยังห้องที่ถูกจัดเตรียมไว้ การทักทายครั้งนี้สั้นกว่าที่เขาคาดคะเนเอาไว้ ดูแล้วราชินีผู้แสนยากจะคาดเดา คงไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยว่าเขาจะเป็นตัวอันตรายต่ออำนาจของนางสักเท่าไหร่
หากนางไม่คำนวณผิดพลาดก็คงเป็นหนึ่งในแผนการซึ่งตัวเขาก็คงต้องระวังไว้สักหน่อย
ห้องส่วนตัวของเขาถูกตั้งอยู่ไม่ห่างกับห้องทำงานขององค์รัชทายาท ภายในถูกต้องแต่งราบเรียบไม่หวือหวาแต่ก็ดูดี
“ท่านโนเอล หม่อมฉันมีนามว่าเลวี่ ฟาเรโซ ต่อจากนี้จะคอยดูแลท่านโนเอลในฐานะสาวใช้ส่วนตัวเพคะ” หญิงสาวผมสีน้ำตาลคาราเมลเฉกเช่นเดียวกับเขา กล่าวด้วยน้ำเสียงสดใสหน้าตายิ้มแย้ม
จากรูปร่างอย่างหูที่ยาวมากผิดปกติ เธอคงไม่ใช่มนุษย์
“ไม่ต้องมากพิธีหรอก เป็นกันเองเถอะ เอาไว้เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน” เขาว่าพลางทิ้งตัวลงนั่งกับเก้าอี้
“ไม่ได้เพคะ หากหม่อมฉันหลุดพูดด้วยความเคยชิน ผู้อื่นคงได้หาว่าท่านโนเอลคุมคนใช้ได้ไม่ดีอย่างแน่นอนเพคะ! พวกสาวใช้และทุกคนในวังต่างไว้ใจไม่ได้ ท่านโนเอลอย่าได้เผลอวางใจแม้เพียงครู่เดียวนะเพคะ อีกอย่าง พวกขุนนางมักจะชอบหาเรื่องคนของท่านซีโน่อยู่เป็นประจำ ท่านโนเอลระมัดระวังตัวไว้ให้มาก ๆ นะเพคะ”
เลวี่พูดจาเจื้อยแจ้ว แล้วเริ่มสาธยายถึงเรื่องราวของวังนี้ เธอย้อนความหลังทั้งยังลงรายละเอียดเกี่ยวกับขุนนางต่างๆ ในวัง คนที่ควรผูกมิตรและไม่ผูกมิตร เขารับฟังสิ่งที่เธอพูดออกมาทั้งหมด ตราบใดที่ตัวเขามียศฐาเป็นคู่หมั้น ในอนาคตหากอำนาจไม่สั่นคลอนย่อมต้องกลายเป็นราชินี
หากอยากใช้ชีวิตอยู่รอด ย่อมต้องเลือกคนให้ เขาคงไม่บ้าพอที่จะหัวรั้นไม่เลือกข้างหวังพึ่งแต่ตัวเอง ทั้งที่ไม่มีอำนาจทั้งยังไร้ซึ่งคนสนิท เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม นี่คือสิ่งที่เขายึดมั่นมาโดยตลอด
“ท้ายที่สุดขอท่านโนเอลอย่าไว้วางใจดยุกต์ร็อกโก้เป็นอันขาด คนผู้นั้นหม่อมฉันเห็นมาตั้งแต่หม่อมฉันยังเป็นพี่เลี้ยงให้ท่านซีโน่ กล่าวได้ว่าเป็นตัวอันตรายเพคะ”
“พี่เลี้ยง? เจ้าอายุเท่าไหร่กันแน่” โนเอลถามก่อนที่เธอจะท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ยี่สิบเจ็ดเพคะ”
โนเอลเหลือบมองเลวี่ด้วยความรู้สึกสนอกสนใจ เพียงแต่ความสนใจนี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์เชิงชู้สาว แต่เป็นเรื่องที่เลวี่ดูมีไหวพริบดี เพียงเห็นหนังสือที่อยู่ในกระเป๋าสัมภาระก็ทักถาม ทั้งยังรู้จักใช้คำพูด อีกทั้งเป็นรู้จักพื้นเพของคนในวังเป็นอย่างดี
หากเขาได้สาวใช้คนนี้มาข้างกายจริงๆ คงจะดีไม่น้อยเว้นเสียว่าเธออาจเป็นคนที่ราชินีส่งมาจับตาดูและคอยรายงานการกระทำเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดในแผนการของนางก็เป็นไปได้
แต่ถึงยังไงเขาก็จะดึงผู้หญิงคนนี้มาเข้าข้างตนให้ได้อย่างแน่นอน
“ไม่ต้องห่วงนะเพคะ นอกจากพวกชนชั้นสูงแล้วก็ยังเหลือผู้ที่ไว้ใจได้อย่างท่านหมอเลนนี่อยู่ ถ้าท่านโนเอลเป็นแผล ไม่สิ ข้าจะไม่มีวันให้ท่านเป็นอย่างแน่นอน แต่ถึงอย่างงั้นหม่อมฉันก็มีพลังรักษาอยู่นะเพคะ” เลวี่พูดจาเจื้อยแจ้วผิดกับเขาถนัด
เธอแบมือเค้นพลังอยู่พักหนึ่งก็มีแสงสีเขียวอ่อนออกมา ดวงตาสีเขียวมรกตของเธอเปล่งประกายขึ้นระหว่างนั้น ใบหน้ายิ้มแย้มพลันเปลี่ยนไปนิ่งสงบดูสุขุมสมวัย
“เดิมทีแล้วหม่อมฉันเป็นลูกครึ่งเอลฟ์ผู้มีความสามารถในการรักษา อดีตเคยเป็นสาวรับใช้ข้างกายราชินีวิโอล่าอีก ทั้งยังเป็นพี่เลี้ยงให้องค์รัชทายาทเมื่อครั้งยังเด็ก แต่หลังจากราชินีผู้จิตใจได้ล่วงลับไป หม่อมฉันก็ถูกส่งกลับบ้านเกิด ซึ่งตอนนี้หม่อมฉันถูกส่งตัวกลับมาอีกครั้งเพื่อรับใช้ท่านโนเอลโดยเฉพาะ”
เขาสงสัยในเรื่องที่เธอพูดถึงแต่ก็สลัดความคิดนั้นไป ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ยังคงไม่เข้าใจเจตนาที่แท้จริงของราชินีไวโอเล็ตต้าอยู่ดี
โนเอลสะบัดความคิดในหัวออกทั้งหมด แล้วมานั่งทบทวนสถานการณ์อีกครั้ง
เรื่องที่เขาพอรู้จากภาพจำที่ผ่านมา
ข้อแรก ความทรงจำของโนเอลทั้งหมดถูกส่งมาต่อที่เขา ตั้งแต่จำความได้จนถึงบั้นปลายสุดท้ายของชีวิต คล้ายกับการย้อนเวลามาแก้ไขสิ่งผิดพลาด แต่คนที่ต้องแก้ไขคือเหมันต์ ไม่ใช่โนเอล
ทว่ากลับมีข้อสงสัยหลายจุด
อย่างเรื่องล่าสุด คือสถานการณ์ที่ใครไม่รู้ดันเข้ามาลอบโจมตีขบวนเดินทางของเขา แต่ถ้าคำนึงถึงความสัมพันธ์ภายใน ก็คงไม่พ้นเหล่าขุนนาง
ในชาติก่อน โนเอลไม่รู้อะไรเลย เขาถูกผู้คนในวังรวมถึงซีโน่หมางเมิน ราวกับเป็นเพียงตุ๊กตาประดับ ความบันเทิงเดียวที่จะหาได้คือการพูดคุยกับเลวี่
กว่าจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ปราสาทก็พังทลายลงเสียแล้ว
อย่างน้อยโนเอลก็ให้ความเคารพกับซีโน่ แม้คราแรกจะดูไม่ชอบหน้าเฉกเช่นเดียวกับเขาในตอนนี้
เหมันต์ในร่างโนเอลครุ่นคิดอยู่นานสองนาน เหตุใดตัวเขาต้องประสบพบเจอกับการลอบโจมตี แต่โนเอลผู้เป็นเจ้าของร่างในชาติก่อนดันไม่ สิ่งเดียวที่พอจะเป็นคำตอบได้ คือทฤษฎีผีเสื้อกระพือปีก
และข้อสองที่ต้องคิดวิเคราะห์อย่างหนัก จุดจบของทั้งหมดคือการที่อาณาจักรนี้ล่มสลาย หากคิดไปถึงช่วงเวลาแล้ว ก็คงราว ๆ สองถึงสามปีข้างหน้า
แอกเนสและไรเกอร์เป็นใคร แล้วอีกสามคนที่เขามองไม่เห็นหน้านั่นอีก แล้วคนทั้งหมดนั่นมีส่วนเกี่ยวข้องกับขุนนางในวังหรือไม่ มีแต่เรื่องให้น่าคิดเต็มไปหมด
โนเอลถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย จนเลวี่ที่ยืนอยู่ข้างกายก็ผล็อยตกใจไปด้วย
“เป็นอะไรไปหรือเพคะ?” เธอกล่าวถาม
“ไม่หรอก แค่รู้ตัวปวดเมื่อยนิดหน่อย...” เขาว่าพลางบิดตัวไปมา โนเอลไม่ได้พูดพอให้เธอหายสงสัย เขารู้สึกปวดเมื่อยอยู่จริง ๆ หลังถูกลอบโจมตีก็เดินทางต่อจนแทบไม่ได้พัก
อยากจะใช้เวลางีบในรถโดยสารก็ดันมีชายหนุ่มสีหน้าไม่รับแขกอยู่ด้วยตลอดเวลา เป็นเช่นนี้แล้ว จะหลับลงได้อย่างไรกัน
“หม่อมฉันมีความคิดดี ๆ อยู่นะเพคะ น้ำตกด้านหลังปราสาท มีฤทธิ์ช่วยชำระล้างอาการปวดเมื่อย”
“อากาศที่นี่เย็นขนาดนี้ น้ำตกจะไม่กลายเป็นน้ำแข็งเอาเหรอ?”
“เอาไว้ท่านโนเอลไปถึงที่นั่นก็จะรู้เองเพคะ” เธอตอบกลับมาเพียงแค่นั้น ทิ้งไว้เพียงความงุนงงแก่โนเอล
เลวี่ใช้เวลาสักพักสำหรับการจัดเตรียมเสื้อผ้า ก่อนที่ตัวเธอจะนำพาโนเอลไปยังน้ำตกดังกล่าว
น้ำตกอยู่ในป่าหลังปราสาท เดินเท้าเพียงไม่นานก็ถึงที่หมาย
เลวี่พาเขาเดินเข้าไปลึกพอควร ถึงได้เจอเข้ากับสถานที่ชวนทึ่ง ทั้งที่อัชลิงมีหิมะปกคลุมอยู่ตลอด แต่ที่นี่กลับอบอุ่น พืชพันธุ์ก็ดูธรรมดา ไม่ได้ชวนประหลาดใจเหมือนก่อนหน้า
กลิ่นหอมน่าหลงใหลจากธรรมชาติชวนให้เขารู้สึกดีอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะสีเขียวจากใบไม้
โนเอลเดินตามเลวี่ต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเสียงน้ำกระทบกันเริ่มดังขึ้น และสายตาของเขาเริ่มมองเห็นไอน้ำจาง ๆ
อุณหภูมิของที่นี่สูงกว่าปกติ หากแช่น้ำแล้วตรงกลับไปยังปราสาท ร่างกายคงช็อกเพราะปรับตัวไม่ทันอย่างแน่นอน
“ถึงแล้วเพคะ ท่านโนเอลเปลื้องผ้าแล้วลงแช่ได้เลยนะเพคะ ที่นี่มีเพียงคนในราชวงศ์เท่านั้นที่รู้ แถมไม่ได้หาเจอกันง่าย ๆ ด้วยเพคะ” เลวี่ว่า พลางยืนยิ้มหน้าตาเฉย
โนเอลมองหน้าเธอนิ่ง คล้ายกับอยากให้เธอเดินออกไปมากกว่ายืนอยู่ตรงนี้ ทว่าอีกฝ่ายกลับยังคงทำหน้าเบิกบาน ไม่รู้สึกรู้สาอะไร
ต่างฝ่ายต่างยืนมองหน้ากัน ไม่ขยับเขยื้อนหรือเอื้อนเอ่ยคำใด จนเลวี่ต้องเปิดปากพูดก่อน
“เหตุใดจึงไม่เปลื้องผ้าเหรอเพคะ”
‘ก็มีเธออยู่ไง!!” เขาได้แต่โอดครวญในใจ ก่อนจะตอบกลับเสียงแผ่ว
“เธอก็ออกไปก่อนสิ...”
“หากหม่อมฉันออกไป แล้วจะมีหญิงใช้คนใดคอยรับใช้ท่านละเพคะ”
“แต่ฉันไม่สบายใจถ้าเธอจะยืนอยู่ตรงนี้นะ...”
“ทำไมล่ะเพคะ หม่อมฉันดูแลท่านโนเอลไม่ดีเท่าที่ควรหรือว่าอย่างไรเพคะ” เธอแสดงสีหน้ากังวลออกมาอย่างเห็นได้ชัด รอบดวงตาคู่สวยเริ่มมีน้ำสีใสปริ่มออกมา
“ไม่ใช่อย่างงั้น แต่ว่า...”
“แต่ว่าทำไมหรือเพคะ...” ยังไม่ทันที่โนเอลจะได้ตอบกลับ หูเอลฟ์ของเธอก็กระดิกราวกับสัตว์ยามเมื่อได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง
“งั้นหม่อมฉันขอตัว หากท่านโนเอลต้องการอะไร ก็เรียกได้เลยนะเพคะ หม่อมฉันจะรีบมาทันที” เลวี่กล่าวพลางหัวเราะคิกคัก แล้วเดินจากไป
“นี่... เดี๋ยวสิ... อะไรเนี่ย บทจะไปก็ดันไปง่าย ๆ แบบนี้อะนะ โอ้ย จะบ้าตาย มีแต่คนเข้าใจยากเต็มไปหมด”
โนเอลไม่รีรออีกต่อไป หากน้ำตกสามารถชำระล้างความเจ็บปวดได้จริง ก็จะขอรีบโดดลงไปเดี๋ยวนี้
มือทั้งสองข้างปลดเปลื้องเสื้อผ้าอย่างเบามือ เหลือไว้เพียงกางเกงชั้นใน กล่าวกันตามตรง การที่ต้องโล่งโจ้งท่ามกลางป่าก็เป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่ชวนสยิวอยู่ไม่น้อย
หวังว่าเลวี่จะไม่บังเอิญเข้ามาในเวลาแบบนี้ เพราะไม่งั้น เขาคงไม่มีหน้าไปเจอเธออีก
ทันทีที่ได้ก้าวขาข้างหนึ่งลงไป ความปวดเมื่อยก็จางลงอย่างเห็นได้ชัด โนเอลเริ่มลงไปแช่จนตัวจม ความอบอุ่นจากอุณหภูมิน้ำ ทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายจนโนเอลต้องหลุดเสียงครางออกมา
“อ่า... ไม่อยากไปไหนแล้ว...” เขามุดน้ำจนเหลือไว้เพียงส่วนหัว
ความเงียบสงบบังเกิดจนโนเอลแทบเคลิ้มหลับ ยิ่งมีลมพัดโชยมาเบา ๆ ก็ยิ่งทำให้เขาสบายตัวเข้าไปใหญ่ ชักเริ่มสงสัยแล้วว่าเหตุใดความอบอุ่นจึงมีเพียงบริเวณนี้เท่านั้น
โนเอลไม่แน่ใจว่าความเหน็บหนาวของอัชลิงสร้างผลกระทบต่อบุคคลทั่วไปถึงเพียงใด แต่จากที่ได้ผ่านเมืองด่านหน้ามา พวกเขาต้องสวมเสื้อผ้ามิดชิดอยู่ตลอด
โนเอลทิ้งกายให้ลอยไปตามน้ำ แล้วนึกคิดสิ่งที่ต้องทำไปพลาง ถึงจะรู้เป้าหมายแต่เขาก็นึกวิธีการไม่ออก ความคิดฟุ้งซ่านอัดแน่นอยู่ภายในสมอง จนกระทั่งได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง เขาถึงได้หลุดออกจากภวังค์
โนเอลขมวดคิ้วแน่น เลวี่บอกไว้ว่าที่นี่ไม่มีใครหาเจอได้โดยง่าย แล้วทำไมกลับมีคนอยู่
หากหันไปทางต้นเสียงจะพบกับต้นทางของน้ำตก ทว่ากลับมีโขดหินบังเอาไว้อยู่ โนเอลขึ้นจากแม่น้ำ แล้วสวมเสื้อผ้าพอให้ได้มีอะไรคลุมร่างเอาไว้
ก่อนจะเดินเท้าไปสังเกตการณ์ที่จุดหลังโขดหินนั่น
เขาเพียงอยากรู้ว่าที่ตรงนั้นมีอะไรอยู่ เพียงเท่านั้น หากค้นพบคน ก็จะรีบเดินกลับในทันที
โนเอลเกาะโขดหินแล้วค่อย ๆ ปีนขึ้นไปอย่างเบาแรง เพื่อไม่ให้เกิดเสียงจนอาจทำให้อะไรสักอย่างตรงนั้นรู้ตัว
เขาเพ่งพินิจกับภาพตรงหน้า ก่อนจะเจอเข้ากับแผ่นหลังสีขาวซีด เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ แน่นเสียยิ่งกว่าทหารในค่ายฝึก แผ่นหลังนั่นเต็มไปด้วยบาดแผลจากสิ่งที่ไม่อาจบอกได้ว่าคืออะไร และรอยฟันจากคมดาบ
ทว่าความน่าสนใจดันอยู่ที่แขนเสียมากกว่า แขนฝั่งซ้ายของเจ้าตัว มีรอยประหลาดเกินกว่าจะเป็นรอยสักที่สักไว้เพื่อความสวยงาม นอกจากนั้นมันก็ยังแผ่ขยายไปจนถึงส่วนคอ
โนเอลให้ความสนใจกับมันเป็นอย่างมากจนเผลอเหม่ออย่างไม่ตั้งใจ จนกระทั่งแผ่นหลังแปรเปลี่ยนไปเป็นซิกแพ็คส่วนหน้า และกำลังเข้ามาใกล้ เขาก็ยังคงจดจ่ออยู่กับรอยประหลาด
พอรู้ตัวอีกที ปลายดาบก็จ่อเข้าที่ต้นคอเสียแล้ว
“มาทำอะไรที่นี่” ซีโน่กล่าว
“อึก...” โนเอลกลืนน้ำลาย ดูท่าความอยากรู้อยากเห็นของเขาจะสร้างปัญหาอีกแล้ว
“ข้าถามว่ามาทำอะไรที่นี่” สายตาคมกริบเปี่ยมไปด้วยความเย่อหยิ่ง ปรายตามองมายังโนเอล ทำเอาเขาสะท้านไปทั้งร่าง
“เลวี่แค่พามาแช่น้ำ”
“นางอยู่ไหน?”
“ไม่รู้ แค่บอกเธอ- เอ้ย... นางบอกว่าข้าอยากอยู่คนเดียว” โนเอลตอบกลับเสียงเรียบ เขาคอยจ้องอีกฝ่ายตาไม่กะพริบ ขอเพียงชั่ววินาทีที่อีกฝ่ายเผลอ เขาจะรีบวิ่งแจ้นอย่างแน่นอน
“...” ซีโน่มองโนเอลด้วยแววตายากจะคาดเดา
และเวลาซึ่งเขาเฝ้ารอก็มาถึง เพียงซีโน่กะพริบตา เขาก็รีบกลิ้งลงมาจากโขดหิน แล้ววิ่งสับเท้าจนไฟแทบลุก
โนเอลเผ่นจนลับสายตาของซีโน่ ซีโน่มองนิ่ง ก่อนจะกลับไปอุ่นร่างกายของตนต่อ
“น่ารำคาญ”
โนเอลรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้เอาจริง ไม่อย่างงั้นเขาคงไม่อยู่รอดมาจนถึงตอนนี้ ตราบใดที่ยังไม่ได้ปืนคู่ใจ เขาคงต้องทำตัวสงบเสงี่ยมเสียหน่อย
เพราะดูจากขนาดร่างของโนเอลกับซีโน่ ก็พอจะรับรู้แล้วว่าใครจะชนะ
“เลวี่!!” เขาตะโกนเรียกเธอ
“เรียกหม่อมฉันหรือเพคะ” เธอโผล่มาเพียงเสียง แต่กลับไม่พบตัว
“เธออยู่ไหนน่ะ”
“ข้างบนเพคะ” โนเอลเงยหน้ามองตาม ก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายอยู่บนต้นไม้จริง ๆ
เธอกระโดดลงมา แล้วหยุดอยู่ตรงหน้าโนเอล
“เหตุใดท่านโนเอลถึงได้ตัวเปียกถึงเพียงนั้นล่ะเพคะ ตายจริง เสื้อผ้าก็เปียกไปด้วยเลย”
“เธอ... เฮ้อ กลับกันเถอะ” โนเอลไม่พูดอะไรต่อ แล้วให้เลวี่นำทางกลับ
เขาเหนื่อยมากเกินกว่าจะพูดอะไรได้อีก
เลวี่หัวเราะคิกคัก ดูท่าสิ่งที่เธอตั้งใจไว้ จะเป็นจริงดั่งคาดหวัง
บทที่ 4สนามฝึกซ้อมของเหล่าพลทหาร“ท่านโนเอล! พยายามเข้า!!”“อึก... สี่สิบห้า... สี่สิบหก... สี่สิบเก้า”“สี่สิบเจ็ดต่างหากเพคะ”“อืม... สี่สิบเจ็ด... สี่สิบแปด... สี่สิบเก้า…”“สี่สิบ!!”“สี่สิบ... ส... สี่สิบเอ็ด... เดี๋ยวนะ... โอ๊ย” โนเอลนอนแผ่อยู่กับพื้น ขณะที่ร่างกายส่วนบนเปลือยเปล่า ไร้สิ่งใดคลุม“เธอแกล้งฉันเหรอ?” โนเอลถามด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก“เปล่านะเพคะ หม่อมฉันเพียงบอกกล่าวจำนวนตามจริง”“เฮ้อ...” โนเอลถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย เลวี่ชอบแกล้งเขาอยู่เป็นประจำนับจากเหตุการณ์ที่เขาเสียชีวิตจากชาติก่อน แล้วมาเกิดใหม่ในร่างของโนเอล มันก็ผ่านมาราว ๆ หนึ่งเดือนเต็มโชคยังดีที่ระหว่างนั้นไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นแน่นอนว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ชายหนุ่มไม่ได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด เขาใช้เวลาส่วนมากอยู่กับการเรียนรู้วัฒนธรรม เรียนรู้ศาสตร์เวท และการต่อสู้โดยมีเลวี่เป็นคู่มือคราแรกเขาคิดว่าเธอจะเป็นสาวใช้ธรรมดา แต่ฝีมือที่แท้จริงกลับแข็งแกร่งมาก แม้จะน้อยกว่าเดวิก็ตามเธอคอยเป็นอาจารย์สอนและคู่ประลองให้ จนเริ่มปรับตัวเข้ากับโลกใหม่ได้อย่างราบรื่น กระทั่งหลังออกกำลังกายเสร็จ โนเอลก็ยังต้อง
บทที่ 3อาณาจักรไม่รู้ร้อนเถาวัลย์พาดตามไม้สูงระโยงระยาง พืชมากสี พรรณไม้ต่างพันธ์ุมองดูชวนรู้สึกแปลกตา ทั่วทั้งผืนป่าถูกปกคลุมไปด้วยหิมะหนาภูมิอากาศหนาวเหน็บจนทั่วตัวสั่นไหว แม้กระทั่งน้ำจากทะเลหากได้ไหลผ่านที่นี่แล้วต่างก็กลายเป็นทะเลน้ำแข็งไปเสียหมด สภาพแวดล้อมช่างดูปั่นป่วนน่าประหลาดนี่คือป่าแถวล่างเขา อันเป็นจุดหมายหลังวาร์ปจากดาเลียมายังอัชลิงอัชลิงถูกเล่าขานกันโดยทั่วถึงเรื่องความเย็นยะเยือก ครั้นเมื่อสมัยราชินีวิโอล่ายังคงอยู่ สภาพอากาศสามารถแปรเปลี่ยนไปตามการควบคุมด้วยพลังของพระองค์เอง แต่หลังสิ้นพระชนม์ ชาวอัชลิงก็ไม่เคยได้สัมผัสถึงความอบอุ่นอีกเลยกระทั่งถนนหนทางบางสายก็ยังมีน้ำแข็งประดับ หรือถูกใช้แทนไม้กั้นเนื่องด้วยความพิเศษบางประการ หากน้ำแข็งถูกปั้นแต่งโดยนักเวทของทางราชวงศ์ ก็จะไม่มีทางละลายได้โดยง่าย และสะพานของที่นี่เองก็ยังถูกปั้นแต่งโดยนักเวท‘มันจะแตกไหมเนี่ย?’ โนเอลหวาดหวั่นในใจ ขบวนรถม้ามีน้ำหนักไม่น้อย เกรงว่าผ่านไปไม่ถึงครึ่ง มันจะแตกเอาเสียก่อนขบวนรถม้าขนาดเล็กค่อย ๆ ข้ามผ่านสะพานเคลือบเงากลางป่าใหญ่ เสียงล้อรถดังเอี๊ยดอ๊าดทำเอาสัตว์น้อยใหญ่ต่างพากันคอย
บทที่ 2ภัยร้ายกำลังคืบคลานเหมันต์ซึ่งปัจจุบันอยู่ในร่างของโนเอล หลังจากออกมาจากคฤหาสน์ เขายังคงเดินต่อไปเรื่อย ๆ ไปตามทางเดินที่สาวใช้กำหนดไว้ให้ ก่อนจะหยุดฝีเท้าลงเมื่ออยู่ต่อหน้าหน้าใครบางคนเขาโค้งคำนับ แล้วเริ่มกล่าว“ข้ามีนามว่าเดวิ เป็นองครักษ์ส่วนตัวขององค์ชาย ยินดีที่ได้พบขอรับ” ทางฝ่ายนั้นเริ่มแนะนำตัวก่อน ทางด้านหลังของเขามีรถม้าแกะสลัก สีขาวเงาวับอยู่สองถึงสามคัน มาพร้อมกับเหล่าทหารของราชวงศ์อีกราว ๆ ห้าสิบคนชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มเปรียบดั่งเมล็ดกาแฟค่อย ๆ คุกเข่าลง ก่อนจะประทับริมฝีปากที่หลังมือของโนเอลเพื่อแสดงถึงการให้เกียรติและยกย่องโนเอลไม่คุ้นชินกับวัฒนธรรมของที่นี่จนเผลอทำหน้าเหยเกออกมาอย่างไม่ตั้งใจ พอรู้ตัวก็รีบเก็บสีหน้าทันทีพอเดวิลุกขึ้น ก็รับรู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายมีขนาดตัวแตกต่างจากเขามากเพียงใด รูปร่างสูงโปร่งพร้อมกับร่างกายกำยำ ยิ่งเทียบกับทหารคนอื่น ๆ แล้วก็ดูแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงต่อให้เจ้าตัวจะไม่แนะนำว่าตนเป็นใคร โนเอลก็สามารถรับรู้ได้ว่าคนคนนี้ไม่มีทางเป็นเพียงลิ่วล้ออย่างแน่นอน“ผมทราบแล้วขอรับ... เอ้ย ข้าทราบแล้ว แล้วก็อยากรู้เรื่องอะไรนิดหน่อย ช่วยรบก
บทที่ 1ใครอีกคนราวกับความเจ็บปวดหายเป็นปลิดทิ้ง สองตาเบิกกว้างด้วยความตกใจก่อนจะเริ่มใช้มือลูบไปยังท้ายทอย แม้ส่วนหัวควรจะขาดออกจากร่างไปแล้ว ทว่าตอนนี้กลับไม่มีรอยแผลหรือแม้แต่เลือดสักหยดเหมันต์เริ่มสังเกตรอบกายตนด้วยความว้าวุ่นใจ ก่อนจะรู้สึกเจ็บจี๊ดที่สมองราวกับถูกไฟฟ้าช็อตภาพความทรงจำประหลาดจำนวนนับไม่ถ้วนเริ่มไหลเข้ามาในหัว ใบหน้าของผู้คนซึ่งดูไม่คุ้นหน้ามากมายถูกบันทึกไว้ภายในสมอง รวมถึงเรื่องราว เหตุการณ์ หรือแม้กระทั่งหนังสือและอักขระแปลกตาทุกอย่างที่เกิดขึ้น ตัวเขารับรู้ถึงมัน เสมือนกับได้เกิดขึ้นจริงกับตนเจ็บปวด ท้อแท้ สิ้นหวัง เสียใจ ปวดร้าว ทุกสิ่งถาโถมเข้ามาภายในตัวเขาจนแทบชา ก่อนทุกอย่างจะจบลงด้วยภาพที่เขาเคยเห็นก่อนหน้า ชายที่ถูกใครบางคนเรียกว่าโนเอล ถูกศัตรูปลิดชีพด้วยการลงดาบเพียงครั้งเดียวทั้งที่ให้ความรู้สึกคล้ายกับถูกดูดไปยังอีกโลกหนึ่ง เวลาในความทรงจำช่างแสนยาวนาน ราวกับได้สัมผัสชีวิตใหม่แต่นาฬิกาทรายข้างเตียงยังคงไหลลงอีกด้านได้เพียงน้อยนิด ทำให้ทราบว่าเวลาแห่งโลกความเป็นจริงกลับผ่านไปไม่กี่นาที“อะไรกัน... เนี่ย... แล้วฉันอยู่ที่ไหนกัน” เหมันต์กวาดสายตาไป
บทนำประสบการณ์เสมือนจริงร่างกายล่องลอย มองไม่เห็นแม้กระทั่งแสงสว่าง ข้อสงสัยที่คนมักจะถามกันเองอยู่บ่อย ๆ ว่าตายแล้วไปไหน เป็นสิ่งเดียวที่วกวนเข้ามาภายในโสตประสาทขณะนี้เหมันต์วัยยี่สิบหกปี เจ้าหน้าที่หน่วยปราบปรามอาชญากรรมพิเศษ ตายอย่างมีเกียรติระหว่างทำภารกิจทว่าเขาไม่ได้โดนลูกปืนฝังหรือโดนมีดแทงจนเกิดแผลสาหัส ไร้หนทางรักษา การตายของเขามันน่าทึ่งกว่านั้นมากและนั่นคือ การตกบันไดตายระหว่างวิ่งตามหมาตำรวจว่ากันว่า ก่อนตาย ความทรงจำอันแสนสำคัญในอดีตจะหวนกลับเข้ามาให้นึกถึง เหมันต์เองก็มีความทรงจำแบบนั้นเช่นกัน แต่สิ่งที่เขาปรารถนาอย่างแรงกล้า คือขอให้รุ่นน้องคนสนิททำลายแล็ปท็อปของเขาให้สิ้นซากไปเสียชีวิตนี้ เขาขอเพียงเท่านั้นก็เป็นอันสุขใจแล้วหลังจากประสาทสัมผัสทั้งห้าดับสิ้นลง ร่างกายของเขาก็เวิ้งว้างอยู่ในโลกซึ่งไร้แสงสว่างทว่าความทรงจำประหลาดและน้ำเสียงไม่คุ้นหูกลับปรากฏขึ้นมา ทลายบรรยากาศอันน่ามัวหมอง บทสนทนาระหว่างสองฝ่ายชวนให้นึกถึงซีรีส์อังกฤษย้อนยุค ติดป้ายฮิตอันดับหนึ่งในแอปสตรีมมิ่ง หรืออาจเป็นคอมมิคสุดโปรดของพวกเด็กวัยรุ่นเสียมากกว่าอะไรอย่างเช่น ตัวเอกหลุดเข้าไปอยู่