อคิราห์เถียงกลับด้วยความไม่พอใจ ศศินาถอนหายใจก่อนจะพยักหน้าปลงๆเพราะรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้
“คุณไม่เชื่อก็ถูกแล้วแต่มันคือเรื่องจริง ไม่งั้นฉันคงไม่หายกลัวตั้งแต่ที่รู้ชื่อแล้วก็เมืองที่คุณอยู่หรอก เพราะรู้ว่าคุณมาจากในนั้นเลยวางใจไง แต่เราก็ต้องหาวิธีที่จะทำให้คุณกลับไปไม่งั้นจะคุณจะทำยังไงคะถ้ากลับบ้านไม่ได้จริงๆ”
“ข้า…แต่ข้าเป็นคนนะไม่ใช่ผีสางที่ไหน”
“ฉันรู้ค่ะ คุณเป็นคนแน่ๆแต่แค่อยู่ในโลกนั้น ยังไงคุณก็ต้องหาทางกลับไป”
“ข้าอยากกลับอยู่แล้ว แต่ข้าจะเชื่อเรื่องนี้ได้อย่างไรกัน”
“ถ้าคุณอ่านมันทั้งหมดคุณจะเข้าใจเองค่ะ เอาเป็นว่าคุณอ่านก่อนระหว่างนี้ฉันจะออกไปหาของที่จำเป็นมาให้คุณเพราะไม่รู้ว่าจะใช้เวลากี่วันถึงจะกลับไปได้”
“ของจำเป็นหรือ ข้าไม่ต้องการสิ่งใดหรอกแม่หญิงขอบใจเจ้ามาก”
“แต่ฉันว่าจำเป็นมาก คุณจะใส่ชุดแบบนี้ตลอดไม่ได้”
ศศินามองชุดโจงกระเบนเต็มยศอย่างหนักใจ นี่ถ้าไม่รู้จักก็คงคิดได้แค่เป็นผีสางจริงๆนั่นแหละ ใครที่ไหนจะมาใส่ชุดไทยโบราณแบบนี้กัน ถึงจะสวยงามมากๆก็เถอะนะ
“ชุดข้ามันทำไมรึ”
“ช่างเถอะ เอาเป็นว่าคุณอ่านหนังสือนี่ให้หมดรอฉันกลับมา ได้มั้ยคะ”
ศศินาตัดบทเพราะไม่อยากเสียเวลามากไปกว่านี้ ตอนนี้ฝนหยุดลงแล้วไม่แน่ว่าช่วงเย็นอาจจะตกลงมาอีกรอบเพราะเป็นหน้าฝน หากรถติดมากเธอคงกลับมาถึงคอนโดดึกแน่คืนนี้ จะปล่อยอคิราห์ไว้คนเดียวนานๆก็ไม่ดีแน่
“ได้สิ เจ้าจะไปนานหรือไม่”
“ไม่นานค่ะ แต่คุณห้ามแตะต้องอะไรก็ตามที่ไม่รู้จัก นอกจากสิ่งที่ฉันบอกไปแล้วตกลงมั้ยคะ”
“ได้สิ ข้าหาใช่เด็กน้อยไม่รู้ความเสียหน่อย ไม่ไปยุ่งกับข้าวของเจ้าหรอกวางใจได้”
ศศินาแอบเบ้ปากเมื่อได้ยินพ่อพระเอกร้อนตัว กว่าจะบอกเรื่องทีวีกับพวกเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆในห้องจนเข้าใจได้ก็แทบตาย คนที่สงสัยทุกอย่างตลอดเวลาขนาดนั้นเอาอะไรมาวางใจได้ก่อน
“งั้นก็ดีค่ะ ฉันจะรีบกลับมา”
นิยายเรื่อง หากอาทิตย์ไร้ดาว
ณ เมืองพยับหมอก พ.ศ. 1890
หัวเมืองใหญ่ทางตอนเหนือ มีเจ้าเมืองคือ ท่านเจ้าเมืองศิงขร ชาวเมือง
เรียกท่านเจ้าเมืองสิงห์ และภรรยาคือ ท่านหญิงอรุณ มีลูกชายคนโตชื่อ อคิราห์ หรือ แสง และคนเล็กชื่อ อนาคิน หรือ แสน เป็นครอบครัวที่ปกครองเมืองมานาน ชาวเมืองต่างเคารพนับถือเจ้าเมืองและอยู่กันอย่างสงบร่มเย็นมาโดยตลอด การค้าขายเจริญรุ่งเรือง พืชผลทางการเกษตรก็ไม่เคยขาด ชาวเมืองมีพุทธศาสนาเป็นที่พึ่งทางใจเข้าวัดทำบุญและถือศีลกันถ้วนหน้า เรียกว่าเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์และสงบสุขจนใครๆก็อยากย้ายเข้ามาอาศัยทั้งสิ้น
ตั้งแต่สงครามสงบลง หัวเมืองใหญ่ต่างๆก็ปรองดองกันมากขึ้น ส่งตัวแทนเยี่ยมเยียนผูกมิตรกันเป็นประจำทุกปี แลกเปลี่ยนค้าขายกันไม่เคยขาด เมืองไหนส่งลูกหลานหมั้นหมายตกแต่งกันได้ก็ยิ่งมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมากขึ้น ไม่ต่างอะไรกับรุ่นลูกอย่างอคิราห์ ที่พ่อแม่เตรียมให้หมั้นหมายกับ ดุจดารา ลูกสาวเจ้าเมืองทางใต้ที่เป็นมิตรกันมานาน เพราะท่านหญิงอรุณเองก็เป็นลูกสาวเจ้าเมืองจากเมืองทางตะวันออก การได้ผูกมิตรกับหัวเมืองใหญ่ทางใต้เพิ่มอีกเมืองนับว่าเป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่ง เพราะหมายความว่าจะขยายอำนาจได้มากขึ้น โอกาสในการเกิดสงครามยิ่งน้อยลงเพราะเป็นเมืองญาติมิตรกัน อคิราห์เองก็ไม่ได้ขัดใจเพราะไม่ได้มีแม่หญิงที่ไหนที่ชอบพอกันอยู่
ตั้งแต่เด็กจนโตอคิราห์ก็ตั้งใจเรียนและสอบจนได้ตำแหน่งใหญ่โตในเวลาไม่นาน ความสามารถทั้งการต่อสู้และฟันดาบก็เป็นที่ยอมรับจนใครๆต่างก็คิดเหมือนกัน ว่าอคิราห์จะต้องได้เป็นเจ้าเมืองคนต่อไปที่มีศักยภาพมากที่สุดเป็นแน่ ไหนจะรูปร่างหน้าตาที่เป็นที่เลื่องลือไปทั่วอีก ไม่ว่าจะเป็นแม่หญิงจากหัวเมืองไหนต่างก็ไฝ่ฝันจะได้ตบแต่งเข้าเรือนของพ่ออคิราห์ทั้งสิ้น แต่ก็ทำได้เพียงเสียดายและยอมรับว่าไม่มีวาสนา เพราะพ่อรูปงามนั้นมีแม่หญิงที่เพียบพร้อมไม่แพ้กันเป็นว่าที่คู่หมั้นอยู่แล้ว ก็คือแม่หญิงดุจดารา….
“นี่ข้า…ข้าเป็นตัวละครในนิยายจริงๆหรือนี่”
อคิราห์พึมพำกับตัวเอง มือหนาที่ถือหนังสือนั้นสั่นอย่างไม่อาจควบคุมได้ ไม่ว่าจะคิดยังไงนี่มันก็เหลือเชื่อเกินไปจนทำใจเชื่อไม่ลง อคิราห์อ่านเรื่องราวในนิยายเพียงแรกๆเท่านั้นข้ามช่วงกลางไปจนถึงตอนจบที่ตัวพระเอกนางเอกครองรักกันตามแบบฉบับนิยายสุขนิยมทั่วไป หนังสือมีความยาวที่น่าจะต้องใช้เวลาอ่านทั้งวันทั้งคืนเห็นจะได้ อคิราห์เลยอ่านเพียงเพื่อหาบทสรุปแค่ที่อยากรู้เท่านั้น
แต่ไม่ว่าจะอ่านทวนให้แน่ใจเท่าไร ทุกตัวละครและสถานที่ในนั้น ก็คือสิ่งที่อคิราห์รู้จักทั้งหมดไม่มีผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย มันคือชีวิตที่ผ่านมาของอคิราห์แน่ๆ แม้จะยังไม่ได้ดำเนินชีวิตไปถึงตอนจบอย่างในนิยาย แต่ก็คือเรื่องจริงที่ผ่านมาแล้วจนถึงปัจจุบัน จะเป็นไปได้อย่างไรที่ใครจะเอาเรื่องของอคิราห์ไปเขียนเป็นนิยายแบบนี้ อีกอย่างในเมืองที่อคิราห์อยู่ก็ไม่มีทางที่จะมีหนังสือแบบนี้เป็นแน่ แล้วเรื่องราวของเค้า มาอยู่ในหนังสือที่ศศินาเป็นคนอ่านในโลกนี้ได้อย่างไร
แกร๊ก
เสียงเปิดประตูหยุดความคิดที่วิ่งวนในหัวของอคิราห์ลงอีกครั้ง เจ้าตัววางหนังสือในมือลงบนโต๊ะและรอให้ศศินาเดินเข้ามาหา จนถึงตอนนี้อคิราห์ยังไม่ได้ย้ายตัวเองออกไปจากหน้าทีวีเลยด้วยซ้ำ เรียกว่าทำตามคำสั่งของศศินาอย่างเคร่งครัดเพราะมัวแต่อ่านหนังสือและนั่งสับสนอยู่ตรงนี้มาตลอด
“อ่านจบแล้วเหรอคะ”
ศศินาถามพลางมองหนังสือที่วางอยู่ด้วยความสงสัย อ่านเร็วขนาดนี้มันก็จะเกินไปหน่อย ขนาดเธอรีบอ่านยังใช้เวลาตั้งหลายชั่วโมงเลย
“ข้าอ่านไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น เจ้าถือสิ่งใดมามากมายนัก”
อคิราห์ตอบพลางมองบรรดาถุงข้าวของที่ศศินาถือกลับมาแล้ววางกองอยู่ตรงพื้นข้างโซฟาด้วยความสงสัย
“ก็ของจำเป็นทั้งนั้นแหละ ไม่รู้ว่าคุณต้องอยู่กี่วันนี่นา”
“ข้าจะอยู่นานได้อย่างไร เจ้าเป็นแม่หญิงข้าไม่ควรมาอยู่ลำพังกับเจ้าเช่นนี้”
“ก็ไม่ได้อยากให้อยู่นานหรอก แต่เรายังหาวิธีที่คุณจะกลับไปไม่ได้เลยนี่นา”
ศศินาบอกพลางรื้อถุงหาเสื้อผ้าออกมา เธอซื้อชุดอยู่บ้านที่คิดว่าน่าจะใส่สบายให้อีกคน ไหนจะชุดนอนและชุดชั้นที่แทบจะกลั้นหายใจตอนไปเลือก เกิดมายังไม่เคยไปซื้อชุดผู้ชายมาก่อนเลยแถมยังเป็นชุดชั้นในอีกต่างหาก เธออายพนักงานจนหน้าแดงไปหมดดีที่ไม่มีใครสนใจ
“อ่ะนี่ ฉันซื้อไซส์ที่คิดว่าคุณน่าจะใส่ได้นะ”
“เจ้าจะให้ข้าใส่ชุดประหลาดพวกนี้งั้นรึ”
“พูดเรื่องจริงไงครับ ผมอยากมีลูกเยอะๆเคยบอกแล้วนี่นา”อคิราห์บอกพลางทำหน้ามุ่ยเหมือนเด็กขัดใจ ศศินาเลยบีบแก้มอีกคนอย่างหมั่นไส้แล้วบ่นออกมาไม่จริงจังนัก“เลี้ยงคนแรกให้รอดก่อนเถอะค่ะพ่อคนขี้เห่อ”“คุณแม่ดุมากต้องจัดการซะแล้ว”อคิราห์บอกด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ ในแบบที่ศศินารู้ทันทีว่าจะโดนเอาเปรียบแต่ก็ไม่เคยทันเพราะอีกคนก้มลงมาปล้นลมหายใจเธอไปด้วยจูบที่หวานล้ำอีกแล้ว“อื้อ…”—-------“ลูกพ่อ ฮึก…”“แสง นี่คุณร้องไห้เหรอคะ”ศศินาเลิกคิ้วถามอย่างไม่อยากเชื่อเมื่อเห็นสามีตัวเองเช็ดน้ำตาป้อยๆจนป้ากชที่ยืนอยู่ห่างๆยังแอบขำออกมา“เปล่าสักหน่อย ผมแค่ดีใจที่ลูกออกมาแล้ว ดูสิครับลูกหน้าเหมือนผมเลยใช่มั้ยที่รัก”อคิราห์ปฏิเสธทั้งที่ตายังเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำสีใส ทำเอาศศินาขำออกมาเบาๆอย่างอดไม่ได้ น่าเอ็นดูซะเหลือเกินคุณพ่อที่เพิ่งได้เห็นหน้าลูกเนี่ย แถมยังเป็นลูกแฝดชายหญิงที่หาได้ยากซะด้วย ไม่รู้เธอโชคดีหรืออคิราห์ร้องขอจากพระจันทร์ทุกคืนกันแน่ คนที่เลือกไม่ได้เพราะอยากได้ทั้งลูกชายลูกสาว ผลสุดท้ายเลยได้มาทั้งคู่อย่างน่าอัศจรรย์แบบนี้“แค่กี่วันเองจะดูออกเลยเหรอคะ คนอะไรขี้เห่อมาก”“ลูกน่ารักตั้งสอง
“อื้อ…”ศศินาที่ไม่ทันได้ทักท้วงถูกอีกคนปล้นจูบไปจนได้ มือเล็กขยุ้มอกเสื้ออีกคน ใบหน้าสวยถูกจับให้เงยรับจูบที่แสนหวาน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นดูดดื่มและเร่าร้อนขึ้นเรื่อยๆจนต้องทุบอกแกร่งแรงๆหลายที อคิราห์เพียงละออกมาให้ภรรยาหอบหายใจแล้วก็ประกบลงไปกลืนกินความหวานจากปากเล็กครั้งแล้วครั้งเล่าเท่าที่คิดถึงมาหลายวัน จนกระทั่งศศินาตัวอ่อนเปลี้ยในอ้อมแขนอีกคน และอคิราห์เองก็เริ่มจะหักห้ามใจไม่ไหวจนกลัวจะเลยเถิดถึงได้หยุดจูบที่ยาวนานนั้นได้“ทำอะไรคะเนี่ย เดี๋ยวป้ากชก็มาเห็นหรอก”ศศินาฟาดไปที่แขนแกร่งแรงๆพลางบ่นออกมาทั้งที่ใบหน้าแดงก่ำ อคิราห์ยิ้มพลางลูบแก้มเนียนที่ขึ้นสีแผ่วเบาแล้วบอกออกมาด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าเพราะกำลังปรับอารมณ์อยู่ การห้ามใจไม่ให้เกินเลยกับภรรยาตัวเองนี่มันทำร้ายกันชัดๆอคิราห์ไม่ชอบเลย“ป้าเค้าไม่ว่างหรอกครับ กำลังทำมื้อเย็นอยู่ในครัวนู่น ว่าแต่คุณแม่ของลูกผมหิวรึยังครับ”“หิวค่ะ”“งั้นก็ไปทานข้าวเย็นกันดีกว่า ผมซื้อของมาฝากเยอะเลยที่รักต้องชอบแน่ๆ”อคิราห์ชวนพลางจับคนตัวเล็กให้ค่อยๆลุกขึ้นมาจากที่นั่งด้วยความระมัดระวัง “น่ารักจังเลยคนนี้”“สามีคุณเองครับ รักผมให้มากๆด้วย”คนต
กล่องดนตรีไม้ถูกจับมาหมุน เสียงดนตรีแสนไพเราะดังขึ้นอีกครั้งท่ามกลางลมหนาวของเดือนธันวาคม เส้นผมยาวสีดำขลับพริ้วไหวคลอเคลียใบหน้าหวาน ดวงตาคู่สวยเหม่อมองไปยังภูเขาที่อยู่ไกลลับตา ราวกับจะมองไปให้ถึงคนที่อยู่ไกลแสนไกล คนที่ทำให้เธอเฝ้าคิดถึงมาหลายวันจนมองอะไรก็น่าเบื่อไปหมด ไม่รู้ว่าป่านนี้จะคิดถึงเธอเหมือนกันหรือเปล่า เพราะกิจการคาเฟ่ของอคิราห์ไปได้ดีกว่าที่คิด เลยมีคนติดต่อขอให้ไปเปิดอีกสาขาที่กรุงเทพ เนื่องจากมีลูกค้าหลายคนติดใจขนมและเครื่องดื่มที่มีขายเฉพาะที่นี่ อคิราห์เองก็ไม่อยากขายสูตรที่คิดขึ้นมาให้คนอื่นไปทำเพราะกลัวว่าจะผิดเพี้ยนไปจากเดิม เลยปรึกษากับศศินามาสักพักจนได้ข้อสรุปว่าเราจะไปเปิดอีกสาขาที่นั่น โดยจ้างคนดูแลและไปตรวจทานด้วยตัวเองบ่อยๆแทน พอได้พื้นที่ที่ต้องการอคิราห์เลยต้องไปดูแลการรีโนเวทร้านขึ้นมาให้เหมือนกับสาขานี้มากที่สุด ถึงแม้จะยกธรรมชาติที่เขาใหญ่ไปนู่นไม่ได้ก็ตาม อย่างน้อยก็สร้างพอให้ได้บรรยากาศเพื่อลูกค้าที่โหยหาธรรมชาติสักนิดก็ยังดี ส่วนเหตุผลที่ศศินามานั่งเหม่อคิดถึงสามีสุดหล่ออยู่ตรงนี้ ก็เพราะอคิราห์ไม่ยอมให้ไปด้วยเพราะกลัวว่าภรรยาจะเหนื่อยเกินไปที่ต
“รู้แล้วครับ ผมจะค่อยๆนึกนะ อืม เรื่องของที่ข้ามมาที่นี่ได้ท่านบอกไว้ว่าเพราะการที่ของโลกนู้นมาโผล่ที่นี่มันไม่แปลกเพราะเป็นของสมัยเก่าที่เคยมีมาแล้ว แต่การที่ของโลกนี้ไปที่นู่นไม่ได้เพราะยังไม่เคยมีสิ่งของพวกนี้มาก่อนครับ”“อย่างนี้นี่เอง ถ้าข้ามไปได้มันจะผิดจากยุคสมัยที่ควรเป็นสินะ”ศศินาพยักหน้าเข้าใจ ถ้าคนเรานำสิ่งของข้ามเวลาไปอดีตได้จริงคงได้วุ่นวายน่าดู เพราะหากใครย้อนเวลาหรือข้ามมิติได้ก็คงอยากเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆอย่างจนโลกวุ่นวายไปหมดแน่ๆ “ส่วนตัวตนของคุณ เพราะโลกนั้นเป็นโลกที่ท่านสร้างขึ้นเองเลยมีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงต้นฉบับทุกอย่าง แต่กับโลกปัจจุบันนี้ท่านไม่มีอำนาจเปลี่ยนแปลงอะไรมากนักนอกจากโชคชะตาจะกำหนดไว้แล้วครับ”“อ้อ นักเขียนคือพระเจ้านี่เองศิก็ลืมไป”“ครับ ท่านบอกผมอย่างนั้นเหมือนกัน ตอนแรกผมก็โมโหมากที่ท่านมาล้อเล่นกับชีวิตคนอื่นแบบนี้ แต่สุดท้ายก็ต้องขอบคุณอยู่ดีไม่งั้นผมคงไม่ได้มาพบคุณ”“งั้นสุดท้าย ทำไมเราสองคนถึงได้ถูกกำหนดให้มาเจอกันทั้งที่อยู่คนละโลกแบบนี้คะ”ศศินาถามอย่างสุดท้ายที่สำคัญมากๆ ถึงจะรู้สึกขอบคุณแต่ก็ยังไม่หายสงสัยอยู่ดีว่าอะไรที่ทำให้เกิดเรื่องรา
บ่ายวันนึงของหน้าร้อนที่คู่แต่งงานใหม่พากันไปนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่หลังบ้าน มองดูสวนผลไม้หลากชนิดและยอดเขาที่เห็นไกลๆ กลิ่นหอมจากดอกไม้รอบบริเวณลอยมากับลมเย็นๆจากธรรมชาติ สร้างความรู้สึกผ่อนคลายให้กับช่วงเวลาที่พระอาทิตย์สว่างจ้าจนแสบตาแบบนี้ได้ไม่น้อย ศศินาเอนตัวลงนอนบนตักของสามีพลางหลับตาพริ้มอย่างอารมณ์ดี ขณะที่อคิราห์ทอดสายตาที่เต็มไปด้วยความรักมองภรรยาคนสวยแล้วลูบผมอีกคนแผ่วเบา ศศินาคว้าเอามือหนาไปกุมไว้แนบแก้มก่อนจะถามเรื่องที่เคยสงสัยมานานตั้งแต่ที่เราได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ถึงจะเคยคุยกันไปแล้วบ้างแต่ด้วยตอนนั้นเกิดเรื่องขึ้นมากมายจนไม่ได้ถามรายละเอียดมากนัก “แสงคะ” “ครับ” “ยังจำตอนที่คุณกลับไปครั้งสุดท้ายได้มั้ย” “ได้ครับ ทำไมเหรอ” “ตอนนั้นคุณบอกว่าไปเจอคุณนักเขียนที่เขียนหนังสือเรื่องนั้นมาใช่มั้ยคะ” “ครับ คนที่คุณตานักปราชญ์เคยบอก แต่มันเหมือนความฝันมากกว่าถึงตอนที่คุยกันจะเป็นจริงก็เถอะ” อคิราห์บอกยิ้มๆ พอนึกถึงภาพตอนนั้นก็รู้สึกเลือนลางขึ้นมาแม้จะจำได้ทุกอย่างแล้วก็ตาม ยังไม่อยากเชื่ออยู่ดีว่าจะเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นมาจริงๆ หากไม่มีเสื้อผ้ากับของที่มาจากโลกนู้นอยู่
“อ๊าาา อะ อย่า อื้อ”บั้นท้ายงอนงามยกขึ้นอย่างเสียดเสียวเมื่อถูกลิ้นสากละเลงลงไปบนกลีบบอบบาง ติ่งเสียวที่ไวต่อความรู้สึกถูกดูดดุนจนตัวกระตุกสั่นไปหมด วันนี้อคิราห์ร้อนแรงเป็นพิเศษแบบที่ไม่เคยทำแบบนี้กันมาก่อนเลย ถึงจะเคยทำในห้องน้ำแต่ก็แค่ในอ่างแบบเมื่อกี้หรือยืนอยู่บนพื้นในท่าหันหลังเท่านั้น ไม่เคยถูกพามานั่งบนนี้สักครั้งและศศินาก็เพิ่งรู้ว่าการเปลี่ยนที่มันก็เปลี่ยนความรู้สึกไปด้วยเช่นกัน เหมือนตอนนี้ที่เธอหูอื้อตาลายไปหมด สติเริ่มถูกพรากไปกับความกระสันเสียวที่อีกคนมอบให้ไม่รู้จบ อคิราห์กำลังจะทำให้เธอเป็นบ้า ด้วยปากและลิ้นที่ละเลงใส่เธอไม่หยุด แม้แต่เสียงครางตอนนี้ศศินายังไม่อยากเชื่อว่ามันออกมาจากปากของเธอ มันดูร่านร้อนและยั่วยวนจนน่าอาย แต่เธอควบคุมหรือต่อต้านอะไรไม่ได้เลย ในเมื่อร่างกายมันซ่านเสียวจนโอนอ่อนตามอีกคนไปหมดแบบนี้“ฮึก แสง อ๊าา”ร่างบางกระตุกสั่น ปลดปล่อยออกมาอีกครั้งอย่างง่ายดาย อคิราห์ปาดเลียน้ำรักกลืนกินก่อนจะยืดตัวขึ้นแล้วกดกระแทกตัวตนที่แข็งขืนเข้าไปทันทีจนศศินาครางเสียงหลง“อ๊ะ อ๊าา”แขนเล็กกอดคอหนาเอาไว้แน่น อคิราห์ไม่ได้เว้นให้เธอที่กำลังเสร็จแม้แต่น้อย ร่าง
“อ๊าาา อะ อย่า อื้อ”บั้นท้ายงอนงามยกขึ้นอย่างเสียดเสียวเมื่อถูกลิ้นสากละเลงลงไปบนกลีบบอบบาง ติ่งเสียวที่ไวต่อความรู้สึกถูกดูดดุนจนตัวกระตุกสั่นไปหมด วันนี้อคิราห์ร้อนแรงเป็นพิเศษแบบที่ไม่เคยทำแบบนี้กันมาก่อนเลย ถึงจะเคยทำในห้องน้ำแต่ก็แค่ในอ่างแบบเมื่อกี้หรือยืนอยู่บนพื้นในท่าหันหลังเท่านั้น ไม่เคยถูกพามานั่งบนนี้สักครั้งและศศินาก็เพิ่งรู้ว่าการเปลี่ยนที่มันก็เปลี่ยนความรู้สึกไปด้วยเช่นกัน เหมือนตอนนี้ที่เธอหูอื้อตาลายไปหมด สติเริ่มถูกพรากไปกับความกระสันเสียวที่อีกคนมอบให้ไม่รู้จบ อคิราห์กำลังจะทำให้เธอเป็นบ้า ด้วยปากและลิ้นที่ละเลงใส่เธอไม่หยุด แม้แต่เสียงครางตอนนี้ศศินายังไม่อยากเชื่อว่ามันออกมาจากปากของเธอ มันดูร่านร้อนและยั่วยวนจนน่าอาย แต่เธอควบคุมหรือต่อต้านอะไรไม่ได้เลย ในเมื่อร่างกายมันซ่านเสียวจนโอนอ่อนตามอีกคนไปหมดแบบนี้“ฮึก แสง อ๊าา”ร่างบางกระตุกสั่น ปลดปล่อยออกมาอีกครั้งอย่างง่ายดาย อคิราห์ปาดเลียน้ำรักกลืนกินก่อนจะยืดตัวขึ้นแล้วกดกระแทกตัวตนที่แข็งขืนเข้าไปทันทีจนศศินาครางเสียงหลง“อ๊ะ อ๊าา”แขนเล็กกอดคอหนาเอาไว้แน่น อคิราห์ไม่ได้เว้นให้เธอที่กำลังเสร็จแม้แต่น้อย ร่าง
และตลอดทุกการกระทำนั้น อคิราห์ไม่ได้ละปากออกไปจากเธอแม้แต่นิดเดียว จนตอนนี้ปากอิ่มเริ่มเจ่อบวมเพราะถูกดูดดึงมานาน พอถูกปล่อยให้เป็นอิสระ ศศินาก็หายใจหอบและต้องแหงนเงยหน้าครางแผ่วอีกครั้ง เมื่ออคิราห์ก้มลงไปดูดกลืนหน้าอกของเธอแทน“อึก อื้อ!”ร่างบางแอ่นอกเข้าหาอย่างซ่านเสียว สองมือจิกขยุ้มที่ผมหนาของอคิราห์อย่างหาที่ระบาย ริมฝีปากอุ่นร้อนที่ขบเม้มดูดดึงยอดอกเธออยู่ทำให้ศศินาไม่อาจต่อต้านความเร่าร้อนของอคิราห์ได้เลย ลิ้นสากที่ลากไล้ละเลงลงไปถี่รัวจนยอดอกชูชันขึ้นมา และถูกดูดกลืนเข้าปากคนตัวโตอย่างมูมมามครั้งแล้วครั้งเล่าจนร่างบางอ่อนระทวย“อา ที่รักครับ ขอใส่เลยนะผมไม่ไหวแล้ว”อคิราห์เงยหน้าถามเสียงพร่า ดวงตาคู่คมเป็นประกายล้ำลึกราวกับจะกลืนกินกันด้วยสายตาจนศศินาใจสั่น ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องถามกันสักนิด แต่ก็ยังจะทำเพราะรู้ว่าเธอจะต้องเขินมากแบบนี้ คนบ้า“อื้อ…”ศศินางึมงำตอบในลำคอพลางซบลงที่ไหล่กว้างด้วยใบหน้าแดงก่ำ ส่วนแข็งขืนที่กำลังทิ่มแทงอยู่ตรงบั้นท้ายเธอยิ่งทำให้ไม่กล้าสบตากับอีกคนยิ่งกว่าเดิมทั้งที่แต่งงานกันมาครบปีแล้ว และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เรามีอะไรกัน แต่อคิราห์ก็ยังทำให้เธอ
“แสง อยู่ไหนคะ” ศศินาเรียกหาคนที่ควรอยู่ในบ้านแต่เดินหาทุกห้องก็ยังไม่เจอ วันนี้เธอออกไปในเมืองตั้งแต่เช้าเพราะมีธุระ ส่วนอคิราห์นั้นติดงานที่ร้านเลยไม่ได้ไปด้วย และวันนี้อคิราห์ก็อาสาจะทำมื้อเย็นเองเพราะเป็นวันครบรอบแต่งงานปีแรกของเรา พอเสร็จธุระศศินาเลยรีบกลับมาเพราะไม่อยากให้อีกคนรอนาน ร่างบางเดินขึ้นบันไดไปชั้นบนเมื่อหาทั่วชั้นล่างแล้วไม่เจอ ได้แต่นึกในใจว่าอาจจะเหนื่อยจนเผลอหลับไปรึเปล่า เลยตรงไปที่ห้องนอนเป็นอันดับแรก พอเปิดประตูเข้าไปไฟที่ติดอยู่ทั้งบ้านก็ดับลง และเพราะตอนนี้มืดแล้วศศินาเลยชะงักเท้าด้วยความตกใจ ก่อนจะต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นแสงสว่างจากเทียนที่จุดไว้หลายที่ในห้อง มันถูกตั้งไว้คู่กับดอกไม้ช่อโตในแจกันทรงสูงและส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั้งห้อง ตั้งแต่ที่ข้างประตู หัวเตียง และริมหน้าต่าง ส่งให้บรรยากาศดูสวยงามและโรแมนติกจนต้องก้าวเดินช้าลงเพื่อเข้าไปมองใกล้ๆ ศศินาก้มลงสูดกลิ่นหอมของดอกไม้หลากชนิดในแจกัน หลักๆคือกุหลาบสีชมพูอ่อนและสีขาวที่เธอชอบ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าทั้งหมดนี่คือฝีมือของอคิราห์ ใบหน้าสวยยิ้มออกมากับความน่ารักที่ถูกจัดเตรียมไว้รอ ก่อนจะสะดุ้งตกใจอีกครั้งเม